รวมเรื่องสั้นคติสอนใจ (ชุดที่ 5)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 01, 2024 9:30 pm

( 1 )

*เรื่องสั้น*

บัณฑิตกับเศรษฐี

Moral stories จาก Google เรื่อง Pundit and Rich Man -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

มีบัณฑิตคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บัณฑิตผู้นี้เป็นผู้รอบรู้หลายด้าน
แต่มีฐานะยากจนมากเพราะหางานทำไม่ได้ เขาไม่มีบ้าน เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็ขาดวิ่นและ
แทบไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย

เขาจำต้องเลี้ยงชีพด้วยการไปขออาหารตามบ้าน เจ้าของบ้านเกือบทุกหลังเมื่อเห็น
สภาพเสื้อผ้าที่เก่าและขาดวิ่นของเขาคิดว่าเขาเป็นคนเสียสติและปิดประตูบ้านไล่เขาไป

อย่างไรก็ตาม มีอยู่วันหนึ่ง โชคเข้าข้าง มีเศรษฐีใจบุญผู้หนึ่งมอบเสื้อผ้าชุดใหม่ที่
มีสีสันงดงามให้เขา อย่างไรก็ตาม แม้บัณฑิตใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่สวยงามแล้วแต่เขา
ก็ยังคงตระเวนออกขออาหารตามบ้านคนต่อไปเหมือนเดิม และเมื่อไปถึงบ้านหลังแรก
เจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนมีฐานะดียิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมกับออกปากเชิญอย่างนอบน้อมว่า
“ขอเชิญท่านเข้าไปรับประทานอาหารข้างในบ้านครับ” และทันทีหลังจากนั้นก็สั่งผู้รับใช้
ให้รีบจัดโต๊ะพร้อมอาหารคาวหวานเป็นอย่างดี
หลังจากบัณฑิตนั่งรับประทานอาหารที่เริ่มจากซุปเห็ดหอมตามด้วยอาหารเลิศรสที่
หลากหลายแล้ว บัณฑิตก็สวดขอพรให้เจ้าของบ้านเป็นการตอบแทน หลังจากนั้นบัณฑิต
ก็กระทำสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง คือเขาใช้มือขวาหยิบเนื้อหวานที่ยังเหลืออยู่ในจานบนโต๊ะ
และเริ่มป้อนให้กับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ใส่อยู่พลางพูดว่า “กินสิ กินสิ กินเข้าไปสิ!”

เจ้าของบ้านและบรรดาผู้รับใช้ต่างประหลาดใจและไม่เข้าใจสิ่งที่บัณฑิตกำลังทำอยู่
จึงท้วงขึ้นว่า “เสื้อผ้ากินอาหารไม่ได้หรอกครับท่าน -- ไปป้อนมันทำไม?”

บัณฑิตจึงเงยหน้าขึ้นตอบว่า “ที่พวกท่านท้วงนั้นก็จริงอยู่ แต่ท่านจำได้หรือเปล่าว่าเมื่อวานนี้
ผมก็ผ่านมาขออาหารที่บ้านหลังนี้ แต่ถูกพวกคุณไล่ผมไป แต่มาวันนี้ เนื่องจากมีคนใจดีให้
เสื้อผ้าชุดใหม่นี้กับผม ผมจึงมีอาหารกินอย่างดี ผมจึงอยากตอบแทนเสื้อผ้าชุดนี้ด้วยการป้อน
อาหารให้ครับ” ... เมื่อได้ยินคำตอบของบัณฑิตดังกล่าว เจ้าของบ้านและผู้รับคนใช้ทุกคน
ที่นั่นต่างรู้สึกละอายใจและตั้งใจว่าต่อไปจะไม่ตัดสินผู้คนจากการแต่งกายหรือลักษณะ
ภายนอกที่เห็นเท่านั้น

********************
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มี.ค. 01, 2024 9:36 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 01, 2024 9:35 pm

( 2 )

*เรื่องสั้น*

มองไปที่กระจกเงา

Moral stories จาก Google เรื่อง Looking at Mirror -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

เช้าวันหนึ่งเมื่อพนักงานแต่ละคนมาถึงบริษัทก็เห็นแผ่นประกาศขนาดใหญ่ที่กระดานบอร์ด
ในบริเวณทางเข้าประตูบริษัทมีข้อความว่า “เมื่อวานนี้ พนักงานคนที่ขัดขวางความก้าวหน้าของ
เพื่อนร่วมงานและของบริษัทได้เสียชีวิตแล้ว ทางบริษัทขอเชิญท่านเข้าร่วมพิธีศพที่จะจัดขึ้น
ในห้องประชุมใหญ่ของบริษัทเวลา 10 โมงเช้าในวันพรุ่งนี้”

ตอนแรกที่แต่ละคนทราบข่าว ต่างรู้สึกเสียใจกับการจากไปของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง แต่
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็ซุบซิบกันว่า ใครกันหนอคือพนักงานที่ขัดขวางความก้าวหน้า
ของเพื่อนร่วมงานและของบริษัท

เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนถึงเวลากำหนดเริ่มพิธี บรรยากาศในห้องประชุมมีลักษณะเป็นปรากฏการณ์
ความตื่นเต้นของพนักงานทุกคนอย่างเห็นได้ชัด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องทำงานหนัก
เพื่อควบคุมให้ผู้มาร่วมพิธีอยู่ในความสงบ เพราะสายตาทุกคู่จับจ้องตรงไปที่หีบศพด้วยความ
อยากทราบชื่อของพนักงานที่จากไป ต่างพยายามนึกชื่อเพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ด้วยกันว่ามี
ใครบ้าง แต่พวกเขาคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก แต่ก็เอาเถิด อย่างน้อยเขาผู้นั้นก็ได้ตายจากพวกเราไปแล้ว!”

เมื่อเริ่มพิธีการ พนักงานที่ต่อแถวเรียงหนึ่งทุกคนต่างซ่อนความตื่นเต้นที่ทวีมากขึ้นขณะขยับ
เดินเข้าไปใกล้หีบศพอย่างสงบเงียบ และหลังจากที่แต่ละคนได้มองเข้าไปข้างในหีบศพ ผู้ที่ต่อ
แถวอยู่คนถัดไปจะสังเกตเห็นใบหน้าของพนักงานที่ก้มตัวลงไปมองนั้นแสดงอาการตกตะลึงงัน
อยู่กับที่ราวกับมีใครสักคนได้สัมผัสส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณของผู้นั้น ทั้งนี้เพราะสิ่งที่วางราบ
อยู่ในหีบศพคือกระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนใบหน้าของผู้ที่จ้องมองอยู่นั่นเอง! นอกจากนี้ ข้าง
กระจกบานนั้นยังมีแผ่นกระดาษพร้อมกับข้อความเขียนด้วยอักษรสีแดงเข้มว่า
“มีแต่ตัวคุณเองนั่นแหละที่จะขัดขวางการทำงานของตัวคุณและการเจริญเติบโตของบริษัทได้!

หลังพิธี พนักงานทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็งอย่างเห็นได้ชัด
เพราะต่างได้เรียนรู้แล้วว่า ตนคือบุคคลคนเดียวที่สามารถปฏิวัติตนเองได้ด้วยการปรับทัศนคติ
การทำงานเพื่อสร้างความสุขความสำเร็จในชีวิตให้กับตนเอง ครอบครัวและการเจริญเติบโต
ของบริษัท ทั้งนี้เพราะชีวิตของคุณจะไม่มีวันเปลี่ยนไปไม่ว่าคุณจะมีเจ้านายคนใหม่หรือมีเพื่อน
ร่วมงานคนใหม่ มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวคุณเอง ต่อเพื่อนร่วมงาน
ต่อความเจริญเติบโตของบริษัท ต่อครอบครัวของคุณและต่อสังคมประเทศชาติที่คุณอาศัยอยู่
สรุปก็คือ “ความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดของคุณก็คือความสัมพันธ์ที่คุณมีต่อตัวคุณเองนั่นเอง”

*******************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 01, 2024 9:42 pm

( 3 )

*เรื่องสั้น*

ชายสูงวัยผู้รอบรู้

Moral stories จาก Google เรื่อง The Wise Old Man -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

เศรษฐีคนหนึ่งพาลูกชายที่มีนิสัยไม่ดีหลายอย่างและเริ่มจะเข้าวัยรุ่นมาหาชายสูงวัย
คนหนึ่งซึ่งผู้คนทั่วไปรู้จักกันดีว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตและมีประสบการณ์มาก

เศรษฐีขอร้องให้ช่วยแนะนำวิธีแก้นิสัยของลูกชายคนเดียวที่เขารักที่สุดและเป็นผู้สืบสกุล
ของเขาให้ ชายสูงวัยรับปากและขออนุญาตพาลูกชายของเศรษฐีไปเดินเล่นด้วยกันในป่า
ละเมาะที่อยู่ในละแวกบ้าน หลังจากทั้งสองเดินตามสบายไปด้วยกันครู่หนึ่ง ชายสูงวัยก็
หยุดเดินและมองไปที่ต้นไม้เล็กๆ ข้างทางเดินต้นหนึ่ง จากนั้นก็บอกให้เด็กที่มาด้วยถอน
ต้นไม้เล็กต้นนั้นขึ้นมา เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กก็ใช้มือขวาจับลำต้นและดึงต้นไม้ขึ้นมาได้
อย่างง่ายดาย
เมื่อเสร็จภารกิจแล้ว ทั้งสองก็เดินต่อไป และไม่นานชายสูงวัยก็หยุดอีกครั้งหนึ่งและให้เด็กทำ
เหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่กว่าต้นแรกพอสมควร เด็กจึงต้องใช้ 2 มือและออก
แรงมากขึ้น แต่ก็ทำได้สำเร็จ

เหตุการณ์คงดำเนินเหมือนเดิม สิ่งที่ต่างไปแต่ละครั้งคือต้นไม้ที่ให้เด็กถอนมีขนาดใหญ่โตขึ้น
ทุกครั้ง และเมื่อถึงครั้งที่ 5 เป็นต้นไม้ใหญ่ที่เด็กไม่สามารถแม้แต่จะใช้แขนโอบลำต้นได้รอบ
เด็กซึ่งขณะนั้นเริ่มเหนื่อยหอบจึงเงยหน้าขึ้นมองชายสูงวัยและบอกว่า
“ไม่มีทางถอนต้นนี้ได้เลยครับ”

ชายสูงวัยจึงพูดอย่างอารมณ์ดีกับเด็กว่า “นิสัยไม่ดีก็เหมือนกับการถอนต้นไม้เช่นกัน
คนเราทุกคนเมื่อยังเป็นเด็กเล็กอยู่ เราสามารถปรับเปลี่ยนแก้นิสัยไม่ดีได้ง่ายเหมือนกับ
การถอนไม้ต้นเล็กๆ แต่เมื่อโตขึ้น นิสัยไม่ดีของเราก็จะเพิ่มมากขึ้นและจะแก้ได้ยากขึ้นจน
ในที่สุดก็แทบจะไม่มีทางแก้ได้เลย”

หลังจากฟังคำอธิบายที่นุ่มนวลและเข้าใจได้ง่ายของชายสูงวัยแล้ว เด็กก็ผงกศีรษะรับฟัง
คำเตือนของเขาและสัญญาว่าจะพยายามแก้นิสัยที่ไม่ดีของตน จากนั้นชายสูงวัยก็นำเด็ก
ไปส่งคืนเศรษฐีโดยไม่ขอรับของกำนัลใดๆ เพราะถือว่า สิ่งที่ตนทำกับเด็กนั้นเป็นสิ่งที่ผู้มีจิต
สำนึกที่ดีทุกคนควรกระทำเพื่อความผาสุกของสังคมโดยรวม

********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 01, 2024 9:46 pm

( 4 )


*เรื่องสั้น*

จะเศร้าไปทำไม?

Moral stories จาก Google เรื่อง Why Should I Feel Bad?-- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งหลงรักหญิงสาวที่หมายตาไว้คนหนึ่ง เธอไม่ได้เป็นคนสวยที่สุดที่
เคยเห็นมาก็จริง แต่สำหรับเขา เธอคือทุกสิ่ง เขาถึงกับเคยฝันถึงเธอ และคิดว่าจะใช้ชีวิต
ที่เหลือเป็นครอบครัวร่วมกับเธอ เพื่อนของเขาจึงตั้งคำถามและแนะนำเขาว่า

“ทำไมวัน ๆ แกมัวแต่ฝันหวานถึงเธอทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอรักแกหรือเปล่า? ผมจะบอก
วิธีไปสู่ความสำเร็จให้นะ อันดับแรก แกหาจังหวะเข้าไปแนะนำตัวและบอกความรู้สึกของ
แกกับเธอตรง ๆ เลยแล้วดูซิว่าเธอชอบคุณหรือตกลงยอมไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างไหม
เพื่อจะได้รู้จักกันและกันดีขึ้น”

หนุ่มคนนี้รู้สึกว่าวิธีการของเพื่อนคนนี้เป็นวิธีการที่ดี จึงรับปากกับเพื่อนว่าจะลองนำไปใช้
กับเธอดู อย่างไรก็ตาม ที่จริงหญิงสาวคนนี้รู้มานานแล้วว่าหนุ่มคนนี้รักเธอข้างเดียว และ
ดังนั้นเมื่อเขาสบโอกาสพบเธออยู่ตามลำพัง เขาก็ทำตามแผนที่เพื่อนแนะนำโดยไม่รอช้า
แต่ปรากฏว่าเธอปฏิเสธหลังจากพูดคุยกันได้ไม่กี่คำ

สิ่งที่แปลกก็คือ เพื่อนผู้ให้คำแนะนำคิดว่าเขาคงจะรู้สึกอกหัก และคงหันไปปลอบใจตัวเอง
ด้วยการดื่มเหล้าเมายาจนเสียคนไปในที่สุด เพื่อนประหลาดใจที่เขาไม่ได้รู้สึกผิดหวังหรือ
หดหู่ใจเลย และเมื่อถามถึงเหตุผล เขาตอบกลับทันทีว่า “‘จะเศร้าไปทำไม? สิ่งที่ฉันเสียไป
ก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยรักฉันเลยเท่านั้น... แต่เธอต่างหากล่ะที่เสียคนที่รักและห่วงใยเธอจริงๆ ไป”

*******************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 01, 2024 9:49 pm

( 5 )


เรื่องสั้น เบอร์บัลจับขโมย

Moral stories จาก Google เรื่อง Birbal caught the Thief -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ครั้งหนึ่งบ้านของพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่งถูกปล้น พ่อค้าสงสัยว่าคนขโมยเป็นหนึ่งในบรรดา
คนรับใช้ของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงไปหาเบอร์บัลเจ้าปัญญาผู้มีชื่อเสียงของแผ่นดินและเล่าเรื่อง
การถูกปล้นของตน เมื่อทราบเรื่องแล้วเบอร์บัลก็ขอเวลาเตรียมตัวอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินทาง
ไปที่บ้านของพ่อค้า เมื่อไปถึงที่บ้านฯ เบอร์บัลก็บอกให้พ่อค้าเรียกคนรับใช้ทุกคนที่นั่นให้มา
อยู่รวมกันที่ห้องโถง จากนั้นเบอร์บัลก็พูดขอร้องให้ผู้ที่ขโมยออกมาสารภาพผิดแต่โดยดี
แต่ก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้แล้วว่าคนรับใช้ทุกคนคงจะปฏิเสธอย่างแน่นอน

หลังจากนั้น เบอร์บัลทำเป็นใช้สมองคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะล้วงมือเข้าไปในย่ามที่ถือติดตัวมา
ด้วยและหยิบเอาก้านมะพร้าวแห้งมีความยาวเท่ากันออกมากำมือหนึ่ง จากนั้นเขาก็แจกให้แก่
คนรับใช้ของพ่อค้าคนละก้านทุกคนโดยกล่าวกับพวกเขาว่า ก้านมะพร้าวของเขาเป็นก้านมะพร้าว
พิเศษคือก้านของคนขโมยจะยาวขึ้นเองได้อีก 2 นิ้วในเช้าวันรุ่งขึ้น และให้คนรับใช้ทุกคนมาอยู่
รวมกันอีกครั้งหนึ่งในวันรุ่งขึ้นพร้อมกับก้านมะพร้าวที่ได้รับไป

เย็นวันนั้นหลังเสร็จงานคนรับใช้ทุกคนก็กลับบ้านของตนและมารวมกันอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นตามที่
ได้กำหนดไว้ เบอร์บัลขอให้พวกเขาเอาก้านมะพร้าวของตนมาให้เขาตรวจสอบ ซึ่งก็ปรากฏว่า
มีก้านมะพร้าวแห้งของคนรับใช้คนหนึ่งสั้นกว่าของทุกคน 2 นิ้ว เบอร์บัลจึงพูดขึ้นว่า
“นี่คือคนขโมย!”

พ่อค้ารู้สึกแปลกใจเพราะก้านมะพร้าวของคนขโมยน่าจะยาวกว่าของคนอื่น 2 นิ้วตามที่เบอร์บัล
ได้พูดไว้เมื่อวาน พ่อค้าจึงถามเบอร์บัลว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนขโมย”

เบอร์บัลยิ้มอย่างมีเลศนัยและตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ก็เพราะผู้รับใช้คนนี้ตัดก้านมะพร้าว
ของเขาออกไป 2 นิ้วเมื่อคืนครับ เพราะเขาเชื่อว่าก้านมะพร้าวแห้งวิเศษของเขาจะยาวขึ้นอีกสองนิ้ว
ในตอนเช้า ซึ่งที่จริงก้านมะพร้าวทุกก้านเป็นแค่ก้านมะพร้าวธรรมดา ยาวขึ้นเองไม่ได้หรอกครับ”

***********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 01, 2024 11:15 pm

( 6 )



เช้านี้ได้อ่านบทความดีมากชิ้นหนึ่ง เป็นงานเขียนของคุณ Prakash Iyer นักเขียน นักพูด
โค้ชสร้างความเป็นผู้นำ และอดีต MD ของ Kimberly Clark Lever เลยอยากเอามาเล่าต่อ
น่าจะมีประโยชน์กับหลายๆ คนในช่วงสถานการณ์ตอนนี้


พวกเรามีใครเคยได้ยินสะพานชื่อ “โชลูเตกา” ไหม (Choluteca Bridge) ผมก็ไม่เคยได้ยิน
มาก่อนเช่นกัน จนเมื่อไม่นานมานี้ มันเป็นสะพานที่มีความยาว 484 เมตร ที่สร้างเพื่อข้ามแม่น้ำ
โชลูเตกาในประเทศฮอนดูรัส ในทวีปอเมริกากลาง เป็นภูมิภาคที่ขึ้นชื่อในเรื่องของพายุต่างๆ
รวมทั้งพายุเฮอริเคน

ดังนั้น เมื่อพวกเขาตัดสินใจที่จะสร้างสะพานใหม่แห่งนี้ขึ้นมาเหนือแม่น้ำโชลูเตกาในปี 1996
เขาต้องการมั่นใจว่ามันจะสามารถทนทานต่อสภาพอากาศอันเลวร้ายสุดๆ ได้ ผู้รับเหมาที่เป็น
บริษัทของญี่ปุ่นได้ถูกรับเลือกให้มาทำงานนี้ และเขาก็ได้สร้างสะพานที่มีความแข็งแรงมาก
ออกแบบมาเพื่อทนทานได้กับพลังอันโหดร้ายของธรรมชาติทุกรูปแบบ

ในที่สุด สะพานโชลูเตกาแห่งใหม่ที่มีทั้งดีไซน์และวิศวกรรมที่ทันสมัยแห่งยุค ได้ถูกเปิดใช้งาน
ในปี 1998 และเมื่อผู้คนได้ขับรถข้ามสะพานนี้จากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่ง พวกเขาต่างพากันชื่นชม
สะพานใหม่แห่งนี้ มันเป็นทั้งความภูมิใจและความสุขของคนเมืองนี้จริงๆ

และในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง เฮอริเคนมิทช์ ได้พัดถล่มฮอนดูรัส มีฝนตกหนักขนาด 75 นิ้ว/ตรม.
ในเวลา 4 วัน - เท่ากับปริมาณน้ำฝนที่เมืองนี้เคยได้รับในเวลา 6 เดือน! ความเสียหายครั้งใหญ่เกิดขึ้น
ไปทั่ว น้ำท่วมท้นออกมาจากแม่น้ำโชลูเตกา พัดทำลายบ้านเรือนทั่วทั้งภูมิภาค ประชาชนกว่า 7,000 คน
เสียชีวิต สะพานทุกแห่งในประเทศฮอนดูรัสถูกทำลาย

ทุกแห่ง! ยกเว้นเพียงแต่สะพานโชลูเตกา ที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย

แต่มีปัญหาหนึ่งเกิดขึ้น! ในขณะที่สะพานอยู่ในสภาพเดิม ถนนทุกสายที่วิ่งมาสู่สะพานนี้หรือออกจาก
สะพานนี้ไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว มันถูกน้ำพัดทำลายจนหมดสิ้น จนมองไม่ออกเลยว่าครั้งหนึ่งเคยมีถนน

และเท่านั้นไม่พอ พลังของอุทกภัยได้ทำให้แม่น้ำโชลูเตกาเปลี่ยนเส้นทางไหล มันสร้างทางไหลของน้ำ
ขึ้นใหม่ และตอนนี้แม่น้ำเขยิบไปไหลอยู่ด้านข้างของสะพาน ไม่ใช่ด้านล่างของสะพาน แต่เป็นข้างๆ
ของมัน

ดังนั้น ถึงแม้สะพานมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะอยู่รอดจากเฮอริเคน แต่มันกลับกลายเป็นสะพานที่
ไม่ได้ใช้ข้ามอะไรเลย และเป็นสะพานที่ไม่สามารถวิ่งไปที่ใด
(A bridge over nothing. A bridge to nowhere)

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 22 ปีที่แล้ว แต่บทเรียนจากสะพานโชลูเตกานั้นเกี่ยวข้องกับเราในสถานการณ์
ปัจจุบันมากกว่าเมื่ออดีต

โลกใบนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่พวกเราอาจไม่เคยจินตนาการถึง และสะพานโชลูเตกานี้
เป็นอุปมาที่ยอดเยี่ยมถึงสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นกับพวกเรา อาชีพของเรา ธุรกิจของเรา ชีวิตของเรา
เพราะโลกรอบๆตัวเรากำลังเปลี่ยนแปลง ปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง หรืออื่นๆ

ในขณะที่คุณมองกลับไปที่อาชีพของคุณ คิดอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจเรียนคอร์สเพิ่มเติมเพื่อให้
คุณยิ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นมากยิ่งขึ้น บทบาทนั้น ความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นอาจกลาย
เป็นสิ่งที่มีอยู่เกลื่อนกราดแล้วก็ได้

ก่อนที่จะใช้เงินเพื่อปรับปรุงออฟฟิศเก่าของคุณ หยุดเลย

หากกำลังคิดเปิดสาขาเพิ่มไปทุกมุมเมืองทั่วประเทศ คิดอีกครั้ง พื้นที่สำนักงานอาจกำลังเป็นอดีต
ในไม่ช้านี้

ความท้าทายสำหรับพวกเราคือ เราโฟกัสไปที่การหาทางแก้ไขที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาหนึ่ง โดยลืมไปว่า
ปัญหานั้นเองอาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้

พวกเราทั้งหมดกำลังโฟกัสไปที่การสร้างสินค้าหรือบริการที่แข็งแกร่งที่สุด ฉลาดล้ำที่สุด โดยลืมคิดถึง
ความเป็นไปได้ที่ความต้องการนั้นอาจกำลังหายไป ตลาดอาจเปลี่ยนไปแล้ว พวกเรากำลังโฟกัสที่
สะพานและเพิกเฉยต่อความเป็นไปได้ที่ว่าแม่น้ำที่อยู่ด้านล่างอาจไหลเปลี่ยนทิศ ลองคิดแบบนี้ดูบ้าง

“สร้างเพื่อความคงทน” อาจเป็นคาถายอดนิยม แต่ “สร้างเพื่อการปรับตัว” อาจเป็นทางรอดก็ได้

คุณอาจจะอยากเพิ่มภาพสะพานโชลูเตกาไว้บนผนังออฟฟิศของคุณ เพื่อเตือนตัวเองให้สร้างธุรกิจ
และอาชีพที่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง

ไม่เช่นนั้นแล้ว คุณอาจจะถูกทิ้งไว้เช่นเดียวกับสะพานโชลูเตกา
A superb bridge. Over nothing. To nowhere.

ถอดความโดย Ahn Kesthip
8/08/2020

Cr. บทความจาก BW BUSINESSES WORLD
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 01, 2024 11:25 pm

( 7 )


นิทานเรื่องนี้ดีนะ...อ่านเถอะคุ้มค่าจริงๆ...

กาลครั้งหนึ่ง มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น
เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้ แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขาก็มี
เพียงข้าวสารนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ

คืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกิน
เสบียงของเขา เขาโกรธมาก ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า "บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไป
กินทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก" เจ้าหนูพูดขึ้นว่า "ชะตาของเจ้ามีข้าวสาร
ได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง" ขอทานถามเจ้าหนู "ทำไมเป็นเช่นนั้น"
เจ้าหนูตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ

ขอทานจึงตัดสินใจ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ ว่า
เหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้

เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก วันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืด
ถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอ
ข้าวกินหน่อย พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยัง
เดินทางอยู่อีก ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง
บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน
ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น เศรษฐีจึงเล่าเหตุผล
ให้ฟังว่า ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้ ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย
เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้ เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น ขอทาน
ได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้
ขอทานจึงรับปากจะถามให้

ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไป
ขอน้ำดื่ม เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง พระชราให้น้ำเขาดื่ม
และบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่ แล้วถามเขาว่าจะไปไหน ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป พระชรารีบจับ
มือขอทานไว้และพูดว่า ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา 500
กว่าปีแล้ว ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้ ขอทานก็เลยรับปากพระชรา

เดินไปข้างหน้า ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มี
เรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง ขอทานร้องไห้และพูดว่า หรือว่าชีวิต
ข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เต่าแก่พูดภาษาคนได้
ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เต่าแก่พูดกับเขาว่า ข้าได้เข้าฌาน
ปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง
ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ช่วยถามให้ข้าด้วย ข้าจะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม ขอทานรับปาก
ด้วยความดีใจ

ขอทานเดินไปจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน แต่ก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ คิดในใจว่าพระพุทธองค์อยู่ไหนนะ
แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้ว ขอทานเสียใจมาก เลยผลอยหลับไปแบบงุนงง

ทันใดนั้นพระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานดีใจมาก พระพุทธองค์ถามขอทานว่า เจ้ามาไกล
ขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม
หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะเจ้าถาม
ได้สูงสุดแค่ 3 คำถามเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน 3 คำถามมาก่อน ขอทานตอบตกลง
คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดีขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย

เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู

พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู

ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง

คำถามของเขาก็น่าจะถามดู และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1

พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้
ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้

คำถามที่2 ท่านตอบว่า พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ
ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง
เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว

ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3 ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวได้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง
และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป?

ขอทานรู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองไม่มีอะไรสำคัญ กลับไปขอทานตามเดิมดีกว่า แล้วจึงรีบเดิน
ทางกลับ ขอทานกลับมาถึงริมแม่น้ำ เต่าแก่คำนวนว่าขอทานน่าจะมาถึงแล้ว จึงรีบถามว่า
พระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง ขอทานพูดว่า เจ้าพาข้าข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง เต่าพาขอทาน
ข้ามแม่น้ำไป ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง เต่าฟังแล้วเข้าใจทันที จึงถอดกระดองออกยกให้ขอทานและ
พูดว่า ในนี้มีไข่มุกราตรี24เม็ด เป็นของที่หาค่ามิได้ สำหรับข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า
เต่าแก่จึงกลายเป็นมังกร บินหายไป

ขอทานเอาไข่มุกราตรี24เม็ด รีบเดินทางกลับมาถึงบนเขาพบกับพระชรา พระชรารีบถามว่า
พระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษ
ให้แก่ขอทาน พระชราจึงขี่เมฆบินขึ้นท้องฟ้าหายไป

ขอทานเดินทางมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี ทันใดนั้น มีหญิงสาววิ่งออกมาและตะโกนเสียงดังว่า คนที่ไป
ถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว เศรษฐีก็วิ่งออกมา เขาตกใจมากที่อยู่ๆลูกสาวเขาพูดได้ ขอทานถ่าย
ทอดคำตรัสพระพุทธองค์ เศรษฐีดีใจมาก จึงให้ลูกสาวแต่งงานกับขอทาน

ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา

ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา

คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ

นี่คือเหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์

เมื่อท่านอ่านบทความนี้จบ ท่านมี2ทางเลือก

1. ท่านเผยแพร่ออกไปเต็มความสามารถ ทำให้โลกนี้มีความรักเพิ่มขึ้น
2. ท่านสามารถไม่สนใจ เสมือนหนึ่งท่านไม่เคยเห็นมันเลย

การแบ่งปันเล็กๆของท่าน อาจสามารถส่องสว่างให้แก่ชีวิตคนมากมาย คนมีความฝันจึง
ทำให้ยิ่งใหญ่ การกระทำยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จ การเรียนรู้ของท่านทำให้ท่านเปลี่ยนแปลง

ขอให้ท่านกระจายความรักของท่านจะช่วยให้คนส่วนมากเติบใหญ่ขึ้น ขอบคุณการสนับสนุน
ของท่าน ข้าพเจ้าได้เลือกทำข้อที่1แล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 01, 2024 11:31 pm

( 8 )


เรื่องราวนี้เป็นของ “จางซวงฉี” พ่อชราวัย 75 ปี และ “จางไป่เกอ” ลูกสาววัย 24 ปี ทั้งคู่ไม่ใช่
พ่อลูกกันแท้ ๆ จางซวงฉีเป็นเพียงชาวนาผู้ยากจน แต่เขาก็รับเลี้ยงจางไป่เกอโดยไม่มีข้อแม้
จนวันนี้ลูกสาวได้ประสบความสำเร็จ เธอจึงตอบแทนคุณของพ่อผู้นี้เป็นอย่างดี


ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2540 ขณะนั้นจางซวงฉีเป็นเพียงชาวนา อาศัยอยู่ที่ชนบทแห่งหนึ่ง
ในมณฑลเหอหนาน แม้ว่าเขาจะมีอายุมากแล้ว แต่เขายังไม่ได้แต่งงานเพราะความยากจนเป็นเหตุ

วันหนึ่ง ขณะที่จางซวงฉีเดินทางไปทำนา เขาได้พบทารกถูกทิ้งไว้ที่ทุ่งนา เขาจึงนำทารกกลับบ้านมา
ด้วยชั่วคราว จากนั้นก็ไปสอบถามคนในหมู่บ้านว่ามีใครลืมทารกไว้หรือไม่ สุดท้ายเขาก็รับรู้ว่าทารก
ตัวน้อยได้ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง
จางซวงฉีตัดสินใจเลี้ยงดูทารกน้อย โดยตั้งชื่อให้เธอว่า “จางไป่เกอ” และเพื่อที่ให้ลูกสาวมีชีวิตที่ดี
เขาไม่เพียงแต่ทำงานในทุ่งนาทุกวัน แต่เขายังใช้เวลาที่เหลือเก็บขยะตามหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียง
ไปขายอีกด้วย
เมื่อจางไป่เกอเติบโตขึ้น เธอต้องไปโรงเรียนและเข้าสังคม จางซวงฉีรับรู้ดีว่าลูกสาวอาจจะรู้สึกไม่ดี
ต่อสายตาผู้คนที่มองมา เขาจึงทำงานให้หนักขึ้น ช่วงเวลากลางคืนที่ลูกสาวเข้านอน เขายังคงออกไป
หาขยะมาขายเสมอ

ด้วยความเยาว์วัย จางไป่เกอก็มีช่วงเวลาที่ทำตัวไม่ดีต่อพ่อ แต่ไม่ว่าเธอจะทำตัวเลวร้ายแค่ไหน พ่อก็เ
ข้าใจและไม่เคยต่อว่าเธอเลยสักครั้ง จึงทำให้เธอเริ่มรู้สึกผิดและเริ่มทำดีกับพ่อมากขึ้น
“ฉันจำได้วันนั้นฝนตกหนัก พ่อไปรับฉันที่โรงเรียน เพราะพ่อตัวเตี้ย ฉันเห็นพ่อเขย่งเท้ามองหาฉันท่าม
กลางผู้ปกครองคนอื่น ๆ ตอนนั้นฉันจงใจหลบเลี่ยงพ่อ แต่เมื่อพ่อเห็นฉัน พ่อก็ยื่นร่มให้โดยไม่พูดอะไร
แล้วพ่อก็เดินกลับบ้านท่ามกลางสายฝน และก็มีอยู่วันหนึ่ง ฉันน้อยใจเรื่องอาหาร เพราะที่ผ่านมาเราทาน
แต่อาหารเดิม ๆ ฉันเลยพลิกโต๊ะจนคว่ำ ทำให้จานข้าวกระจัดกระจาย แต่พ่อก็ไม่ได้ดุด่าฉัน พ่อเพียงก้ม
เก็บเศษข้าวตรงพื้นอย่างเงียบ ๆ”

เมื่อจางไป่เกอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จางซวงฉีต้องทำงานหนักขึ้น เขาประหยัดและอดออมมาก ทาน
เพียงซาลาเปา หรือก๋วยเตี๋ยวที่มีแต่ผัก อาหารจะดูหรูหรามีเนื้อสัตว์ก็ต่อเมื่อลูกสาวกลับมาบ้านเท่านั้น

จนวันหนึ่ง จางไป่เกอได้กลับมาบ้านโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า เธอก็เห็นพ่อนั่งทานอาหารที่มีแต่เศษผัก
เธอตระหนักทันทีว่าต้องหาเงินมาเลี้ยงดูพ่อให้ได้ เธอจึงเริ่มทำงานพาร์ทไทม์หลายงาน
งานแรกของจางไป่เกอคือเป็นเด็กเสิร์ฟ ได้เงินเดือน 800 หยวน (ราว ๆ 4,000 บาท) เธอรีบนำเงินที่
ได้มาซื้อเตียงให้พ่อ เพราะพ่อไม่เคยนอนเตียงดี ๆ มาก่อนในชีวิต เมื่อเห็นสีหน้าที่พึงพอใจของพ่อ
เธอก็ตั้งมั่นว่า จะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้พ่อมีชีวิตที่ดีขึ้น

แต่ผลของการทำงานหนักทำให้จางไป่เกอก็เริ่มป่วย จางซวงฉีใช้เงินเก็บทั้งหมดมาดูแลลูกสาว
เขาพาเธอปักกิ่งเพื่อไปพบแพทย์ที่มีชื่อเสียง ตลอดเวลาที่อยู่ที่ปักกิ่ง สองพ่อลูกต้องอาศัยอยู่ใน
ห้องเช่าใต้ดิน เดินทางไปมาระหว่างโรงพยาบาลทุกวัน
หลังจากจางไป่เกอมีสุขภาพที่ดีขึ้น เธอเริ่มหันมาขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โชคดีที่มีกระแสตอบรับดี
เธอมีฐานลูกค้าจำนวนมาก เมื่อผลประกอบการดีขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็ซื้อบ้านในเมืองและย้ายพ่อมา
อยู่ด้วย พร้อมกับตั้งบริษัทของตัวเอง

จางไป่เกอประสบความสำเร็จมีเงินหลักร้อยล้าน มีบริษัทและผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง ทุกคนคิดว่า
เธอจะดูแลและพัฒนาธุรกิจต่อไป แต่เธอก็ทำให้ทุกคนตกใจด้วยการขายบริษัทและนำเงินไปซื้อ
รถบ้าน พาพ่อเดินทางเที่ยวทั่วประเทศและทั่วโลก
มีหลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมจางไป่เกอถึงทิ้งธุรกิจและเลือกเดินทางไปเที่ยวกับพ่อวัยชราที่ไม่รู้ว่า
จะมีชีวิตอยู่ได้นานเพียงไหน เธอให้คำตอบว่า พ่ออายุ 70 กว่าแล้ว ร่างกายทรุดโทรมลงทุกวัน
เธอไม่รู้ว่าเธอจะอยู่กับพ่อได้นานแค่ไหน และที่สำคัญหากไม่ได้พ่อเก็บมาเลี้ยง ก็คงไม่มีเธอใน
ทุกวันนี้ จางไป่เกอหวังว่าพ่อจะมีความสุขกับชีวิตในวัยชรา เธอเป็นหนี้บุญคุญของพ่อ ในวัยเยาว์
เธอทำให้พ่อต้องทนทุกข์มามากมาย ตอนนี้เธอต้องการตอบแทน เพียงแค่เห็นรอยยิ้มที่มีความสุข
บนใบหน้าของพ่อเธอก็มีความสุขแล้ว

เรื่องราวของเธอช่างเหมือนกับภาพยนต์จีนในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อนเรื่องหนึ่งคือ เรื่อง พ่อจ๋าอย่าร้องไห้

เป็นเรื่องราวของคนเก็บขวดผู้เป็นใบ้ ที่พบเด็กทารกหญิงในกองขยะ เขาเก็บเด็กคนนั้นมาเลี้ยงดู
และด้วยรักที่เหมือนพ่อแท้ ๆ ของเด็ก ทำให้เขาเลิกเหล้าได้ เมื่อเด็กผู้หญิงนั้นเติบโตขึ้น เธอประสบ
ความสำเร็จจนกระทั่งเป็นนักร้องชื่อเสียงโด่งดัง แต่ทว่าทางต้นสังกัดให้ปกปิดประวัติไว้ เพราะไม่
ต้องการให้สังคมรับรู้ว่าเธอคือเด็กกำพร้า ทำให้คนขายขวดยังต้องขายขวดต่อไป จนกระทั่งเธอ
เปิดคอนเสิร์ตใหญ่ขณะที่ผู้เป็นพ่อกำลังป่วยหนักใกล้เสียชีวิตโดยที่เธอไม่รู้ เมื่อเขาเสียชีวิต เธอแม้
พยายามจะกลับมาดูใจแล้วแต่ก็ไม่ทัน

เรื่องนี้ขนาดผู้ชายเข้าไปดูยังต้องร้องไห้
เป็นภาพยนต์ที่โด่งดังทั่วเอเชียในยุคนั้น กวาดรางวัลมากมาย
จนคนไทยยังเอามาดัดแปลงเป็นภาพยนต์เรื่อง พ่อจ๋า มีคุณสรพงษ์ เล่นเป็นพ่อ

โชคดีที่เรื่องจริงตอนจบต่างจากภาพยนต์


เพื่อให้ได้ย้อนรำลึกถึง...พ่อจ้าอย่าร้องไห้
จึงขอนำเพลงดัง ติดหูคนทั่วเอเซียมาให้ฟังด้วย

https://youtu.be/Citz50Zi02g?si=pUhvgJqzn7jsDqWC
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 04, 2024 8:02 pm

( 9 )

*เรื่องสั้น*

ชายชรากับลูกชาย

Moral stories จาก Google เรื่อง Old Man and His Son -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ชายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ตามลำพังในรัฐมินนิโซตา เขาอยากจะไถพรวนสวนปลูก
มันฝรั่งของเขา แต่เนื่องจากการไถพรวนดินเป็นงานที่หนักมาก และตอนนั้นลูกชายที่แข็งแรง
คนเดียวของเขาก็ถูกขังคุกอยู่ ชายชราจึงเขียนจดหมายเพื่อระบายความทุกข์ในใจให้
ลูกทราบ ข้อความในจดหมายมีดังนี้ :

ลูกรัก

พ่อรู้สึกแย่มากเพราะปีนี้พ่อคงปลูกมันฝรั่งไม่ได้แล้วแม้พ่ออยากจะปลูกมากเพียงใดก็ตาม
ลูกก็รู้นี่ว่าแม่ชอบช่วงเวลาที่พวกเราปลูกผักทำสวนกันมากเพียงใด แต่ตอนนี้พ่อก็แก่เกิน
กว่าจะขุดดินทำสวนได้แล้ว ถ้าลูกอยู่ด้วยก็คงช่วยแก้ปัญหาได้แน่เพราะลูกยังแข็งแรงช่วย
ขุดดินทำสวนช่วยพ่อได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ลูกถูกขังอยู่ในคุก

รักลูกเสมอ

จากพ่อของลูก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ชายชราผู้นี้ก็ได้รับโทรเลขมีใจความว่า :

‘เพื่อเห็นแก่สวรรค์ พ่อครับ อย่าขุดดินในสวนนะครับ!! ผมฝังปืนซ่อนไว้ก่อนถูกตำรวจจับ!!'

ตีสี่ของเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ (FBI) และตำรวจท้องที่กว่า 10 นายรุดมาที่สวนและ
จัดการขุดดินไปทั่วทั้งสวนเพื่อค้นหาปืนแต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ เลย

ชายชรารู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงเขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงลูกชายเพื่อเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
และถามลูกว่า ตอนนี้ลูกคิดว่าพ่อควรจะทำอะไรดี

ลูกชายจึงเขียนตอบพ่อว่า: 'พ่อก็ปลูกมันฝรั่งสิครับ เพราะลูกคงจะช่วยพ่อจากในคุกได้
เพียงเท่านี้แหละครับ'

คติพจน์ : ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก หากเราตัดสินใจจะทำอะไรอย่างจริงจังแล้ว ย่อมมีหนทางเสมอ

*******************
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ จันทร์ มี.ค. 04, 2024 8:13 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 04, 2024 8:05 pm

( 10 )

เหนือฮ่องเต้ ยังมี "ฟ้า"
.. กาลครั้งหนึ่ง ในราชวงศ์หนึ่งของจีน ฮ่องเต้ มีลูกชายที่หมายมั่นจะให้สืบทอดราชสมบัติ
(ตอนนี้ก็เป็นองค์ชาย)
องค์ชาย มีนิสัยเพลบอย ชอบลูกสาวชาวบ้านคนไหน ก็จะให้ทหารไปนำตัวมา ด้วยการบังคับ
ทำมาหลายรายแล้ว
.. แต่มีสาวคนหนึ่ง นางไม่ยอม จึงต่อสู้ขัดขืน องค์ชายจึงลงมือซ้อม จนเสียชีวิต และสั่งให้
ทหารคนสนิท นำศพไปฝังที่นอกวัง
.. หมา หิวโซ ก็ไปขุดคุ้ยหลุมที่ฝัง และคาบเอามือของเธอ มานั่งแทะที่ตลาด ชาวบ้านเห็นก็ตกใจ
เรียกเจ้าหน้าที่มาดู เรื่องถึงท่านเปาบุ้นจิ้น ท่านจึงให้จั่นเจาไปสืบคดี ได้ความว่า ศพของสาว
คนนี้ คือลูกสาวของชาวบ้าน ที่ถูกทหารแอบลักพาตัวไปให้องค์ชาย
.. ท่านเปาฯ จึงมีหมายศาลไปเรียกตัวองค์ชายมาสอบ องค์ชายก็ปฏิเสธทุกข้อหา แต่หลักฐาน
มัดตัวแน่น ดิ้นไม่หลุด
.. ฮ่องเต้ จึงขอให้ท่านเปาฯ ช่วยผ่อนปรน แต่ท่านเปาฯ บอกว่า ชีวิตของสาวคนนั้นก็มีค่า
ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต
.. ฮ่องเต้ กลับเข้าวัง แล้วมาบอกกับองค์ชายว่า "เจ้าจงหนีไปให้ไกล" แต่องค์ชายบอกว่า
"ข้าไม่หนี ท่านพ่อต้องถอดเสื้อมังกรทองให้ข้าสวม เพราะเปาบุ้นจิ้น จะสั่งประหารข้าไม่ได้"
ฮ่องเต้ ไม่ยอมถอดเสื้อมังกรทองให้ องค์ชาย โมโห แล้วกว่าว่า "ท่านพ่อแก่แล้ว อยู่อีกไม่นาน
จงถอดเสื้อมังกรทองให้ข้าเดี๋ยวนี้" แล้วก็ต่อสู้กัน องค์ชายบีบคอเด็จพ่อ สวรรคตทันที ...
แล้วบอกขันทีว่า ท่านพ่อเป็นลมตาย ข้าคือฮ่องเต้องค์ต่อไป
.. จากนั้นอีกสองวัน ต้องไปขึ้นศาลไคฟง องค์ชายก็ใส่เสื้อมังกรทองไปขึ้นศาล ท่านเปาฯ ก็
บอกว่า ความผิดขององค์ชายคือ ประหารชีวิต .. แต่กฏบนเทียนบาลกล่าวไว้ว่า "ห้ามประหาร
คนที่ใส่เสื้อมังกรทอง เด็ดขาด"
.. ท่านเปาฯ. จึงถอดหมวกวางไว้บนโต๊ะ พร้อมทั้งถอดชุดเครื่องแบบ เพื่อขอลาออก
.. องค์ชาย ซึ่งใส่เสื้อมังกรทอง ก็หัวเราะลั่นศาล แล้วพูดว่า "ข้าคือฮ่องเต้คนต่อไป ไม่มีใครทำอะไรข้าได้"
เดินหัวเราะลั่นมาถึงประตูทางออกของศาลไคฟง
.. ทันใดนั้น ฟ้าก็ผ่าลงมาที่ตัวองค์ชาย ไห้มดำเป็นตอตะโก (เดสซามอเล่)
.. นิยายเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า ไม่มีใครอยู่เหนือฟ้า และ "กรรมลิขิต"
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 04, 2024 8:15 pm

( 11 )


*เรื่องสั้น*

สิงโตก็กลัวเป็นเหมือนกัน

Moral stories จาก Google เรื่อง Lion and His Fear -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

มีสิงโตใจกล้าตัวหนึ่ง มันไม่เคยกลัวสิ่งใดเลยนอกจากเสียงไก่ขัน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงไก่ขัน
มันจะรู้สึกถึงความเยือกเย็นที่ไหลแทรกซึมเข้าไปในกระดูกสันหลังของมัน และวันหนึ่งมันก็
สารภาพเรื่องนี้กับสหายช้างซึ่งเมื่อทราบเรื่องก็รู้สึกขบขันเป็นยิ่งนักพร้อมกับย้อนถามกลับไปว่า

“อะไรกัน บ้าไปแล้วหรือ!... แค่เสียงไก่ขันมันจะอะไรกันนักกันหนา... ตลกจังเลย!”

แต่ทันใดนั้นเอง มียุงตัวหนึ่งเริ่มบินวนไปมาอยู่รอบหัวช้าง มันตกใจร้องเสียงหลงขึ้นว่า
“แล้วถ้ามันเกิดบินเข้าไปในหูของฉันละก็ ฉันจะต้องตายแน่!”

ขณะที่ส่งเสียงร้อง มันพยายามแกว่งงวงอย่างโกลาหลฟาดไปที่ยุง และก็ถึงคราวที่สิงโตจะรู้สึก
ขบขันเป็นยิ่งนักกับการแสดงของช้างบ้าง!

คติพจน์ : หากเราเห็นความกลัวของเราเหมือนที่คนอื่นเห็น เราก็จะเข้าใจว่า
ความกลัวส่วนใหญ่ของเราเป็นเรื่องไร้สาระ!
-------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 04, 2024 8:18 pm

( 12 )


*เรื่องสั้น*

จงเป็นผู้ตื่นตัวอยู่เสมอ

Moral stories จาก Google เรื่อง Always Stay Alert -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสิงโตอายุมากตัวหนึ่ง มันแก่จนไม่สามารถไล่จับเหยื่อเป็น
อาหารได้ มันจึงคิดหาวิธีเอาตัวรอดก่อนที่จะหิวตาย หลังจากที่คิดอยู่เป็นเวลานาน มันก็
คิดออกว่า ต่อไปมันไม่จำเป็นต้องออกจากถ้ำไปไล่ล่าสัตว์อื่นเป็นอาหารอีกแล้ว แต่จะใช้วิธี
แสร้งทำเป็นนอนป่วยไร้เรี่ยวแรงอยู่ในถ้ำของมัน และเมื่อมีสัตว์ตัวไหนเข้ามาเยี่ยมเยียนดู
อาการใกล้ๆ มันก็จะกระโดดขย้ำจับสัตว์ตัวนั้นกินเป็นอาหารได้อย่างง่ายดาย เมื่อคิดแผนที่
ชั่วร้ายได้แล้ว มันก็นำแผนออกปฏิบัติการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และทุกสิ่งก็เป็นไปตามแผน
สำหรับสัตว์ผู้มีความปรารถนาดีโดยถ้วนหน้า

อย่างไรก็ตาม แผนร้ายนี้ดำเนินไปได้ไม่นานนัก เมื่อสุนัขจิ้งจอกผู้หวังดีตัวหนึ่งตั้งใจจะมาเยี่ยมมัน
ที่ถ้ำเช่นเดียวกับเพื่อนสัตว์อีกหลายตัว แต่เนื่องจากสุนัขจิ้งจอกมีธรรมชาติที่ฉลาดเฉลียว เมื่อมัน
เดินมาถึงปากถ้ำและมองไปรอบๆ สัมผัสที่หกของมันก็ทำงานโดยพลัน จากนั้นมันก็ส่งเสียงเรียก
สิงโตขณะยังยืนอยู่ที่หน้าถ้ำเตรียมพร้อมที่จะเผ่นหนีว่า "สหายสิงห์ที่รัก อาการป่วยดีขึ้นหรือยังครับ?"

สิงโตแสร้งส่งเสียงกระแอมไอตอบว่า “ยังไม่ค่อยสบายนัก แต่ทำไมเพื่อนไม่เข้ามาดูอาการใกล้ๆ
ข้างในนี้ล่ะครับ”

สุนัขจิ้งจอกจึงตอบอย่างสุภาพว่า “ใจจริงก็อยากเข้าไปเยี่ยมท่านใกล้ๆ อยู่หรอก แต่ฉันเห็นรอยเท้า
เพื่อน ๆ หลายตัวมีแต่รอยเท้าตามทางเข้าถ้ำ แต่ไม่เห็นมีรอยเท้ากลับออกมาจากถ้ำเลย ขอเชิญท่าน
อดอาหารต่อไปก่อนเถิด เพราะฉันกำลังจะเผ่นออกไปเตือนเพื่อนสัตว์ตัวอื่นแล้วครับ!”

******************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 04, 2024 8:24 pm

( 13 )

หลังจากเรียนจบที่อเมริกา และทำงานบริษัทสักระยะหนึ่ง ผมกับเพื่อนก็ตัดสินใจลาออกมา
ทำธุรกิจเล็ก ๆ ด้วยกัน แต่โชคไม่ดี หลังจากที่ตั้งบริษัทได้ไม่นาน ก็โดนผลกระทบจากยุค
เศรษฐกิจตกต่ำของสหรัฐอเมริกา - - ขณะที่กำลังท้อแท้ หลงทาง ตัดสินใจไม่ถูกนั้น ฟาเธอร์บิล-
บาทหลวงของโบสถ์ที่ผมไปทุกวันอาทิตย์ ได้ให้ข้อคิดชวนฮึกเหิมจากหนังสือที่ท่านอ่านเล่มหนึ่ง
ท่านเล่าให้ฟังพร้อมตั้งคำถามว่า
.
“บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น GE (General Electric), HP (Hewlett Packard), หรือ
IBM (International Business Machines) มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกัน เธอรู้ไหมว่ามันคืออะไร?”

“ใช้ตัวย่อเป็นชื่อบริษัท” ผมตอบทันที โดยไม่ต้องคิด

ฟาเธอร์บิลหัวเราะด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจว่า-ผมพูดตลกหรือโง่จริง?

“พวกเขาทั้งหมดล้วนเริ่มต้นในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำต่างหากล่ะ” ท่านเฉลย พร้อมกับสอนต่อไปว่า

“เมื่อเราพบเจออุปสรรค หรือสิ่งต่าง ๆ ที่วางแผนไว้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เรามักจะท้อ คิดเพียงว่า
เอาล่ะ ขอให้ทนอยู่ต่อไปได้อีกสักสัปดาห์ หรืออีกสักเดือนก็ถือว่าดีแล้ว ความคิดแบบนี้ หากฟัง
เพียงผิวเผิน ก็ดูเหมือนจะใช้ได้ แต่จริง ๆ แล้วไม่พอ เราไม่ควรหยุดอยู่แค่นั้น เราต้องก้าวข้ามจุด
นั้นไป เราต้องเป็นผู้เอาชนะอุปสรรค ไม่ใช่พอใจที่จะเป็นแค่ผู้รอดมาได้”
. . . . .
.
กบ 2 ตัวตกลงไปในถังผสมปูน ทั้งคู่พยายามที่จะกระโดดออกมาจากถัง แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใด
ก็ไม่สำเร็จ เพราะขาหลังใช้ดีดตัวทำงานได้ไม่เต็มที่ แต่มันยังสามารถตะเกียกตะกายไปได้บ้าง
กบตัวแรกจึงบอกกับกบตัวที่สองว่า

“ไม่ต้องรีบดิ้นรนไปให้เหนื่อยหรอก ถังนี้เป็นเหมือนโคลน เมื่อเราไม่จม ก็เท่ากับว่าเรารอดแล้ว...”

กบตัวที่สอง ไม่เห็นด้วย- - “ฉันว่าเราพยายามกระโดดให้สุดชีวิตก่อนดีกว่า อย่างน้อยไปให้ถึงขอบถัง”

กบตัวแรกยังยืนกราน “เชื่อสิ เรารอดแล้ว เห็นไหม ฉันไม่จมเลย” มันชูขาหน้าขึ้นพร้อมกันทั้งสองขา

กบตัวที่สองไม่ยอมเสียเวลาหันไปมอง มันตั้งใจกระโดดเต็มที่ต่อไป แล้วในจังหวะหนึ่งที่มันถีบตัว
ขึ้นไปสูงสุดแรง ขณะลอยตัวอยู่กลางอากาศ มันได้ยินเสียงกบตัวแรกร้องขอความช่วยเหลือ

“ช่วยด้วย! นี่มันเกิดอะไรขึ้น... ทำไมฉันกระดิกขา ขยับตัวไม่ได้เลย”
เมื่อขาของกบตัวที่สองกลับลงมาแตะพื้นผิวปูนในถังอีกครั้ง มันพบว่า พื้นที่เคยนุ่มเหนอะหนะได้
แข็งตัวเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ มันสามารถกระโดดไปที่ขอบถังและปีนออกไปได้อย่างง่ายดาย...
.
เพราะกบตัวที่สองไม่พอใจกับการแค่คิดว่ารอดแล้ว จึงก้มหน้าก้มตาฮึดสู้เอาชนะอุปสรรค
ให้เด็ดขาด แล้วในที่สุด มันก็กลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง!
.
ฟาเธอร์บิลบอกว่า บริษัทที่ใช้ชื่อย่อเหล่านั้น ล้วนเป็นเหมือนกบตัวที่สอง พวกเขาไม่เคยคิดพอใจ
แค่เพียงจะประคองให้บริษัทอยู่รอดไปวัน ๆ ในขณะที่ท้องฟ้ามืดหม่นมัว... แต่พวกเขากำลังคิดไป
ไกลกว่านั้นว่า หากเกิดฝนตกหนัก พวกเขาจะประดิษฐ์ร่มขึ้นมาสักคันอย่างไรดี!
. . . . .
.
ร็อคประสบอุบัติเหตุทำให้สูญเสียขาไปทั้งสองข้าง เดินไม่ได้ด้วยตัวเอง ต้องใช้วีลแชร์ แรก ๆ
เขาก็คิดตามที่ญาติมิตรพูดกล่อมเขาทุกวันว่า โชคดีแล้วที่รอดมาได้-ยังไม่ตาย! เขาจึงก้มหน้า
ยอมรับโชคชะตาในฐานะที่เป็นคนพิการ เขาใช้ชีวิตแต่ละวัน นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้าน ไม่มีกะจิต
กะใจคิดทำสิ่งใดเลยแม้แตน้อย...
.
วันหนึ่งฟาเธอร์บิลไปเยี่ยมเขาที่บ้าน และพยายามพูดให้คิด- -
.
“หากเราพอใจที่จะเป็นผู้รอดชีวิตมาได้ เราก็จะเป็นแค่เหยื่อ เป็นผู้เคราะห์ร้ายไปตลอดกาล เราจะ
ติดกับดักของความคิดที่ว่า เรารอดมาได้ก็ดีถมเถแล้ว เราคงไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านี้อีก...”
.
ฟาเธอร์บิล หยุดพูดชั่วอึดใจ ดูปฏิกริยาของร็อค เมื่อเห็นเขานิ่งฟัง ไม่โต้เถียง จึงกล่าวต่อไปว่า
.
“...แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองของเรื่องนี้ เราจะเห็นว่า เราไม่ใช่เพียงแค่รอดมาได้ แต่เราสามารถ
เอาชนะมันมาได้ต่างหากล่ะ”
.
‘รอดมาได้’ กับ ‘เอาชนะมาได้’ สองคำนี้ฟังดูคล้ายกัน เหมือนมีความหมายทางเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้ว
น้ำหนัก, ความรู้สึกของทั้งสองคำนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!
.
ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “ผู้ที่รอดมาได้จากภัยพิบัติ” มีน้ำเสียงบ่งบอกถึงการเป็นเหยื่อ-เป็นผู้เคราะห์ร้าย
ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ในขณะที่ “ผู้เอาชนะภัยพิบัติ”นั้น ฟังดูน่าเกรงขาม สามารถยืนท้าพายุกล้า
ในครั้งต่อไปได้อย่างทระนง!
.
หลาย ๆ ครั้งบนถนนสายยาวไกลของชีวิต เมื่อประสบเหตุไม่คาดฝัน เราเป็นเหมือนร็อค เผลอยึด
แน่นอยู่กับความคิดที่ว่าเรารอด- - เรารอดมาได้จากปัญหานี้, เรารอดมาได้จากอุปสรรคนั้น แทนที่
จะคิดว่า เราเอาชนะปัญหานี้มาได้ เราเอาชนะอุปสรรคนั้นมาได้ เรากลับพอใจที่จะจมอยู่ในหล่มลึก
ของคำว่า “รอดมาได้” จนลืมก้าวขึ้นสูงในอีกระดับหนึ่ง!
.
แท้จริงแล้ว เราควรบอกตัวเองว่า เรา ไม่ใช่เหยื่อที่นอนอยู่ใต้กองอุปสรรค หากยืนอยู่บนซาก
ปัญหาเหล่านั้นอย่างผู้ชนะ!
. . . . .
.
หากต้นไม้พอใจเพียงแค่แทงยอดพ้นพื้นดินเป็นต้นหญ้า เราคงไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้เงาร่มรื่นยาม
แดดแรง เราคงไม่มีเพลงใบไม้ขับกล่อมยามลมพัด เราคงไม่มีกิ่งไม้ให้นกเดินทางได้พักพิง
.
บริษัทของผมกับเพื่อนดำเนินต่อมาได้ยาวไกลอีกหลายปีเกินกว่าที่เราคาด มีโอกาสสร้างผลงาน
อีกมากมาย นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้คิดเพียงว่า เรารอดมาได้จากฝนฟ้าเศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ
หากเราเอาชนะมันมาได้อย่างทระนง! แม้ในที่สุดจะต้องปิดตัวเองลงก่อนผมกลับเมืองไทย
แต่นั่นก็เนื่องมาจากปัจจัยอื่นอันเป็นเหตุให้เราต้องตัดสินใจอย่างนั้น...
.
ทุกวันนี้ ร็อคไม่ใช่เป็นแค่คนพิการที่อยู่กับบ้าน ฟาเธอร์บิลเล่าว่า เขาไปเรียนเพิ่มเติมทางด้าน
คอมพิวเตอร์ และได้งานทำเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทใหญ่โต วันสุดสัปดาห์ เขาจะเล่นบาสเกตบอล
บนวีลแชร์ ตั้งทีมแข่งขันเพื่อการกุศล หาเงินช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและคนพิการ – เขาไม่ใช่
ผู้เคราะห์ร้ายที่รอดชีวิตมาได้อีกต่อไป แต่เป็นผู้ชนะที่แท้จริง!
.
หากวันนั้น เราทุกคนพอใจเพียงแค่ได้แทงยอดพ้นเหนือพื้นดิน โลกนี้คงเต็มไปด้วยลานหญ้า
ไม่มีร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ให้นกเดินทางได้พักพิง.
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าเสริมกำลังให้เราชนะใจตัวเองในทุก ๆ ปัญหา ]
.
___
* บางส่วนจากหนังสือ #เมื่อกางปีกแล้วก็ต้องบิน โดย #ปะการัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 04, 2024 8:29 pm

( 14 )


คุณพูดภาษาจีนได้ไหม?

บทความจากที่มา: Michael Snyder, Guest Post

ในอนาคตจีนจะจ้างคนงานชาวอเมริกันหลายล้านคนและมีอำนาจเหนือชุมชนเล็กๆ
หลายพันแห่งทั่วสหรัฐอเมริกา

การเข้าซื้อกิจการของจีนในสหรัฐฯสร้างสถิติใหม่ตลอดกาลในปีที่แล้วและกำลัง
จะทำลายสถิติในปีนี้ เช่น

การเข้าซื้อกิจการของ Smithfield Foods ที่เป็นผู้ผลิตและแปรรูปเนื้อหมูที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก

ใน 26 รัฐของสหรัฐอเมริกา มีพนักงานชาวอเมริกันหลายหมื่นคน เป็นเจ้าของฟาร์ม 460 แห่ง
โดยตรงและผูกพันกับฟาร์มอื่นๆอีกประมาณ 2,100 แห่ง
แต่ขณะนี้ บริษัทจีนแห่งหนึ่งได้ซื้อแล้วในราคา 4.7 พันล้านดอลลาร์ และนั่นหมายความว่า
ตอนนี้ชาวจีนจะเป็นนายจ้างที่สำคัญที่สุดในชุมชนชนบทหลายสิบแห่งทั่วอเมริกา

ส่วนหนึ่งที่อเมริกาขาดดุลการค้ากับจีนอย่างมหาศาล ทำให้จีนมีเงินใช้จ่ายหลาย
ล้านล้านดอลลาร์ พวกเขาเป็นเพียงเริ่มปฏิบัติการทางเศรษฐกิจ

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า มักไม่ค่อยมีความแตกต่างระหว่าง "รัฐบาลจีน" กับ "บริษัทของจีน"

ในปี 2554
43 เปอร์เซ็นต์ของผลกำไรทั้งหมดในจีน เกิดจาก บริษัทที่รัฐบาลจีนมีการควบคุมการลงทุน

เมื่อปีที่แล้ว บริษัทจีนใช้เงิน 2.6 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อความบันเทิง AMC ซึ่งเป็นหนึ่ง
ในเครือโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
ตอนนี้ บริษัทจีนควบคุมการขายตั๋วหนังมากกว่าใครในโลก

จีนไม่ได้อาศัยเพียงแค่การซื้อกิจการเพื่อขยายอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้น

“หัวหาดทางเศรษฐกิจ” กำลังก่อตั้งขึ้นทั่วอเมริกา เช่น Golden Dragon Precise Copper
Tube Group, Inc. ที่เพิ่งสร้างโรงงานมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ในเมืองโทมัสวิลล์รัฐแอละแบมา
หลายคนที่อาศัยอยู่ใน Thomasville, Alabama จะดีใจที่มีงานทำ แต่ก็จะกลายเป็นอีก
ชุมชนหนึ่งที่ตอนนี้ต้องพึ่งพาจีน(คอมมิวนิสต์) อย่างมาก

และลองเดาดูว่า บริษัท จีนจะวางรากฐานที่ไหนอีก?

ดีทรอยต์
บริษัท ที่จีนเป็นเจ้าของกำลังลงทุนในอเมริกัน

ธุรกิจและเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ขายทุกอย่างตั้งแต่เข็มขัดนิรภัย ไปจนถึงโช้คอัพในร้านค้าปลีก

มีการจ้างงานวิศวกรและนักออกแบบที่มีประสบการณ์มีความสามารถและความเชี่ยวชาญ
ในการผลิตรถยนต์ในประเทศ และซัพพลายเออร์ของพวกเขา

หากคุณเพิ่งซื้อรถที่ "ผลิตในอเมริกา" มีโอกาสดีมากที่มีชิ้นส่วนของจีนอยู่ในนั้น

นักวิเคราะห์อุตสาหกรรม มีความกดดันอย่างหนักที่จะใส่ตัวเลขให้กับซัพพลายเออร์จีน
ที่ดำเนินงานในสหรัฐอเมริกา

ดูเหมือนว่าจีนสนใจที่จะจัดหาแหล่งพลังงานในสหรัฐฯเป็นพิเศษ เช่น

จีนกำลังขุดถ่านหินในภูเขาของรัฐเทนเนสซี Guizhou Gouchuang Energy Holdings Group
มีการลงทุน 616 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อกิจการ Triple H Coal Co.ในเมืองแจ็คส์โบโรรัฐเทนเนสซี

ทั้งที่ในระยะแรกจากการได้มานั้น ไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก แต่ขณะนี้กลุ่มอนุรักษ์นิยม
ในรัฐเทนเนสซีกำลังพยายามหยุดยั้งชาวจีนไม่ให้ระเบิดภูเขาและยึดครองถ่านหินของพวกเขา

และในอีกไม่นาน
จีนอาจจะสร้างเมืองทั้งเมืองในสหรัฐอเมริกาเหมือนที่เคยทำในประเทศอื่นๆ
ซึ่ขณะนี้ จีนกำลังสร้างเมืองที่ใหญ่กว่าแมนฮัตตันนอกเมืองมินสค์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเบลารุส

คุณเริ่มได้ภาพหรือยัง ว่า จีนกำลังรุ่งเรืองขนาดไหน

หากคุณสงสัยสิ่งนี้โปรดอ่านสิ่งต่อไปนี้:

# เมื่อคุณนำเข้าและส่งออกทั้งหมดตอนนี้จีนเป็นประเทศการค้าอันดับหนึ่งของโลก

# โดยรวมแล้วสหรัฐฯขาดดุลการค้ากับจีนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาซึ่งมีมูลค่ามากกว่า
2.3 ล้านล้านดอลลาร์

# จีนมีเงินตราต่างประเทศสำรองมากกว่าใคร ๆ ในโลก

# ขณะนี้จีนมีตลาดรถยนต์ใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

# ตอนนี้จีนผลิตรถยนต์มากกว่าสหรัฐฯถึงสองเท่า

# ในสหรัฐฯ GM ร่วมทุนกับ 11 บริษัทของจีน

# จีนเป็นผู้ผลิตทองคำอันดับหนึ่งของโลก

# เครื่องแบบสำหรับทีมโอลิมปิกสหรัฐฯผลิตในจีน

# 85% ของต้นคริสต์มาสประดิษฐ์ทั้งหมดทั่วโลกผลิตในประเทศจีน

# อาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์แห่งใหม่ในนิวยอร์กจะต้องนำเข้ากระจกทั้งหมดจากจีน

# ตอนนี้จีนใช้พลังงานมากกว่าสหรัฐเสียอีก

# จีนเป็นผู้ผลิตสินค้าชั้นนำของโลกโดยรวม

# จีนใช้ปูนซีเมนต์มากกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลกรวมกัน

# ปัจจุบันจีนเป็นผู้ผลิตพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์อันดับหนึ่งของโลก

# จีนผลิตถ่านหินได้มากถึง 3 เท่าและเหล็กมากกว่าสหรัฐถึง 11 เท่า

# จีนผลิตธาตุหายากทั่วโลกมากกว่าร้อยละ 90 ของอุปทานทั่วโลก

# จีนเป็นซัพพลายเออร์อันดับหนึ่งของส่วนประกอบที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานของทุกชาติ

ระบบป้องกัน

# ในบทความวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์
คาดว่า จีน จะกลายเป็นผู้นำทางการวิจันทางวิทยาศาสตร์ อันดับหนึ่งของโลกในไม่ช้า

และสิ่งที่เราเห็นจนถึงตอนนี้อาจเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของภูเขาน้ำแข็ง

สำหรับตอนนี้ ฉันจะฝากคำแนะนำไว้ให้ ว่า คุณอาจจะต้องเรียนรู้ การพูด ภาษาจีน
เพราะคุณต้องการมันแน่
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 04, 2024 8:34 pm

(15 )

*เรื่องสั้น*

บัณฑิตกับเศรษฐี

Moral stories จาก Google เรื่อง Pundit and Rich Man -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

มีบัณฑิตคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บัณฑิตผู้นี้เป็นผู้รอบรู้หลายด้านแต่มี
ฐานะยากจนมากเพราะหางานทำไม่ได้ เขาไม่มีบ้าน เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็ขาดวิ่นและแทบไม่มี
อาหารตกถึงท้องเลย

เขาจำต้องเลี้ยงชีพด้วยการไปขออาหารตามบ้าน เจ้าของบ้านเกือบทุกหลังเมื่อเห็นสภาพ
เสื้อผ้าที่เก่าและขาดวิ่นของเขาคิดว่าเขาเป็นคนเสียสติและปิดประตูบ้านไล่เขาไป

อย่างไรก็ตาม มีอยู่วันหนึ่ง โชคเข้าข้าง มีเศรษฐีใจบุญผู้หนึ่งมอบเสื้อผ้าชุดใหม่ที่มีสีสันงดงาม
ให้เขา อย่างไรก็ตาม แม้บัณฑิตใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่สวยงามแล้วแต่เขาก็ยังคงตระเวนออกขอ
อาหารตามบ้านคนต่อไปเหมือนเดิม และเมื่อไปถึงบ้านหลังแรก เจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนมีฐานะดี
ยิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมกับออกปากเชิญอย่างนอบน้อมว่า “ขอเชิญท่านเข้าไปรับประทานอาหารข้าง
ในบ้านครับ” และทันทีหลังจากนั้นก็สั่งผู้รับใช้ให้รีบจัดโต๊ะพร้อมอาหารคาวหวานเป็นอย่างดี
หลังจากบัณฑิตนั่งรับประทานอาหารที่เริ่มจากซุปเห็ดหอมตามด้วยอาหารเลิศรสที่หลากหลายแล้ว
บัณฑิตก็สวดขอพรให้เจ้าของบ้านเป็นการตอบแทน หลังจากนั้นบัณฑิตก็กระทำสิ่งที่ทุกคนคาด
ไม่ถึง คือเขาใช้มือขวาหยิบเนื้อหวานที่ยังเหลืออยู่ในจานบนโต๊ะและเริ่มป้อนให้กับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่
ใส่อยู่พลางพูดว่า “กินสิ กินสิ กินเข้าไปสิ!”

เจ้าของบ้านและบรรดาผู้รับใช้ต่างประหลาดใจและไม่เข้าใจสิ่งที่บัณฑิตกำลังทำอยู่ จึงท้วงขึ้นว่า
“เสื้อผ้ากินอาหารไม่ได้หรอกครับท่าน -- ไปป้อนมันทำไม?”

บัณฑิตจึงเงยหน้าขึ้นตอบว่า “ที่พวกท่านท้วงนั้นก็จริงอยู่ แต่ท่านจำได้หรือเปล่าว่าเมื่อวานนี้ ผมก็
ผ่านมาขออาหารที่บ้านหลังนี้ แต่ถูกพวกคุณไล่ผมไป แต่มาวันนี้ เนื่องจากมีคนใจดีให้เสื้อผ้าชุด
ใหม่นี้กับผม ผมจึงมีอาหารกินอย่างดี ผมจึงอยากตอบแทนเสื้อผ้าชุดนี้ด้วยการป้อนอาหารให้ครับ” ...
เมื่อได้ยินคำตอบของบัณฑิตดังกล่าว เจ้าของบ้านและผู้รับคนใช้ทุกคนที่นั่นต่างรู้สึกละอายใจ
และตั้งใจว่าต่อไปจะไม่ตัดสินผู้คนจากการแต่งกายหรือลักษณะภายนอกที่เห็นเท่านั้น

********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มี.ค. 05, 2024 2:54 pm

( 16 )


*เรื่องสั้น*

ต้นกุหลาบที่หยิ่งผยอง

Moral stories จาก Google เรื่อง The Proud Rose -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ทะเลทรายไกลโพ้น มีกุหลาบต้นหนึ่งเจริญเติบโตและ
ออกดอกบานสะพรั่งสวยงามมาก มันภูมิใจกับดอกกุหลาบสีสดใสของมันเป็นที่สุด แต่กระนั้น
มันก็อดแสดงความไม่พอใจกับสภาพแวดล้อมไม่ได้ เนื่องจากในบริเวณใกล้เคียงมีแต่ต้น
กระบองเพชรที่แสนจะน่าเกลียดขึ้นอยู่โดยรอบ
และดังนั้นในช่วง 2-3 วันแรกที่มันอวดความงามของกลีบดอกแสนสวย มันมักจะพูดจาถากถาง
เยาะเย้ยเหล่าต้นกระบองเพชรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง แต่ต้นกระบองเพชรที่ได้ยินถ้อยคำที่บาดใจ
เหล่านั้นต่างทำหูทวนลมและสงบเงียบไม่ตอบโต้แต่ประการใด ขณะที่ต้นไม้อื่นที่อยู่ถัดไปพยายาม
เตือนสติให้กุหลาบต้นนั้นมีเหตุผลบ้าง แต่มันก็หาฟังไม่
และวันเวลาก็ผ่านไป ดูเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ กับดอกและใบของต้นกุหลาบ ยิ่งไป
กว่านั้นไม่กี่วันต่อมาเกิดคลื่นความร้อนพัดผ่านทะเลทรายอย่างรุนแรง กลีบกุหลาบที่แสนสวย
เริ่มเหี่ยวเฉาลง มันกระหายน้ำมากจนอดทนต่อไปไม่ไหวและเริ่มมองไปยังหมู่ต้นกระบองเพชร
โดยรอบ แล้วมันก็สังเกตเห็นนกน้อยตัวหนึ่งกำลังจุ่มปากเล็ก ๆ ลงไปในต้นกระบองเพชรยักษ์
ต้นหนึ่งเพื่อดื่มน้ำ แม้มันจะรู้สึกละอายใจตัวเองกับการกระทำในอดีตต่อต้นกระบองเพชรโดยรอบ
แต่ด้วยความกระหายน้ำเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าของมันไม่เหลือริ้วรอยความงามเลย มันเริ่มกล่าวขออภัย
ต้นกระบองเพชรอย่างสุภาพและพึมพำขอน้ำจากต้นกระบองเพชร เพื่อนต้นกระบองเพชรผู้มีน้ำใจดี
โดยรอบเข้าใจถึงความทุกข์ยากและการกลับตัวกลับใจของมัน ต่างกุลีกุจอรีบให้ความช่วยเหลือ
โดยไม่รอช้าและในที่สุดกุหลาบต้นนั้นและหมู่ต้นกระบอกเพชรก็เป็นเพื่อนกัน
และผ่านฤดูร้อนที่แห้งแล้งไปด้วยกันได้ในที่สุด

********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มี.ค. 05, 2024 2:57 pm

( 17 )


*เรื่องสั้น*

ชายชรากับลูกชาย

Moral stories จาก Google เรื่อง Old Man and His Son -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ชายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ตามลำพังในรัฐมินนิโซตา เขาอยากจะไถพรวนสวนปลูก
มันฝรั่งของเขา แต่เนื่องจากการไถพรวนดินเป็นงานที่หนักมาก และตอนนั้นลูกชายที่
แข็งแรง คนเดียวของเขาก็ถูกขังคุกอยู่ ชายชราจึงเขียนจดหมายเพื่อระบายความทุกข์
ในใจ ให้ลูกทราบ ข้อความในจดหมายมีดังนี้ :

ลูกรัก

พ่อรู้สึกแย่มากเพราะปีนี้พ่อคงปลูกมันฝรั่งไม่ได้แล้วแม้พ่ออยากจะปลูกมากเพียงใดก็ตาม
ลูกก็รู้นี่ว่าแม่ชอบช่วงเวลาที่พวกเราปลูกผักทำสวนกันมากเพียงใด แต่ตอนนี้พ่อก็แก่เกิน
กว่าจะขุดดินทำสวนได้แล้ว ถ้าลูกอยู่ด้วยก็คงช่วยแก้ปัญหาได้แน่เพราะลูกยังแข็งแรงช่วย
ขุดดินทำสวนช่วยพ่อได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ลูกถูกขังอยู่ในคุก

รักลูกเสมอ

จากพ่อของลูก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ชายชราผู้นี้ก็ได้รับโทรเลขมีใจความว่า :

‘เพื่อเห็นแก่สวรรค์ พ่อครับ อย่าขุดดินในสวนนะครับ!! ผมฝังปืนซ่อนไว้ก่อนถูกตำรวจจับ!!'

ตีสี่ของเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ (FBI) และตำรวจท้องที่กว่า 10 นายรุดมาที่สวนและ
จัดการขุดดินไปทั่วทั้งสวนเพื่อค้นหาปืนแต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ เลย

ชายชรารู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงเขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงลูกชายเพื่อเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
และถามลูกว่า ตอนนี้ลูกคิดว่าพ่อควรจะทำอะไรดี

ลูกชายจึงเขียนตอบพ่อว่า: 'พ่อก็ปลูกมันฝรั่งสิครับ เพราะลูกคงจะช่วยพ่อจากในคุก
ได้เพียงเท่านี้แหละครับ'

คติพจน์ : ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก หากเราตัดสินใจจะทำอะไรอย่างจริงจังแล้ว ย่อมมีหนทางเสมอ

*******************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 07, 2024 11:31 pm

( 18 )

*เรื่องสั้น*

ลูกสาวนำนมวัวไปขาย

Moral stories จาก Google เรื่อง The Milkmaid and Her Pail --
แปลและเรียบเรียง โดย กอบกิจ ครุวรรณ

หลังจากมอลลี่เสร็จงานรีดนมวัวที่ได้จนเต็ม 2 ถัง เธอก็หิ้วนมวัวในถังไปขายที่ตลาด
เช่นทุกวันที่ผ่านมา ทุกวันขณะหิ้วถังนมอยู่นั้น เธอชอบคิดวางแผนใช้เงินที่จะได้จากการ
ขายน้ำนมเพื่อแลกซื้อกับสิ่งที่เธออยากได้มากที่สุด

วันนั้นก็เช่นกัน ขณะเดินหิ้วนมจนเต็ม 2 ถังไปขายตลาดอยู่นั้น สิ่งแรกที่มอลลี่คิดจะซื้อคือ
เค้กและสตรอเบอร์รี่สด 1 ตะกร้า ไม่นานต่อมา เธอเห็นแม่ไก่ตัวหนึ่งกำลังจิกกินหาอาหารอยู่
เธอจึงคิดว่า “ด้วยเงินที่ฉันจะขายน้ำนมได้วันนี้ ฉันจะใช้ซื้อแม่ไก่ดีกว่า เพราะแม่ไก่จะออกไข่
แล้วพอไปตลาดในวันหลัง ฉันก็จะขายทั้งนมและไข่ แล้วฉันก็จะมีเงินซื้อของที่อยากได้มากกว่า
เดิมอีก!”

หลังจากนั้น มอลลี่ก็พัฒนาความคิดต่อไปอีกว่า “ด้วยเงินที่จะมีมากขึ้นนี้ ฉันก็จะใช้ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ
ใส่จนเพื่อนๆ อิจฉาทีเดียว” สมองน้อยๆ ของเธอเริ่มโลดแล่นด้วยความยินดีจนเธอบังคับตัวไม่อยู่
เธอเริ่มวิ่งไปกระโดดไปจนลืมไปว่าเธอกำลังหิ้วถังที่มีน้ำนมอยู่เต็ม ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ
เธอสะดุดล้มลง ถังนมทั้งสองหลุดมือ นมหกราดเธอไปทั่วตัวและไม่เหลือน้ำนมในถังเลย!

มอลลี่ที่เสื้อผ้าเปียกโชกปลอบตัวเองว่า “ไม่เป็นไรนะ! วันนี้ฉันโชคร้ายไปหน่อย ยังไม่มีเงินซื้อ
แม่ไก่ได้” ที่สุดเธอก็กลับบ้านอย่างเศร้าๆ พร้อมกับถังนมที่ว่างเปล่า

"โธ่เอ๋ย! เกิดอะไรขึ้นกับลูกหรือ?" แม่ของมอลลี่ถามด้วยความเป็นห่วง

“หนูขอโทษค่ะ หนูมัวแต่คิดฝันถึงสิ่งที่อยากจะซื้อเมื่อขายน้ำนมได้จนลืมไปว่าหนูกำลังหิ้วถังนมอยู่ค่ะ”

“ลูกแม่เอ๋ย แม่บอกกี่ครั้งแล้วนะว่า ‘อย่านับจำนวนลูกไก่ก่อนที่แม่ไก่จะฟักไข่เป็นลูกไก่เสียก่อน’ ”

********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 07, 2024 11:37 pm

( 19 )


*เรื่องสั้น*

สัมผัสทองคำ

Moral stories จาก Google เรื่อง The Golden Touch --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ครั้งหนึ่งพระราชาไมดาส (Midas) ทรงประกอบกิจการดีถวายแด่เทพารักษ์”เซเทอร์”(Satyr)
ซึ่งตามตำนานเทพปกรณัมกรีกแสดงออกเป็นภาพของชายหนุ่มผู้มีหูเป็นหูม้า มีเขาและขาเป็น
แพะชอบท่องเที่ยวไปตามป่าและภูเขา บางตำราเล่าว่าเทพารักษ์ตนนี้ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตาม
เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่น “ไดโอไนซัส” (Dionysus) หลังจากนั้นพระราชาทรงขอพรต่อเทพารักษ์
เซเทอร์ที่พระองค์ทรงถวายเครื่องบูชาอยู่เป็นประจำ พรที่พระองค์ทรงขอคือ ขอให้ทุกสิ่งที่
พระองค์สัมผัสเปลี่ยนเป็นทองคำ เมื่อเทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นไดโอไนซัสทรงทราบเรื่องก็พยายาม
ท้วงติงพระองค์ แต่พระราชาทรงอ้อนวอนยืนยันว่า พรที่ขอนี้เป็นความปรารถนาสูงสุดของ
พระองค์แล้ว และดังนั้นเทพารักษ์เซเทอร์จึงได้มอบพรให้พระองค์ตามพระประสงค์
ด้วยความตื่นเต้นกับพรทรงพลังใหม่ที่เพิ่งได้รับ พระราชาไมดาสทรงเริ่มสัมผัสข้าวของทุกสิ่ง
ที่อยู่ใกล้พระองค์และก็สามารถเปลี่ยนแต่ละสิ่งที่ทรงสัมผัสกลายเป็นทองคำได้สมปรารถนา

อย่างไรก็ตาม หลังจากทรงสำราญพระทัยเช่นนี้ได้พักใหญ่ พระองค์ทรงเริ่มรู้สึกหิวและทรงหยิบ
พระกระยาหารชิ้นหนึ่งขึ้นมาเสวย แต่อนิจจา พระองค์ทรงพบว่าพระกระยาหารชิ้นนั้นกลายเป็น
ทองคำบริสุทธิ์ไปแล้วไม่สามารถเสวยได้

พระราชาทรงเสียพระทัยกับพรที่ได้รับที่เกิดจากความไม่รอบคอบของพระองค์และทรงคร่ำครวญว่า
"ฉันต้องหิวตายแน่!” แต่สิ่งที่พระองค์ทรงเศร้าโศกเสียพระทัยยิ่งกว่านั้นเกิดขึ้นเมื่อพระธิดาสุดที่รัก
ของพระองค์ที่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับบิดา พระธิดาได้โผเข้ากอดเพื่อปลอบบรรเทาใจผู้เป็นพ่อ...
พลันพระธิดาก็กลายเป็น ทองคำบริสุทธิ์ไปด้วยเช่นกัน“

คติพจน์ : ความโลภมักนำสู่หายนะ

********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 11, 2024 5:01 pm

( 20 )


*เรื่องสั้น*

ต้นไม้เข็มแหลม

Moral stories จาก Google เรื่อง The Needle Tree -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ครั้งหนึ่ง มีพี่น้องสองคนอาศัยอยู่ที่ชายป่า พี่ชายคนโตมักจะใจร้ายกับน้องชายอยู่เสมอ
เขาจะเลือกเอาอาหาร ข้าวของและเสื้อผ้าดีๆ ไปก่อน น้องจึงได้แต่อาหารที่เหลือและเสื้อผ้าเก่าๆ
อยู่เป็นประจำ

วันหนึ่งขณะพี่ชายคนโตเข้าป่าไปตัดฟืนเพื่อจะนำฟืนที่ตัดได้ไปขายที่ตลาด ปกติเมื่อเขาพบ
ต้นไม้ที่มีกิ่งก้านที่พอเหมาะ เขาก็จะตัดกิ่งของไม้ต้นนั้นจนเหลือแต่ลำต้น อย่างไรก็ตาม วันนั้น
เขาเดินเข้าไปในป่าเช่นเคยและได้พบเข้ากับต้นไม้วิเศษต้นหนึ่ง

ต้นไม้ต้นนั้นพูดได้และบอกให้เขาหยุดฟังก่อนที่จะตัดกิ่งของมันว่า 'ท่านผู้มีน้ำใจดี โปรดอย่าง
ตัดกิ่งของข้าออกเลย แล้วข้าจะมอบแอปเปิ้ลทองคำให้เป็นการตอบแทน'

พี่ชายคนโตตกลงตามนั้นแต่ก็รู้สึกผิดหวังมากกับจำนวนแอปเปิ้ลทองคำที่ต้นไม้มอบให้ ดังนั้น
ด้วยความโลภ เขาจึงขู่ตะคอกต้นไม้วิเศษต้นนั้นว่า เขาจะตัดต้นไม้ทั้งต้นทิ้งหากเขาไม่ได้
แอปเปิลทองคำมากกว่าที่รับได้มาแล้ว แต่แทนที่ต้นไม้วิเศษจะทำตามคำขู่นั้น ต้นไม้กลับดีด
เข็มแหลมเล็กจิ๋วนับร้อยใส่จนเขาล้มลงกับพื้นและร้องไห้ลั่นป่าด้วยความเจ็บปวด

เย็นวันนั้น น้องชายไม่เห็นพี่ชายกลับบ้านเช่นทุกวันก็รู้สึกเป็นห่วงและออกตามหาพี่ชายในป่า
และไม่นานต่อมาเขาก็เดินหาจนแลเห็นพี่ชายที่กำลังนอนร้องโอดครวญอยู่ใต้ต้นไม้ประหลาด
ต้นหนึ่ง เมื่อเข้ามาใกล้ก็สังเกตเห็นเข็มขนาดจิ๋วนับร้อยฝังอยู่ตามร่างของเขา ด้วยความรักพี่ชาย
ผู้เป็นน้องรีบตรงเข้าไปช่วยดึงเข็มออกทีละเล่มอย่างระมัดระวัง และเมื่อดึงเข็มออกไปหมดแล้ว
พี่ชายคนโตซึ่งบัดนี้รู้สึกผิดทั้งต่อต้นไม้วิเศษและการปฏิบัติที่ไม่ดีต่อน้องตลอดมา ก็กล่าวขออภัย
อย่างจริงใจทั้งต่อต้นไม้วิเศษและต่อน้องชาย

ต้นไม้วิเศษเห็นเขากลับใจจริง จึงมอบแอปเปิ้ลทองคำเป็นของกำนัลให้มากเท่าที่ทั้งสองต้องการ

*********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 11, 2024 5:06 pm

( 21 )


ชายคนหนึ่งได้เปิดกิจการในนครนิวยอร์คเมื่อหลายปีมาแล้ว นับเป็นธุรกิจแรกในชีวิต
ของเขา และเขาเรียกมันว่า "ธุรกิจในรูเล็ก ๆ ข้างถนนซึ่งมีลูกจ้างเพียงคนเดียว ต่อมาอีก 2-3 ปี
เขาก็ย้ายกิจการของเขาไปอยู่ใน ห้องที่ใหญ่กว่าเก่า หลังจากนั้น ก็ขยับเข้าไปอยู่ในอาคารที่มี
ราคาแพง กิจการของเขาประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง
เขาอธิบายวิธีการดำเนินธุรกิจของเขาว่า เป็นวิธี "บรรจุคำอธิษฐานในด้านดีและความคิดใน
แง่บวก เข้าไปในรูเล็ก ๆ ข้างถนน" นอกจากนั้นยังแถลงว่าการทำงานหนัก การปฏิบัติต่อลูกค้า
อย่างดี และการอธิษฐานอย่างถูกต้อง จะทำให้ได้รับผลดีเสมอ ชายคนนี้เป็นคนที่มีความคิดริเริ่ม
ของตนเองและคิดสูตรง่าย ๆ สำหรับเอาชนะปัญหาของเขาด้วยการใช้พลังอำนาจของการอธิษฐาน
มันเป็นสูตรที่ออกจะประหลาดอยู่สักหน่อยหนึ่ง แต่ผมทดลองใช้มาแล้ว และก็ได้ผลดียิ่ง ผมได้
แนะนำสูตรนี้ให้แก่คนหลายคน และพวกเขาต่างก็พบว่าได้ผลดี ผมขอเสนอแนะคุณด้วย

สูตรนั้นก็คือ

1) อธิษฐาน เพื่อต่อท่อพลังกับพระเจ้า เท่ากับเราได้ผู้ช่วยผู้ทรงฤทธานุภาพ
2) สร้างมโนภาพ คือ Mindset
3) ทำให้เป็นความจริง โดยลงมือปฏิบัติ

เครดิต จากหนังสือจินตนานุภาพ
หมายเหตุ
กรอบความคิด (Mindset) คือ กระบวนการทางความคิด เป็นความเชื่อที่มีผลต่อพฤติกรรม
ที่ฝังอยู่ในตัวมนุษย์แต่ไม่ได้ แสดงออกชัดเจน ทำให้เกิดเป็นทัศนคติและประสบการณ์ ต่างๆ
ในตัวมนุษย์ ระบบกลไกของสมอง = Mindset. ความเชื่อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 11, 2024 5:11 pm

( 22 )


*เรื่องสั้น*

ช้างกับผองเพื่อน

Moral stories จาก Google เรื่อง Elephant and Friends -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ช้างหนุ่มตัวหนึ่งเดินอยู่ในป่าตามลำพังเพื่อจะหาสัตว์อื่นเป็นเพื่อน และไม่นานต่อมา
ช้างก็พบลิงตัวหนึ่งกำลังโหนกิ่งไม้เล่นอยู่อย่างสบายอารมณ์ โดยไม่รอช้า มันรีบแจ้งให้ลิง
ทราบถึงข้อเสนอให้มาเป็นเพื่อนด้วยทันทีว่า 'เรามาเป็นเพื่อนกันได้ไหม ลิงน้อย'

ลิงตอบโดยไม่คิดทันทีว่า ‘ท่านตัวโตเกินไป ท่านโหนต้นไม้ไม่เป็น แล้วท่านจะเป็นเพื่อนกับ
ฉันได้อย่างไร’

ช้างผิดหวัง และก้มหน้าเดินหาเพื่อนต่อไป และเมื่อมันเห็นกระต่ายกำลังกระโดดผ่านหน้าไป
มันก็รีบร้องเรียกทันทีว่า 'เรามาเป็นเพื่อนกันได้ไหมครับ คุณกระต่าย'

กระต่ายแหงนหน้ามองดูช้างแล้วกล่าวตอบหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งว่า “ท่านตัวใหญ่กว่ายักษ์เสียอีก
แล้วท่านจะเข้าไปในโพรงของเราได้อย่างไร เราอย่ามาเป็นเพื่อนกันดีกว่า”

ช้างยังคงไม่สิ้นหวัง ที่สุดมันก็เดินมาถึงริมลำห้วยและเห็นกบตัวหนึ่งกำลังกระโดดอยู่ไปมา ช้างจึง
ขอเป็นเพื่อนด้วย แต่สิ่งที่ช้างได้รับก็คือคำตอบที่มีใจความคล้ายกันที่ช้างได้รับมาก่อนหน้านั้นว่า

“ท่านตัวใหญ่และมีน้ำหนักมากขนาดนี้ ท่านไม่มีทางกระโดดได้เหมือนฉัน ขอโทษนะท่านช้าง
ท่านเป็นเพื่อนกับผมไม่ได้หรอก”

ช้างยังคงเดินตระเวนหาเพื่อนต่อไปโดยไม่ละความพยายาม แต่ทุกครั้งก็ได้รับคำตอบปฏิเสธ
ในรูปแบบเดิมเสมอ

อย่างไรก็ตาม วันต่อมา จู่ๆ ช้างก็เห็นสัตว์ป่าทั้งหลายพากันวิ่งหนีตัวอะไรสักอย่างด้วยความกลัว
ช้างจึงรีบวิ่งตรงไปที่หมีอุ้ยอ้ายตัวหนึ่งที่กำลังวิ่งหนีไม่เร็วนักและถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ช้างจึงทราบว่า
สัตว์ทั้งหลายกำลังเผ่นหนีเสือตัวหนึ่งอยู่ เมื่อทราบเรื่องแล้ว ช้างรีบให้ความช่วยเหลือทันที และ
ดังนั้นเมื่อเสือวิ่งไล่มาถึงบริเวณที่ช้างยืนอยู่ ช้างก็ร้องตะโกนขอร้องเสือว่า
“ขอทีเถอะเพื่อน อย่าไล่ฆ่าสัตว์พวกนี้เลยนะ”

คำตอบที่ช้างได้รับจากเสือคือ “นี่เป็นเรื่องของฉัน แกไม่ต้องยุ่งเรื่องของพวกเรา หลีกไปให้พ้นทางซะ”

เมื่อช้างไม่เห็นวิธีอื่นที่จะช่วยสัตว์อื่นได้ มันจึงยกขาหน้าขวาขึ้นสูงและเตะใส่ท้องเสือเบาๆ เพียงทีเดียว
เสือก็ล้มลงนอนจุกและหยุดวิ่งไล่ล่าสัตว์อื่นทันที สัตว์ทุกตัวที่เห็นการกระทำที่กล้าหาญของช้าง ต่าง
ก็เห็นพ้องต้องกันว่า “ไม่สำคัญว่าจะต้องตัวเล็กหรือตัวโตจึงจะเป็นเพื่อนกันได้ ขอเพียงแต่มีจิตใจดีต่อกัน
ก็พอแล้ว ดังนั้นช้างตัวโตผู้กล้าหาญท่านนี้ จึงเป็นผู้เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเราได้”

*********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 11, 2024 5:15 pm

( 23 )


*เรื่องสั้น*

ชาวนากับบ่อน้ำ

Moral stories จาก Google เรื่อง The Farmer and the Well -- แปลและ
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันหนึ่ง มีชาวบ้านคนหนึ่งหาซื้อน้ำเพื่อใช้ปลูกผักในแปลงของตน ที่สุดเขาก็สามารถเจรจา
ตกลงซื้อบ่อน้ำจากเพื่อนบ้านที่อยู่ไม่ไกลกันนัก อย่างไรก็ตามเพื่อนบ้านคนนี้เป็นคนเจ้าเล่ห์ และดังนั้น
วันรุ่งขึ้นเมื่อชาวนานำถังมาตักน้ำจากบ่อน้ำที่เขาซื้อแล้ว เพื่อนบ้านกลับไม่ยอมให้เขาตักน้ำ

เมื่อชาวนาถามถึงเหตุผล เพื่อนบ้านก็ตอบง่ายๆ ว่า “ผมขายบ่อน้ำให้คุณนะ แต่ไม่ได้ขายน้ำให้!”

ชาวนาผิดหวังและเป็นทุกข์มากกับเพื่อนบ้านเจ้าเล่ห์ จึงเดินทางไปร้องเรียนต่อกษัตริย์ผู้ปกครอง
แผ่นดินเพื่อขอความเป็นธรรม

เมื่อกษัตริย์ทรงทราบเรื่องแล้ว พระองค์ก็ตรัสเรียกเบอร์บัล ข้าราชบริพารที่มีปัญญาหลักแหลมที่สุด
ในแผ่นดินเข้าเฝ้า หลังจากรับเรื่องแล้ว เบอร์บัลก็ออกเดินทางไปกับชาวนาและไปที่บ้านของเพื่อน
บ้านคนนั้น ถามเขาว่า “ทำไมท่านไม่ให้ยอมให้ชาวนาตักน้ำในบ่อน้ำ?
ท่านขายบ่อน้ำให้กับชาวนาคนนี้แล้วไม่ใช่หรือ?”

เพื่อนบ้านคนนั้นยังคงยืนกรานคำตอบเหมือนเดิมว่า “ท่านครับ ผมขายบ่อน้ำให้กับเขาก็จริง แต่ผม
ไม่ได้ขายน้ำในบ่อให้เขาด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์ตักน้ำจากบ่อน้ำนี้ครับท่าน”

เบอร์บัลจึงพูดตอบเขาอย่างสุภาพว่า “ก็จริงนะ ท่านขายบ่อน้ำให้เขาแล้ว ฉะนั้นท่านก็ไม่มีสิทธิ์เก็บน้ำ
ของท่านไว้ในบ่อที่ขายไปแล้วนะสิ ผมให้ทางเลือกท่านสองทางคือ ท่านต้องรีบคืนเงินค่าบ่อน้ำให้เขา
หรือไม่ก็รีบย้ายเอาน้ำในบ่อของท่านทุกหยดออกไปเก็บไว้ที่อื่นทันทีครับ”

เมื่อเพื่อนบ้านตระหนักได้ว่าแผนการของตนล้มเหลวไม่เป็นท่า ก็รีบคุกเข่าลงขอโทษเบอร์บัลและชาวนา
นับแต่วันนั้น เพื่อนบ้านคนนั้นก็ไม่เคยคิดเอาเปรียบผู้อื่นอีกเลย เพราะทราบแล้วว่า “เหนือฟ้า ยังมีฟ้า”

******************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 11, 2024 5:27 pm

( 24 )


*เรื่องสั้น*

ไข่ทองคำ

Moral stories จาก Google เรื่อง The Golden Egg -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชาวนามีห่านตัวหนึ่งออกไข่ทองคำทุกวัน เขาจึงนำไข่ทองคำ
ที่ได้ไปแลกอาหารและของใช้ที่จำเป็นสำหรับตัวเอง ภรรยาและลูก ๆ ได้เป็นอย่างดี ทำให้
ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุขอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน

แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ชาวนาเกิดมีความคิดใหม่ว่า “ทำไมเรามัวแต่เสียเวลารอไข่ทองคำแค่
วันละฟองล่ะ? ทำไมเราไม่จัดการเอาไข่ทองคำในท้องห่านมาให้หมดในคราวเดียวเลยล่ะซึ่ง
ก็จะพลิกสภาพให้ครอบครัวของเรากลายเป็นเศรษฐีและเป็นที่นับหน้าถือตาของทุกคนในละแวก
บ้านทีเดียวเลย” เมื่อคิดได้ดังนี้ ชาวนาไม่รอช้า รีบถ่ายทอดความคิดแสนวิเศษนี้ให้กับภรรยา
ที่เห็นด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ
โดยไม่รอช้า เช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่ห่านออกไข่ทองคำ 1 ฟองเสร็จ ชาวนาก็คว้าคอห่านและใช้มีด
คมปาดคอห่านก่อนจะผ่าท้องของมันด้วยความหวังสูงสุดที่จะเห็นไข่ทองคำอัดอยู่เต็มท้อง แต่
เมื่อเขาเปิดท้องห่านออก สิ่งที่เขาพบคือกระเพาะอาหาร ลำไส้และเลือดห่านกระจายไปทั่วห้อง

ชาวนาจึงเริ่มตระหนักถึงความผิดพลาดที่แสนจะโง่เขลาของตน ร่ำไห้พรรณนาถึงสิ่งที่สูญเสีย
ไปกับมือและห่านผู้มีพระคุณเสมอมา ... วันเวลาผ่านไป ชาวนาและครอบครัวก็ยากจนลง
จนแทบไม่มีจะกินอีกต่อไป

คติพจน์ : จงคิดตรองดูให้ดีก่อนจะตัดสินใจลงมือกระทำกิจการลงไป

*********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 04, 2024 10:39 pm

( 24 )

เมื่อเศรษฐีพันล้าน ฟีมี โอเทโดลา นักธุรกิจชาวไนจีเรีย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
เขาถูกถามว่า
“ท่านครับ ท่านจำอะไรได้บ้าง ที่ทำให้ท่านเป็นคนที่มีชีวิตเป็นสุขที่สุด”

ฟีมีตอบ:
“ผมผ่าน 4 ขั้นตอนของความสุขในชีวิตมาแล้ว จนในที่สุดผมก็เข้าใจความหมาย
ของความสุขอันแท้จริง”

ความสุขขั้นแรก คือ การสะสมความร่ำรวย และหนทางสร้างความร่ำรวย แต่ในขั้นตอนนี้
ผมก็ไม่ได้รับความสุขตามที่ผมต้องการ

จากนั้น ในขั้นที่สอง ด้วยการสะสมข้าวของที่มีราคา มีคุณค่านานาชนิด แต่ผมก็ได้รู้ว่า
ผลของการทำเช่นนี้ มันไม่ยั่งยืน และความแวววาวของสิ่งมีค่าทั้งหลายก็อยู่ได้ไม่นาน

แล้วก็ถึงขั้นที่สาม คือ การได้ทำโครงการใหญ่ๆ ซึ่งตอนนั้น ผมได้ครอบครอง การจ่าย
น้ำมันดีเซลล์ถึง 95% ในประเทศไนนีเรีย และในทวีปอาฟริกา ผมยังเป็นเจ้าของเรือบรรทุก
สินค้าที่ใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอาฟริกาและเอเซีย
ถึงขนาดนี้ ผมก็ยังไม่ได้ความสุขที่ผมเคยใฝ่ฝันไว้

ในขั้นที่ 4 เกิดขึ้นเมื่อเพื่อของผมคนหนึ่ง ขอให้ผมซื้อรถนั่งติดลูกล้อให้กับเด็กพิการ
ก็แค่ 200 คนเท่านั้น

ผมทำตามคำขอร้องของเพื่อน ซื้อรถสำหรับคนพิการในทันที

แต่เพื่อนคนนั้น ขยั้นขยอให้ผมไปกับเขา ไปมอบรถให้กับเด็กๆ ผมก็พร้อม จึงไปกับเขา

ผมได้มอบรถนั่งติดล้อให้กับเด็กเหล่านั้นด้วยมือของผมเอง ผมได้เห็นความสุขอันเรืองรอง
อย่างน่าประหลาดบนใบหน้าของเด็กๆเหล่านั้น ผมได้เห็นพวกเขานั่งบนรถติดล้อ
ผลักไปรอบๆ สนุกสนานกันใหญ่

นี่เหมือนกับว่า พวกเขาได้ไปสถานที่สนุกสนาน ซึ่งพวกเขากำลังแบ่งปันรางวัลใหญ่กันเลย

ผมรู้สึก มีความปีติ อย่างแท้จริงอยู่ภายในตัวผม พอผมจะต้องออกจากที่นั่น เด็กคนหนึ่ง
มาเกาะที่ขาของผม ผมพยายามขยับขาออกเบาๆ แต่เด็กคนนั้น จ้องหน้าของผม โดย
โอบขาของผมไว้แน่น

ผมก้มลง ถามเด็กคนนั้นว่า “ยังอยากได้อะไรอีกหรือหนู”

คำตอบที่เด็กคนนั้นให้ผม ไม่เพียงแต่ทำให้ผมมีความสุขเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับ
ชีวิตไปโดยสิ้นเชิง เด็กคนนั้นพูดว่า

“หนูต้องการจดจำใบหน้าของลุงเผื่อว่า หนูได้พบลุงในสวรรค์ หนูจะได้ จำลุงได้ และบอกขอบคุณ
ลุงอีกครั้งหนึ่ง”

แล้วคุณล่ะ ถ้าคุณจะออกจากที่นั้น คุณอยากให้เขาจดจำคุณอย่างไร ?

แล้วจะมีใครบ้างไหม? ที่อยากพบเห็นคุณอีกสักครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นแห่งหนตำบลไหนก็ตาม

นี่เป็นข้อเขียนที่ต้องอ่าน!
ข้อเขียนนี้ทำให้ผมครุ่นคิด ผมภาวนาว่า ข้อเขียนนี้ จะทำให้คุณได้ครุ่นคิดเช่นกันนะ

สุวิน : แปล และขอบคุณผู้นำเรื่องนี้มาเผยแพร่ด้วยครับ
ตอบกลับโพส