“ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน” ( ตอนที่ 16-30 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 25, 2022 9:59 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 16 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
การหยั่งรู้ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า " นี่คือพระวาจาของพระเจ้า "

ขณะที่พระเยซูคริสต์ร่วมเดินทางกับพวกเราบนถนน และอธิบายพระคัมภีร์ให้แก่พวกเรา
พวกเราต้องฟังพระองค์ด้วยชีวิตจิตใจทั้งครบ ไว้วางใจว่า พระวาจานั้นเนรมิตชีวิตใหม่ และ
เยียวยารักษาชีวิตของพวกเรา พระเจ้าปรารถนาที่จะประทับอยู่กับพวกเรา และต้องการจะแปร
เปลี่ยนหัวใจของพวกเราที่ระแวงหวาดกลัวออกไปอย่างถอนรากถอนโคน.....

พระวาจาในการถวายบูชาขอบพระคุณทำให้พวกเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์
แห่งความรอดอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา เหตุการณ์ในชีวิตของพวกเราเพียง เล็ก ๆ น้อย ๆ ถูกยก
ระดับขึ้นให้เข้าไปสู่เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และที่นั่นแหละพวกเราถูกจัดให้อยู่ในที่พิเศษ
เฉพาะจริง ๆ พระวาจายกระดับชีวิตของพวกเราให้สูงขึ้น ทำให้พวกเราเห็นชีวิตประจำวัน ชีวิต
ธรรมดา ๆ ที่เรียบง่ายเป็นชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีบทบาทสำคัญมากทีเดียว ที่จะทำให้พระสัญญา
ของพระเจ้าสำเร็จบริบูรณ์ พระวาจาของพระเจ้าที่ถูกบันทึก และถูกประกาศนั้น ทำให้พวกเรา
สามารถกล่าวพร้อมกับพระมารดามารีย์ว่า " พระ องค์ทรงดูแลห่วงใยฐานะอันต่ำต้อยแห่งข้ารับ
ใช้ของพระองค์ ใช่แล้วแต่นี้คนทุกยุค ทุกสมัยจะเรียกข้าพเจ้าว่า ผู้มีบุญ เพราะว่าพระผู้ทรงฤทธิ์
ได้ทรงทำสิ่งมหัศจรรย์กับข้าพเจ้า.... พระองค์ทรงเมตตากรุณาต่ออับราฮัม และลูกหลานพงศ์พันธุ์
ของท่านสืบไปเป็นนิตย์ "....

ณ ตรงนี้ พวกเราต้องเข้าใจและมองให้เห็นว่า การถวายบูชาขอบพระคุณ ที่พวกเราถวาย
หรือร่วมถวายนั้น เป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเรียกพวกเราให้เจริญชีวิตแห่งศีลมหาสนิท ชีวิตซึ่ง
มีความสำนึกอย่างต่อเนื่องในบทบาทของพวกเรากับเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์ แห่งการประทับอยู่ของ
พระเจ้าเพื่อไถ่บาปมนุษยชาติ โดยผ่านทางบุคคลทุกยุคทุกสมัย การประจญล่อลวงตัวร้ายในชีวิต
พวกเรา คือ การปฏิเสธบทบาท หน้าที่ของพวกเราเองในฐานะที่เป็นประชากร ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร
อันนี้แหละ คือ กับดัก ที่ทำให้ตัวของพวกเราเองต้องตกอยู่ในสภาพแห่งความกังวลและเป็นทุกข์
ตลอดเวลาในชีวิตประจำวันของพวกเรา ถ้าหากปราศจากพระวาจาของพระเจ้าที่ชุบชูชีวิตพวกเรา
ให้สูงขึ้น ในฐานะประชากรที่ได้รับเลือกสรร พวกเราก็คงจะเป็นประชากรที่ไร้คุณค่า ติดอยู่กับบ่วง
แห่งการเป็นคนขี้บ่น ....
ถ้าหากปราศจากพระวาจาของพระเจ้าที่ทำให้หัวใจของพวกเราเร่าร้อน พวกเราก็คงจะทำอะไร
ไม่ได้เลยนอกจากเดินคอตกกลับบ้าน....
หากปราศจากพระวาจาของพระเจ้าพวกเราก็คงเป็น เพียงแค่บุคคลที่มีค่าเล็กน้อย...
ถ้าปราศจากพระวาจาของพระเจ้าซึ่งเป็นข่าวประเสริฐ พวกเราอาจจะได้รับข่าวคราวในท้องถิ่น
หรือในระดับชาติตามหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งก็คงมีอยู่แค่วัน หรือ สองวัน แต่จะไม่มีคนในยุคใด สมัย
ใดเลยที่จะเรียกเราว่า ผู้มีบุญ -ผู้ผาสุข ข่าวคราวที่พวกเราได้ยินอาจจะดับพลังจิตภายใน และทำให้
พวกเราตกเป็นเหยื่อแห่งความขมขื่น และ ความขุ่นข้องหมองใจ และเศร้าสร้อยเหมือนเดิม.....
พวกเราจำเป็นต้องได้รับพระวาจาของพระเจ้าทั้งโดยการสนทนา หรือการธิบายจากผู้หนึ่งผู้ใด
และร่วมเดินทางบนถนนเพื่อทำให้การประทับอยู่ของพระองค์ กับพวกเราได้เป็นที่รับรู้กัน.....


โปรดติดตาม ตอนที่ (17) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 26, 2022 8:59 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 17 )

โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์

การเชื้อเชิญคนแปลกหน้า "ข้าพเจ้าเชื่อ...."

ขณะที่พวกเขาฟังคนแปลกหน้า บางสิ่งบางอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของ "
คนเดินทาง" ที่เศร้าศร้อยทั้งสองนั้น ไม่เพียงแต่พวกเขาได้สัมผัสกับความหวัง และความชื่นชม
ยินดีใหม่ ที่สอดแทรกเข้าไปในส่วนลึก ๆ ของหัวใจเท่านั้น แต่การเดินทางของพวกเขากลับกลาย
เป็นการเดินทางที่ปราศจากความลังเลใจ และคลายความกังวลทั้งหมด ชายแปลกหน้าคนนี้ได้ชี้ทิศ
ทางใหม่ "การเดินทางกลับบ้าน" ของเขาสองคนนั้นไม่มีความหมายอีกต่อไป กลับกลายเป็นเพียง
แค่สถานที่ที่เขาตั้งใจจะไปเท่านั้น ! คำว่า "บ้าน" นี้มีความหมายมากกว่าสถานที่ที่ใช้เป็นแหล่งคุ้ม
หัวนอน หรือที่กำบัง บ้านที่พวกเขาเคยใช้เป็นที่อาศัยอยู่นานแสนนาน เวลานี้พวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไร
กับมันต่อไป ชายแปลกหน้าได้ชี้แนวการเดินทางที่มีความหมายใหม่ บ้านที่ว่างเปล่าของพวกเขา
กลายเป็นสถานที่ที่ให้การต้อนรับ เป็นสถานที่ที่รับแขก เป็นสถานที่ที่มีการสนทนาซึ่งกันและกัน
โดยที่พวกเขาเป็นผู้ริเริ่มชี้แนะให้เห็นอย่างไม่ได้คาดฝัน....
เมื่อพวกเราเผชิญกับความรู้สึกสูญเสียสิ่งต่าง ๆ ของพวกเรา เวลานั้นแหละสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบข้าง
ตัวพวกเราเป็นผู้พูดหรือสนทนาเกี่ยวกับความสูญเสียนั้นเช่น ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ หมู่เมฆ เนินเขา
หุบเขา ลำห้วย ทั้งหมดเหล่านี้สะท้อนมายังความเศร้าเสียใจของพวกเรา สิ่งเหล่านั้นที่อยู่รอบข้างตัว
พวกเรากลายเป็นผู้โศกเศร้าครํ่าครวญ เมื่อคู่ชีวิตที่รักของพวกเราตายจากไป ธรรมชาติทั้งมวลนั้น
แหละกล่าวขวัญถึงเธอผู้นั้น สายลมกระซิบชื่อของเธอ กิ่งก้านที่หอบหิ้วใบไม้อันหนึ่งอึ้ง ต่างก็พากัน
ร้องไห้รำพึงรำพันถึงเธอ ทั้งดอกรักเร่ ดอกไม้สีชมพู สีม่วง สีขาว ยอมสละกลีบดอกเพื่อปกคลุม
ร่างของเธอ ในขณะที่พวกเราก้าวเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับใครคนหนึ่งอยู่เคียงข้างจะเป็นการ
เปิดหัวใจของคุณไปสู่ความจริงที่ลึกซึ้ง เปิดมิติใหม่ถึงความตายของเพื่อนของพวกเราคนนั้นไม่ใช่
เป็นเพียงแค่การปิดฉากอวสานแบบสูญสิ้น แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแค่ชะตากรรม
ที่แสนทรมาน แต่เป็นหนทางที่จำเป็นเพื่อการเปิดไปสู่อิสรภาพ ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง
และการทำลายอันน่ากลัว ขยะแขยง แค่ความทุกข์นึ้นำไปสู่สิริมงคล และแล้ว พวกเราจะสามารถหยั่งรู้
ขึ้นตามลำดับถึงบทเพลงใหม่ ผ่านการสรรสร้างในสรรพสิ่ง การเดินกลับบ้านนั้นจึงสอดคล้องกับ
ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยู่ในหัวใจของพวกเราเอง...
จากคำสนทนาทั้งหมดของชายแปลกหน้านั้น มีคำหนึ่งที่เด่นมากคือ ภายในจิตใจของผู้เดินทาง
เปี่ยมไปด้วย "สิริมงคล" เขาได้กล่าวว่า " นี่เป็นสิ่งจำเป็นมิใช่ดอกหรือ ? ที่องค์พระคริสต์ต้องทนรับ
ทรมานก่อนที่พระองค์จะเข้าสู่พระสิริมงคล ? " ก่อนหน้านั้น ทั้งจิตทั้งใจของคนทั้งสองยังคงเปี่ยมไป
ด้วยภาพแห่งความตาย และการทำลาย แต่ว่าในเวลานี้ ณ ที่นี่และเดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นคำว่า
" สิริมงคล " .....


โปรดติดตาม ตอนที่ (18)ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 29, 2022 9:35 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 18 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์

การเชื้อเชิญคนแปลกหน้า "ข้าพเจ้าเชื่อ...."

การสนทนา และคำพูดของชายแปลกหน้า เมื่อเริ่มแรกดูเหมือนว่าไม่เข้าท่าเข้าทางเอาเสียเลย
แต่ว่า ณ บัดนี้เดี๋ยวนี้ได้ทำให้ดวงใจของคนทั้งสองถูกจุดประกายเป็นไฟ และทำให้พวกเขามองเห็น
ในสิ่งที่เขาทั้งสองคนมิอาจเห็นมาก่อน คล้ายกับว่า พวกเขาเห็นเพียงแค่เศษปุ๋ยที่ปกคลุมอยู่บนดิน
ไม่เห็นผลพวงบนต้นไม้ที่จะสามารถผลิดอกออกผลได้จากต้นไม้นั้น ๆ สิริมงคล ความสว่าง ความสง่า
ความงดงามอลังการ ความจริง ดูคล้าย ๆ กับว่าไม่ใช่ของจริง และไม่อาจจะบรรลุได้ แต่เดี๋ยวนี้กลับ
เริ่มมีกลิ่นไอขึ้นมาใหม่ในอากาศ สีสันอันใหม่ในท้องทุ่ง การเดินทางกลับบ้านจึงกลายเป็นสิ่งดี
คำว่าบ้านจึงมีความหมายและดึงดูดใจ เริ่มคิดถึงบ้าน เสียงเรียกของบ้าน เริ่มเรียกพวกเราให้จำต้อง
เดินกลับไป บ้านคือสถานที่ที่มีโต๊ะ โต๊ะที่พวกเรานั่งด้วยกัน โต๊ะที่พวกเรากิน และดื่มร่วมกับเพื่อน ๆ !......
แล้วชายแปลกหน้าคนนั้นล่ะ ? เขาเป็นเพื่อนของพวกเราด้วยหรือเปล่า ? เขาทำให้หัวใจของพวกเรา
ต้องเร่าร้อน เขาเปิดทั้งตาและหูของพวกเรา เขาเป็นผู้ร่วมเดินทางกับพวกเรา บ้านจึงเป็นสถานที่
ที่วิเศษสุดที่เพื่อนจะมาเยี่ยม ดังนั้นเขาทั้งสองจึงกล่าวว่า "นี่ก็เย็นค่ำแล้ว วันนี้ก็จวนจะผ่านพ้นไปแล้ว.....
เชิญมาพักกับพวกเราเถอะ ! " ชายแปลกหน้าไม่ได้ขอให้เชิญ เขาไม่ได้อ้อนวอนเพื่อขอทีพักอาศัย
ในเย็นนั้น แต่ตรงข้าม เขาทำเหมือนว่าต้องการจะเดินทางต่อไป แต่คนทั้งสองคนนั้นรบเร้าเขา
ให้เข้าพักด้วยกัน ในที่สุด คำรบเร้าก็เป็นผล ชายแปลกหน้าจึงพักอยู่กับเขาทั้งสอง เขายอมรับ
คำเชื้อเชิญ และเข้าไปอยู่กับพวกเขา !....
อาจจะเป็นไปได้ที่บ่อยครั้งพวกเราไม่เคยคิดเลยว่า การถวายบูชาขอบพระคุณนั้น เป็นเสมือนการ
เชื้อเชิญพระเยซูคริสต์ให้เข้ามาพักพิงอยู่กับพวกเรา หลายครั้งพวกเรามีแนวโน้มมากกว่าที่คิดว่า
เป็นพระเยซูคริสต์เป็นผู้เชิญพวกเราไปในบ้านของพระองค์ ร่วมโต๊ะร่วมรับประทานกับพระองค์
อย่าลืมว่าพระเยซูคริสต์ต้องการได้รับคำเชื้อเชิญจากพวกเราด้วยเหมือนกัน ปราศจากคำเชื้อเชิญ
จากพวกเรา พระองค์อาจจะเดินทางต่อไปที่อื่น สิ่งสำคัญมากที่พวกเราต้องรับรู้อย่างดี คือ พระเยซูคริสต์
ไม่เคยบังคับให้พวกเราต้องต้อนรับพระองค์ นอกจากว่าพวกเราเชื้อเชิญพระองค์ผู้ซึ่งอยู่ในฐานะคน
แปลกหน้า พระเยซูคริสต์ผู้นี้แหละเป็นคนแปลกหน้าที่ดึงดูดจิตใจ เป็นคนแปลกหน้าที่ชาญฉลาด
ที่พวกเราสนใจและอยากสนทนาพาทีด้วย อย่างไรก็ตามพวกเราก็ยังรู้สึกติดกับคำว่านี่คือ "คนแปลกหน้า ! "....
แม้ว่า พระองค์ได้ถอดถอนความโศกเศร้าเสียใจของพวกเราออกไปมากต่อมากแล้วก็ตาม และยัง
แสดงให้เราเห็นว่าพวกเรามิใช่เป็นแค่เพียงเศษสวะ หรือเป็นแค่เพียงสิ่งน้อยนิดตามที่พวกเราเข้าใจ
และทึกทักเอาเอง.....
พระองค์ยังคงอยู่ด้วยกันกับเราพวกเราเป็นบุคคลที่พวกเราพบบนถนน บุคคลที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ของพวกเรา และยังสนทนากับพวกเรา พระองค์มีบุคคลิกพิเศษที่สนทนากับพวกเราในทุกเรื่อง
ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องเพื่อน เรื่องสังคม รวมทั้งเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ ด้วย......


โปรดติดตาม ตอนที่ ( 19 ) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 29, 2022 9:39 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 19 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์:

การเชื้อเชิญคนแปลกหน้า "ข้าพเจ้าเชื่อ...."

ข้าพเจ้าจำได้ว่าหลายครั้งฝนการพบปะบุคคลที่ทำให้หัวใจข้าพเจ้าเร่าร้อน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้
เชื้อเชิญเขาไปเยี่ยมบ้าน บางครั้งเกิดขึ้นเมื่อข้าพเจ้าเดินทางโดยเครื่องบิน บางครั้งในรถไฟ
บางครั้งในงานสังสรรค์ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ไปคุยให้เพื่อน ๆ ฟังว่า " วันนี้ผมเจอบุคคลที่น่า
สนใจจริง ๆ เขาเล่าหลาย สิ่งหลายอย่างที่น่าประทับทับใจ ผมแทบจะไม่เชื่อเลยในสิ่งที่ผมได้ยิน
ได้ฟัง ยังกับว่าเขารู้จักผม และสนิทสนมดีที่เดียว เขาสามารถอ่านความคิด อ่านใจของผมได้
เขาช่างเป็นบุคคลพิเศษ มีลักษณะเฉพาะ และน่าทึ่งจริง ๆ ผมอยากให้คุณได้พบกับเขาบ้าง
แต่ว่าเขาเดินทางต่อไปเสียแล้ว และผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เขาไปไหน อยู่ที่ไหน .....
ความน่าสนใจ การเร้าใจ การดลจิตดลใจเหล่านี้เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการพบปะคนแปลกหน้า
ในเมื่อข้าพเจ้าไม่ได้เชิญเขาคนนั้นมาบ้าน จึงไม่มีอะไรจริง ๆ ที่เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นจริงอยู่ข้าพเจ้าอาจ
ได้รับความคิดใหม่ ๆ สองสามอย่าง แต่ชีวิตจริงของข้าพเจ้าก็ยังคงเป็นอยู่แบบเดิม ๆ ปราศจากคำ
เชื้อเชิญ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความปรารถนา การสร้างมิตรภาพอันถาวร ข่าวดีของพระเจ้าที่
พวกเราได้ยินได้ฟัง มิอาจจะผลิดอกออกผลได้อย่างสมบูรณ์ คงเป็นแค่ "ข่าวธรรมดา ๆ" ในท่าม
กลางกระแสข่าวหลากหลายชนิดที่กรอกหูพวกเราทุก ๆ วันก็เท่านั้นเอง......
คุณลักษณะอันหนึ่งในสังคมอันฉาบฉวยที่พวกเราจะต้องพบปะบุคคลหลากหลายประเภทนั้น
ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าคงเป็นสิ่งดีถ้าหากคบกันแบบปะหน้าฉาบฉวย โดยไม่จำเป็นต้องสร้างมิตรภาพ
อันลึกซึ้งเพียงแค่ชีวิตพวกเราได้รับคำแนะนำดี ๆ ความคิดที่มีประโยชน์ และทำให้เกิดทัศนะมุมมอง
ที่ดีเลิศก็พอแล้ว ทว่าอย่างลืม ! นั้นเป็นเพียงการเสริมความคิด และทัศนะมุมมองต่าง ๆ เท่านั้น นัยหนึ่ง
อาจทำให้พวกเราหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าต่อคำพูดที่ว่า "การผูกมัดตัวเองและจำต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง "
ในสังคมที่พวกเราเผชิญหน้าอยู่ทุก ๆ วันนั้นจะดกดื่นไปด้วยคำพูดอันเป็นการบอกกล่าวแบบลอย ๆ
การสนทนาหลากหลายหัวข้อ แม้ว่าคำพูดหรือข่าวที่มีความหมายที่สุดที่พวกเราพบและได้ยินได้ฟังก็
อาจจะถูกลดคุณค่าความสำคัญลงไปเหลือเพียงแค่คำที่ว่า "นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจอันหนึ่งที่อยู่ท่ามกลาง
สิ่งที่น่าสนใจอีกหลายสิ่ง หลายอย่าง ! "..
ด้วยคำเชื้อเชิญเท่านั้นแหละ "เชื้อเชิญ ขอเชิญมาพักอยู่กับพวกเราสิ " จะสามารถพัฒนาและแปรสภาพ
จากการพบปะที่ว่าน่าสนใจไปสู่การสร้างมิตรภาพอย่างลึกซึ้งและอย่างถาวร !
จุดหนึ่งในการถวายบูชาขอบพระคุณเพื่อนชีวิตของพวกเราก็คือ ท่าทีของคำเชิญขณะนั้นเป็นเช่นไร ?
การออกปากเชิญคนอื่น ๆ อาจกล่าวออกมาได้หลายลักษณะเช่น "ช่างวิเศษจริงๆ ทีพบปะคุณ ขอบคุณท่าน
มากที่ท่านเข้าใจผม ขอบคุณท่านที่ชี้แนะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและการสนับสนุน หวังว่าการเดินทาง
ต่อของคุณจะเป็นไปด้วยดีนะ สวัสดี !
หรือพวกเราอาจจะกล่าวอีกอย่างว่า "ขณะที่ผมได้ยินได้ฟังคุณพูด หัวใจของผมเริ่มเปลี่ยนแปลง....
ขอเชิญมาบ้านผม มาดูที่ที่ผมอยู่ และที่ที่เจริญชีวิตเป็นอย่างไร " คำเชื้อเชิญที่ว่า " มา " และ "ดู" เป็นคำ
เชื้อเชิญที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแปรเปลี่ยนแตกต่างออกไปจากเดิม.....

โปรดติดตาม ตอนที่ ( 20 )ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 29, 2022 9:42 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 20 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต

การเชื้อเชิญคนแปลกหน้า "ข้าพเจ้าเชื่อ...."

พระเยซูคริสต์เป็นบุคคลที่น่าสนใจจริง ๆ พระวาจาของพระองค์เปี่ยมด้วยปรีชาญาณ การประทับ
ของพระองค์ทำให้รู้สึกอบอุ่น ความใจดี และความละมุนละไม ทำให้สัมผัสได้อย่างลึก ๆ ถ้อยคำของ
พระองค์ท้าทายมาก แต่ว่าพวกเราเชื้อเชิญพระองค์เข้ามาในบ้านของพวกเราบ้างหรือเปล่า ? พวกเรา
ต้องการที่จะเชิญพระองค์เข้ามารับทราบถึงชีวิตหลังกำแพง และความลี้ลับส่วนตัวของพวกเราบ้าง
หรือเปล่า ? พวกเราต้องการแนะนำพระองค์ให้แก่สมาชิกทุกคนที่อาศัยอยู่กับพวกเราบ้างหรือไม่ ?
พวกเราต้องการให้พระองค์เข้ามาเห็นชีวิตประจำวันของพวกเราบ้างหรือเปล่า ? พวกเราต้องการ
ให้พระองค์เข้ามาสัมผัสบาดแผล ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สุดในชีวิตของพวกเรา บ้างหรือไม่ ? พวกเราต้องการ
ให้พระองค์เข้ามาในห้องหลังบ้านของพวกเราอันเป็นห้องที่พวกเราต้องการจะปิดตายลั่นดานประตูบ้าง
หรือไม่ ? พวกเราต้องการจริง ๆ หรือที่จะเชิญพระองค์ให้อยู่กับพวกเราในขณะที่ใกล้เวลาเย็นพลบค่ำ
และวันเวลาล่วงไปมากแล้วบ้างหรือไม่ ?.....
การถวายบูชาขอบพระ คุณจำเป็นต้องมีการเชื้อเชิญ การที่พวกเราได้ยินได้ฟังพระวาจาของ
พระองค์นั้น ต้องทำให้พวกเราสามารถกล่าวได้มากกว่าคำว่า "นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจอันหนึ่ง" พวกเราต้อง
กล้าที่จะพูดว่า "ฉันไว้วางใจในพระองค์ ฉันขอฝากฝังตัวเองไว้กับพระองค์ ทั้งความเป็นอยู่ ร่างกาย
จิตใจ วิญญาณ ฉันไม่ต้องการจะเก็บความลับใด ๆ เอาไว้เลยจากพระองค์ พระองค์สามารถเข้ามาดู
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันกระทำ ฟังทุกสิ่งที่ฉันพูด ฉันไม่ต้องการให้พระองค์กลายเป็นคนแปลกหน้าอีกต่อไป
ฉันต้องการให้พระองค์กลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉัน ฉันต้องการให้พระองค์รับรู้ว่า ไม่เพียงแค่
ฉันเท่านั้นที่กำลังเดินบนถนน และสนทนากับเพื่อนร่วมทางเท่านั้น แต่ฉันได้พบตัวของฉันเอง ฉันต้องการ
จะรู้จักกับพระองค์ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ในฐานะเพื่อนร่วมทางเท้านั้น แต่ในฐานะเพื่อนคู่วิญญาณของฉัน ".......
การพูดคำเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราไม่มีทางจะมอบความไว้วางใจในทุกส่วนของชีวิตพวกเรา
ให้แก่ผู้อื่น พวกเรากลัวมากที่จะเปิดแผล หรือเปิดจุดอ่อนของชีวิตเพื่อมิให้คนอื่นรู้ ยิ่งกว่านั้นพวกเรายัง
ได้ซ่อนส่วนชีวิตจริง ๆ ของพวกเราไว้ในตัวเอง......
ฉันพูดกับตัวเองบ่อย ๆ ว่าแม้ตัวฉันเอง ฉันยังไม่ไว้ใจในตัวเองเลย แล้วประสาอะไรจะไปไว้วางใจคนอื่น
เล่า ? ยิ่งกว่านั้นความปรารถนาลึก ๆ ของฉันคืออยากรัก และอยากถูกรัก สิ่งนี้อาจจะมีทางเป็นไปได้ทางเดียว
เท่านั้นคือ หากฉันเต็มใจที่จะเป็นผู้รับรู้ และขณะเดียวกันก็เป็นผู้ถูกรับรู้ !....


โปรดติดตาม ตอนที่ ( 21 )ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 30, 2022 8:00 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 21 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
……
การเชื้อเชิญคนแปลกหน้า "ข้าพเจ้าเชื่อ...."

พระเยซูคริสต์เผยแสดงตัวพระองค์เองแก่พวกเราในฐานะผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้ซึ่งรู้จักพวกเราอย่างดี
ทุกแง่ทุกมุม และผู้ที่รักพวกเราอย่างเต็มเปี่ยม แต่ว่าพากเราต้องการจริง ๆ หรือไม่ที่จะให้พระองค์
รู้จักพวกเรา ? พวกเราต้องการที่จะอนุญาตให้พระองค์เดินเข้ามาได้อย่างอิสระในหัวใจทุกห้อง
และทุกสัดส่วนในชีวิตของพวกเราหรือไม่ ? พวกเราต้องการให้พระองค์เห็นส่วนที่เลวของชีวิต
เหมือนส่วนที่ดีในชีวิต หรือส่วนที่อยู่ในเงามืดเช่นเดียวกับส่วนที่อยู่ในมุมสว่างหรือไม่ ? หรือว่า
พวกเราพอใจมากกว่าที่จะปล่อยให้พระองค์เดินทางต่อไป โดยปราศจากการเข้ามาพักพิงในบ้าน
ของพวกเรา ? และคำถามสุดท้ายก็คือ พวกเราไว้วางใจพระองค์ และมอบทุกส่วนในชีวิตส่วนตัว
ของพวกเราเองแก่พระองค์หรือไม่ ?.....
หลังจากที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าในบทอ่านต่าง ๆ ฟังเทศน์ พวกเราจะสวด "ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเจ้า
พระบิดา พระบุตร และพระจิต เชื่อถึงพระศาสนจักรคาทอลิก สหพันธ์นักบุญ การยกบาป การกลับคืนชีพ
ของร่างกาย และเชื่อถึงชีวิตนิรันดร " ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องเชื้อเชิญพระเยซูคริสต์เข้ามาในบ้าน
ของพวกเรา และมอบตัวเราทั้งหมดไว้ในหนทางของพระองค์....
ขณะที่พวกเราถวายบูชาขอบพระคุณ และยิ่งกว่านั้นเพื่อการเจริญชีวิตในศิลมหาสนิทอย่างดี
และอย่างมีความหมายในบทข้าพเจ้าเชื่อ (I believe...Credo) นี่แหละจะมีความหมายลึกซึ้งมากกว่า
การเป็นแค่เพียงบทสรุปในหลักคำสอนของพระศาสนจักร ก็ต่อเมื่อการยอมรับ " ความเชื่ออย่างแท้จริง"
คำว่า "ความเชื่อ" นี้มาจากภาษากรีก คำว่า "ปีสตีส - Pistis" หมายถึงการแสดงออกถึงความไว้วางใจ
เป็นการตอบรับ "ครับ/ค่ะ" ต่อผู้ที่อธิบายพระคัมภีร์ให้พวกเราฟัง พระคัมภีร์ที่เป็นพระองค์เอง
การตอบรับ "ครับ/ค่ะ " นี้ไม่ใช่เพียงตอบรับพระวาจาที่พระองค์สนทนาเท่านั้น แต่ตอบรับถึงพระองค์
ในฐานะผู้ตรัสวาจาเหล่านั้นด้วยตัวพระองค์เอง จากการตอบรับเช่นนี้แหละนำพวกเราไปสู่การร่วมโต๊ะ
เสวยในที่สุด ! ถ้าพวกเราสามารถพูดจากใจว่า "ครับ/ค่ะ พระองค์ พวกเราวางใจในพระองค์ และมอบ
ชีวิตทั้งหมดไว้กับพระองค์ " พวกเรากำลังเดินไปไกลโพ้นมากกว่าเป็นเพียงแค่การประทับอยู่ของพระองค์
เสียอีก เพราะพวกเรากล้าเปิดตัวพวกเราเองให้มีสายสัมพันธ์หนึ่งเดียวกับพระองค์....
เพื่อนสองคนที่เดินทางนั้นได้ออกปากเชิญ ขอร้อง เซ้าซี้ต่อชายแปลกหน้าคนนั้นให้พักอยู่กับเขา
"มาเป็นแขกของพากเราเถอะ " ! เข้าไม่ได้เชิญเพียงแค่ลอย ๆ ตามมารยาทเท่านั้น ทั้งสองคนต้องการ
จะเป็นเจ้าภาพรับรองชายแปลกหน้าคนนั้น เขาเชื้อเชิญคนแปลกหน้าให้ละทิ้งความแปลกหน้าของเขา
หันกลับมาเป็นเพื่อนของเขาทั้งสอง นี่แหละคือความหมายอันแท้จริงของคำว่า การเป็นเจ้าภาพรับรอง
เขาทั้งสองได้ให้ที่พักอันปลอดภัย และอบอุ่น ที่ทำให้ชายแปลกหน้าคนนั้นสามารถกลายเป็นเพื่อน !
ที่นั่นมีเพื่อนสองคนและชายแปลกหน้าอีกหนึ่งคน แต่เวลานี้กลายเป็นเพื่อนสนิทสามคน
ที่แบ่งปันร่วมโต๊ะอาหารเดียวกัน.....

โปรดติดตาม ตอนที่ (22) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ค. 01, 2022 5:05 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 22 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์

การเชื้อเชิญคนแปลกหน้า "ข้าพเจ้าเชื่อ...."

คำว่าโต๊ะนี้มีความหมายยิ่งนัก เพราะว่าเป็นสถานที่ที่มีความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนทีเดียว
รอบ ๆ โต๊ะนี่แหละพวกเราพบปะซึ่งกันและกัน เป็นที่ที่พวกเราอธิษฐานภาวนาด้วยกันเป็นที่
ที่พวกเราถามคำถามซึ่งกันและกัน "วันนี้เป็นอย่างไรบ้างสบายดีไหม ?" เป็นที่ที่พวกเรากินและ
ดื่มร่วมกัน พวกเรามักพูดว่า "มาซิ มาทานอาหารด้วยกัน ทานอีกซิ !" โต๊ะเป็นที่ที่พวกเราคุยกัน
สารพัดเรื่องทั้งอดีตและปัจจุบัน ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เป็นที่ที่พวกเรายิ้มแย้ม หัวเราะ ร้องไห้
หลั่งน้ำตา และที่โต๊ะตัวเดียวกันนี้แหละก็เป็นไปได้เหมือนกันอาจจะเป็นที่ที่พวกเรารู้สึกเห็น
ห่างกัน ที่ที่ให้ความรู้สึกอันเจ็บปวด ขมขื่น เป็นที่ที่เด็ก ๆ อาจจะรู้สึกเครียดระหว่างการปะคารม
มีปากเสียงกันของ พ่อ-แม่ เป็นที่ที่พี่ ๆ น้อง ๆ แสดงความรู้สึกโกรธฉุนเฉียว และอิจฉาริษยา
นินทาว่าร้ายต่อกัน และที่โต๊ะตัวเดียวอีกนั่นแหละมีทั้งมิตรภาพ ความรัก สนิทชิดขอบ ความสัมพันธ์
หรือความเกลียด และการแตกแยก ที่โต๊ะนี่แหละเป็นสถานที่ที่มีความสัมพันธ์ละเอียดอ่อน ถ้าหาก
ว่าที่ตรงนั้นขาดความเป็นมิตรก็จะกลายเป็นที่ที่มีความทรมาน และเจ็บปวดอย่างที่สุด !....
ในค่ำวันนั้นก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระเยซูคริสต์ร่วมเสวย ณ ที่โต๊ะเดียวกันกับบรรดา
ศิษย์ของพระองค์ ณ ที่นั่นพระองค์ได้เผยแสดงให้เห็นชีวิตทั้งสองแง่สองมุม คือ ความสนิทสัมพันธ์
และ ความห่างเหินต่อกัน พระองค์แบ่งขนมปัง และถ้วยเหล้าองุ่น อันเป็นเครื่องหมายแห่งมิตรภาพ
แต่ขณะเดียวกันพระองค์ตรัสเช่นกันว่า "ดูดี ๆ ที่นี่โต๊ะตัวนี้ อันเป็นน้ำมือมนุษย์นี่แหละ มีผู้ทรยศ
ต่อเราร่วมกินอาหารอยู่ด้วย ".....
พวกเราทุกคนมีจุดบอด และ จุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้นโดยเฉพาะเมื่อพวกเราต้องนอน ต้องกินด้วยกัน
ทั้งเตียงและโต๊ะล้วนเป็นสถานที่ที่มีความสัมพันธ์ และละเอียดอ่อนขณะเดียวกัน ณ ที่ทั้งสองนั่นก็เป็นที่
ที่ต้องทรมานใจอย่างที่สุด โต๊ะอาจจะสำคัญกว่าหมดเพราะเป็นที่ที่ของสมาชิกทุกคนในบ้าน เป็นที่
ที่สมาชิกทุกคนมาชุมนุมกัน เป็นที่ที่ของครอบครัว มิตรภาพ การเป็นเจ้าภาพรับรองแขก การเป็น
บุคคลที่มีจิตใจกว้างขวางเผื่อแผ่ ก็อาจจะแสดงออกได้อย่างแท้จริงก็ที่โต๊ะนี่แหละ !
พระเยซูคริสต์ตอบรับคำเชิญและเข้าไปในบ้านของเพื่อนผู้ร่วมเดินทาง และพระองค์ได้นั่งที่โต๊ะ
ตัวเดียวกับพวกเขา พวกเขาจัดให้พระองค์นั่งในที่ที่มีเกียรติประทับนั่ง ณ ศูนย์กลาง เขาสองคนนั่ง
อยู่ทั้งสองข้างของพระองค์ พวกเขามองพระองค์ และ พระองค์ก็มองพวกเขา ที่นั่นมีความสนิทสัมพันธ์
มีมิตรภาพ และมีความเป็นหนึ่งเดียว และแล้วบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่ได้บังเกิดขึ้น นั่นคือ พระเยซูคริสต์
ผู้ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นแขกของสาวกทั้งสอง พระองค์กลับกลายเป็นเจ้าภาพให้พวกเขาเสียเอง พระองค์
เชื้อเชิญเขาทั้งสองให้เข้าร่วม สายสัมพันธ์หนึ่งเดียวกับพระองค์......


โปรดติดตาม ตอนที่ ( 23 )ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 04, 2022 2:47 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 23 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์

การเข้าสู่สายสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน " จงรับ และ กิน "

เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จเข้าไปในบ้านของพวกศิษย์ทั้งสอง ขณะที่พระองค์อยู่กับเขาที่โต๊ะตัวนั้น
พระองค์หยิบขนมปังกล่าวถวายพระพร หักขนมปังนั้น และยื่นให้แก่เขาทั้งสอง ช่างเรียบง่าย
ธรรมดาแต่ว่านั่นมีอะไรที่แตกต่างออกไป พวกเราควรทำอะไรอีกเล่าเมื่อพวกเราแบ่งขนมปัง
หรืออาหารให้เพื่อน ๆ ของพวกเรา ? พวกเราหยิบอาหารขึ้นมากล่าวขอบคุณ ถวายพร หักออก
แล้วยื่นให้ ขนมปังที่พวกเรามีอยู่นี่แหละ ถูกหยิบขึ้น ถวายพร ขอออก และยื่นให้ ไม่มีอะไรใหม่
ไม่มีอะไรที่ต้องแปลกใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน เพราะนั่นเป็นสิ่งจำเป็นแก่การเจริญชีวิต พวกเรา
ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าหากพวกเรา ไม่หยิบขนมปังนั้น ไม่ถวายพร ไม่บิออก และไม่มอบให้แก่กัน
และปราศจากขนมปังก้อนนั้น แน่นอนก็ไม่มีโต๊ะแห่งมิตรภาพ ไม่มีสายใยแห่งเพื่อน ไม่มีความรัก
ยิ่งกว่านั้นขนมปังนี้แหละสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับกลายเป็นสภาพบรรยากาศใหม่ !....
อาจเป็นไปได้ที่พวกเราลืมคิดไปว่า การถวายบูชาขอบพระคุณนั้นเป็นรูปแบบศาสนกิจของมนุษย์
ที่เรียบง่ายที่สุด อาภรณ์ เทียนไข ผู้ช่วยจารีตพิธีกรรมรอบข้างพระแท่น หนังสือ กางเขน พระแท่น
บทเพลง สัตบุรุษ ทุกอย่างเรียบง่ายเป็นแบบธรรมดา ๆ และชัดเจนจริงอยู่หลายครั้งพวกเราต้องการ
หนังสือคู่มือเพื่อติดตามขั้นตอนพิธีกรรม และเพื่อเข้าใจความหมาย แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีความหมาย
แตกต่างไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางเพื่อนทั้งสามคนนั้น มีขนมปัง เหล้าองุ่น
อยู่บนโต๊ะ ขนมปังถูกหยิบ ถวายพระพร หักออก และถูกยื่นให้ เพียงแต่ทว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นในบรรยากาศ
คนละโต๊ะเท่านั้นเอง แต่ที่สำคัญคือจะต้องเป็นเครื่องบ่งบอกว่าโต๊ะนั้นจะกลับกลายเป็นโต๊ะแห่ง
สันติสุขและความรัก....
ณ ที่โต๊ะของพวกเรา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง และถ้วยเหล้าองุ่น ยื่นให้แก่พวกเราตรัสว่า
"รับเอานี่ไปกิน นี่คือกายของเรา รับเอาถ้วยนี้ไปดื่ม นี่คือโลหิตของเรา จงกระทำสิ่งนี้เพื่อระลึกถึง
เราเถิด " พวกเราไม่แปลกใจถึงการกระทำเช่นนี้ดอกหรือ ? พวกเราไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนเลยดอกหรือ
ที่พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ถวายพระพร หักปังออกและยื่นให้กับพวกเรา ? พระองค์ได้ทรงทำสิ่งนี้
มาแล้วต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากมายที่เข้ามาล้อมรอบฟังพระวาจาของพระองค์ เป็นเวลานานหลาย
ต่อหลายชั่วโมง พระองค์ทำสิ่งนี้ ณ ห้องชั้นบน ต่อหน้าต่อตายูดาส ผู้ได้ขายและมอบพระองค์ไปรับ
ทนทุกข์ทรมาน และพระองค์ก็ยังคงกระทำสิ่งนี้นับไม่ถ้วน....

โปรดติดตาม ตอนที่ (24) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 04, 2022 2:51 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ (24 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์

การเข้าสู่สายสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน " จงรับ และ กิน "

การถวายบูชาขอบพระคุณส่วนใหญ่นั้นมักจะเรียบง่าย และพวกเราก็คงจะจินตนาการถึง
รูปแบบ อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าได้เช่นกัน นี่คือความจริงแห่งพระเยซูคริสต์ ทั้งที่เป็นมนุษย์
ธรรมดา ๆ ขณะที่พระองค์เป็นพระเจ้าด้วย พระองค์เป็นผู้ที่สนิทสนม คุ้นเคยแบบเรียบง่าย
ขณะเดียวกันก็ทรงเป็นธรรมล้ำลึกแลดูเหมือนว่าพระองค์ซ่อนตัว ในเวลาเดียวกันก็เผยแสดง
พระองค์เอง นี่แหละคือเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นอยู่ในฐานะพระเจ้า แต่มิได้ทรง
ถือว่าการเท่าเทียมพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่กลับสละองค์ ทำพระองค์เองให้ว่างเปล่า
รับสภาพเหมือนกับทาส ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ดุจชาวเรา และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพ
มนุษย์แล้ว ยังทรงถ่อมองค์ยิ่งกว่านั้นอีก ยอมเชื่อฟังแม้กระทั่งความตายบนไม้กางเขน นี่คือ
เรื่องราวของพระเจ้าผู้ต้องการมาอยู่ใกล้ชิดมนุษย์ ความใกล้ชิดนี้พวกเราจึงสามารถมองเห็น
พระองค์ด้วยตาของพวกเราเอง ได้ยินด้วยหูของพวกเราเอง ได้สัมผัสพระองค์ด้วยมือของพวก
เราเอง ความใกล้ชิดนี้จึงไม่มีลับลมคมในระหว่างพวกเรากับพระองค์ ไม่มีการแบ่งแยก
ไม่มีการแตกเหล่าแตกกอ และแตกชั้นวรรณะ ไม่มีช่องว่างแห่งความเหินห่างจากกันและกัน ! .....
พระเยซูคริสต์ คือ พระเจ้า เพื่อพวกเรา พระเจ้าผู้อยู่กับพวกเรา อยู่ภายในตัวพวกเรา
พระเยซูคริสต์ คือ พระเจ้าที่มอบพระองค์เองทั้งครบ ทุ่มเทพระองค์ให้พวกเราจนหมดสิ้น ไม่ได้
เก็บส่วนไหนเอาไว้เลย พระองค์มิได้ทรงหวงแหนตัวพระองค์เอง แต่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีแก่พวกเรา
" จงกิน ดื่ม นี่คือกายของฉันเอง นี่คือโลหิตของฉันเอง.... นี่คือตัวฉันเองเพื่อพวกท่าน !!! " .......
พวกเราทุกคนรู้ดีถึงความปรารถนาที่จะมอบตัวเอง ณ ที่โต๊ะนั้น ! พวกเรามักพูดว่า " ทานซิ
ดื่มซิ ฉันทำสิ่งนี้เพื่อคุณทานอีกซิ ! ยังมีอาหารอีกมากมายจัดเตรียมไว้สำหรับคุณ ทานให้อร่อย
คุณจะได้มีเรี่ยวแรง คุณรู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันรักคุณมากขนาดไหน" สิ่งที่พวกเราปรารถนานั้นไม่ใช่เพียง
แค่ให้อาหารเท่านั้น แต่ให้ตัวพวกเราเอง พวกเรามักพูดว่า "มาเป็นแขกของฉันซิ" ขณะที่พวกเรา
ให้กำลังใจเพื่อน ๆ ของพวกเราที่รับประทานอาหารที่โต๊ะอาหารของพวกเรา จริง ๆ แล้วพวกเรา
ต้องการจะบอกพวกเขาว่า เป็นเพื่อนของฉันนะ เป็นคู่คิดของฉันนะ เป็นคนรักของฉันนะ เป็นหุ้น
ส่วนในชีวิตฉันนะ เป็นคนรักของฉันนะ เพราะฉันเองต้องการมอบชีวิตตัวของฉันเองให้กับคุณ " .....
ในการถวายบูชาพระคุณและศิลมหาสนิท พระเยซูคริสต์มอบตัวพระองค์เองให้จนหมดสิ้น !
ขนมปังมิใช่เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ธรรมดา ๆ แห่งความปรารถนาของพระองค์ที่กลับกลายเป็น
อาหารของพวกเรา และถ้วยองุ่นนั้นก็ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์เรียบ ๆ แห่งความเต็มอกเต็มใจของ
พระองค์ที่จะเป็น เครื่องดื่มของพวกเรา ทั้งขนมปัง และเหล้าองุ่นนั้น กลายเป็นพระกาย พระโลหิต
ที่ถูกมอบให้แก่พวกเรา ลึกลงไปยิ่งกว่านั้น ขนมปังคือพระกายของพระองค์ที่ถูกส่งให้แก่พวกเรา
เพื่อพวกเรา.....


โปรดติดตาม ตอนที่ ( 25 ) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 04, 2022 3:10 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ (25 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์

การเข้าสู่สายสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน " จงรับ และ กิน "

ส่วนเหล้าองุ่น คือ พระโลหิตของพระองค์ซึ่งถูกหลั่งออกมาเพื่อเรา พระเจ้าเสด็จมาประทับ
อยู่กับพวกเราอย่างสมบูรณ์ครบครันในองค์พระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เสด็จมาอยู่กับพวกเรา
อย่างสมบูรณ์ในขนมปัง และเหล้าองุ่นในการถวายบูชาขอบพระคุณและศิลมหาสนิท พระเจ้า
มิใช่เพียงแค่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่มีเนื้อหนังมังสาเพื่อพวกเราเมื่อหลายปีก่อน หรือในศตวรรษ
ที่แล้ว ๆ มาเท่านั้น แต่เป็นพระเจ้าองค์นี้แหละที่กลายเป็นอาหารและเครื่องดื่มสำหรับพวกเรา
ณ เวลานี้ ขณะที่พวกเราถวาย หรือร่วมการบูชาขอบพระคุณ ณ ที่ซึ่งพวกเราชุมนุมพร้อมกัน
รอบ ๆ โต๊ะหรือพระแท่น พระเจ้ามิได้ทรงหวงแหน หรือสงวนพระองค์ไว้เลย แต่พระเจ้าที่ให้
ทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือธรรมล้ำลึกแห่งการบังเกิดมาเช่นเดียวกัน นี่คือธรรมล้ำลึกแห่งบูชาขอบ
พระคุณและศิลมหาสนิท การรับเอากายบังเกิดเป็นมนุษย์ ในการถวายบูชาขอบพระคุณ
ศืลมหาสนิท เป็นการแสดงถึงลักษณะสองประการที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุดเกี่ยวกับการมอบ
ความรักและมอบตัวเองของพระเจ้า การพลีบูชาบนกางเขน กับการพลีบูชาบนพระแท่น เป็น
บูชาอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ การมอบตนเองเยี่ยงพระเจ้ามาสู่มวลมนุษย์ที่จำกัดอยู่
ในเวลาและสถานที่ !....
คำคำหนึ่งที่อาจจะบรรยายถึงธรรมล้ำลึกแห่งการมอบความรักของตนทั้งครบของพระเจ้านั้น
ดูเหมือนว่าคำทีเหมาะคือ "ชิดสนิทสัมพันธ์หนึ่งเดียว" (มหาสนิท) เป็นคำที่ประกอบด้วยความจริง
ที่ว่า ในพระเยซูคริสต์และผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้ามิใช่เพียงแค่ต้องการสอนพวกเรา ชี้ทาง
พวกเรา หรือ ดลใจพวกเราเท่านั้น แต่ต้องการจะใกล้ชิดสนิทแนบแน่น เป็นหนึ่งเดียวกับพวกเรา
พระเจ้าปรารถนาที่จะถูกรวมเข้าให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์กับพวกเรา ดังนั้น ทุกสิ่งในพระเจ้า
และทุกอย่างของมนุษย์สามารถถูกเชื่อมสัมพันธ์เข้าด้วยกันในความรักนิรันดร ประวัติศาสตร์อัน
ยาวนานและทั้งครบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมวลมนุษย์ เป็นประวัติศาสตร์แห่งความ
สัมพันธ์แบบลึกซึ้งแนบแน่น ไม่ใช่เป็นประวัติศาสตร์ธรรมดาที่กล่าวถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือ
การแยกจากกัน และการกลับเข้ามาร่วมกันใหม่ในลักษณะนี้ เป็นประวัติศาสตร์ซึ่งพระเจ้าเสาะหา
หนทางใหม่ ๆ ที่จะสร้างสายสัมพันธ์กลมกลืนของสรรพสิ่งสรรพสัตว์ที่ถูกสร้างไว้ในภาพลักษณ์ของ
พระเจ้าเอง....
ดูเหมือนกับว่าพระองค์กำลังร้องขอต่อพวกเราว่า "จนกระทั่งพวกเราอาจพำนักในเจ้า ผู้เป็นสิ่ง
สร้างสุดรัก" จากอาดัม-เอวา มาถึงอับราฮัม-ซาราห์ จากอับราฮัมและซาราห์มาถึงกษัตริย์ดาวิดและ
เบธเซบา มาถึงพระเยซูคริสต์ และต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน "เราสร้างเจ้า เราให้ความรักทั้งหมด
ของเราแก่เจ้า เรานำทางเจ้า เราสัญญากับเจ้าว่าความปรารถนาทั้งสิ้นของเจ้าจะบรรลุผลสำเร็จ
แต่เวลานี้เจ้าอยู่ไหน ? ความรักของเจ้าอยู่ที่ไหน ? เราจะต้องทำอะไรอีกเล่า เพื่อที่เจ้าจะรักเรา ?
เราไม่มีทางเลิกลาความตั้งใจ เราจะพยายามต่อ ๆ ไปวันหนึ่งเจ้าจะพบว่า
เรารอคอยความรักของเจ้าอย่างไร ! " ......


โปรดติดตาม ตอนที่ ( 26 )ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 07, 2022 7:45 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 26 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต:

การเข้าสู่สายสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน " จงรับ และ กิน "

พระเจ้าปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างความชิดสนิทสัมพันธ์ การมีเอกภาพอย่างมีชีวิตชีวา
ความชิดสนิทสัมพันธ์นี้ จำต้องมาจากทั้งสองฝ่าย ความผูกพันธ์กันจึงจะสมบูรณ์อย่างแท้จริง
ไม่มีอะไรเลยทีเป็นการบีบบังคับ หรือจำใจ แต่ความชิดสนิทสัมพันธ์นี้เป็นการมอบให้ และ
การน้อมรับอย่างอิสระ พระเจ้ายอมเป็นกุมารน้อย ๆ เพื่อให้อยู่ในอุ้งมือมนุษย์ จะได้รับการดูแล
เอาใจใส่ เป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ต้องการคำแนะนำ เป็นครูคนหนึ่งเพื่อแสวงหาเด็กนักเรียนหรือ
ลูกศิษย์เป็นประกาศกคนหนึ่ง ที่ประกาศหนทางแก่ผู้ใคร่ติดตาม และที่สุด ยอมเป็นมนุษย์ที่ตายได้
ถูกแทงที่สีข้างด้วยหอกของทหารคนหนึ่ง ถูกนำไปฝังไว้ในอุโมงค์คูหา และที่สุดท้ายของเรื่องราว
ชีวิต พระองค์ก็ยังคงยืนอยู่ที่นั่น กำลังมองดูพวกเรา และเฝ้าถามด้วยสายตาอ่อนละมุนเพื่อคาดหวัง
คำตอบ "เจ้ารักเราไหม ? " และถามอีกครั้งที่สอง "เจ้ารักเราไหม ?" และยังคงถามอีกเป็นครั้งที่สาม
"เจ้ารักเราจริงหรือ ?"...
ด้วยเหตุนี้พระเยซูคริสต์ทรงหยิบขนมปังกล่าวขอบคุณ ถวายพร หักออก และยื่นให้แก่พวกเรา
ดังนั้นในขณะที่พวกเราเห็นแผ่นปังอยู่ในมือ นำเข้าปาก และกินเข้าไป ใช่แล้ว ! ดวงตาของพวกเรา
ถูกเปิดออก และพวกเราจำพระองค์ได้ !
ศีลมหาสนิท คือ การจำได้-การนึกขึ้นมาได้ การแสดงความขอบคุณ นั่นคือ การรับรู้อย่างเปี่ยมจิต
เปี่ยมไจถึงบุคคลหนึ่ง ซึ่งหยิบขนมปัง ถวายพร ขอบคุณ หัก และยื่นให้ เป็นพระเจ้าผู้ซึ่งปรารถนาที่จะ
เข้ามาสู่ความชิดสนิทสัมพันธ์กับพวกเราตั้งแต่เริ่มแรกแห่งกาลเวลา ความชิดสนิทสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง
(มหาสนิท) คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ และสิ่งที่พวกเราต้องการเช่นเดียวกัน เป็นเสียงรํ่าร้องอย่างลึกซึ้ง
ที่สุด ทั้งของพระเจ้า และจากหัวใจของพวกเรา เพราะว่าพวกเราถูกสร้างมาให้เป็นบุคคลที่มีหัวใจ
และหัวใจนี้จะถูกทำให้อิ่ม พออกพอใจก็โดยผู้ที่สรรสร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง พระเจ้าเป็นผู้สร้างหัวใจ
ของพวกเรา โดยทำให้พวกเราร้องหาความชิดสนิทสัมพันธ์ และไม่มีใครจะเติมใจให้เต็มได้ นอกจาก
พระเจ้าผู้เดียวที่สามารถทำได้ และพระองค์ก็ต้องการเช่นนั้น พระองค์จะเป็นผู้กระทำให้สำเร็จไป
พระเจ้าทรงรับรู้สิ่งนี้อย่างดี นาน ๆ ที่พวกเราจึงคิดและทำสิ่งนี้สักทีหนึ่ง พวกเรามัวแต่ไปแสวงหา
ประสบการณ์ที่เป็นของที่อื่น ๆ เพื่อเติมใจพวกเราให้อิ่ม พวกเราชมชอบความงดงามในธรรมชาติ
ชอบอ่านประวัติศาสตร์ที่น่าตื่นเต้น ชอบคุยกับบุคคลที่ดึงดูดใจ แต่ว่า จากการหักปังที่เรียบง่ายแสน
ธรรมดา ไม่ตื่นเต้นดูเหมือนว่าที่นั่นไม่ใช่สถานที่ ที่จะพบความชิดสนิทสัมพันธ์ที่พวกเราเรียกร้องและ
ใฝ่ฝัน ยิ่งกว่านั้นขณะที่พวกเราโศกเศร้าในความสูญเสียสิ่งสารพัดของพวกเรา ขณะที่พวกเราฟัง
พระองค์บนถนน และเชิญพระองค์เข้ามาในส่วนลึกที่พวกเรามีความเป็นอยู่ พวกเราควรรู้ดี ๆ ว่า
ความชิดสนิทสัมพันธ์ที่พวกเรากำลังเฝ้ารอรับนั้น เป็นความชิดสนิทสัมพันธ์อันเดียวกันกับที่
พระองค์กำลังเฝ้ารอจะมอบให้.......


โปรดติดตาม ตอนที่ ( 27 ) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 07, 2022 7:51 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 27 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต

การเข้าสู่สายสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน " จงรับ และ กิน "

ยังมีประโยคหนึ่งในเรื่องราวของศิษย์สองคนแห่งตำบลเอมมาอูส ที่นำพวกเราให้เข้า
ในธรรมล้ำลึกแห่งความชิดสนิทสัมพันธ์ นั้นคือประโยคที่ว่าง "...พวกเขาจำพระองค์ได้แต่อนิจจา...
พระองค์ได้อันตรธานไปจากสายตาของพวกเขา " ขณะที่เพื่อนสองคนจำพระองค์ได้ในการหัก
ขนมปัง จากนั้นพระองค์ก็หายตัวไป ไม่ได้อยู่กับพวกเขาที่นั่นอีก ขณะที่ขนมปังถูกมอบให้พวกเขา
พวกเขาได้กินเข้าไป พวกเขามองไม่เห็นพระองค์นั่งกับพวกเขาที่โต๊ะนั้น เมื่อพวกเขากิน !
พระองค์กลับกลายเป็นผู้ที่มิอาจแลเห็นได้ ขณะที่เขาทั้งสองเข้าไปสู่ส่วนลึกที่สุดแห่งความชิด
สนิทสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าอีกต่อไปสำหรับพวกเขา แต่กลาย
เป็นเพื่อนสนิท หรือพูดอีกนัยหนึ่งอย่างชัดเจนลองไปอีกคือ ในเมื่อพระองค์สามารถปรากฏมา
ให้พวกเราเห็นอย่างชัด ๆ ได้ พระองค์ก็ สามารถซ่อนพระองค์อย่างแนบเนียนได้เช่นเดียวกัน....
ณ จุดนี้เอง พวกเราสัมผัสกับแง่มุมหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งการถวายบูชาขอบพระคุณและ
ศีลมหาสนิท ความสนิทสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับพระเยซูคริสต์นี้ เป็นธรรมล้ำลึกแห่งความสนิท
สัมพันธ์ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่พระองค์ไม่ปรากฏองค์แก่ศิษย์สองคนที่กำลังเดินบนถนนสู่ตำบล
เอมมาอูสได้ฟังพระองค์อยู่หลายชั่วโมง เดินกับพระองค์จากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่หมู่บ้านหนึ่ง ช่วย
เสริมเติมในการเทศน์สอนคัมภีร์ ทั้งพักผ่อนและทานอาหารร่วมกับพระองค์ ตลอดปีที่ผ่าน ๆ มา
พระองค์กลายเป็นอาจารย์ของพวกเขา เป็นผู้ให้คำแนะนำแก่พวกเขา เป็นนายของพวกเขา ดังนั้น
ความหวังในชีวิตทั้งหมดของพวกเขาเพื่อชีวิตใหม่ อนาคตอันแจ่มใสถูกวางไว้ในพระองค์แต่เพียง
ผู้เดียว ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักพระองค์อย่างดีมาก่อน หรือเข้าใจคำสอนของพระองค์อย่างกทะลุ
ปรุโปร่ง หลายครั้งที่พระเยซูคริสต์ตรัสกับพวกเขา "เวลานี้พวกท่านยังไม่เข้าใจ แต่พวกท่านจะเข้าใจ
ในภายหลัง " ศิษย์ทั้งสองนั้นไม่รู้และไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเวลานั้นพระองค์กำลังพยายามบอกอะไร
แก่พวกเขา พวกเขาคิดเพียงแค่ว่าพวกเขารู้สึกชิดสนิทกับพระองค์มากกว่าบุคคลอื่น ๆ ที่พวกเขาเคย
พบมา ยิ่งกว่านั้นพระองค์กล่าวต่อไปแก่พวกเขาว่า " เราบอกแก่ท่านในเวลานี้.... หลังจากนั้น เมื่อเรา
ไม่ได้อยู่กับท่านอีกต่อไป เวลานั้นท่านจะจำได้และเข้าใจ " ครั้งหนึ่งพระองค์เคยตรัสว่า เป็นสิ่งดี
สำหรับพระองค์ที่ต้องไป เพื่อว่าพระจิตของพระองค์จะเสด็จมานำพวกเขาให้กลับไปสู่ความชิดสนิท
สัมพันธ์กับพระองค์อย่างเปี่ยมบริบูรณ์ พระจิตจะเป็นผู้เปิดดวงตาของพวกเขา ทำให้พวกเขาเข้าใจ
อย่างลึกซึ้งว่าพระองค์คือใคร และทำไมจึงเสด็จมาอยู่กับพวกเขา....
ขณะที่เขากินขนมปังที่พระองค์หยิบยื่นให้ ชีวิตของเขาถูกเปลี่ยนรูปแปลงโฉมกลับกลาย เป็นชีวิต
ของพระองค์ ไม่ใช่เป็นพวกเขาที่เจริญชีวิตอีกต่อไป แต่เป็นพระเยซูคริสต์ ผู้เจริญชีวิตในตัวพวกเขา
ตรงนี้แหละเป็นจุดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งความชิดสนิทสัมพันธ์........


โปรดติดตาม ตอนที่ ( 28 ) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 07, 2022 7:57 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 28 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์

การเข้าสู่สายสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน " จงรับ และ กิน "

นี่แหละคือความหมายชีวิตชิดสนิทสัมพันธ์ สิ่งที่พวกเราร่วมกันถวายบูชาขอบพระคุณ และนี่คือ
รูปแบบการเจริญชีวิตขณะที่พวกเราเจริญชีวิตแห่งศีลมหาสนิท เป็นการเข้าสู่ความสนิทสัมพันธ์ที่
ลึกซึ้งที่ศักดิ์สิทธิ์แสนศักดิ์สิทธิ์ เป็นสภาพจิตที่ความรู้สึกของร่างกายพวกเราที่เปื่อยเน่าได้ ไม่มี
ทางจะได้ลิ้มรสสัมผัส พวกเราไม่อาจจะเห็นพระองค์ด้วยดวงตาของพวกเราที่สลายได้อีกต่อไป
ไม่อาจได้ยินพระองค์ด้วยหูที่เปื่อยเน่าได้ ไม่อาจสัมผัสพระองค์ด้วยร่างกายของเราที่เสื่อมสลายได้
พระองค์เข้ามาสู่ตัวพวกเรา เข้าไปพำนักในแก่นลึกของชีวิตภายในอันเป็นที่ที่อำนาจแห่งความมืด
และความชั่วร้ายมิอาจจะเข้าไปถึงได้ เป็นที่ซึ่งความตายมิอาจจะเข้ามากลํ้ากลายได้เลย.....
ขณะที่พระองค์มาหาพวกเรา พระองค์วางขนมปัง บนมือของพวกเรา นำถ้วยองุ่นมา ณ ริมฝีปาก
ของพวกเรา พระเยซูคริสต์ขอร้องให้พวกเราช่วยกันสร้างมิตรภาพในลักษณะง่าย ๆ ง่ายยิ่งกว่า
มิตรภาพที่พวกเราอยู่กับพระองค์....
เมื่อพวกเรารับพระกาย และดื่มพระโลหิตของพระองค์ พวกเรายอมรับสภาพความเหงา
ว้าเหว่ เปล่าเปลี่ยว แม้อาจจะรู้สึกว่า ณ โต๊ะตัวนั้น หรือพระแท่นนั้น ไม่มีพระองค์อีกต่อไปในฐานะที่
พระองค์ เป็นผู้ปลอบใจ และอยู่ร่วมวงสนทนาช่วยบรรเทาใจ ในความสูญเสียสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต
ประจำวัน เป็นความเหงา ความเปล่าเปลี่ยวทางชีวิตฝ่ายจิต ในการรับรู้ว่าพระองค์อยู่ใกล้ชิด
กับพวกเรา มากยิ่ง กว่าตัวพวกเราสามารถอยู่กับตัวของพวกเราเองเสียด้วยซํ้า ความเหงาที่ว่า
มานี้เป็นความเหงาในความเชื่อ !....
พวกเราคงจะภาวนารํ่าร้องต่อไปว่า " พระเจ้า ทรงเมตตาเทอญ " พวกเราคงฟังพระวาจาของ
พระเจ้าต่อ ๆ ไปพร้อมกับความหมาย พวกเราคงสวดและภาวนาต่อไป " ข้าพเจ้า เชื่อถึงพระเจ้า....
" แต่ที่สุด ความชิดสนิทสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับพระองค์นั้นจะต้องดำเนินไปให้ไกลโพ้นเหนือสิ่งอื่น ๆ
เหล่านั้น ซึ่งนำพวกเราไปสู่สถานที่ ที่มีแสงสว่าง......
อันดวงตามนุษย์ไม่อาจจะมองเห็นได้ เป็นที่ ที่ ความเป็นอยู่ทั้งครบของพวกเราถูกห่อหุ้มเอาไว้
ซึ่งมีเคยพบเห็นมาก่อนเป็นที่ที่มีความชิดสนิทสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์ จนทำให้พวกเราร้องออกมาว่า
" พระเจ้าข้า พระเจ้าของข้าพเจ้า เหตุใดพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า ?....
ความชิดสนิทสัมพันธ์ กับพระเยซูคริสต์หมายถึงการกลับกลายเป็นเหมือนพระองค์ พร้อมกับ
พระองค์ พวกเราถูกตอกตรึงบนไม้กางเขน พร้อมกับพระองค์ พวกเราถูกฝังวางไว้ในคูหาอุโมงค์
พร้อมกับพระองค์ พวกเรากลับฟื้นคืนชีพเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกับผู้ที่สูญเสียความหวัง
บนถนนสายนั้น.....


โปรดติดตาม ตอนที่ ( 29 ) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ค. 09, 2022 4:35 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 29 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์

การเข้าสู่สายสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน " จงรับ และ กิน "

ความชิดสนิทสัมพันธ์อันนี้เสริมสร้างชีวิตกลุ่มในหมู่คณะพระเยซูคริสต์เจ้าเจริญชีวิต
ในพวกเขา นำเขาทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันในหนทางใหม่ พระจิตแห่งพระเยซูคริสต์ผู้กลับคืน
พระชนม์ชีพ ได้เข้ามาสู่พวกเขาโดยการกินขนมปัง และดื่มถ้วยเหล้าองุ่นไม่เพียงแต่ทำให้
พวกเขาจำ พระเยซูคริสต์ เป็นพระองค์เองได้เท่านั้น แต่เขาทั้งสองจำซึ่งกันเเละกันได้
ในฐานะที่เป็นสมาชิกในกลุ่ม ในหมู่คณะใหม่ที่มีความเชื่อเดียวกัน ความสนิทสัมพันธ์นี้ทำให้
เขาทั้งสองมองหน้าซึ่งกันและกัน สนทนาต่อกันและกัน ไม่ใช่เพียงข่าวคราวล่าสุดที่พวกเขาได้รับ
แต่เกี่ยวกับพระองค์ผู้ซึ่งร่วมเดินทางกับพวกเขาบนถนน พวกเขาได้พบความเป็นบุคคล เป็นตัว
ของตัวเอง และเป็นเจ้าของกันและกัน แม้พวกเขาอยู่โดดเดี่ยว เพราะพระองค์ไม่ปรากฏองค์ใน
สายตาของพวกเขา แต่พวกเขาอยู่ร่วมกันเพราะว่า แต่ละคนในพวกเราอยู่ในความชิดสนิทสัมพันธ์
กับพระองค์ ดังนั้น พวกเขาจึงกลายเป็นร่างกายเดียวกันโดยอาศัยพระองค์.....
พวกเรารับพระกายของพระองค์ และ ดื่มโลหิตของพระองค์ เป็นกิจกรรมที่พวกเรากำลังกระทำ
คือ พวกเราทุกคนรับปังก้อนเดียวกัน และดื่มถ้วยเดียวกัน ดังนั้น พวกเราจึงเป็นร่างกายเดียวกัน
ความสนิทสัมพันธ์เสริมสร้างชีวิตกลุ่ม และ หมู่คณะ เพราะว่าพระเจ้าผู้ทรงชีวิตอยู่ในพวกเรา ทำให้
พวกเราจำพระองค์ได้ในเพื่อนมนุษย์ เพื่อนพี่น้องของพวกเรา พวกเราไม่อาจเห็นพระเจ้าในผู้อื่น
นอกจากว่าพระเจ้าอยู่ในตัวพวกเรา เพื่อจะสามารถเห็นพระองค์ในผู้อื่น นี่แหละสิ่งที่พวกเราหมายถึง
ขณะที่พวกเรากล่าวว่า " จิตพูดกับจิต ใจพูดกับใจ " การที่พวกเรามีส่วนร่วมชีวิตอย่างลึกซึ้งในพระเจ้า
จะนำพวกเราไปสู่หนทางใหม่ หนทางแห่งการมีส่วนร่วมชีวิตในหมู่คณะของพวกเราแต่ละบุคคล......
ความรู้สึกเช่นนี้ดูเหมือนว่าไม่จริง แต่เมื่อพวกเราเริ่มเจริญชีวิต นั่นจะกลายเป็นความจริงยิ่งกว่า
ความเป็นจริงใด ๆ ในโลกนี้ นักบุญเปาโลกล่าวว่า " ถ้วยแห่งพระพรซึ่งพวกเราได้ขอพระพรนั้น เป็นสิ่ง
ที่ทำให้พวกเรามีส่วนร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์มิใช่หรือ ? ขนมปังซึ่งพวกเราหักนั้นทำให้พวกเรา
มีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสต์มิใช่หรือ ? แม้พวกเราซึ่งเป็นบุคคลหลายคน แต่เนื่องจากมีขนมปัง
ก้อนเดียว พวกเราจึงเป็นร่างกายเดียวกัน เพราะว่าพวกเราทุกคนรับประทานปังก้อนเดียวกัน
" (1 คร. 10: 16 -17 )
ร่างกายใหม่นี้เป็นร่างกายฝ่ายจิต เป็นการกระทำของ พระจิตแห่งความรัก เป็นวิธีแสดงตัวเอง
ในรูปธรรม ในการให้อภัยการคืนดี การเกื้อหนุนจุนเจือ การเอื้ออาทรต่อกัน การแผ่ความรักความเมตตา
ไปสู่บุคคลที่มีความต้องการ การร่วมทุกข์ร่วมสุขโดยเฉพาะกับบุคคลที่ได้รับความทุกข์ การห่วงใยต่อทุกๆ
คนอย่างไม่หยุดหย่อน และการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างในความยุติธรรม และสันติสุข ดังนั้น ความชิดสนิท
สัมพันธ์นี้มิใช่เพียงแค่เป็นการสร้างชีวิตกลุ่มและหมู่คณะเท่านั้น แต่ความชืดสนิทสัมพันธ์เช่นนี้ จะต้องนำ
พวกเราไปสู่พันธกิจสำคัญขั้นต่อไปด้วย.....


โปรดติดตาม ตอนที่ ( 30 ) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ค. 09, 2022 4:40 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 30 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์:

การออกไปสู่พันธกิจ " จงไป และ ประกาศ "

คนอื่น ๆ จำเป็นต้องรับรู้สิ่งนี้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นได้มอบความหวังไว้ในพระองค์เหมือนกัน
ยังมีศิษย์อีกสิบเอ็ดคนที่รับประทานอาหารค่ำกับพระองค์ในเย็นค่ำวันนั้น ก่อนการสิ้นพระชนม์
ของพระองค์ยังมีศิษย์คนอื่น ๆ อีก ทั้งชายและหญิงซึ่งอยู่กับพระองค์เป็นแรมปี พวกเขาจำเป็น
ต้องรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นแก่ศิษย์ทั้งสองคนนั้น พวกเขาต้องรับรู้ว่าทุกอย่างยังมิใช่การจบสิ้น ยังไม่ถึง
ตอนอวสาน พวกเขาจำเป็นต้องรู้ว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ และเขาทั้งสองจำพระองค์ได้ขณะที่
พระองค์ยื่นขนมปังให้แก่พวกเขา ไม่มีเวลาต้องคอยอีกต่อไปแล้วอย่าเสียเวลาเลย ! เขาทั้งสองกล่าว
ซึ่งกันและกัน " ขอให้พวกเรารีบ ๆเข้าเถิด ! ' พวกเขารีบสวมรองเท้า คว้าเสื้อคลุม และหยิบไม้เท้า
เดินกลับไปหาเพื่อน ๆ ของพวกเขา กลับไปหาคนเหล่านั้น ที่อาจจะยังไม่รู้ว่าเรื่องราวที่บรรดาสตรี
เล่าว่าได้ยินจากทูตสวรรค์แจ้งข่าวว่าพระองค์ยังมีชีวิตนั้นเป็นความจริง ! เรื่องเล่า เอมมาอูสนั้นสรุป
ไว้เพียงแค่สองสามคำ " และแล้วคนสองคนนั้นลุกขึ้นในเวลานั้นเอง กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ".....

นั่นช่างเป็นบรรยากาศที่แตกต่างกันเหลือเกินระหว่างที่พวกเขาเดินกลับบ้าน กับการเดินกลับสู่
กรุงเยรูซาเล็ม ! เป็นความแตกต่างระหว่างความสงสัย กับ ความเชื่อ ความผิดหวังผสมผสานความ
กลัวกับความรัก เป็นความแตกต่างระหว่างคนสองคนที่เดินอย่างเศร้าสร้อยบนถนน กับเพื่อนสองคน
ที่เดินอย่างรีบร้อน แข่งกับเวลา พวกเขาตื่นเต้นกับข่าวดีที่พวกเขาได้รับ เพื่อจะไปลอกเพื่อนคนอื่น ๆ ....

การเดินทางกลับเมืองหลวงมิใช่ว่าจะไม่มีอันตราย หรือเป็นเรื่องง่าย ๆ เพราะหลังจากที่
พระเยซูคริสต์ถูกกล่าวโทษจนถูกประหารชีวิต ทำให้บรรดาศิษย์ตกอยู่ในความกลัวพวกเขากังวลใจ
ในชะตากรรมของพวกเขาที่จะเกิดขึ้น แต่เนื่องจากว่าพวกเขาจำพระองค์ได้ ความหวาดกลัวของเขา
ทั้งสองหายไปสิ้น เขาสองคนพบอิสระที่จะเป็นพยานถึงการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์
ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งพวกเขาได้อีกต่อไป เขาทั้งสองรู้อยู่แล้วอย่างดีว่า คนกลุ่มเดียวกันที่เกลียดชัง
พระเยซูคริสต์ อาจจะเกลียดชังพวกเขา คนกลุ่มเดียวกันที่จับพระเยซูคริสต์ไปฆ่าคงจะฆ่าพวกเขาด้วย
การย้อนกลับกรุงเยรูซาเล็ม อาจจะหมายถึงการสูญเสียชีวิต พวกเขาถูกขอให้เป็นพยานเรื่องนี้มิใช่
เพียงด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ด้วยเลือดของพวกเขาเอง เขาทั้งสองไม่หวาดกลัวอีกต่อไปที่จะตายแม้แต่
การตายเยี่ยงมรณสักขี พระเยซูคริสต์ผู้กลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ ผู้อยู่ในชีวิตส่วนลึกของพวกเขา
หัวใจของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความรักอันมีพลังเหนือความตาย ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้
ย้อนกลับบ้านได้อีก แม้แต่บ้านนั้นจะไม่เป็นสถานที่ที่รู้สึกปลอดภัย สำหรับพวกเขา...


โปรดติดตาม ตอนที่ (31) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ค. 09, 2022 4:40 pm

:s002: :s002:
ตอบกลับโพส