เรื่องดีๆจากหนังสือสารสาระ ( ชุดที่24)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 11, 2023 5:39 pm

เราซื่อสัตย์กันขนาดไหน มี ( 5 )ตอนจบ


เราซื่อสัตย์กันขนาดไหน ตอนที่ ( 1 )จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540
โดย Joseph A. Reaves รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ตอนสายวันหนึ่งช่วงปลายเดือนตุลาคม 2539 จำนงค์ พงศ์พันธ์ เจ้าหน้าที่ประจำห้องล้างชาม
ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เดินผ่านห้องโถงของตึกคนไข้นอก และเหลือบไปเห็นกระเป๋าเงินหนังสีดำ
ตกอยู่บนพื้นข้างประตู จึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาดู ภายในมีธนบัตรใบละ 100 บาท 4 ใบ และใบละ 20 บาท
อีก 2 ใบ รวมเป็นเงิน 440 บาท ลูก 2 คนของจำนงค์ยังอยู่ในวัยเรียน เงินเดือน 6,000 กว่าบาทนั้นชักหน้า
ไม่ถึงหลังอยู่บ่อย ๆ ยิ่งเป็นช่วงปลายเดือนอย่างนี้ด้วยแล้ว
ในกระเป๋า เธอเห็นภาพถ่ายสามีภรรยาและลูกน้อย “สงสัยจะเป็นคนไข้แม่ลูกอ่อนทำกระเป๋าตังค์หายแล้ว
นี่เธอจะกลับบ้านได้ยังไง -- จะเอาเงินที่ไหนซื้อยาล่ะ” จำนงค์คิด

เธอเดินไปบอกคนงานผู้ชายแถว ๆ นั้นเรื่องกระเป๋าเงินที่พบ เธอถามคนไข้ที่เดินผ่านไปมา 2-3 คน
แล้วถือกระเป๋าตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อประกาศให้เจ้าของมารับคืน
ห่างไปราว 3,800 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่นที่เมืองคามาคูระ(Kamakura)ซึ่ง
ในอดีตเป็นศูนย์กลางการปกครองของญี่ปุ่น นักธุรกิจชายแต่งตัวดีรุดเข้าไปในตู้โทรศัพท์สาธารณะที่
สถานีรถไฟประจำเมือง เขาเห็นกระเป๋าเงินของผู้หญิงเป็นกระเป๋าหนังสีดำวางอยู่บนชั้นเล็ก ๆ ใต้เครื่อง
โทรศัพท์ เขาฉวยกระเป๋ายัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านขวาและรีบออกจากตู้ฯ เดินผ่านป้อมตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ
เขาหยุดที่หน้าธนาคาร เหลียวมองรอบๆ ชั่งใจว่าจะทำอย่างไรกับกระเป๋าที่เก็บได้ ท้ายสุดเขาเดินปะปนไป
ในหมู่นักท่องเที่ยวและผู้คนที่สัญจรไปมา เจ้าของกระเป๋าไม่เคยได้รับของคืนเลย
กระเป๋าสตางค์ที่ทั้งสองคนพบเป็นกระเป๋าที่ทีมงานหนังสือสรรสาระ (Reader’s Digest) จงใจเอาไปวาง
ทิ้งไว้ตามที่ต่างๆทั่วภูมิภาคเอเชีย ทุกใบจะมีชื่อเจ้าของและที่อยู่ในท้องที่นั้นพร้อมเบอร์โทรศัพท์ รูปถ่าย
ครอบครัว กระดาษโน้ตจิปาถะ คูปองลดราคาสินค้า และเงินสดตามสกุลเงินของแต่ละประเทศที่แตกต่าง
กันไป เป็นมูลค่า 250 – 1,250 บาท กระเป๋าที่แกล้งทำหายทั้งหมด 140 ใบกระจายทิ้งไว้ตามเมืองต่างๆ
เมืองละ 10 ใบ เราเลือกจุดปล่อยกระเป๋าหาย เช่น ตามข้างถนน ในศูนย์การค้า โรงพยาบาล ล็อบบี้โรงแรม
ใกล้สถานีตำรวจ
ทำเนียบประธานาธิบดีและที่ทำการไปรษณีย์ นอกจากนี้ยังทิ้งไว้ตามวัด ศาลเจ้า โบสถ์คริสต์และมัสยิด
รวมทั้งห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ และห้องเรียนในมหาวิทยาลัย จากนั้นเราคอยจับตาดูว่าเกิดอะไรขึ้น.เมื่อคนเก็บ
กระเป๋าได้แล้วเอามาคืน เราจะให้เงินในกระเป๋าเป็นสินน้ำใจ

การทดลองของเราไม่ใช่เรื่องของการศึกษาเพื่อหาสถิติตามหลักวิชาการ แต่เป็นการทดสอบดูความซื่อสัตย์
ของคนในชีวิตจริง คนในเมืองเล็กจะคืนกระเป๋าให้มากกว่าคนตามเมืองใหญ่จริงหรือ คนที่มีฐานะดีโดย
ทั่วไปในย่านธุรกิจซื่อสัตย์กว่าคนทำงานหาเช้ากินค่ำจริงหรือ ผู้หญิงคืนให้มากกว่าผู้ชาย หรือคนแก่
มากกว่าเด็กหรือไม่ ผลที่ได้ในแต่ละประเทศแตกต่างกันอย่างไร

กระเป๋าสตางแต่ละใบล้วนมีเรื่องราวที่จะบอกเล่า บางใบเป็นการขโมยกันซึ่งๆหน้า บ้างก็พูดถึงความโลภ
และความรู้สึกผิด แต่ส่วนใหญ่สร้างความประทับใจให้รู้สึกว่าความซื่อสัตย์ยังมีในหมู่คนเอเชีย

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 11, 2023 5:50 pm

เราซื่อสัตย์กันขนาดไหน ตอนที่ ( 2 )
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540
โดย Joseph A. Reaves รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(at)มหานคร (ประชากรมากกว่า 10 ล้านคน)

มหานคร คืน ไม่คืน
กรุงโซล 6 4
บอมเบย์ 5 5
มะนิลา 4 6
1.1 กรุงโซล : เราวางกระเป๋าฯ ใกล้ ๆ ทำเนียบสีฟ้าของประธานาธิบดี ตอนบ่ายครึ้มฟ้าครึ้มฝนวันหนึ่ง
เด็กนักเรียนหญิง 4 คนตื่นเต้นกันยกใหญ่เมื่อพบกระเป๋าเงินหล่นอยู่ เด็กๆวัย 10 ขวบในเครื่องแบบเสื้อ
และกางเกงขาสั้นสีขาว ถุงเท้าสีน้ำเงินยาวถึงเข่า เป็นนักเรียนประถมที่โรงเรียนตั้งอยู่ใกล้ทำเนียบ

“สี่หมื่นวอนแน่ะ” (ราว 1,250 บาท) คิม ซู จี เด็กที่พบกระเป๋าส่งเสียงร้องขึ้น “เงินตั้งเยอะ ต้องไปถาม
ตำรวจว่าจะทำยังไงดี”

คนหนึ่งชี้ไปที่สถานีดับเพลิงเพราะคิดว่าเป็นสถานีตำรวจ พอเดินเข้าไปก็พบว่า “ไม่ใช่นี่” เพื่อนๆคนอื่น
หัวเราะและตะโกนโหวกเหวกพร้อมกับวิ่งแจ้นตามกันไปที่สถานีตำรวจ”ชอนกุน”

“คิดอย่างเดียวว่าต้องคืนกระเป๋าให้เจ้าของโดยเร็วที่สุด” จาง เยอ จิน เล่าให้เราฟังขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ
พยักหน้าขึงขังเห็นด้วย ฮง โซ ฮี บอกว่า “ที่แน่ๆคือไม่ใช่ของของเรา” คิม ฮา ยัง เสริมว่า “พระเจ้าบอกให้เรา
ซื่อสัตย์” คิม ซู จี บอกต่อว่า “คุณพ่อคุณแม่หนูบอกว่า การโกหกนิดหน่อยจะกลายเป็นโกหกใหญ่ต่อไป”

เนื่องจากกรุงโซลเป็นหนึ่งในมหานครที่ร่ำรวยที่เราใช้เป็นจุดทดสอบ และเพื่อให้ผลการทดสอบออกมา
ยุติธรรม เราจึงลดจำนวนเงินในกระเป๋าที่แกล้งทำหายในเมืองที่รวยน้อยกว่า เช่นบอมเบย์และมะนิลา เพราะ
เมื่อเทียบกันแล้ว เงิน 1,250 บาทในญี่ปุ่นแทบไม่พอจ่ายค่าอาหารกลางวันเพื่อนั่งคุยธุรกิจกันในกรุงโตเกียว
แต่เงินจำนวนนี้มีค่าเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนเมืองอื่นบางเมือง

เราพบว่า จำนวนเงินกลับไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะส่วนใหญ่คนที่เก็บกระเป๋าได้แทบจะไม่เคยนับเงิน
ในกระเป๋าเลย อย่างในมะนิลา มี 2 คนที่เอากระเป๋ามาคืนโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเงิน 440 เปโซ (ราว 440 บาท)
ในนั้น

1.2 บอมเบย์ : ผมไม่เป็นห่วงเรื่องเงินทองหรอกครับ ผมมีข้าวกิน มีบ้านอยู่ มีเสื้อผ้าใส่ แค่นี้ก็พอแล้ว
สำหรับผม” คุณปาโทล ช่างภาพผู้นี้พบกระเป๋าสตางค์ที่เราแกล้งทำหายในห้องแสดงภาพศิลปะซึ่งตั้งอยู่ที่
ถนนมหาตะมะ คานธีในเมืองบอมเบย์ และเขาก็เหมือนคนอื่นๆที่เอากระเป๋าคืน คือไม่ได้ดูเลยว่าในกระเป๋า
มีเงิน 350 รูปี (ราว 250 บาท) ปาโทลบอกว่า “คนเราถึงจะจนก็ยังซื่อสัตย์ได้”

ความซื่อสัตย์กับความร่ำรวยหรือสถานภาพทางสังคมแทบจะไม่เกี่ยวกันเลย หญิงแต่งตัวดี 2 คน เห็น
ได้ชัดว่าคนหนึ่งเป็นแม่ลูก อีกคนหนึ่งหนึ่งเป็นย่าหรือยาย เก็บกระเป๋าได้ระหว่างที่เดินเล่นกับเด็กที่เป็นลูกหลาน
ในย่านของคนฐานะดีแห่งหนึ่งในบอมเบย์ ทั้งสองคนเดินผ่านตำรวจในเครื่องแบบหลายคนและมาสมทบกับ
ชายแก่ คาดว่าเป็นปู่หรือตาของเด็กคนนั้น จากนั้นทั้งหมดก็ขึ้นรถเมล์ไป เราไม่ได้ข่าวจากพวกเขาอีกเลย

1.3 มะนิลา : คนเร่ขายบุหรี่แบบแกะซองแบ่งขายพบกระเป๋าวางอยู่ที่ฐานอนุสาวรีย์ที่ระลึกการลอบสังหาร
นีนอย อาคีโน อดีตผู้นำฝ่ายค้าน พอได้กระเป๋า เขาก็ผละจากหัวมุมถนนที่เร่ขายอยู่ ตั้งแต่นั้นเราไม่เคยเห็น
กระเป๋าใบนั้นอีกเลย

ด้านนอกพระราชวังมาลากาญัง (Malacañang Palace)ซึ่งเป็นที่ทำการประธานาธิบดี เด็กนักเรียน 2 คน
นุ่งกางเกงขายาวสีกากี สะพายเป้ใบใหญ่ เก็บกระเป๋าได้ เหลียวซ้ายแลขวาท่าทางมีพิรุธ จนกระทั่งคนหนึ่ง
ยัดกระเป๋าที่เก็บได้ลงในกระเป๋าตัวเองก่อนที่จะเดินจากไปอย่างใจเย็น

คนทั่วไปมองว่า ตำรวจฟิลิปปินส์น้อยคนนักที่ซื่อสัตย์ เราแกล้งทำกระเป๋าหล่นไว้ในกรมตำรวจ
ฟิลิปปินส์ นายตำรวจมาโนลิโต เรเยส วัย 51 ปีทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบุคคลสำคัญ
ในคณะรัฐบาล เก็บกระเป๋าได้ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์และยื่นกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่

“ผมเป็นคนแบบนี้แหละครับ”
เขาตอบพร้อมกับยักไหล่เมื่อเราถามว่าทำไมเขาถึงคืนกระเป๋าเงินโดยไม่ลังเล “ก็คงไม่ทุกคนหรอกที่จะคืน
กระเป๋าที่เก็บได้ แต่สำหรับผมแล้ว ง่ายมาก”

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 11, 2023 5:58 pm

เราซื่อสัตย์กันขนาดไหน ตอนที่ ( 3 )
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540 โดย Joseph A. Reaves
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(at)เมืองใหญ่ (ประชากรมากกว่า 1.5 – 7 ล้านคน)

เมืองใหญ่ คืน ไม่คืน
สิงคโปร์ 9 1
อินชอน เกาหลี 8 2
กรุงเทพฯ 5 5
ไทเป 5 5
ฮ่องกง 3 7

2.1 สิงคโปร์ : ยัสมิน อับดุลราชิด พนักงานส่งเอกสารวัย 39 ปีมีรายได้ประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน
เขาพบกระเป๋าตกอยู่ที่ศูนย์การค้าย่านถนนออชาร์ด เงินราว 1,250 บาทที่เก็บได้น่าจะเป็นประโยชน์
สำหรับเขา แต่เขากลับเอากระเป๋าไปคืนให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของศูนย์การค้านั้นทันที : “ได้เงินน่ะดีแน่
แต่ผมรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง”

ราชิตพ่อลูกสองซึ่งโตเป็นวัยรุ่นชายคนหญิงคนบอก “ไม่ใช่ของผมนี่”

รอนนี่ ลี ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าของบริษัทด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน
และคาดว่าคนอื่นคงมีความจำเป็นมากกว่า หนุ่มโสดวัย 32 ปีผู้นี้พบกระเป๋าเงินหล่นอยู่ใกล้ม้านั่ง
ในย่านธุรกิจการเงินของสิงคโปร์ หลังจากแวะกินอาหารเที่ยง เขาโทรศัพท์จากร้านอาหารแจ้งเรื่องที่
พบกระเป๋า เขาบอกว่า “ผมพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าผมทำกระเป๋าหายจะเป็นยังไง”

2.2 ฮ่องกง : อัตราคืนกระเป๋าต่ำที่สุดในเอเชีย คือคืนเพียง 3 รายใน 10 ราย รายหนึ่งที่คืนคือ ชุย พิต
หนุ่มวัย 24 ปีซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ที่ฮ่องกง “ไม่ใช่กระเป๋าของผมนี่ครับ”
เขาบอก “ครูและพ่อแม่ผมสอนเสมอว่า ให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

คนที่คืนกระเป๋าอีก 2 ใบ รายหนึ่งเป็นสาวจีนวัย 20 เศษทำงานในสำนักงาน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นสาวใช้
ชาวฟิลิปปินส์วัย 26 ปี ชื่อเอมี่ ซัลวาดอร์ เธอเล่าว่า เธอมาฮ่องกงเพราะได้ค่าจ้าง 12,000 กว่าบาทซึ่ง
มากกว่าเงินเดือนที่ฟิลิปปินส์มาก เธอพบกระเป๋าสตางค์ที่ถนน Tsat Tsz Mui ขณะกำลังรีบไปร่วมสวด
ภาวนาระหว่างพักเที่ยง อีกหลายชั่วโมงหลังจากนั้น เธอจึงนั่งรถเมล์ไปคืน ในกระเป๋ามีเงินประมาณ
1,250 บาท เท่ากับค่าจ้าง 2 วันครึ่ง เธออธิบายว่า “ดิฉันเห็นรูปถ่ายและโฆษณาหางานจากหนังสือพิมพ์
ในกระเป๋า จึงคิดว่า คงเป็นผู้หญิงที่มีลูกทำหายและกำลังหางานทำ เธอคงต้องการเงินมากกว่าดิฉัน
แน่นอนล่ะ เงินน่ะสำคัญสำหรับดิฉัน แต่ผู้ใหญ่สอนมาว่า ถ้าไม่ใช่เงินของคุณก็ไม่ถูกต้องที่จะเก็บไว้เอง”

2.3 อินชอน เกาหลีใต้ : ตัวเลขของคนฮ่องกงที่เห็นกระเป๋าตกที่พื้นแต่ตั้งใจเดินผ่านไปเฉยๆ สูงจนน่า
แปลกใจ ตรงกันข้ามกับที่อินชอน เมืองท่าใหญ่อันดับ 2 ของเกาหลีใต้ คนพบและคืนกระเป๋าทันทีมี 8
ใน 10 ราย มุน กวัง เซิก ข้าราชการวัย 44 ปีพบกระเป๋าในที่ทำการไปรษณีย์ เขาข้ามถนนไปคืนกระเป๋า
ให้กับยามที่รู้จัก “ผมสอนให้ลูกเป็นคนซื่อสัตย์” มุนเป็นชาวพุทธ “ผมเกลียดที่สุดคือคนโกหก”

2.4 ไทเป : ชายชราท่าทางอ่อนโรยพบกระเป๋าตกอยู่ที่ม้านั่งตรงป้ายรถเมล์หน้าตึก “Formosa Plastic”
เขามองซ้ายทีขวาทีก่อนจะยัดกระเป๋าสตางค์ใส่กระเป๋าตัวเองและขึ้นรถเมล์คันแรกหายไป เราไม่เคยพบเขา
หรือกระเป๋าใบนั้นอีกเลย ห่างออกมาไม่กี่ช่วงตึก เอช ซี ชุย พบกระเป๋าวางอยู่บนโทรศัพท์สาธารณะในล็อบบี้
โรงพยาบาลชางกุง เมมโมเรียล เธอวางมือจากการกรอกแบบฟอร์มให้เพื่อนชั่วคราวเพื่อเอากระเป๋าไปคืน
ที่เคาน์เตอร์แผนกต้อนรับ “เป็นหน้าที่ของดิฉันที่จะต้องทำความดี” ชุย ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งและเป็น
แม่ลูกสี่ที่ต่างโตกันหมดแล้ว เธอบอก “ที่ทำไปเพราะเป็นเรื่องถูกต้อง”

2.5 กรุงเทพฯ : ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทเกียรตินาคินซึ่งเป็นบริษัทการเงินระดับใหญ่แห่งหนึ่งของไทย พบ
กระเป๋าของเราที่บริเวณร้านค้าใต้โรงแรมเอราวัณ แกรนด์ ไฮแอท ศินีนาฐ เตชะคุปต์ บอกให้ผู้ช่วยของเธอ
เอากระเป๋าไปส่งให้ผู้จัดการร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆตรงนั้น “คงจะเป็นสัญชาตญาณมั้ง” เธอบอก
“กระเป๋ามีเจ้าของ ก็ควรคืนให้เขาไป”

ขยับมาที่ย่านไม่หรูหรานัก คนขับรถกระบะพบกระเป๋าตกอยู่หน้าไนต์คลับบนถนนพัฒน์พงษ์
เขาหันหน้าหันหลังก่อนจะยัดกระเป๋าใส่กางเกงยีนและส่งของต่อไป

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 11, 2023 6:05 pm

เราซื่อสัตย์กันขนาดไหน ตอนที่ ( 4 )
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540 โดย Joseph A. Reaves
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(at)เมืองเล็ก (ประชากรน้อยกว่า 850,000 คน)

เมืองเล็ก คืน ไม่คืน
ตรีวันดรัม อินเดีย 8 2
คามาคูระ ญี่ปุ่น 7 3
เชียงใหม่ 6 4
กาจัง มาเลเซีย 5 5
ไถหนัน ไต้หวัน 5 5
ลาปุ ลาปู ฟิลิปปินส์ 4 6

3.1 ตรีวันดรัม อินเดีย : รัฐเกราลา (Kerala)เป็นรัฐยาวเหยียดไปตามชายฝั่งอุดมสมบูรณ์ทาง
ตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย แม้เกราราจะเป็นรัฐขนาดเล็ก แต่ก็มีประชากรที่รู้หนังสือสูงที่สุดในประเทศ
มีประวัติการค้าที่สืบทอดกันมานาน 2,000 ปี เราแกล้งทำกระเป๋าหล่นไว้ที่เมืองตรีวันดรัม (Trivandrum)
10 ใบ แต่ละใบมีเงินสด 350 รูปี (ราว 250 บาท) ได้รับคืนมา 8 ใบ

ซาเวียร์ เฟอร์นันเดส ชาวประมงไม่รู้หนังสือพบกระเป๋าตกอยู่ เขาเริ่มถามทุกคนที่เจอว่าทำกระเป๋า
หายหรือเปล่า “ผมรู้ดีว่ากว่าจะหาเงินได้แต่ละบาทแต่ละสตางค์ยากลำบากขนาดไหน” เขาอธิบายเป็น
ภาษาทมิฬ เขายังโสด อาศัยอยู่กับพี่น้องชายและหญิง “ผมคงไม่สบายใจถ้าเก็บเอาเงินคนอื่นมา”

3.2 คามาคูระ (Kamakura) : เคียวโกะ ซากาซุเม วัย 49 ปีช่างเสริมสวยที่เมืองคามาคูระ เกือบสะดุด
กระเป๋าที่ขั้นบันไดหินทางขึ้นศาลเจ้าฮาชิมัน (八幡宮, Hachimangū) เทพเจ้าแห่งสงครามในศาสนาชินโต
เธอสวมชุดสวยเสื้อสีทองและน้ำตาล กางเกงลินินสีขาว เคียวโกะเดินกลับขึ้นบันไดสัก 40 ขั้นจนถึงยอด
ตลอดทางเธอชูกระเป๋าที่พบ โบกไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องถามว่า “ใครทำกระเป๋าสตางค์หายบ้าง”

เราถามเธอว่า ทำไมถึงคิดว่าเจ้าของกระเป๋าจะอยู่บนยอดบันได เธอตอบว่า “เพราะฝนกำลังตก
แต่กระเป๋ายังแห้งอยู่ ดิฉันจึงคิดว่า เจ้าของคงอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง” เธอเสริมว่า “นอกจากนั้น ขาขึ้นตอนแรก
ดิฉันไม่เห็นกระเป๋าตกอยู่ จึงคิดว่าเจ้าของคงเพิ่งทำหล่นเมื่อกี้นี้เอง”

3.3 เชียงใหม่ : ผู้หญิงร่างท้วมเดินเล่นกับลูกชายและลูกสาวที่ศูนย์การค้ากาดสวนแก้ว ลูกชายเธอ
เป็นคนเห็นกระเป๋าก่อน แม่หยิบขึ้นมาและยัดลงในกางเกงตัวโคร่ง จากนั้นเธอรีบฉวยมือเด็กสองคนเดิน
ออกจากศูนย์การค้าและขึ้นรถสองแถวคันแรกที่แล่นผ่านมา

3.4 ไถหนัน (台南市 : Tainan) : เมืองเก่าที่สุดของไต้หวันและเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของเกาะแห่งนี้
มานานกว่า 200 ปี ครอบครัวพ่อแม่ลูกสองกำลังขึ้นมอเตอร์ไซค์ออกจากศาลเจ้าแห่งผู้สละชีวิตเพื่อศาสนา
แต่ก่อนที่จะออกรถ ลูกคนหนึ่งเหลือบไปเห็นกระเป๋าตกอยู่ที่พื้น พ่อวนรถเข้าไปใกล้ ลูกคนหนึ่งกระโดดลง
จากรถ คว้ากระเป๋าได้แล้วกลับขึ้นซ้อนท้าย จากนั้นทั้งหมดก็บึ่งรถออกไป พร้อมกับลูกทั้งสองเหลียวหลัง
ให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น

3.5 ลาปู ลาปู ; ตอนกลางของประเทศฟิลิปปินส์ ใกล้เกาะเซบูซึ่งเศรษฐกิจกำลังเฟื่อง เราพบหญิงสาว
คนหนึ่งขัดสนเงินอย่างยิ่ง เมอริล โนวัล วัย 20 ปี เป็นพนักงานขายของในห้างสรรพสินค้าไกซาโน ได้
ค่าจ้าง 83 เปโซ (ราว 83 บาท) ต่อวัน พ่อเป็นชาวประมง แม่เป็นแม่บ้าน เมื่อลูกชายคนหนึ่งเสียชีวิต
ในปี 2532 และลูกสาวอีกคนในปีถัดมา ครอบครัวเธอต้องจ่ายค่ารักษาและค่างานศพ จนป่านนี้ก็ยังใช้หนี้
ไม่หมด แต่กระนั้น เธอนำกระเป๋าเงินซึ่งมีเงิน 440 เปโซไปให้เจ้านายโดยไม่ลังเล

“พ่อแม่ดิฉันสอนว่า ไม่ควรเก็บของที่ไม่ใช่ของเราไว้” เธอบอก

“ถึงจะเจอเศษตังค์บนถนน ดิฉันก็ไม่เก็บ กลัวว่าถ้าพ่อรู้เข้าจะโดนดุ ท่านเข้มงวดมากเรื่องความซื่อสัตย์”

โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.ย. 12, 2023 9:09 pm

แล้วเด็กน้อยจักนำพวกเขาไป (And The Child Shall Lead Them) มีทั้งหมด 5 ตอนจบ


แล้วเด็กน้อยจักนำพวกเขาไป (And The Child Shall Lead Them) ตอนที่ ( 1 )
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540 โดย Henry Hurt
รวบรวมและจากกูเกิล 2565 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

คืนวันที่ 26 พฤษภาคม 2539 เด็กหญิงโรนา มาฮิลัม (Rona Mahilum) วัย 8 ขวบกำลังหลับอยู่
ใกล้ที่นอนของเธอมีพี่น้องชายหญิงอีก 5 คนซึ่งต่างก็นอนหลับเบียดกันอยู่อย่างอบอุ่นบนเสือ กระท่อมไม้
หลังคามุงจากแบ่งเป็น 2 ห้องนอน นับเป็นสถานที่หลับนอนอันเงียบสงบของเด็กน้อยครอบครัวนี้

ค่ำคืนนั้น เด็ก ๆ ทั้ง 6 คนอยู่กันตามลำพังในดินแดนที่ห่างไกลความเจริญ กระท่อมของพวกเขาอยู่บน
ภูเขาสูงบนเกาะนีกรอส (Negros : 13,309 ตร.กม., เกาะใหญ่อันดับ 4 และมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น
อันดับ 3 ของประเทศฟิลิปปินส์ : 150,000 คนสำรวจปี 2563) เกาะนี้อยู่ทางตะวันตกของประเทศ
ห่างจากกรุงมะนิลา
ไปทางใต้ 480 กิโลเมตร

ตั้งแต่เช้าตรู่วันนั้น โรลันโดและเนนิตา (Rolando and Nenita) ผู้เป็นพ่อแม่กับลูกคนโตอีก 2 คนออกเดิน
ไปตามทางขรุขระเพื่อไปขายขนมปังและกาแฟที่งานวัดในหมู่บ้านอลิมาต็อก (Alimatok) ซึ่งอยู่ไกลออกไป
เป็นเวลาเดินเท้ามากกว่า 1 ชั่วโมง

ภายในกระท่อมโดดเดี่ยวนั้น โรนากับพี่สาว 1 คนและน้อง ๆ อีก 4 คนกำลังนอนหลับสบายโดยมีตะเกียง
ที่ทำจากกระปุกเล็กๆ ไส้ตะเกียงทำด้วยกระดาษที่ฟั่นเป็นเกลียวแน่นและตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ที่นอนของพวกเธอ
ช่วงกลางดึกคืนนั้นเองขณะที่พวกเด็กหลับกันอยู่ มีแมวสีดำในบ้านใช้เท้าหน้าเขี่ยเล่นเงาที่เริงระบำจาก
ตะเกียงน้ำมันซึ่งส่องแสงสีส้มวูบวาบไปมา การเล่นเงาไฟของแมวทำให้ตะเกียงล้มและน้ำมันที่ติดไฟก็
หกลงไปบนที่นอนของโรนาและไหลกระเซ็นลงบนพื้นกระท่อม
โรนาตกใจลุกขึ้นยืนและรู้ทันทีว่าเจ้าแมวชนตะเกียงล้ม เมื่อได้ยินเสียงไฟลามเหมือนเสียงทอดปลา เธอก็รู้
ด้วยว่า ผมยาวประบ่าของเธอกำลังถูกไฟไหม้ เปลวไฟลุกลามลงไปยังชุดนอนที่เธอสวมอยู่

โรนาปัดเปลวไฟที่กำลังลามเลียศีรษะและบ่า เธอกำลังจะวิ่งออกนอกประตูไป แต่แล้วท่ามกลางแสงเพลิง
น่ากลัว เธอก็เห็นพี่น้องขยับตัว

ทั้งๆที่เปลวไฟกำลังไหม้ผมและหายใจเอาควันไฟเข้าไปเต็มที่ โรนาฉุดเชอริล (Chryl) น้องชายวัย 5 ขวบ
ขึ้นมาเป็นคนแรก เธออุ้มน้องวิ่งลงบันไดไปที่ลานบ้าน แล้วรีบวางน้องไว้ใต้ต้นกล้วยต้นใหญ่ จากนั้นก็วิ่ง
กลับขึ้นบ้าน ฝ่าควันไฟพลางสอดส่ายสายตามองหาพี่น้องและกลั้นหายใจ แล้วก็อุ้มรูเบ็น (Ruben)
วัย 4 ขวบและโรเชลลี (Rochelle) อายุ 1 ขวบออกมาได้อย่างปลอดภัย

เปลวไฟซี่งเป็นต้นเพลิงอ่อนกำลังลงแล้ว แต่ไฟเริ่มลุกลามอย่างช้าๆและรุนแรงไปทั่วบ้านโรนากลับเข้าไป
ในบ้านอีกครั้งและอุ้มโรเบอร์โต (Roberto) อายุ 7 ขวบออกมาข้างนอก ทั้งๆที่ยังงงอยู่และไอ โรเบอร์โต
ที่อยู่นอกบ้านเฝ้าดูพี่สาวซึ่งผมและเสื้อผ้ายังระอุด้วยควันและเปลวไฟเล็กๆวิ่งกลับเข้าไปในบ้านเพื่อพา
โรดาพี่สาววัย 9 ขวบออกมา แต่เนื่องจากเธออุ้มพี่สาวไม่ไหว เธอจึงใช้วิธีดันตัวโรดาไปที่หน้าต่างอย่าง
สุดแรงเกิด แล้วผลักให้กลิ้งตกบ้านลงไปบนพื้นดินข้างล่าง

เมื่อช่วยชีวิตพี่น้องทุกคนแล้ว โรนาก็ฉวยกระป๋องน้ำพลาสติกและรีบวิ่งไปที่ลำธารใกล้บ้านเพื่อตักน้ำมา
ดับไฟครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดร่างเล็กๆของเธอก็ไม่อาจยืนหยัดอยู่ต่อไปได้ เด็กน้อยที่น่าสงสารล้มหน้า
คว่ำลงไปบนซากบ้านที่ควันไฟยังกรุ่นอยู่

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 15, 2023 4:17 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 15, 2023 4:05 pm

แล้วเด็กน้อยจักนำพวกเขาไป (And The Child Shall Lead Them) ตอนที่ ( 2 )
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540 โดย Henry Hurt
รวบรวมและจากกูเกิล 2565 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

โรนา มาฮิลัมมีผมสีดำ นัยน์ตาสีน้ำตาลสุกใส หนูน้อยทำงานเคียงข้างแม่ในไร่อ้อยมาตั้งแต่
อายุ 4 ขวบ เธอทำงานตั้งแต่เช้าตรู่จนพลบค่ำทุกวัน และไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยสักปานใด เธอก็ยังร่าเริง
หัวเราะ ร้องเพลง และเล่นตลกด้วยวิธีแปลกๆที่คิดขึ้นเอง

โรนาเป็นคนงานเด็กชั้นเยี่ยมและเต็มใจช่วยผู้อื่นเสมอ เธอวิ่งไปมาในไร่อ้อยอย่างคล่องแคล่ว มือเล็กๆ
สองข้างถอนดึงวัชพืชที่ขึ้นระหว่างต้นอ้อย ความขยันของโรนาไม่ได้เล็ดลอดไปจากสายตาของนายจ้าง
ในไม่ช้าค่าจ้างวันละ 5 เปโซ (ราว 5 บาท) ก็เพิ่มเป็น 8 เปโซ พ่อแม่ของโรนาอดภูมิใจไม่ได้เพราะยากนัก
ที่เด็กเล็กๆจะได้ขึ้นค่าแรง

เมื่อโรนาอายุได้ 6 ขวบ แม่ให้เธอทำงานในไร่อ้อยน้อยลงเพื่อจะได้ไปโรงเรียนสัปดาห์ละ 3 วัน พวกครู
ต่างชมเชยเธอว่าเป็นเด็กนิสัยดี สำหรับเนนิตาผู้เป็นแม่แล้ว ไม่มีอะไรจะสำคัญสำหรับลูกๆมากไปกว่า
โอกาสได้เรียนเขียนอ่าน

ชีวิตที่ดีกว่า คือสิ่งที่เนนิตาต้องการให้ลูกๆทุกคนได้รับ เนนิตาและโรลันโดดิ้นรนให้ลูกๆทุกคนได้
เรียนหนังสือ ความปรารถนาอันสูงส่งนี้ช่างสุดเอื้อมเหลือเกินในสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว

เนนิตาออกจากหมู่บ้านอลิมาต็อกราวเที่ยงคืนหลังงานวัดเลิก มีเพียงตะเกียงน้ำมันดวงเล็กส่องนำทาง
เธอเก็บเงินกำไร 2-3 เปโซไว้กับตัวขณะเดินทางกลับ ส่วนสามีและลูกคนโต 2 คนจะตามกลับมาทีหลัง

แต่แล้วเนนิตาก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้ “ไม่ใช่กลิ่นควันฟืนนี่” หล่อนอุทาน “แต่เป็นกลิ่นอย่างอื่น” เนนิตา
เดินจ้ำอ้าวจนเกือบเป็นวิ่งเมื่อมาถึงที่โล่งและเห็นกระท่อมของเธอ

ภายในกระท่อมถูกไฟไหม้หมด หลังคาเกือบเป็นจุณ ลูกๆของเธอนอนอยู่นอกบ้านใต้ต้นกล้วยใหญ่
แต่หายไปคนหนึ่ง!

“โรนา อยู่ไหน!” เนนิตาร้องลั่น

“ไม่รู้จ้ะแม่” โรดาตอบอย่างอ่อนเพลีย

เนนิตาว้าวุ่นราวกับคนบ้า ได้กลิ่นเหม็นของเนื้อและผมไหม้ไฟ เธอยกตะเกียงขึ้นสูงและมองดู
กองข้าวของที่ไฟเผาผลาญ แต่ก็ไม่มีร่องรอยของโรนาเลย

เมื่อหมดหนทาง เนนิตาเริ่มคุ้ยกองข้าวของที่ถูกไฟไหม้ แล้วหล่อนก็เห็นอะไรบางอย่างสีดำอยู่
ในท่าคุดคู้เหมือนกองถ่าน เนนิตาหมอบลงพลางภาวนาขออย่าให้เป็นลูกสาวของเธอเลย

แต่ก็หนีความจริงไม่พ้น โรนานั่นเองนอนคว่ำหน้าม้วนตัวราวกับลูกบอล ผมของเธอไฟไหม้เกือบหมด
บริเวณช่วงหนังศีรษะจนถึงหลังถูกไฟเผาไหม้เกรียมเป็นแผลลึกและแตกพุพอง

โรนาไม่บิดตัวหรือกระตุกเลย เนนิตาจับชีพจรดูแต่ไม่พบจึงร้องไห้โฮและคร่ำครวญว่า “พระผู้เป็นเจ้า
ข้ามอบลูกของข้าแด่พระองค์ด้วยความศรัทธา” แล้วหล่อนก็อุ้มโรนาไปวางไว้บนใบตองสีเขียวใบใหญ่

“โรนาตายแล้ว” เนนิตาบอกลูกคนอื่นๆ แล้วก็ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ จากนั้นเธอนอนลงพร้อมกับ
กุมมือที่อ่อนปวกเปียกของโรนาไว้ พลางร้องขอพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงประทานชีวิตให้แก่ลูกน้อยของเธอ

โปรดติดตามตอนที่ (3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 15, 2023 4:16 pm

แล้วเด็กน้อยจักนำพวกเขาไป (And The Child Shall Lead Them) ตอนที่ ( 3 )
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540 โดย Henry Hurt
รวบรวมและจากกูเกิล 2565 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

โรลันโด พ่อของโรนากลับมาถึงบ้านเกือบรุ่งเช้า เขาอาสาเป็นคนขุดหลุมศพใกล้ ๆ บ้านเพื่อ
ฝังลูกสาว แต่เนนิตายังทำใจไม่ได้

เนนิตาตัดสินใจอย่างไม่มีเหตุผลว่าจะพาโรนาลงจากภูเขาไปที่หมู่บ้านบาโต (Bato) ซึ่งมี
โรงพยาบาลเล็กๆอยู่ แม้ว่าจะต้องเดินเท้าไปถึง 6 ชั่วโมง แต่อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้หมอสักคนที่นั่น
ยืนยันว่า ลูกของเธอเสียชีวิตแล้วจริงๆ “ฉันจะไปทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น” เนนิตาคิด

ท่ามกลางแสงตะวันยามเช้า บาดแผลของโรนาสาหัสจนเนนิตาแทบทนดูไม่ได้ หูซ้ายของเธอดู
คล้ายถ่านก้อนเล็กๆ แผลลึกและไหม้เกรียมจากศีรษะเรื่อยลงมาถึงหลังซึ่งมีน้ำเหลวๆไหลซึมออกมา

เนนิตาล้างเขม่าไฟออกจากใบหน้าของลูกสาวซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ถูกไฟไหม้ แม้จะเห็นว่าสภาพของ
โรนายับเยินจนไม่น่าจะรู้สึกเจ็บปวด แต่เนนิตาก็ไม่ต้องการแบกลูกไปในลักษณะที่จะทำให้แผลไฟไหม้นั้น
ครูดกับตัวเธอเอง เธอจึงแบกโรนาโดยห้อยหัวลูกลง ท้องของโรนาพาดอยู่บนหลังของแม่ หน้าอยู่ตรง
สะโพกด้านหลัง เท้าทั้งสองข้างเกี่ยวอยู่บนบ่าของแม่ เนนิตาดึงเท้าของลูกน้อยไว้แน่นขณะเดินแบกไป

เนนิตาย่ำไปตามทางขรุขระและชันแต่ลำพัง ผ่านภูเขายอดสูงเสียดฟ้าและหุบเขาสูงชัน ตอนสาย
เธอมาถึงหมู่บ้านอลิมาต็อกซึ่งมีงานวัดเมื่อคืนก่อน และพบคริสตินา(Christina) ลูกสาวอีกคนของเธอ
วัย 14 ปีที่ค้างคืนที่บ้านเพื่อน

เนนิตาและคริสตินาเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านซานติอาโก สองแม่ลูกก้าวเดินไป คอยหลบหลีกแง่หิน
แหลมคมและร่องทางเกวียนที่เป็นหล่มลึกถึงหัวเข่าอย่างคล่องแคล่ว

ตอนบ่ายคล้อย ฝนตกลงมาอย่างหนัก หยดน้ำฝนที่เยือกเย็นตกลงมาถูกแผลไฟไหม้ที่พุพองอยู่ที่
หลังของโรนา คริสตินายกใบตองใบโตขึ้นป้องกันน้ำฝนให้น้องสาว ในที่สุดขบวนน้อยๆที่น่าสงสารก็
ต้องหยุดคอยให้พายุฝนพัดผ่านไปก่อน

ขณะที่เอาโรนาลงจากหลัง เนนิตาเห็นนัยน์ตาทั้งสองข้างของโรนาลืมอยู่และกำลังมองหล่อน

“แม่จ๋า” เสียงเล็กๆดังขึ้น “เราอยู่ที่ไหนกันนี่คะ”

ความปีติยินดีแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเนนิตา “เรากำลังจะไปหาหมอกันจ้ะลูก” หล่อนตอบอย่างอ่อนโยน
เนนิตามีกำลังใจท่วมท้นแล้วตะโกนบอกคริสตินาด้วยความดีใจว่า
“โรนายังไม่ตาย!”

“ใช่จ้ะ” เสียงเล็กๆนั้นดังขึ้นอีก

“หนูยังอยู่ตอนนี้ แต่หนูอาจจะตายอีกทีก็ได้”

เมื่อโรนารู้สึกตัว เธอรู้สึกเจ็บปวดบาดแผลเป็นอย่างยิ่ง เนนิตาหยุดพักไม่ได้แล้ว เธอรีบแบกโรนา
ไว้บนหลังอีกครั้งและเริ่มเดินทางฝ่าพายุฝนและลุยโคลนไปด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้ากว่าเดิม

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 30, 2023 9:18 pm

แล้วเด็กน้อยจักนำพวกเขาไป (And The Child Shall Lead Them) ตอนที่ ( 4 )
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540 โดย Henry Hurt
รวบรวมและจากกูเกิล 2565 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หมอแอกแนส (Agnes) กำลังอยู่ในที่พักที่โรงพยาบาลชั้นเดียวขนาดเล็กเมื่อมีคนมาตามตัว
ขณะนั้นเป็นเวลา 10.00 น. เมื่อหมอตรวจดูอาการของโรนาก็พบว่าเด็กน้อยมีบาดแผลไฟไหม้
สาหัสมากบนหนังศีรษะและหลัง หูซ้ายของเธอไหม้หมด บาดแผลนั้นเกิดขึ้นนานกว่า 15 ชั่วโมงแล้ว
และกำลังติดเชื้อ

“ประหลาดเหลือเกินที่โรนาสามารถทนได้ถึงขนาดนี้ เธอจำเป็นต้องอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาล
มิฉะนั้นเธอจะตายแน่” หมอบอกเนนิตา

เนนิตาอธิบายว่า ครอบครัวของเธอไม่มีเงินค่ารักษาและขอให้โรนารับเพียงการปฐมพยาบาลก็พอ
มิฉะนั้นเธอจะต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่าย :

“ดิฉันไม่อาจตัดอนาคตของลูกๆทั้งหมดเพื่อช่วยลูกเพียงคนเดียวหรอกค่ะ” เนนิตาพูดหนักแน่นต่อหน้า
โรนา นัยน์ตาของเด็กน้อยบ่งบอกว่าเข้าใจและเห็นด้วย การรักษาพยาบาลอาจหมายถึงว่า พ่อแม่จะ
ไม่มีเงินซื้อหนังสือเรียนให้พี่น้องของเธอ

ที่จริงการดำรงชีวิตอยู่บนเกาะนีกรอสเป็นเรื่องลำบากยิ่งนัก อย่างไรก็ตามหมอผู้มีน้ำใจงามตัดสินใจ
จะรักษาโรนาและยืนยันกับเนนิตาว่าจะเป็นผู้รับภาระค่ารักษาพยาบาลไว้เอง หมอรู้สึกทึ่งที่เห็นโรนายัง
ร่าเริงอยู่ได้ทั้งๆที่เจ็บปวดแสนสาหัส

หลังจากรักษาอยู่ 4 วัน หมอก็แนะให้ย้ายโรนาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลซึ่งทันสมัยกว่าที่เมือง
บาโคลอด (Bacolod) ซึ่งอยู่ไกลออกไป 80 กิโลเมตร

การรักษาบาดแผลไฟไหม้ทำให้โรนาเจ็บปวดยิ่งนัก เมื่อบาดแผลที่หลังซึ่งถูกไฟไหม้ระดับ 3
และศีรษะหายแล้วก็มีสิ่งที่เลวร้ายกว่าตามมาคือแผลเป็นที่น่ากลัว เป็นแผลเป็นที่ทำให้กล้ามเนื้อที่บ่า
และคอของโรนาหดตัวและดึงศีรษะของเธอลงมาคล้ายศีรษะของคนหลังค่อม

หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งและสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งหนึ่งออกข่าวเรื่องเด็กน้อยผู้กล้าหาญ
ซึ่งถูกไฟไหม้สาหัสเพราะช่วยชีวิตพี่น้องของเธอไว้ได้ถึง 5 คน มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นเพื่อช่วยจ่ายค่า
รักษาพยาบาล ดังนั้นในเดือนมิถุนายนต่อมา เนนิตาจึงพาโรนาออกจากโรงพยาบาลและได้รับยา
สามัญสำหรับใช้รักษาบาดแผลไปจำนวนหนึ่ง แล้วสองแม่ลูกก็เริ่มเดินทางไกลกลับบ้าน เนนิตากลับไป
ทำงานเหมือนเดิม เธอบากบั่นที่จะหาเงินให้ได้มากที่สุดเพื่อการศึกษาของลูกๆ

ขณะที่โรนาช่วยดูแลสวนของครอบครัวและตักน้ำจากบ่อน้ำพุธรรมชาตินั้น รอยยิ้มของเธอและ
ความสุกใสไม่ได้จางหายไปจากดวงตาของหนูน้อยเลย เธอกับพี่น้องเล่นสนุกสนานด้วยกัน แต่ความรื่นเริง
เบิกบานทั้งหลายก็ไม่อาจลบล้างความพิการอันเกิดจากบาดแผลไฟไหม้ให้หายไปจากเธอได้

เดือนกรกฎาคมหมุนเปลี่ยนไปเป็นเดือนสิงหาคม ยาที่โรงพยาบาลให้มาเหลือน้อยเต็มที การหดตัว
ของกล้ามเนื้อที่บ่าทำให้โรนาเดินกะโผลกกะเผลกและงุ่มง่ามมากยิ่งขึ้นทุกวัน แต่การกลับไปโรงพยาบาล
อีกครั้งเพื่อรับการผ่าตัดแก้ไขเป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะปัญหาการเงินในครอบครัวที่แสนอัตคัด เนนิตาสวด
ภาวนาขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาทำสิ่งที่เธอไม่สามารถทำได้ นั่นคือช่วยให้ลูกน้อยคนนี้หายเป็นปกติ

โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 30, 2023 9:22 pm

แล้วเด็กน้อยจักนำพวกเขาไป (And The Child Shall Lead Them) ตอนที่ ( 5 )(ตอนจบ)
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540 โดย Henry Hurt รวบรวมและ
จากกูเกิล 2565 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

บ่ายวันอาทิตย์หนึ่งกลางเดือนสิงหาคม ผู้ว่าการกรุงมะนิลา อัลเฟรโด ลิม (Mayor Alfredo Lim)นั่
งอ่านบทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ ”ทูเดย์”(Today) อยู่ที่บ้าน ชายร่างสูง ผมสีเทาผู้นี้รู้สึกว่าน้ำตา
กำลังเอ่อล้น

คณะกรรมการบริหารกรุงมะนิลาเพิ่งมีมติมอบรางวัลให้นักมวยชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งซึ่งได้รับ
เหรียญเงินในกีฬาโอลิมปิกที่เมืองแอตแลนตามาหมาดๆ แต่เขาบอกปัดเงินรางวัลดังกล่าวอย่างไม่ไยดี
ขณะนี้หนังสือพิมพ์เสนอวิธีแก้ปัญหานี้ให้เขาแล้ว

บทความในหนังสือพิมพ์แนะให้ผู้ว่าฯลิมมอบเงินดังกล่าวให้แก่ผู้ที่สมควรได้รับเหรียญทองอย่าง
แท้จริง บุคคลผู้นั้นคือเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งซึ่งเมื่อ 3 เดือนก่อนเป็นแชมเปียนแลกชัยชนะและเกียรติยศ
มาด้วยเลือดเนื้อ ไม่ใช่บนสังเวียนมวย แต่เป็นสังเวียนเพลิง

เมื่อครั้งที่ลิมเป็นข้าราชการตำรวจผู้เอาจริงเอาจัง ท่านได้รับฉายาว่า “มือปราบปืนโหดแห่งฟิลิปปินส์”
เพราะความเด็ดเดี่ยวในการปราบปรามโสเภณี การค้ายาเสพติด และอาชญากรรมอื่นๆนั่นเอง
ท่านประกาศก้องว่า จะปกป้องคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ตลอดไป ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งวิจารณ์ว่า
“ท่านแทบไม่เคยใช้วิธีการสามัญเลย”

ผู้ว่าฯ ลิมโทรศัพท์ไปที่กองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ ”ทูเดย์” แต่หลายคนที่ท่านพูดด้วยใน
วันอาทิตย์นั้นไม่มีใครทราบที่อยู่ละเอียดของหนูน้อยผู้ถูกไฟไหม้เลย ผู้ว่าฯจึงเช่าเครื่องบินไปยัง
เกาะนีกรอสด้วยตนเอง

วันที่ 20 สิงหาคม 2539 ในขณะที่เนนิตากำลังซักผ้าอยู่ที่แม่น้ำ มีคนวิ่งมาบอกว่าตำรวจมาตามหา
เธอที่บ้าน นานๆครั้งผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูงนี้จะเห็นชายในเครื่องแบบสักที สิ่งที่ตำรวจพูดนั้นยากที่
จะเข้าใจ ฟังดูคล้ายกับว่า ผู้ว่าการกรุงมะนิลากำลังมาพบเนนิตาและต้องการพบโรนาด้วย

หลังจากที่พูดกับตำรวจอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจกันนักแล้ว เนนิตาก็เดินกลับเข้าบ้านไปหาโรนา
ในที่สุดสองแม่ลูกก็เริ่มเดินทางไกลลงจากภูเขาไปกับตำรวจกลุ่มนั้น ครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทางด้วยเท้า
แต่ด้วยรถบรรทุก

เมื่อทั้งหมดมาถึง ผู้ว่าฯร่างสูงก็โน้มตัวลงไปหาโรนา นัยน์ตายิ้มแย้มของเธอทำให้ท่านรู้สึก
เอ็นดูเธอทันที ผู้ว่าฯลิมเห็นแผลเป็นหนาสีแดงที่คอและหลังของโรนา แผลเป็นนี้ดึงบ่าของเธอขึ้นไป
ข้างบนซึ่งทำให้เธอยกแขนซ้ายไม่ได้

“ฉันอยากพาเธอทั้งสองไปมะนิลา” ผู้ว่าฯบอกโรนาและแม่ของเธอ

เตียงน้ำในห้องพักอันสดใสของโรนาสั่นไปมาเมื่อโรนาเล่นม้ากระโดดกับโรดาพี่สาวในช่วงเวลา
1 เดือนตั้งแต่โรนามาถึงกรุงมะนิลา คณะแพทย์ได้เริ่มชุดการผ่าตัดเพื่อแก้ไขกล้ามเนื้อที่คอและบ่า
ของเธอทำงานดีขึ้น การตัดผิวหนังมาแปะเพื่อทำให้แผลเป็นของเธอหายไป จะกินเวลาอีกนาน ทางการ
มะนิลาเป็นผู้ออกค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดให้

ครอบครัวของเนนิตาได้รับของขวัญเป็นเงินถึง 2.7 ล้านเปโซ (ราว 2.6 ล้านบาท) เงินส่วนใหญ่จะ
นำไปฝากธนาคารไว้เป็นทุนการศึกษาของเด็กๆต่อไป

โรนาใฝ่ฝันว่าจะเป็นครู ผู้ว่าฯลิมซึ่งแวะมาเยี่ยมเด็กน้อยกล่าวว่า “เราต้องปกป้องเด็กหญิงเล็กๆ
คนนี้ไว้เพื่อให้จิตใจอันงดงามของเธอเลื่องลือไปทั่ว”
ท่านกล่าว “หากทุกคนปฏิบัติตามตัวอย่างของเธอ โลกของเราจะน่าอยู่ขึ้นอีกมาก”

โรนาเผชิญกับกรรมวิธีบำบัดรักษาด้วยความกล้าหาญเหมือนเมื่อเผชิญกับไฟมรณะ เมื่อมีคนถาม
เรื่องความกล้าหาญผิดธรรมดาของเธอ โรนาตอบง่ายๆแต่ลึกซึ้งว่า “หนูทำอย่างนั้นเพราะทุกคนในบ้าน
เป็นพี่น้องของหนู และหนูรักพี่น้องทุกคนค่ะ”

**********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 30, 2023 9:27 pm

ตามใจเจ้า มีทั้งหมด 5 ตอน

"ตามใจเจ้า" ตอนที่ (|)จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540 โดย W.W. Meade
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

นับตั้งแต่ผมโตพอจะช่วยทำงานในฟาร์มของครอบครัวเราที่รัฐอินเดียนา ผมก็ทราบดีว่าพ่อ
คาดหวังสิ่งใดจากผม ผมต้องทำการบ้านให้เสร็จตามกำหนด ต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรม
ต้องไม่แก้ตัวไม่ว่าในกรณีใดหากไม่จำเป็น และผมจะต้องเป็นแพทย์เมื่อโตขึ้น
สมาชิกในครอบครัวเราเป็นแพทย์มา 3 ชั่วอายุคนแล้ว นั่นคือสิ่งที่เราปฏิบัติสืบทอดกันมา ผมทราบดี
ว่าผมจะต้องปฏิบัติเช่นนั้นด้วย ผมได้รับหูฟังสำหรับแพทย์อันแรกเมื่ออายุ 6 ขวบ

ผมได้ฟังเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับชีวิตทั้งหลายที่ปู่ช่วยให้รอดตาย ทารกทั้งหลายที่ท่านทำคลอด เวลา
ที่ท่านอดหลับอดนอนเฝ้าไข้เด็กคืนแล้วคืนเล่า และฟังเรื่องราวต่างๆอย่างเดียวกันนี้เกี่ยวกับพ่อ
ในขณะที่ พ่อกลายเป็นเทพเจ้าในดวงใจของผมมากขึ้นทุกขณะ แรงกดดันจากความคาดหวังที่
ให้ผมปฏิบัติตาม ประเพณีของครอบครัวก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
เมื่อวันเกิดของผม พ่อมอบเครื่องรางของขลังทางการแพทย์ของบรรพบุรุษให้ เช่นหลอดแก้วฉีดยาของปู่
ปรอทวัดอุณหภูมิของลุง เป็นต้น พ่อชี้ให้ดูว่าแผ่นทองเหลืองสลักชื่อผมน่าจะติดอยู่ตรงไหนของประตูห้อง
ทำงานผม ภาพลักษณ์ของอาชีพที่ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จึงตราตรึงอยู่ในจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก
แต่เมื่อถึงเวลาใกล้จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ผมเริ่มรู้สึกว่าอาชีพแพทย์ไม่ใช่สิ่งที่หัวใจของผมร่ำร้องหา
ผมรู้สึกกับสภาพการณ์หลายอย่างแตกต่างไปจากพ่อมาก ผมเห็นพ่อถูกลากตัวจากที่นอนตอนตีสามเพื่อ
ไปรักษาเด็กคนหนึ่งซึ่งมีอาการปอดอักเสบกำเริบเนื่องจากพ่อแม่ของแกไม่ได้พาแกไปหาหมอแต่เนิ่นๆ
ซึ่งถ้าเป็นผม ผมจะไม่ตามใจพ่อแม่ของคนไข้แบบนี้ ซึ่งต่างกันกับพ่อ

“พ่อแม่ทุกคนต่างอยากให้ลูกหายป่วยเร็วที่สุด และบางทีก็รับไม่ได้ว่าเด็กกำลังป่วยหนัก”
พ่อพูดอย่างให้อภัย

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์น่ากลัวอื่นๆที่ผมคิดว่าตนเองคงทนดูไม่ได้ เช่น เด็ก 10 ขวบตายเพราะขากรรไกรแข็ง
เป็นต้น สิ่งที่ทำให้ผมว้าวุ่นใจมากที่สุด คือความกลัวว่าตัวเองไม่เป็นลูกชายตามที่พ่อใฝ่ฝันไว้ ผมไม่กล้า
บอกพ่อเรื่องความไม่แน่ใจของผมในอาชีพแพทย์ ผมหวังว่าผมคงแก้ไขปัญหานี้ได้เอง

โปรดติดตามตอนที่ (2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 30, 2023 9:29 pm

"ตามใจเจ้า" ตอนที่ ( 2 )จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540
โดย W.W. Meade รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ในช่วงฤดูร้อนก่อนเข้ามหาวิทยาลัย จิตใจของผมตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อย่างหนัก พ่อใช้ให้ผมทำงานท้าทายอย่างหนึ่งซึ่งผมเองก็หวังว่าจะช่วยให้เลิกครุ่นคิดถึงปัญหา
ที่กำลังเผชิญอยู่ได้ ฟาร์มของเรามีฝูงม้าที่พ่อเลี้ยงและมีคอกผสมพันธุ์สุนัขล่านกที่ผมเป็นคนฝึก

คนไข้คนหนึ่งให้ลูกสุนัขเซ็ตเทอร์ (Setter) พันธุ์อังกฤษกับพ่อแทนค่ารักษา พ่อมอบหน้าที่ให้ผม
ดูแลลูกสุนัขตัวนี้เช่นเคย “ดูซิว่าลูกจะฝึกอะไรให้มันได้บ้าง” พ่อพูด “พ่อไม่ได้หวังอะไรมากหรอกนะ”

พ่อไม่ได้คาดหวังว่าจะมีปัญหาใดๆในการฝึกเจอร์รี่ เพราะลูกสุนัขอายุ 10 เดือนตัวนี้ว่าง่าย ตัวมัน
สีขาวมีด่างเล็กๆเป็นสีน้ำตาลแดงพร้อมไปทั้งตัวเหมือนสุนัขเซ็ตเทอร์ทั้งหลาย หูสีแดงหนายาวมาก
จนดูเหมือนตัวตลก

การฝึกเจอร์รี่ช่วงแรกนั้นง่าย มันทำตามคำสั่งเบื้องต้นได้ เช่น นั่ง หยุดอยู่กับที่ หมอบ และเดิน
คำสั่งเดียวที่มันมีปัญหาคือ “มานี่” เพราะทุกครั้งที่เข้าไปในพงหญ้า มันจะวิ่งเล่นไม่ยอมหยุด ผมตะโกน
เรียก “เจอร์รี่! มานี่!” และเป่านกหวีดฝึกให้เสียง มันหันมามองผมแล้วก็วิ่งเล่นต่อไป
เมื่อเราฝึกเสร็จ ผมจะนั่งอยู่กับเจอร์รี่ใต้ต้นโอ๊กแก่และพูดกับมัน ผมพูดถึงสิ่งที่มันควรรู้ และบางครั้งก็
พูดเรื่องตัวเอง “เจอร์รี่”ผมพูด “ฉันไม่ชอบอยู่ใกล้ๆคนไข้เลย เป็นเจ้า เจ้าจะทำยังไง”

เจอร์รี่นั่งลงและจ้องตาผมแล้วก็เอียงคอ มันทำท่าเคร่งขรึมจนผมหัวเราะออกมาเสียงดัง และลืมเรื่อง
ที่กำลังกลุ้มใจอยู่ไปชั่วขณะ

หลังจากนั้น ผมลองให้เจอร์รี่ล่านกจริงๆ ลีลาของมันยอดเยี่ยมทีเดียว มันย่อตัวลงต่ำและเคลื่อนตัว
ตามกลิ่นไปอย่างรัดกุม แต่ละย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เมื่อรู้ว่านกอยู่ที่ไหน มันก็ทำตัวแข็ง
โน้มหัวไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่วไปทางนก แล้วก็ยกเท้าขวาขึ้นเล็กน้อยตามตำรา

หลังอาหารเย็นวันหนึ่ง ผมพาเจอร์รี่ออกไปที่ทุ่งหญ้าเพื่อออกกำลัง เมื่อเราเดินเข้าไปในพงหญ้าสูงถึง
หัวเข่าได้ไกลราว 90 เมตร นกนางแอ่นบ้านตัวหนึ่งซึ่งกำลังบินแฉลบหาแมลงกินอยู่ในแสงสลัวยาม
พลบค่ำบินโฉบลงมาโดนหัวเจอร์รี่

นกคุ่มที่เจอร์รี่ฝึกล่าไม่เคยทำตัวอย่างที่นกนางแอ่นกำลังทำอยู่เลย เจอร์รี่ยืนจังงังอยู่กับที่ หลังจากนั้น
ชั่วครู่ก็เริ่มวิ่งไล่กวดนกนางแอ่นไป ฝ่ายหลังบินต่ำลงและบินวนเวียนไปมาเพื่อหยอกเย้าเล่นกับเจอร์รี่
ซี่งเป็นผลทำให้มันวิ่งวุ่นด้วยความเบิกบานสำราญใจ

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 30, 2023 9:31 pm

"ตามใจเจ้า" ตอนที่ ( 3 )จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540
โดย W.W. Meade รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

นกนางแอ่นบินนำเจอร์รี่ลงไปที่สระน้ำและบินเลียบแนวรั้วกั้นทุ่งหญ้ากลับมาราวกับจะยั่วให้
เจอร์รี่ตาม แล้วมันก็บินขึ้นสูงหายลับไปในท้องฟ้า เจอร์รี่ยืนดูนกนางแอ่นอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็วิ่ง
หอบฮักๆมาหาผม ดูอารมณ์ดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นมา

วันต่อๆมา ผมสังเกตว่านกไม่สำคัญสำหรับเจอร์รี่แล้ว แต่การวิ่งเล่นต่างหากที่สำคัญสำหรับมัน
มันวิ่งหน้าตั้งผ่านเข้าไปในพงหญ้าอย่างรวดเร็วราวกับสัตว์ป่าที่แสนปราดเปรียว

ผมรู้ว่าเจอร์รี่ได้กลิ่นนกคุ่มเพราะมันสะบัดหัวเล็กน้อยขณะวิ่งผ่านฝูงนกคุ่ม มันรู้ดีว่าควรทำอย่างไร
แต่มันไม่ทำเสียดื้อๆ ในที่สุดก็วิ่งกลับมาหาผม ทั้งเหน็ดเหนื่อยและนัยน์ตาแดงก่ำ มันนอนลงบนพื้นดิน
ด้วยท่าทางของสุนัขที่สุขสำราญใจจนทำให้ผมต้องลำบากใจที่จะดุมัน

“เจ้าหมาประหลาดตัวนี้เป็นอะไรไปนะ” ผมถามตัวเอง “สั่งให้ทำอะไรก็ไม่ยอมทำตาม”

ผมเริ่มอธิบายวิธีล่านกตั้งแต่ต้นอีกครั้ง มันตั้งใจฟังอยู่ 2-3 นาที แล้วก็แอบงับผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่
จากกระเป๋าหลังของกางเกงผมและวิ่งตัดทุ่งหญ้าไป จมูกเชิดอยู่ในสายลม ขาทั้งสองข้างวิ่งห้อสุดเหวี่ยง
บางช่วงผมเห็นเพียงต้นหญ้าสูงที่โบกไหวๆตามหลังมัน

การวิ่งเป็นความปีติยินดีสำหรับเจอร์รี่ แม้ผมจะมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะฝึกมันอย่างดี น่าแปลก
ที่ผมก็เริ่มรู้สึกสนุกสนานไปด้วยเมื่อเห็นมันวิ่ง ผมไม่เคยประสบความล้มเหลวในการฝึกสุนัขล่านกมา
ก่อนเลย แต่ครั้งนี้คงต้องปราชัยแน่ๆ ในที่สุดเมื่อถึงเดือนกันยายน ผมต้องบอกพ่อว่าสุนัขล่านกตัวนี้
ไม่ยอมล่านก

“ถ้าอย่างนั้น มันก็ทำโทษตัวเอง” พ่อพูด “เราต้องทำหมันมันและยกให้คนในเมืองเอาไปเลี้ยงเฝ้าบ้าน
หมาที่ไม่ทำสิ่งที่มันเกิดมาเพื่อทำนั้นนับว่าเสียชาติเกิด”

พ่อเข้มงวดมากเรื่องสุนัขของท่าน พ่อไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดในการผสมพันธุ์สุนัขล่านกเหล่านี้
แต่การเป็นสุนัขเฝ้าบ้านจะทำร้ายจิตใจของเจอร์รี่อย่างแสนสาหัส วันรุ่งขึ้น ผมจึงพูดกับมันยืดยาว
ใต้ต้นโอ๊กต้นเดิม

“การวิ่งเล่นกำลังจะทำให้เจ้าตกอับ” ผมเตือนมัน “เจ้าล่านกให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยวิ่งเล่นไม่ได้รึ”

เจอร์รี่เงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินผมเอ็ดมัน เหลือบตามองผมอย่างเดียวกับตอนที่ถูกจับได้ว่าทำผิด
คราวนี้ผมเองเริ่มรู้สึกเศร้าใจ ผมล้มตัวลงนอนหงายและเจอร์รี่ก็ล้มตัวลงนอนใกล้ผม หัวหนุนอยู่บน
หน้าอกผม ขณะที่ผมเกาหูมัน ผมหลับตาและคิดถึงปัญหาของตัวเองอย่างหมดหวัง

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 30, 2023 9:33 pm

"ตามใจเจ้า" ตอนที่ ( 4 )จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540
โดย W.W. Meade รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เช้าตรู่ของวันเสาร์ต่อมา พ่อพาเจอร์รี่ออกไปสำรวจดูด้วยตัวเองว่ามันทำอะไรได้บ้าง
ตอนแรก เจอร์รี่วิ่งลุยเข้าไปในทุ่งหญ้าราวกับมืออาชีพ เมื่อเคลื่อนตัวเข้าไปถึงนกคุ่มฝูงหนึ่ง มันก็
ชี้ตำแหน่งนกได้อย่างสวยงามตามตำรา พ่อยิงนก 2 ตัว และเจอร์รี่ก็วิ่งไปเก็บนกเหล่านั้นมาใ
ห้พ่อได้โดยเรียบร้อย

พ่อมองดูผมด้วยท่าทางชอบกล ดูราวกับว่าผมโกหกท่านเรื่องเจอร์รี่ ฉับพลันนั้นเอง เจอร์รี่ก็ออกวิ่ง

“เจ้าหมาร้ายกาจตัวนี้กำลังทำอะไรน่ะ”

“วิ่งครับ” ผมตอบ “มันชอบวิ่งครับ”

เจอร์รี่ยังคงวิ่งต่อไป มันวิ่งเลียบไปตามแนวรั้วแล้วร่างผอมของมันก็กระโดดข้ามรั้วตัวลอย มันวิ่งไป
อีกเกือบ 100 เมตรแล้วโดดถลาลงไปในสระน้ำคล้ายติดปีก หยดน้ำกระเซ็นกระทบแสงแดดดูงาม
ละลานตา มันวิ่งอย่างเป็นธรรมชาติและสง่างามที่สุด... การวิ่งทำให้มันเป็นหนึ่งเดียวกับทุ่งหญ้า
สายลม และแสงแดด

“นั่นไม่ใช่หมาล่าสัตว์!” นั่นมันกวางนี่ลูก!” พ่อร้อง

ในขณะที่ผมยืนเฝ้ามองสุนัขของผมประสบความล้มเหลวในการทดสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของมัน
พ่อเอามือแตะบ่าผมและพูดว่า “เราต้องยอมรับความจริง มันคงทำไม่ได้ดีไปกว่านี้”

วันรุ่งขึ้น ผมจัดกระเป๋าเตรียมกลับไปเรียนหนังสือแล้วเดินไปที่คอกสุนัขเพื่ออำลาเจอร์รี่ แต่มันไม่อยู่ที่นั่น
ผมสงสัยว่าพ่ออาจพามันเข้าไปในเมือง ผมขมขื่นใจเหลือเกินเมื่อรู้สึกว่าทำให้ทั้งตัวเองและพ่อต้องผิดหวัง

แต่เมื่อเข้าไปในบ้าน ผมก็โล่งใจเมื่อเห็นพ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้เตาผิง โดยมีเจอร์รี่นอนหลับอยู่แทบ
เท้าของท่าน

พ่อปิดหนังสือและมองตรงมาที่ผม “ลูกรัก พ่อรู้ว่าหมาตัวนี้ล่าสัตว์ไม่ได้ทั้งที่มันเกิดมาเป็นหมาล่าสัตว์”
พ่อพูด “แต่สิ่งที่มันทำนั้นยิ่งใหญ่ มันทำให้คนที่เฝ้าดูมันเกิดกำลังใจ”

พ่อยังคงมองหน้าผมเขม็ง ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกว่าท่านสามารถอ่านหัวใจผมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“ชีวิตทั้งหลายมีคุณค่าคู่ควรกับที่เกิดมา” พ่อพูดต่อ “ก็ต่อเมื่อชีวิตนั้นๆเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น
สำนึกรู้และรู้อย่างเข้าถึงกระดูกดำทีเดียวว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น"

ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด “พ่อครับ” ผมพูด “ผมคิดว่าผมคงเรียนแพทย์ไม่ไหวครับ”

โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 30, 2023 9:35 pm

"ตามใจเจ้า" ตอนที่ ( 5 )(ตอนจบ) จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540
โดย W.W. Meade รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

พ่อหลบตาลงต่ำราวกับว่าในที่สุดท่านก็ได้ยินสิ่งที่ตัวเองกลัวหนักหนา อากัปกิริยาของพ่อ
เปลี่ยนเป็นเศร้าโศกอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจของผมจะแตกสลาย แต่เมื่อท่าน
มองดูผมอีกครั้ง ใบหน้าของท่านบ่งบอกถึงความไม่เสียดายอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

“พ่อรู้” ท่านพูด “พ่อมั่นใจมากเมื่อพ่อเฝ้าดูลูกกับเจ้าหมาไร้สาระตัวนี้ ลูกน่าจะได้เห็นสีหน้าของ
ตัวเองตอนมันออกวิ่ง”

ผมอยากร้องไห้เมื่อคิดถึงความผิดหวังอย่างรุนแรงของพ่อ ผมหวังเหลือเกินว่าตัวผมจะมีอะไร
สักอย่างที่ทำให้พ่อมีความสุข

“พ่อครับ” ผมพูด “ผมขอโทษครับ”

พ่อมองผมอย่างเด็ดเดี่ยว “ลูกรัก” พ่อไม่ผิดหวังในตัวลูกหรอก สักวันหนึ่ง เมื่อลูกอยู่ในสภาพเดียว
กับพ่อในขณะนี้ ลูกจะเข้าใจเรื่องนี้ จริงอยู่ พ่อผิดหวังที่ลูกจะไม่เป็นหมอ แต่พ่อไม่ผิดหวังในตัวลูก”

“คิดูซิว่าลูกพยายามทำอะไรให้เจอร์รี่” พ่อพูดต่อ “ลูกคาดหวังว่ามันจะเป็นพรานล่านก อย่างที่ลูกฝึก
ให้มันเป็น แต่มันกลับไม่เป็นเสียดื้อๆ ลูกรู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ”

ผมมองดูเจอร์รี่ มันยังหลับอยู่ ขาของมันกระตุก ดูเหมือนมันกำลังวิ่งเล่นอยู่ในความฝัน

“ผมคิดว่าผมพ่ายแพ้ชั่วขณะหนึ่ง” ผมตอบพ่อ “แต่เมื่อผมเฝ้าดูเจอร์รี่วิ่ง เห็นมันรักการวิ่ง ผมก็คิดว่า
นั่นเป็นสิ่งที่ดีพอแล้ว”

“ดีแน่!” พ่อพูด ท่านมองดูผมอย่างใจจดจ่อ “คราวนี้เรามาคอยดูกันว่าลูกจะวิ่งอย่างไร”

พ่อแตะไหล่ผม กล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วออกไปจากห้อง ชั่วครู่นั้นเองที่ผมเกิดเข้าใจพ่ออย่างที่ไม่เคย
รู้สึกเช่นนั้นมาก่อน ความรักที่ผมมีต่อท่านดูจะแผ่ซ่านไปทั่วห้อง ผมนั่งลงใกล้เจอร์รี่ เอามือเกาที่
ร่องกลางไหล่ของมัน “ฉันสงสัยเหมือนกันว่าฉันจะวิ่งอย่างไร” ผมกระซิบบอกมัน “ฉันสงสัยจริงๆ”
เจอร์รี่ผงกหัวขึ้นมาเล็กน้อย เลียมือผม เหยียดขา แล้ววิ่งกลับไปหาสถานที่อันแสนรื่นรมย์
ในความฝันของมันต่อไป


*************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 30, 2023 9:42 pm

ไมเคิลแอนเจโล ไม่ใช่ศิลปินเดี่ยว มี ( 2 ) ตอนจบ


ไมเคิลแอนเจโล ไม่ใช่ศิลปินเดี่ยว ตอนที่ ( 1 )จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540
โดย William E. Wallace และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

คนทั่วไปมักคิดว่า ศิลปินอย่างไมเคิลแอนเจโล (Michelangelo : 6 มีนาคม ค.ศ.1475 -
18 กุมภาพันธ์ 1564) เป็นอัจฉริยะบุคคลที่ทำงานอย่างโดดเดี่ยวและต้องทนหลังขดหลังแข็ง
อยู่บนนั่งร้าน มือถือพู่กันปาดป้ายไปมาตลอดเวลาเพื่อวาดภาพบนผนังโบสถ์ งานจิตรกรรมที่
งดงามบนเพดานวัดซิสติน (Sistine Chapel) ในนครวาติกันซึ่งเป็นฝีมือของท่านช่วงต้นศตวรรษที่ 16
และได้รับการปฏิสังขรณ์จนเสร็จเมื่อ 30 ธันวาคม 2532 ดูเหมือนยืนยันความเชื่อดังกล่าว แต่นั่นเป็น
เรื่องไม่จริง ที่จริงศิลปินเชื้อสายอิตาเลียนยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา(Renaissance)ท่านนี้อาศัยน้ำพักน้ำแรง
ของผู้อื่นทั้งสิ้น ถ้าเปรียบกับคนในยุคปัจจุบัน ไมเคิลแอนเจโลก็เปรียบได้กับนักบริหารธุรกิจที่ประสบ
ความสำเร็จสูงสุดท่านหนึ่ง

ข้อมูลใหม่ที่พบในหอจดหมายเหตุในเมืองฟลอเรนซ์และเมืองปิซา (Pisa) ยืนยันว่า ไมเคิลแอนเจโล
เป็นคนที่หมกมุ่นกับเรื่องละเอียดหยุมหยิม และข้อมูลนี้เองที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นนักธุรกิจของท่าน
ท่านเป็นเสมือนผู้บริหารระดับสูงของบริษัทขนาดกลางที่ต้องคอยรายงานผลประกอบการต่อประธาน
กรรมการบริษัทที่เปลี่ยนหน้ากันอยู่หลายคน ซึ่งในที่นี้ก็คือพระสันตะปาปาซึ่งบางองค์ก็ค่อนข้างจะจู้จี้ทีเดียว

ไมเคิลแอนเจโลเป็นคนมีรสนิยมดีเลิศ ท่านเดินทางออกตรวจผลงานถ้าเทียบกับปัจจุบันก็คือโดยสาร
เครื่องบินในชั้นนักธุรกิจ (บนหลังลา) หรือชั้นหนึ่ง (ขี่ม้า) และแต่งตัวทันสมัยในชุดสีดำ
ดื่มไวน์”เทรบบีอาโน” (Trebbiano) และกินลูกแพร์จากเมืองฟลอเรนซ์

ที่เล่ากันมาว่าไมเคิลแอนเจโลทำงานตามลำพังนั้น ฟังแล้วช่างลงตัวเหลือเกินกับลักษณะของศิลปิน
ผู้เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ทั้งที่ความจริงแล้ว ท่านแทบไม่เคยทำงานคนเดียวเลย ท่านมีช่าง
อย่างน้อย 13 คนช่วยแต่งแต้มสีบนเพดานวัดซิสติน และอีกราว 20 คนช่วยแกะสลักสุสานหินอ่อน
ที่วัดเมดิซี (Medici Chapel)ในเมืองฟลอเรนซ์โดยถ่ายทอดเรื่องราวของกลางวันกับกลางคืน รุ่งอรุณ
กับตะวันลับฟ้า และท่านยังเป็นผู้บัญชาการลูกมือกว่า 200 คนตลอดเวลา 18 ปีที่ก่อสร้างห้องสมุด
ลอเรนเซียน (Lorentian Library)ในเมืองฟลอเรนซ์

เรารู้จักคนที่มาช่วยไมเคิลแอนเจโลทำงาน เพราะท่านบันทึกไว้ทุกอาทิตย์ว่า คนมาทำงานด้วยชื่ออะไร,
มาทำงานกี่วัน, และได้ค่าจ้างเท่าไร ผู้มาร่วมงานส่วนใหญ่เป็นคนคุ้นเคยจนท่านเรียกชื่อเล่นหรือ
สมญานามของพวกเขา

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 30, 2023 9:46 pm

ไมเคิลแอนเจโล ไม่ใช่ศิลปินเดี่ยว ตอนที่ ( 2 )จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนเมษายน 2540
โดย William E. Wallace และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ไมเคิลแอนเจโลรู้จักคนงานของท่านทุกคนเป็นอย่างดี ราวกับเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล
แม้คนงานบางคนจะทำให้ท่านผิดหวังบ้างในบางครั้ง แต่ท่านก็ไม่เคยไล่ออกจากงาน “คนเราต้องมี
ความอดทน” ท่านเขียนไว้ในบันทึกแสดงความเห็นต่อผลงานบางส่วนที่คุณภาพไม่เข้าขั้น
คนงานของท่านได้รับการผ่อนผันเรื่องวันลาหยุด ได้ค่าจ้างงามและมีความมั่นคงในหน้าที่การงาน
จะมียกเว้นบ้างก็เมื่อพระสันตะปาปาผู้อุปถัมภ์งานศิลปะของท่านสิ้นพระชนม์ ซึ่งทำให้กระแสเงินหมุนเวียน
หยุดชะงักไปบ้าง บางคนได้รับการว่าจ้างนานถึง 30 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งนับว่านานทีเดียวเมื่อคำนึงถึง
คนสมัยนั้นมีอายุสั้นกว่าคนในสมัยนี้

ความผูกพันใกล้ชิดของศิลปินกับคนงานในสังกัดทำให้มั่นใจได้ถึงเสถียรภาพของแรงงานและการควบคุม
คุณภาพที่รับประกันได้ เมื่อฟรานเชสโก ดา ซานกัลโล (Francesco da Sangallo : เกิด 1494 – ตาย 1576)
แกะสลักงานแย่ๆออกมาชิ้นหนึ่ง ไมเคิลแอนเจโลไม่ยอมจ่ายเงินให้ ท่านเขียนบันทึกว่า

“ข้าจะไม่ให้เงินเขาอีกแล้วถ้าเขาไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้”

ผู้จัดการอย่างไมเคิลแอนเจโลมีความสามารถรอบด้าน เมื่อท่านนึกฝันถึงการสร้างระเบียงวัด ห้องสมุด
และสุสานในเวลาเดียวกันที่เมืองฟลอเรนซ์ ท่านสามารถจัดตารางการทำงานของช่างแกะสลักหินอ่อน
ฝีมือเยี่ยม เพื่อให้ภาพฝันของท่านเป็นจริง

ไมเคิลแอนเจโลก็เหมือนมืออาชีพทั้งหลายที่สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที ท่านเดินเข้าเดินออกโรงงาน
ผลิตทุกวัน แถมยังทำงานแทบทุกวันเสาร์และวันหยุดต่างๆ พูดโดยย่อท่านดูแลรายละเอียดในงานบริหาร
อย่างถี่ถ้วนและเข้าไปรับรู้ทุกเรื่อง ท่านเขียนถึงการคุมพวกช่างแกะสลักซึ่งทำงานที่ห้องสมุดลอเรนเซียนว่า
ต้องใช้ ”ดวงตานับร้อยคู่”

ท่านยังกระตุ้นให้คนแข่งขันกันสร้างสรรค์และมีความคิดริเริ่มในการออกแบบและสร้างผลงาน ในการ
ก่อสร้างมหาวิหารซาน ลอเรนโซ(Basilica di San Lorenzo)ซี่งยิ่งใหญ่ตระการตาที่สุดในฟลอเรนซ์
ท่านใช้แท่งหินอ่อนจากเหมืองในเทือกเขาอัลไพน์ (Alpine Mountains) ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีเส้นทาง
เข้าถึงได้ ท่านจัดระบบขนส่งโดยใช้วัวและล้อเลื่อน เลือกสรรและตรวจสอบวัสดุทุกอย่างที่ใช้ เจรจา
ต่อรองเรื่องค่าขนส่ง ทั้งยังวาดแบบทุกชิ้นด้วยตนเองไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดหยุมหยิมขนาดไหน จากนั้น
ท่านก็จะพลิกกระดาษอีกด้านมาคิดตัวเลข ร่างจดหมายและเขียนบทกวีอีกด้วย
ไมเคิลแอนเจโลลาโลกไปในปี ค.ศ.1564 เมื่ออายุ 88 ปีโดยได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะแห่งการสร้างสรรค์
เป็นผู้บริหารที่ฉลาดหลักแหลม ทั้งยังสามารถรับภารกิจในโลกนี้และภารกิจของเบื้องบนได้อย่างสบายๆ
ท่านก็เหมือนกับนักธุรกิจทั้งหลายที่อาจผิดพลาดบ้างในการบริหาร แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการ
ใข้ประโยชน์จากคุณสมบัติยอดเยี่ยมของตัวเองและผู้ร่วมงาน งานที่ท่านส่งมอบนั้นล้วนสร้างความพึง
พอใจแก่ลูกค้าและผู้พบเห็นจวบจนทุกวันนี้

*******************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 30, 2023 9:49 pm

ดอลลาร์ใบสุดท้าย (Bottom Dollar) มีทั้งหมด ( 2 ) ตอนจบ


ดอลลาร์ใบสุดท้าย (Bottom Dollar) ตอนที่ ( 1 )จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนมีนาคม 2540
โดย Robert J. Duncan รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

คาเมรอนกับผมเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น เราทั้งสองต่างชอบดนตรี และหลังจากจบ
มัธยมปลายมาหลายปี คาเมรอนกลายเป็นนักจัดรายการวิทยุ เมื่อเร็วๆนี้ เขาเล่าให้ผมฟังถึงวันที่
เขาเกิดถังแตกจนเหลือเงินเพียงดอลลาร์เดียว เป็นวันซึ่งเปลี่ยนโชคชะตาและชีวิตของเขาโดยสิ้นเชิง

เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อต้นทศวรรษ 1970 ช่วงที่เขาทำงานเป็นผู้ประกาศและดีเจสถานีวิทยุในเท็กซัส เขากำลัง
ดังทีเดียว ได้พบนักร้องเพลงลูกทุ่งดังๆหลายคน และได้ขึ้นเครื่องบินของบริษัทบินไปเมืองแนชวิลล์
(Nashville) กับเจ้าของสถานีด้วย

คืนหนึ่งที่เมืองแนชวิลล์ คาเมรอนได้ไปดูสุดยอดรายการประกวดเพลงลูกทุ่งตะวันตก เมื่อจบการแสดง
มีคนเชิญเขาไปรู้จักดาราผู้เข้าประกวดทุกคนที่หลังเวที “ตอนนั้นผมไม่มีกระดาษล่าลายเซ็น ก็เลยดึง
แบงก์ 1 ดอลลาร์ออกมา” เขาเล่า “คืนนั้นผมได้ลายเซ็นของดาราลูกทุ่งครบทุกคนเลยแหละ แล้วก็เก็บ
แบงก์ใบนั้นไว้อย่างดี ไปไหนมาไหนก็เอาติดตัวไปด้วยตลอด คิดว่าจะรักษามันไว้ตลอดไป”

แต่แล้วสถานีวิทยุก็บอกขายกิจการ พนักงานหลายคนตกงาน คาเมรอนเองได้งานกึ่งเวลาที่สถานวิทยุ
อีกแห่ง และตั้งใจจะยึดอยู่กับงานนี้จนกว่าจะมีงานเต็มเวลาทำ

ช่วงฤดูหนาวปี 1976-1977 นั้นหนาวมหาโหด เครื่องทำความร้อนในรถคันเก่าของคาเมรอนปล่อย
ได้แค่ลมอุ่นแผ่วๆออกมา แถมแผงละลายน้ำแข็งที่กระจกหน้าก็ไม่ทำงานเสียอีก ชีวิตนี้ช่างยากลำบาก
และเขาก็ถังแตก ต้องอาศัยเพื่อนที่ทำงานในซูเปอร์มาร์เก็ตคอยปันอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งซึ่งหมดอายุให้

“ทำให้ผมกับเมีย มีอาหารกิน แต่เราก็ยังไม่มีเงินอยู่ดี”

เช้าวันหนึ่ง ขณะที่คาเมรอนกำลังขับรถออกจากสถานีวิทยุ เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ในรถยนต์
สีเหลืองที่ลานจอดรถ คาเมรอนโบกมือให้แล้วก็ขับรถเลยออกไป พอกลับมาทำงานอีกทีตอนกลางคืน
ก็เห็นรถคันนั้นยังจอดอยู่ที่เดิมหลังจากเวลาผ่านไป 2 วันจึงฉุกใจขึ้นมาว่า รถคันนั้นไม่ได้ขยับไปไหนเลย
หนุ่มในรถโบกมือทักทายอย่างเป็นมิตรทุกครั้งที่เขาขับรถเข้ามาและออกไป

“นายคนนี้มานั่งทำอะไรอยู่ในรถตั้ง 3 วันแล้วท่ามกลางหิมะหนาวเหน็บอย่างนี้!”

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 02, 2023 2:25 pm

ดอลลาร์ใบสุดท้าย (Bottom Dollar) ตอนที่ (two)จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนมีนาคม 2540 โดย Robert J. Duncan รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันรุ่งขึ้น คาเมรอนก็ได้คำตอบ ขณะที่เขาเดินเข้าไปใกล้รถ ชายคนนั้นก็เปิดหน้าต่างรถ
“เขาแนะนำตัวเองแล้วบอกว่าอยู่ในรถมาเป็นวันๆแล้วโดยที่ไม่มีเงินหรืออาหารเลย” คาเมรอนเล่า
ย้อนอดีต “เขาขับรถมาจากเมืองอื่นเพื่อมาเริ่มทำงานที่เมืองนี้ แต่ปรากฏว่ามาถึงก่อนกำหนดถึง 3 วัน
จะเริ่มงานเลยก็ไม่ได้เสียด้วย

“เขาอึกอักขอยืมเงิน 1 เหรียญเพื่อหาอะไรรองท้องจนกว่าจะได้ทำงานวันรุ่งขึ้นและจะขอเบิกเงินล่วงหน้า
กับเจ้านาย ฉันเองก็ไม่มีเหมือนกัน มีแต่น้ำมันติดรถพอขับไปถึงบ้านเท่านั้นเอง ฉันเลยได้แต่อธิบาย
สถานการณ์ของตัวเอง แล้วก็กลับไปที่รถ ในใจยังครุ่นคิดว่าน่าจะมีทางช่วยเขาได้บ้าง”

แล้วคาเมรอนก็นึกถึงธนบัตรดอลลาร์สุดรักสุดหวงที่มีลายเซ็นของดารานักร้องขึ้นมาได้ เขาคิดไตร่ตรอง
กับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่ครู่หนึ่ง แล้วที่สุดก็ควักกระเป๋าเอาธนบัตรออกมาพิจารณาเป็นครั้งสุดท้าย
จากนั้นก็เดินกลับไปหาชายคนนั้นพร้อมกับแบงก์ดอลลาร์ก้นถุง “มีคนเขียนอะไรไว้เต็มไปหมด” ชายคนนั้น
พูดขึ้นและรับเงินไปโดยไม่ได้สังเกตเลยว่า นั่นคือลายเซ็นของดารานักร้องมากกว่าสิบชื่อ

“เช้าวันนั้น ผมกลับถึงบ้านและพยายามไม่คิดถึงสิ่งที่เพิ่งทำลงไปและแล้วเหตุการณ์ก็กระเตื้องขึ้น”
คาเมรอนบอก “จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น สตูดิโออัดเสียงอยากให้ไปอ่านสปอตวิทยุให้ ค่าจ้างที่เขา
บอก 500 ดอลลาร์ทีเดียว ฟังดูเหมือนกับล้านดอลลาร์เลยนะ ช่วง 2-3 วันหลังจากนั้นก็มีข้อเสนอมาจากไหน
ต่อไหนอีกหลายแห่ง ข่าวดีๆไหลมาเทมาอย่างสม่ำเสมอจนฉันลืมตาอ้าปากได้”

เรื่องราวหลังจากนั้นก็มีแต่เรื่องดีๆ ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกชาย คาเมรอนเปิดกิจการเคาะพ่นสีรถซึ่ง
เจริญรุ่งเรืองจนสามารถสร้างบ้านแถบชานเมืองได้ ทั้งหลายทั้งปวงนี้เริ่มจากเช้าวันนั้นที่ลานจอดรถแท้ๆ
วันที่เขาต้องพรากจากดอลลาร์ใบสุดท้ายนั้นไป

คาเมรอนไม่ได้พบหนุ่มในรถสีเหลืองอีกเลย บางครั้งเขาก็สงสัยเหมือนกันว่าชายคนนั้นเป็นขอทาน
หรือเทวดากันแน่
แต่ก็ช่างเถอะ สิ่งสำคัญคือว่ามันเป็นบททดสอบบทหนึ่ง และคาเมรอนก็สอบผ่านฉลุย

***********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 30, 2023 2:38 pm

………เรื่อง ยอดนายห้าง มีทั้งหมด ( 5 )ตอนจบ


ยอดนายห้าง ตอนที่ ( 1 )เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนมกราคม 2540
โดย Peter Michelmore และจากวิกิปีเดีย 2565
รวบรวมและเรียบเรียง โดย กอบกิจ ครุวรรณ

“สุขสันต์วันเกิด แอรอน” แอรอน ฟอยเออร์สไตน์ (Aaron Feuerstein) รู้สึกประหลาดใจกับเสียง
โห่ร้องแสดงความยินดีขณะย่างเท้าเข้าภัตตาคาร “คาเฟ่ บูดาเปสต์”(Café Budapest) ในบอสตัน
เมืองหลวงของรัฐแมสซาชูเซตส์ เขายิ้มกว้างขณะที่เพื่อนๆเข้ามาตบหลังตบไหล่แสดงความยินดีกับ
ความสำเร็จหลังจากทำงานมาชั่วชีวิตจนเข้าวัย 70 ปี แอรอน ฟอยเออร์สไตน์เป็นเจ้าของธุรกิจสิ่งทอ
ที่ทำกำไรมากที่สุดรายหนึ่งเนื่องจากฝีมือการบริหารงานที่ให้ความสำคัญเต็มร้อยกับพนักงานและ
ผู้ร่วมงานทุกคน

ค่ำคืนวันนั้นที่เมืองลอว์เรนซ์ (Lawrence) ในรัฐเดียวกัน อยู่ห่างจากที่จัดงานเลี้ยงไปราว 40 กิโลเมตร
เกิดพายุพัดผ่านซอกทางเดินของโรงงานทอผ้า”มาลเดน” (Malden Mills factory)ที่แอรอนเป็นเจ้าของ
ตัวอาคารโรงงานมีอายุเกือบ 100 ปีก่อด้วยอิฐแดง คนงาน 400 คนเพิ่งเริ่มเข้างานผลัดเย็น วันนั้นตรง
กับวันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม 2538

เวลา 20.00 น. ลูกไฟขนาดใหญ่ระเบิดขึ้นในอาคารหลังหนึ่ง เปลวเพลิงลุกลามไปยังอาคารที่สอง
แล้วลามต่อไปยังอาคารสูง 5 ชั้น

โทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่แอรอนและภรรยาเพิ่งกลับมาถึงบ้านแถบชานเมืองบอสตันเมื่อเวลา 22.45 น.
“ไฟไหม้โรงงานครับ” ผู้บริหารโรงงานละล่ำละลักแจ้งข่าวร้าย

แอรอนตัวเย็นวูบ “ผมจะไปเดี๋ยวนี้”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา แอรอนก็ไปถึงโรงงาน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควัน เขาพบผู้บริหาร
อาวุโสภายในอาคารฝ่ายรักษาความปลอดภัย

“คนงานเป็นอะไรกันบ้างหรือเปล่า” แอรอนถาม

“บาดเจ็บ 26 คนครับ

เฮลิคอปเตอร์มาขนย้ายคนบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว”

แอรอนเป็นชาวยิวเกิดในสหรัฐฯ คิดถึงหลักคำสอนของศาสนายูดาย (Talmud) ที่ว่า ความแข็งแกร่ง
ของมนุษย์ต้องมีความยากลำบากเป็นเครื่องทดสอบ เขาจำได้ดีถึงคำพังเพยที่พ่อชอบพูดให้ฟังบ่อยๆว่า
“ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จงทำสุดความสามารถเพื่อพิสูจน์ความเป็นมนุษย์”

สถานการณ์ในตอนนั้นมาถึงจุดวิกฤต โรงงานทอผ้าของเขาช่วยให้คนกว่า 3,000 คนมีงานทำ การปิด
กิจการจึงเป็นไปไม่ได้ “โรงงานเป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตคนงาน” แอรอนคิด “จะกู้ธุรกิจกลับคืนมาได้อย่างไรหนอ”

... ที่บ้านของเบสซี่วัย 40 กำลังดูข่าวไฟไหม้ทางโทรทัศน์เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

“ฉันเพิ่งมาจากโรงงาน” ไมเคิลน้องชายวัย 36 ของเบสซี่บอก

“ไฟลุกลามจนควบคุมไม่ได้ สงสัยพวกเราจะตกงานกันแล้วละ”

เบสซี่จ้องโทรทัศน์เขม็งขณะที่ไมเคิลพูด น้องชายและน้องสาวของเธอทั้ง 9 คนเคยทำงานที่โรงงานนี้
มาแล้ว ทั้งนั้น ตอนนี้เหลือเธอกับไมเคิลที่ยังทำงานอยู่ที่โรงงานนี้ เบสซี่มีลูก 3 คนและคิดว่าจะทำงาน
ที่โรงงานนี้จนเกษียณ

เธอขัดจังหวะน้องชายขึ้นมาทันที “แอรอนไม่ยอมแพ้ไฟไหม้หรอก เขาจะต้องหาทางสู้ต่อไปจนได้อย่างแน่นอน”

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ต.ค. 31, 2023 6:17 pm

ยอดนายห้าง ตอนที่ ( 2 )เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนมกราคม 2540
โดย Peter Michelmore และจากวิกิปีเดีย 2565
รวบรวมและเรียบเรียง โดย กอบกิจ ครุวรรณ

แอรอน ฟอยเออร์สไตน์เป็นคนหัวแข็งไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆเหมือนกับปู่และพ่อของเขา ปู่อพยพ
มาจากฮังการีและเป็นผู้ก่อตั้งโรงงานทอผ้า”มาลเดน”ในปี 2449 ต่อมาซามูเอลลูกชายรับช่วงธุรกิจ
รวมทั้งสืบทอดนิสัยไม่ยอมแพ้มาอย่างเหนียวแน่น

“ชื่อเสียงดีเป็นสมบัติมีค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด” ซามูลเอลสอนแอรอนลูกชายคนเล็ก

แอรอนสมัยเป็นหนุ่มผอมเกร็งผมแดง จบการศึกษาด้านปรัชญาและวรรณคดีอังกฤษจากมหาวิทยาลัย
เยชิวา (Yeshiva University) นครนิวยอร์ก เมื่อเข้าดำเนินธุรกิจโรงงานนั้น เขายังคงศึกษาบทกวีอังกฤษ
สมัยคลาสสิกในตอนกลางคืน “ธุรกิจอย่างเดียวไม่ช่วยให้คนเป็นคนขึ้นมาได้” เขาบอกเพื่อน

แอรอนมักทวนกระแสของยุคสมัยเช่นเดียวกับพ่อและปู่ ในช่วงตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2493 โรงงานทอผ้า
ส่วนใหญ่ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯมักจะย้ายไปอยู่ทางใต้เพราะภาษีต่ำและค่าแรงถูก
นายกเทศมนตรีเมืองหนึ่งทางใต้มาชักชวนให้แอรอนไปสร้างโรงงานที่นั่นโดยจะยกเว้นภาษีให้ แต่เขา
ปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า “กำไรดีในระยะยาวต้องมาจากจากใช้แรงงานที่ดีที่สุดซึ่งจะผลิตผ้าที่มี
คุณภาพเยี่ยมที่สุด”

ปี 2499 แอรอนย้ายโรงงานไปอยู่ใกล้เมืองลอว์เรนซ์พร้อมกับขยายสายการผลิตผ้าหลากชนิด โดยเฉพาะ
ผ้าโพลาร์เทค (polartec fabric) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเนื่องจากเป็นผ้าที่ทำจากขนแกะเนื้อนุ่มเบา
เป็นพิเศษ มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บอากาศที่อบอุ่นไว้ภายใน พร้อมกับระบายความชื้นออกเพื่อช่วยให้ผู้
สวมใส่รู้สึกแห้งเสมอ

แอรอนภูมิใจมากกับคนงานและผ้าคุณภาพดีที่คนงานทั้งหลายผลิตขึ้น “พวกคุณฝีมือเยี่ยมที่สุดแล้ว
ในวงการนี้” เขาบอกพนักงานขณะเดินตรวจภายในโรงงาน

เช้าวันอังคารวันรุ่งขึ้นหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ แอรอนเดินย่ำไปท่ามกลางเศษซากที่ยังคุกรุ่น เปลวก๊าซยังคง
ลุกอยู่กลางซากปรักหักพัง เศษเครื่องจักรและเหล็กถูกน้ำดับเพลิงที่กลายเป็นน้ำแข็งจับ ในจำนวนอาคาร
ทั้งหมด 9 หลัง มี 6 หลังรอดจากเงื้อมมือพระเพลิงมาได้ รวมทั้งอาคาร 5 ชั้นที่เป็นสำนักงานด้วย “มหัศจรรย์แท้”
แอรอนพูดขึ้น ดวงตาเป็นประกายสดใส
คนงานกว่า 1,000 คนจับกลุ่มกันอยู่ที่อาคารสำนักงานเมื่อแอรอนเดินเข้ามา ทุกคนเงียบกริบ

“กิจการเราชะงักตอนที่โรงงานทอผ้าทุกแห่งในเมืองลอว์เรนซ์ย้ายหนีไปหาแรงงานราคาถูกแถวทางใต้”
เขาพูด กับพนักงานที่นั่น

“เราจะยืนหยัดสู้ต่อไปและจะกอบกู้โรงงานขึ้นมาใหม่ด้วยกัน”

เสียงปรบมือกึกก้อง แอรอนรู้สึกถึงพลังที่ฉีดซ่านในตัว เขาให้คำมั่นไว้และจะต้องทำให้ได้ สุภาษิตของ
ชาวยิวแวบเข้ามาในความคิด “ทรัพย์สมบัติของเพื่อนจะต้องมีค่าต่อท่านเท่ากับสมบัติของท่านเอง”

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 03, 2023 6:57 pm

ยอดนายห้าง ตอนที่ ( 3 )เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนมกราคม 2540
โดย Peter Michelmore และจากวิกิปีเดีย 2565
รวบรวมและเรียบเรียง โดย กอบกิจ ครุวรรณ

“เรายังมีงานทำ” ไมเคิลบอกเบสซี่ผู้เป็นพี่สาวพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “แต่คงใช้เวลาหลายปี
กว่าจะ กอบกู้โรงงานให้กลับมาเหมือนเดิม”

“ไม่ใช่หรอก” เบสซี่ตอบ “แอรอนรู้ดีว่า หยุดแค่ 3 เดือนก็จะเสียลูกค้าแล้ว เขาคงต้องเร่งทำ
ทุกอย่างให้เร็วที่สุด”

เบสซี่เตือนให้น้องชายนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่มีการเปลี่ยนเครื่องจักรขนานใหญ่
ทำให้ต้องถอดเครื่องจักรขนาดยักษ์และขนย้ายออกไป คนงานคิดกันว่าคงใช้เวลาหลายเดือน

“จำได้ไหมว่า ตอนนั้นเรื่องลงเอยยังไง” เธอเล่า “ใช้เวลาแค่ 4 อาทิตย์ ทุกอย่างก็เรียบร้อย”

“พี่คิดว่าอีกนานไหมกว่าเราจะได้กลับไปทำงาน” ไมเคิลถาม
เธอตอบโดยไม่ลังเลว่า “4 อาทิตย์”

และในวันอังคารนั้นเอง แอรอนก็มาอยู่ร่วมกับผู้จัดการ 15 คนของโรงงาน จากนั้นก็ชี้ไปที่โรงงาน
ผลิตผ้าขนแกะโพลาร์เทค “เราจะสร้างโรงงานใหม่ตรงนั้น” เขาพูด “ผมอยากให้สร้างเสร็จและ
เดินเครื่องให้ได้ภายใน 1 อาทิตย์”

“เร็วที่สุดคงต้อง 4 อาทิตย์ครับ” บิล หัวหน้าฝ่ายวิศวกรโรงงานบอก

“คุณเป็นวิศวกรฝีมือดีที่สุดในโลก” แอรอนพูดเรียบๆ “ผมเชื่อว่าคุณจัดการได้”

แล้วเขาก็หันไปหาผู้จัดการคนอื่นๆ “เราจะได้เครื่องจักรใหม่เร็วที่สุดเมื่อไหร่ ผมอยากให้คนงาน
ได้กลับเข้าทำงานโดยเร็ว”

“เราจะขนเครื่องจักรมาทางเครื่องบินครับ” ผู้จัดการอีกคนหนึ่งพูดขึ้น “ต้นทุนอาจจะสูงหน่อย
แต่ก็คุ้มกว่าส่งสินค้าให้ลูกค้าตามต้องการไม่ได้”

... อีกสองวันจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างให้คนงานที่ทำงานรายชั่วโมง “จ่ายทุกคนเต็มจำนวน”
แอรอนสั่ง “และจ่ายให้ตรงเวลาด้วย”

คำพูดของเขาทำให้พนักงานตะลึง เช้าวันพุธ เสมียนโรงงานยื่นซองค่าจ้างให้พนักงานทุกคน
ซึ่งรวมโบนัสคริสต์มาสอีกคนละ 275 ดอลลาร์ มีโน้ตสั้นๆจากแอรอน ฟอยเออร์สไตน์แนบมาด้วยว่า
“อย่าสิ้นหวัง ขอพระเจ้าอวยพรทุกคน”

ในวันพฤหัสฯ วันที่ 3 หลังจากไฟไหม้โรงงาน พนักงานเริ่มมาประชุมกันด้วยสีหน้าวิตกกังวล

“ผมจะไปประกาศเดี๋ยวนี้” แอรอนมองไปรอบๆ “พนักงานทุกคนจะได้รับเงินเดือนเต็มในอีก 30 วัน
ข้างหน้าหรืออาจจะนานกว่านั้นก็ได้”

เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ แอรอนยกมือให้ทุกคนเงียบ

“หน้าที่สำคัญที่สุดของโรงงานทอผ้า”มาลเดน”คือ ทำให้พนักงานทุกคนได้กลับเข้าทำงานตามเดิม”
เขาพูดต่อ “วันที่ 2 มกราคม เราจะเริ่มผลิตอีกครั้งหนึ่ง”

คราวนี้เสียงดังอื้ออึงไปทั่ว พวกผู้ชายชูกำปั้นอย่างมั่นใจ ส่วนพวกผู้หญิงน้ำตาคลอ “เมื่อทำงาน
ให้กับแอรอน” พนักงานชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น “เรารู้ว่าพวกเราทุกคนเป็นคนสำคัญ”

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 03, 2023 7:00 pm

ยอดนายห้าง ตอนที่ ( 4 )เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนมกราคม 2540
โดย Peter Michelmore และจากวิกิปีเดีย 2565
รวบรวมและเรียบเรียง โดย กอบกิจ ครุวรรณ

แอรอน ฟอยเออร์สไตน์ กับพวกผู้จัดการเริ่มวางกลยุทธิ์ในการฟื้นฟูกิจการ พวกเขาจัดการ
ขนของออกจากอาคารโรงงาน 2 หลัง แล้วตั้งหน่วยผลิตชั่วคราวขึ้นในอาคารส่วนกลาง โครงสร้าง
โรงงานใหม่ทำจากท่อขนาด 8 นิ้ว ยาว 240 เมตร ก่อตัวเป็นรูปร่าง “ดูน่าเกลียด” บิลบอกเจ้านาย
“แต่จะใช้การได้ดีครับ”

7 วันหลังจากไฟไหม้ ในวันที่ 18 ธันวาคม เครื่องจักรเครื่องแรกในอาคารโพลาร์เทคเริ่มทำงาน
สายการผลิตบางส่วนเริ่มดำเนินงานได้ 4 วันหลังจากนั้น

เช้านั้น แอรอนผละจากโรงงานไปหาอลัน ผู้จัดการฝ่ายอุตสาหกรรมสัมพันธ์

“อลัน เราไปกันเถอะ” แอรอนบอก จากนั้นทั้งสองก็ขับรถไปรอบเมืองลอว์เรนซ์เพื่อทำกิจกรรมการกุศล
ประจำปีในวันคริสต์มาส ทั้งสองตระเวนไปเยี่ยมสถานสงเคราะห์หลายแห่งในเมืองอยู่หลายชั่วโมง
แอรอนมอบเช็คให้ทุกแห่ง รวมยอดเงินที่เขาบริจาคในวันนั้นทั้งหมด 80,000 ดอลลาร์

ที่สถานสงเคราะห์แห่งหนึ่ง แอรอนพบลูกจ้างโรงงานคนหนึ่งโดยบังเอิญ ปรากฏว่าลูกจ้างคนนี้ก็นำ
ขนมเค้กมาเป็นของขวัญให้คนยากจนทั้งที่ตัวเองยังไม่มีงานทำ “คุณจะได้กลับไปทำงานเร็วๆนี้แหละ”
แอรอนพูดพลางโอบไหล่ลูกจ้างคนนั้น “ผมสัญญา”

วันอังคารที่ 2 มกราคม 2539 หลังไฟไหม้เพียง 22 วัน เบสซี่กับไมเคิลน้องชายและพนักงานอีก 300 คน
ก็รายงานตัวเข้าทำงาน “เขาเรียกพวกเราว่าดรีมทีม” ไมเคิลพูดด้วยความภาคภูมิใจ

เพื่อให้การผลิตโพลาร์เทคเป็นไปตามกำหนด ผู้บริหารตัดสินใจเรียกพนักงานมาทำงานเป็นกรณีพิเศษ
โดยอันดับแรกเรียกพนักงานที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ โดยไม่คำนึงถึงลำดับอาวุโส
หรือหน้าที่เดิม คำสั่งเช่นนี้ขัดกับสัญญาที่ทำไว้กับสหภาพโรงงาน แต่ประธานสหภาพก็ยอมผ่อนผันให้
โดยบอกว่า “เราต้องช่วยกันทำให้สำเร็จ”

ไมเคิลซึ่งก่อนหน้านี้ทำงานในโรงย้อม มาขับรถยกของ “ยังมีเพื่อนๆและเพื่อนบ้านที่ไม่มีงานทำ” เขาพูด
“ผมจะทำทุกอย่างให้พวกเขาได้กลับมาทำงาน”

เบสซี่ซึ่งเคยทำอยู่ในแผนกทอผ้า ต้องมาเป็นผู้ช่วยของรองผู้จัดการ บ่ายแก่ๆวันศุกร์ เจ้านายถามเธอว่า
จะบรรจุผ้าโพลาร์เทค 1.200 หลาลงกล่องเสร็จทันเช้าวันจันทร์ได้หรือไม่
ในวินาทีนั้น เบสซี่ได้แต่ยืนงง เพราะเธอต้องทำธุระสำคัญให้ครอบครัวในช่วงวันหยุดเสียด้วย
“เอายังงี้ก็แล้วกัน” เธอพูด

“ฉันจะมาโรงงานตอนตีสี่เช้าวันอาทิตย์ แล้วจะจัดการให้เรียบร้อยภายในค่ำวันนั้นค่ะ”

“คุณทำได้แน่นะ”

“แน่สิคะ” เบสซี่ตอบ “นี่แหละคือเหตุผลสำคัญที่แอรอนไม่ยอมเอาคนงานอื่นมาแทนพวกเรา”

โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 03, 2023 7:03 pm

ยอดนายห้าง ตอนที่ ( 5 )(ตอนจบ) เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนมกราคม 2540
โดย Peter Michelmore และจากวิกิปีเดีย 2565
รวบรวมและเรียบเรียง โดย กอบกิจ ครุวรรณ

แอรอนบินไปร่วมงานแสดงสินค้าที่รัฐเนวาดาเพื่อพิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นว่าโรงงานทอผ้า”มาสเดน”
กลับมาเปิดใหม่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผู้ร่วมงานได้เห็นการผลิตผ้าโพลาร์เทคโดยดูจากภาพถ่ายทอด
ผ่านดาวเทียม โรงงานทอผ้า”มาสเดน”ทำตามยอดสั่งได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แอรอนบอกลูกค้าว่า
“พนักงานของผมเนรมิตความมหัศจรรย์เหล่านี้”

แอรอนผลักดันลูกน้องอย่างหนัก ส่วนตัวเองก็มุไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ในคืนที่มีการเชื่อมสัญญาณ
ดาวเทียม เขาบอกให้โรเบิร์ตผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัยมาพบเขาที่ห้องโถงโรงแรมตอนตี
สี่ครึ่ง เพื่อจะได้ออกวิ่งตอนเช้าด้วยกัน

โรเบิร์ตไม่คิดว่านายห้างจะมาตามนัด แต่แอรอนก็มาถึงตรงเวลาและออกวิ่งนำฝ่าละอองฝนหลัง
จากวิ่งไปได้เกือบ 10 กิโลเมตร ทั้งสองก็กลับไปที่โรงแรม “เอาละ คราวนี้มาวิ่งแข่งกันหน่อย” แอรอนพูด

โรเบิร์ตไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ได้เลย แอรอน” เขาพูดทั้งที่ยังหายใจหอบอยู่

แอรอนหัวเราะชอบใจแล้ววิ่งถลาออกไป ผมปลิว ขาผอมเกร็งทะยานไปข้างหน้าบนทางเท้าที่เปียกแฉะ

เช้าวันเดียวกันนั้นที่เมืองลอร์เรนซ์ เบสซี่กลับไปที่โรงงาน แล้วเฝ้าดูพนักงานคนอื่นๆกลับมาทำงาน
“เหมือนกับสมาชิกครอบครัวกลับมาพบกันอีกครั้ง” เธอคิดด้วยความอัศจรรย์ใจ

เธอทราบดีว่าพนักงานทุกคนเข้มแข็งและไม่ยอมพ่ายแพ้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป แอรอนเผชิญ
ความยากลำบากอย่างแน่วแน่ไม่ย่อท้อ “ฉันทำเพื่อตัวเอง และเพื่อเราทุกคน”

น่าอัศจรรย์ที่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่โรงงานทอผ้า”มาลเดน” ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกไฟลวก
ออกจากโรงพยาบาลได้ในเดือนเมษายน 2539 สาเหตุของไฟไหม้นั้นยังไม่ทราบแน่ชัด

แอรอน ฟอยเออร์สไตน์จ่ายเงินเดือนพนักงานเต็มจำนวนตลอดเวลา 90 วัน การก่อสร้างโรงงานทอผ้า
แห่งใหม่เริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม และได้รับการออกแบบให้เป็นโรงงานทันสมัยที่สุดในโลก สมกับเป็นหนึ่ง
ในผลงานของสกุล”ฟอยเออร์สไตน์” โรงงานแห่งนี้มีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2540

หมายเหตุ : แอรอน ฟอยเออร์สไตน์เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564
ที่โรงพยาบาลในบอสตัน ขณะอายุได้ 95 ปี

*****************
จบบริบูรณ์
ตอบกลับโพส