รวมเรื่องสั้นคติสอนใจ ( ชุดที่6 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มี.ค. 12, 2024 11:22 pm

( 1 )


*เรื่องสั้น*

คนขี้เหนียวซ่อนทองคำ

Moral stories จาก Google เรื่อง The Miser and his Gold --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ครั้งหนึ่งมีชายขี้เหนียวมากคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านที่ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของสวน เขาเก็บ
สะสมเหรียญทองคำที่หามาได้ตลอดชีวิตไว้ในหม้อดินและซ่อนหม้อดินนั้นไว้ใต้ก้อนหินใหญ่
กลางสวน ทุกคืนก่อนเข้านอน เขาจะเข้าไปในสวนและตรวจนับเหรียญของเขาเป็นประจำโดย
ไม่เคยนำเหรียญออกมาใช้ซื้อของเลยแม้แต่เหรียญเดียว อย่างไรก็ตามกิจวัตรเช่นนี้หาได้รอด
พ้นสายตาขโมยคนหนึ่งที่เฝ้าดูอยู่ไกลๆ และรู้สึกผิดสังเกตว่าชายผู้นี้น่าจะซ่อนสมบัติบางอย่าง
ไว้ในสวนอย่างแน่นอน และดังนั้นค่ำวันต่อมา ขโมยก็สะกดรอยตามจนรู้ที่ซ่อนสมบัติและรอ
จนเขากลับเข้าบ้าน จากนั้นขโมยก็จัดการขโมยหม้อดินพร้อมกับเหรียญทองคำทั้งหมดไป

ค่ำวันต่อมา ขณะที่ชายผู้นั้นเข้าไปในสวนเพื่อตรวจนับเหรียญเช่นเคย ก็พบว่าเหรียญทั้งหมดถูก
ขโมยไปแล้ว เขาเริ่มตีโพยตีพายส่งเสียงร้องคร่ำครวญดังมากจนเพื่อนบ้านได้ยินเสียงร้องและ
พากันเข้ามาสอบถามสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อทราบสาเหตุแล้ว เพื่อนบ้านคนหนึ่งก็ถามขึ้นว่า “ทำไมท่าน
จึงไม่เก็บเหรียญทองคำไว้ในบ้านซึ่งน่าจะปลอดภัยกว่าเพราะอยู่ใกล้ตัว”... เพื่อนบ้านอีกคนหนึ่ง
เสริมว่า “การเก็บเหรียญไว้ในบ้านใกล้ตัวยังให้ความสะดวกเมื่ออยากซื้อของกินของใช้อีกด้วย”

เมื่อได้ยินคำแนะนำเช่นนั้น ชายผู้เพิ่งถูกขโมยทองคำไปก็พูดเสียงแข็งตอบทันควันว่า "อะไรนะ!
จะให้ฉันใช้เหรียญทองคำแลกซื้อข้าวของหรือ!... ลืมไปได้เลยคุณ ฉันจะไม่มีวันใช้เงินทองที่ฉัน
เก็บสะสมไว้หรอก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เพื่อนบ้านที่ให้คำแนะนำคนหลังจึงยกก้อนหินในสวนขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วทุ่มลงไป
ที่พื้นดินข้างตัวเขาพร้อมกับพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมคิดว่าท่านก้มลงเก็บหินก้อนนี้ไว้แทนหม้อดินที่ใส่
เหรียญทองคำที่ถูกขโมยไปก็ได้ ไม่เห็นจะแตกต่างกันตรงไหนเลย เพราะเงินทองที่ท่านเก็บไว้โดยไม่
ได้ใช้ ก็มีค่าเท่ากับหินก้อนนี้ที่ท่านก็คงจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันเช่นกัน แถมยังจะดีกว่าเงินที่เก็บ
ไว้ในหม้อดินเสียอีก เพราะผมแน่ใจว่า ไม่มีขโมยคนไหนคิดจะมาขโมยก้อนหินก้อนนี้ของท่านไปหรอกครับ ...
พวกเรากลับกันเถอะ สวัสดีและลาก่อนครับท่าน”

*********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 14, 2024 8:16 pm

( 2 )


อ่านไปเจอมา เฮียที่เคารพท่านนึงได้โพสบทความไว้ ที่เขียนโดย สิริทัศน์ สมเสงี่ยม.

ทำไม…? คนที่เหนื่อยคือผม คนที่รวย…คือท่าน…?!!

ที่งานประชุมประจำปี ของบริษัทพันล้านแห่งนึง ในระหว่างเจ้าของบริษัทขึ้นพูด
เขาเปิดโอากาศให้ เจ้าหน้าที่ พนักงานในบริษัทถามอะไรก็ได้

วิศวกรคนนึงยกมือถามว่า

#ทำไมคนที่เหนื่อยคือผม #แต่คนที่รวยคือท่าน…?

คนทั้งห้องตกใจ ไม่คิดว่า จะมีใคร กล้าพูดแบบนี้ กับท่านประธานบริษัท พันล้าน!!

ท่านประธานตอบ ด้วยความเมตตาไว้น่าสนใจมากว่า…เราสองคน ต่างกัน3อย่าง

1 วันที่ผม ก่อตั้งบริษัท ผมเอาบ้าน เอาทรัพย์สินทุกอย่าง เขาจำนองธนาคาร และกู้เงินมา
สร้างบริษัท และใช้เวลาทั้งชีวิต สร้างมันขึ้นมา ในขณะคุณ ใช้เวลา ไม่กี่นาที
ส่งใบสมัครงาน และแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลยนอกจากเสื้อผ้า และเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน
ในการเข้ามาทำงานในบริษัทนี้

2 ผมเป็นคน ตัดสินใจ ในการติดต่อ คุย ธุรกิจกับ บริษัทมากมาย เพื่อให้ได้งาน
เพื่อหางาน มาให้ตนในบริษัททำ เพื่อที่จะ มีรายได้ มีเงินเดือน การตัดสินใจของผม
มีผลกับคนในบริษัทนับพันๆคน ผมรับผิดชอบนับพันครอบครัว ในมือผม ส่วนคุณ
รับผิดชอบ แค่ครอบครัวตัวคุณเอง

3 ผมเสียสละเวลา แทบทุกวินาที ทำงานอาทิตย์ละ 7 วัน ปีละ365 วัน ให้กับงาน
คิดหาวิธีว่า จะทำอย่างไร ถึงจะดีลงานสำเร็จ ทำไงจะหาเงิน เข้าบริษัท และให้บริษัท
อยู่ได้ ทุกคนอยู่ได้ ส่วนคุณ เลิกงานไป คุณไม่ต้องรับโทรศัพท์ ไม่ต้องคิดเรื่องงาน
ไปกินข้าว ดูหนัง วันหยุดไปพาลูกไปเที่ยว ไปสังสรรค์ กับเพื่อนๆได้เลย โดยไม่ต้องคิดอะไร

นี่คือ3 อย่างที่เรา…ต่างกัน
ถ้าคุณทำ3 อย่างนี้ได้ คุณก็รวยได้แบบผมและวันนึง อาจจะมีคนถามคำถามนี้กับคุณ
แบบที่คุณถามผม

ผมฟังจบ ผม…โคตรอิน ผมเจอคน คิดแบบนี้ เยอะมาก•ขายได้เดือนเป็นล้านเลย
ให้แค่นี้หรอ? นั่งเขี่ยโทรศัพท์สบาย ไม่เห็นเหนื่อยอะไร ลูกค้าเต็มร้านเลย ไม่คิด
จะให้พิเศษบ้างหรอ

ได้เป็นล้าน ผมจ่ายเท่าไหร่…? เวลาร้านเงียบ นั่งดูซีรีส์ ผมไม่เห็นว่า
ขาดทุน ผมก็ต้องหาเงินเดือนมาจ่าย วันที่ผม ลงทุน ไม่เห็นช่วยผมออก..?

นี่แหละ ความต่าง ที่ทำให้ คนนึงสำเร็จ เป็นเจ้าของธุรกิจ อีกคนเป็นพนักงาน
ความคิดนี่แหละ ตัวกำหนด…ชะตากรรม ความคิดนี่เอง กำหนดว่าชีวิตจะขึ้นหรือลง
สำเร็จหรือล้มเหลว ก้าวหน้า หรือดักดาน

เจ้าของธุรกิจ กับ ลูกจ้าง ต่างกันที่…ความคิดนี่แหละ คิดแบบลูกจ้าง ชีวิต ก็เป็นลูกจ้าง
คิดแบบเถ้าแก่ ชีวิตก็ได้เป็น เถ้าแก่

cr สิริทัศน์ สมเสงี่ยม
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 14, 2024 8:21 pm

( 3 )


แดนนี ซื้อดอกทานตะวันดอกใหญ่ ราคา 5 เหรียญ เพื่อมอบให้กับคนที่เขากำลังเริ่มจะมี
ความสัมพันธ์ด้วย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เพราะเมื่อคืนก่อน เขากับเธอเพิ่งไปทานข้าวด้วยกัน
จึงเกรงว่าจะเป็นการรุกที่รวดเร็วเกินไป- - ครั้นจะทิ้งดอกไม้ก็เสียดาย เขาจึงตั้งใจว่าจะเอา
ดอกทานตะวันนี้ มอบให้ใครสักคนที่เขาพบระหว่างเดินทางไปทำงาน และรู้สึกว่าเป็นผู้ที่
สมควรจะได้รับ!
.
ขณะนั่งจิบกาแฟยามเช้าในร้านกาแฟ แดนนีเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่โต๊ะถัดไป กำลังนั่งอ่านอะไร
บางอย่างเงียบ ๆ อยู่คนเดียว พร้อมกับน้ำตาไหลรินอาบแก้ม - - นาทีนั้นเอง แดนนีก็รู้สึกใน
ใจลึก ๆ ว่า ดอกทานตะวันควรจะต้องเป็นของผู้หญิงคนนี้ เขาจึงลุกเดินไปที่โต๊ะของเธอ กล่าวว่า
.
“ขอโทษนะครับ ผมเตรียมดอกทานตะวันนี้สำหรับคนพิเศษคนหนึ่ง แต่มีอะไรบางอย่างที่ไม่เป็น
ไปตามนั้น และผมรู้สึกได้ว่า คุณก็เป็นคนพิเศษเช่นกัน ผมจึงอยากมอบให้คุณแทนครับ”
.
ก่อนที่แดนนีจะยื่นดอกทานตะวันออกไปด้วยซ้ำ- - แค่หญิงสาวแปลกหน้าเห็นดอกไม้ในมือ ก็โผ
เข้ามากอดเขาทันที ด้วยน้ำตานองหน้า และกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าแดนนี่เป็นคน
ที่เธอเคยรักและสูญเสียไป...
.
แล้วหญิงสาวก็เล่าให้ฟังว่า คู่หมั้นของเธอเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาและเธอกำลังจะ
แต่งงานกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า... ในการนัดพบครั้งแรก คู่หมั้นของเธอเลือกซื้อดอกทานตะวัน
มาให้ และตั้งแต่นั้นมา ก็จะเป็นดอกทานตะวันตลอด ไม่เคยเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบเลย คู่หมั้น
ให้เหตุผลว่า เพราะเธอคือแสงสว่างสำหรับชีวิตเขา!
.
แดนนี่ถึงกับตะลึง ทำไมช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้... คู่หมั้นของหญิงสาวกำลังต้องการจะส่งสารผ่าน
แดนนี่ เพื่อบอกว่า - - เธอจะเป็นแสงสว่างในชีวิตของเขาตลอดไป...
. . . . .
.
มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นบนโลกของเราครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกวัน - -
.
เจนนิสแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม (การเติมน้ำมันที่อเมริกา เราต้องลงไปบริการตัวเอง เลือกชนิดน้ำมันและ
รูดบัตรเครดิตจ่ายเงินตรงหน้าตู้จ่ายน้ำมันแล้วรอรับใบเสร็จที่พริ้นต์ออกมาได้เลย - ไม่มีเด็กปั๊มคอย
บริการเหมือนในเมืองไทย) ขณะลงจากรถไปจัดการ เธอสังเกตเห็นหญิงชราผู้หนึ่งกำลังเติมน้ำมันรถ
ด้วยท่าทีเงอะงะไม่คล่องแคล่ว เจนนิสจึงเดินเข้าไปถามว่าต้องการความช่วยเหลือไหม?
.
หญิงชรายิ้มรับและขอบคุณ พลางเล่าว่า เมื่อก่อนสามีของเธอเป็นคนคอยดูแลเติมน้ำมันรถให้เสมอ
แต่เขาเสียชีวิตไปแล้ว จึงต้องทำเอง... และวันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของเธอ!
.
เจนนิสบันทึกความในใจว่า “ฉันรู้สึกได้ทันทีอย่างแรงกล้าว่า วันนี้ - เขาต้องการให้เธอรู้ว่าเขายังอยู่
ที่นั่นเพื่อเธอ - คอยห่วงใยดูแล และฉันโชคดีที่ได้เป็นผู้ที่เขาส่งมาให้ช่วยเธอในวันพิเศษนี้ รู้สึกเหมือน
ได้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่สวยงามเลยทีเดียว...”
. . . . .
.
บางครั้ง, เราอาจนึกไม่ถึงว่า แค่ดอกไม้ 5 เหรียญ หรือช่วยเติมน้ำมันให้ใครสักคน จะเปลี่ยนแปลง
ชีวิตของพวกเขา จากเศร้าเหงาโดดเดี่ยว กลายเป็นสดชื่นและมีความหวัง ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนชีวิต
ของเราให้ตระหนักถึงคุณค่าและความสุขของการให้และเป็นผู้ช่วยเหลือ - -
.
บางที เช้าวันนี้ พระเจ้าอาจต้องการใช้คุณเป็นทูตสวรรค์ ที่จะส่งสารแห่งความรักความคิดถึงจาก
ใครคนหนึ่งถึงใครอีกคน...
.
จงเปิดดวงตาดูแลคนรอบข้างที่อาจกำลังร้องไห้ เปิดดวงใจรับรู้ความว้าเหว่ของคนสิ้นหวัง
และ จงเป็นแสงสว่างให้ทุกดอกทานตะวัน!
.
ปะการัง
.
.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 22, 2024 12:49 pm

( 4 )


ขณะที่กำลังวิ่งเข้าเส้นชัยในระยะ 100 เมตรสุดท้ายของการแข่งขันไตรกีฬา ซันตันเดร์ 2020
ที่สเปน - - ดิเอโก มันทริดา นักไตรกีฬาชาวสเปนก็รู้ตัวแล้วว่าความพ่ายแพ้กำลังมาเยือน- -
เขาเห็นเจมส์ ทีเกิล (นักไตรกีฬาชาวอังกฤษ) ที่วิ่งอยู่ข้างหน้า - - กำลังเร่งความเร็วมุ่งสู่เส้นชัย
เป็นลำดับที่ 3 คว้าเหรียญทองแดงไปอย่างแน่นอน ส่วนเขาอยู่ในลำดับที่ 4 ...
.
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เจมส์หลงทิศพุ่งตัวไปผิดทาง เสียจังหวะต้องวิ่งวกกลับมาเล็กน้อย
ทำให้ดิเอโกแซงขึ้นไปได้เป็นลำดับที่สามอย่างง่ายดาย แต่เมื่อดิเอโกหันไปมองและเข้าใจเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้น เขาชะลอฝีเท้าลง หยุดยืนรอก่อนถึงเส้นชัย แล้วยื่นมือให้เจมส์เป็นกำลังใจ เจมส์จับมือ
ดิเอโกด้วยความขอบคุณ แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ผ่านเขา-เข้าเส้นชัยไปด้วยตำแหน่งที่ 3
.
หลังเข้าเส้นชัยแล้ว ดิเอโกเดินไปรับหน้ากากอนามัยมาสวม เจมส์เดินตามมาสะกิดเรียก กอดดิเอโก
ด้วยความขอบคุณ ดิเอโกตบหลังเจมส์เบา ๆ เชิงบอกว่า'ไม่เป็นไร' แล้วเดินจากไปอย่างเรียบง่าย ราว
กับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขามีสิทธิ์เข้าเส้นชัยรับเหรียญ แต่ก็ยอมคืนโอกาสที่ควรชนะนั้นให้เจมส์ไป...
.
น้ำใจนักกีฬาอันยอดเยี่ยมของดิเอโกเป็นที่กล่าวถึง ทางคณะผู้จัดการแข่งขันไตรกีฬาครั้งนี้ ก็อดชื่นชม
ไม่ได้ จึงตัดสินใจมอบรางวัลพิเศษ รางวัลที่ 3 ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศให้เขา โดยมอบเงินรางวัลจำนวน
เท่ากับเจมส์ - - แต่ดิเอโกเองกลับรู้สึกว่าการกระทำของเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่อย่างใด! เขากล่าวว่า...
.
“นี่คือสิ่งที่พ่อแม่สอนผมมาตั้งแต่เด็ก ในความคิดเห็นของผม มันควรเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำกันนะครับ”
.
แม้ดิเอโกจะไม่ได้เหรียญแวววาวมาคล้องคอ แต่ตัวเขาเองกลับเปล่งประกายงามคล้องใจทุกคนในวันนั้น!
. . . . .
.
ในลู่วิ่งแห่งชีวิตของเราทุกคนก็เช่นกัน - - อาจเต็มไปด้วยการต่อสู้เพื่ออยู่รอด, เพื่อการแข่งขัน แต่บางครั้ง
ในตู้ของเราไม่จำเป็นต้องเต็มไปด้วยถ้วยรางวัล หรือบนผนังของเรา ไม่จำเป็นต้องแขวนพราวไปด้วย
เหรียญทอง...
.
ชีวิตหนึ่ง, เราไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชนะเสมอไป... การยอมให้โอกาสผู้อื่นบ้าง จะทำให้เราชนะใจตัวเอง
และเป็นผู้ชนะในใจของทุกคน - - นั่นถึงจะเป็นความสุขแท้ ที่เปล่งประกายงดงามมากกว่าเหรียญหรือ
ถ้วยรางวัลอื่นใด!
.
เพียงแค่ใครคนหนึ่งไปถึงจุดหมายก่อน
ไม่ได้หมายความว่าคนที่ยังไปไม่ถึงจะเป็นผู้แพ้
เราต้องเดินต่อไป... ชีวิตเป็นเช่นนั้นเสมอ
ผู้ชนะมิได้มีเพียงคนเดียว!
.
ปะการัง
.

[ ขอพระเจ้าประทานพรแห่งชัยชนะที่แท้จริงสำหรับทุกคน ]
.

* * ****************** * *
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มี.ค. 31, 2024 11:11 pm

. ( 5 )


เราทุกคนต่างหลงวนเวียนอยู่ในวังวนแห่งเสียงขยะรอบตัว เราผูกชีวิตอยู่กับเสียงนาฬิกาเดิน,
เราจมอยู่กับเสียงโทรศัพท์, เสียงผู้ประกาศข่าวจากจอทีวี, เสียงรายงานจราจรทางวิทยุ, เสียง
สัญญาณเตือนเมื่อมีข้อความ, เสียงคำสั่งของเจ้านาย, เสียงนินทาจากเพื่อนร่วมงาน... จนวันหนึ่ง
เราทนไม่ไหว เราคิดว่าต้องออกเดินทางไปหาความเงียบสงบเสียที- -
.
บางคนพูดเสมอว่า-อยากไปที่ไกล ๆ อยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ให้พ้นจากเสียงเหล่านี้... แต่มีที่ใดเล่า
ในโลกที่จะเป็นสถานที่เงียบสงบจริง - - หากใจคุณยังหงุดหงิด เสียงนกร้องในตอนเช้าก็คงหนวกหู,
หากใจคุณหดหู่เหงาหงอย แม้เสียงคลื่นก็ยังน่ารำคาญ
. . . . .
.
โซเฟีย-เพื่อนโปรแกรมมเมอร์รุ่นน้องของผมคนหนึ่ง มักจะอยู่ทำงานที่ออฟฟิศจนดึกดื่นเที่ยงคืน
บางครั้งถึงตี 2 ตอนแรกผมนึกว่าเธอมีงานเยอะจนทำไม่เสร็จในตอนกลางวัน เพราะแม้แต่เจ้านาย
ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ และเคยถามผมครั้งหนึ่งว่า ทำไมเธอถึงมีงานล้นมือกว่าคนอื่น
.
เจ้านายแปลกใจว่า เคย์-โปรแกรมเมอร์ที่เพิ่งรับเข้ามาทำงานใหม่ แม้จะดูเป็นคนเฉื่อยช้า แต่ทำงาน
เสร็จกลับบ้านได้ตรงเวลาทุกวัน ตรงข้ามกับโซเฟีย ซึ่งเรารู้ว่าเธอเป็นคนฉลาดคล่องแคล่ว มีไหวพริบ
ในการแก้ปัญหาได้ดี แต่ทำไมถึงต้องอยู่ทำงานนอกเวลา เจ้านายเริ่มแคลงใจในประสิทธิภาพของเธอ
และเริ่มเปรียบเทียบเธอกับคนอื่น
.
ผมจึงตัดสินใจคุยกับโซเฟียถึงเรื่องนี้ เธอบอกว่าห้องทำงานมีปัญหา ซึ่งเราต้องนั่งรวมอยู่ในห้องเดียวกัน
ถึง 4 คน! “มันวุ่นวายเกินไป ไม่มีมุมสงบเอาเสียเลย พอลชอบพูด เจสันก็คุยเสียงดัง แล้วห้องของเราก็
เป็นห้องที่มีคนแวะเวียนเข้ามามากที่สุด เข้ามาทีก็ยืนจับกลุ่มนินทากัน จนฉันทำงานแทบไม่ได้...”
.
ผมเข้าใจและเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด เพราะผมเองก็เคยรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน
.
“อันที่จริง ฉันก็ชอบฟังพวกเขาคุยกันนะ สนุกดี บางทีฉันก็อยากรู้ว่าเขานินทาเรื่องอะไรบ้าง ทั้ง ๆ
ที่งานยุ่ง ก็ยังอดฟังไม่ได้” เธอเล่าตามตรงพร้อมกับหัวเราะตัวเอง
.
“ฉันจะมีสมาธิทำงานได้ ก็ต่อเมื่อพวกเขากลับบ้านไปหมดแล้ว เมื่อมันเงียบสงบจริง ๆ เท่านั้น
ฉันถึงจะทำงานได้”
.
ผมบอกเธอว่า เราแก้ปัญหาเรื่องห้องไม่ได้ เพราะยังไง ก็ต้องนั่งรวมกันถึง 4 คนต่อไป เราแก้ปัญหา
การพูดมากของพอล, การพูดเสียงเสียงดังของเจสัน หรือนิสัยนินทาของคนอื่นไม่ได้ แต่เราแก้ที่ตัว
เราเองได้ด้วยการเลือกฟังเฉพาะสิ่งที่ควรฟัง และเลือกฟังในช่วงเวลาที่เหมาะสม อย่าไปเสียเวลา
ฟังหมดทุกเรื่อง
.
“เราต้องมี ‘หูพิเศษ’ ที่คอยคัดกรองเสียงที่ควรได้ยิน ออกจากเสียงขยะเหล่านั้นที่วนอยู่รอบตัวเรา”
.
“มันไม่ง่ายนะ... แล้วถ้าฉันยังไม่มี‘หูพิเศษ’ที่ว่านั้นล่ะ” เธอถาม
.
“ก็ซื้อหูฟังใส่ไปพลาง ๆ” ผมตอบทีเล่นทีจริง เพราะผมเองก็ใช้วิธีนั้นมาก่อน – เมื่อใส่หูฟังแล้ว
เราจะไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกเลย นอกจากเพลงที่เราเปิด
. . . . .
.
เศรษฐีคนหนึ่งต้องการภาพวาดที่แสดงให้เห็นถึง “ความสงบ” เขาตั้งรางวัลเป็นเงินก้อนโตสำหรับ
ผู้ชนะ มีภาพวาดจากศิลปินต่าง ๆ ส่งเข้าประกวดมากมาย แต่มีเพียง 2 รูปที่สวยงามเป็นพิเศษ
ซึ่งเขาต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง 2 รูปนั้น
.
รูปแรกเป็นภาพของทะเลสาบที่เรียบสงบ ใสนิ่งจนเป็นกระจกสะท้อนภาพของภูเขาที่รายล้อมรอบ
ทะเลสาบนั้น เหนือขึ้นไป เป็นท้องฟ้าสีงามตา ปุยเมฆนุ่มขาวลอยเอื่อย ทุกคนที่ยืนดูภาพนี้ ต่างเหมือน
โดนมนต์สะกด-ไม่อยากละสายตาจากภาพตรงหน้า อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงสายลมที่กำลังพัดพาก้อนเมฆ
บางเบาลอยไป- - มันเป็นภาพที่วาดได้อัศจรรย์มาก จนทุกคนรู้สึกได้ถึงความเย็นสบาย สงบ ราวกับ
ยืนอยู่ข้างทะเลสาบนั้นเลยทีเดียว
.
ส่วนอีกภาพหนึ่งมีภูเขาเช่นกัน แต่เป็นภูเขาที่สูงทะมึนดูน่ากลัว ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน มีเมฆก้อนดำหนา
ลอยมาแต่ไกล สายฟ้าแลบตรงปลายขอบฟ้า ด้านข้างของภูเขาเป็นผาน้ำตกขนาดใหญ่ไหลแรง
ไม่มีส่วนใดของภาพที่บ่งบอกถึง “ความสงบ”ได้เลย

แต่เมื่อดูใกล้ ๆ ตรงผาน้ำตก จะเห็นพุ่มไม้ที่งอกงามออกมาจากรอยแตกของซอกหิน และเมื่อสังเกต
อีกสักนิดจะเห็นรังนกบนพุ่มไม้นั้น แม่นกตัวหนึ่งกำลังนั่งนิ่งกกไข่ท่ามกลางความเกรี้ยวกราดของสาย
น้ำตกและท้องฟ้าที่กำลังคำรามด้วยลมมรสุม
.
ว่าไปแล้ว รูปที่สองนี้วาดได้น่าอัศจรรย์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารูปแรก เพราะผู้ชมสามารถรู้สึกได้ถึงเสียง
อึกทึกครึกโครมของสายน้ำและพายุฝน ราวกับมันกำลังรุมล้อมรอบตัวจริง ๆ !
.
หลังจากที่เศรษฐีใช้เวลาพิจารณารูปเป็นครั้งสุดท้าย เขาตัดสินใจเลือกรูปที่ 2 ท่ามกลางความตกตะลึง
แปลกใจของผู้ชมทั่วไป ทุกคนต่างถามเป็นเสียงเดียวกันด้วยความสงสัยว่า ทำไมถึงเลือกรูปที่ 2
.
“เพราะความสงบไม่ใช่ความเงียบ!” เศรษฐีอธิบาย

“ความสงบไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีเสียงอึกทึก, ไม่มีปัญหาใด จริง ๆ แล้ว ความสงบ
หมายถึงการอยู่ท่ามกลางปัญหาความวุ่นวายและเสียงอึกทึกเหล่านั้นด้วยใจที่แน่วแน่ นิ่งได้เหมือนแม่
นกกกไข่ นั่นถึงจะเป็นความสงบที่แท้จริง!”
. . . . .
.
หลังจากนั้นไม่นาน... ภาพของโซเฟียที่พวกเราเห็นจนชินตาคือ มีหูฟังคาดเหนือศีรษะอยู่เสมอ เธอเปิด
เพลงสแปนิชที่เธอชอบฟังกรอกหูตลอดเวลาทำงาน ใจเธอนิ่งสงบขึ้น เธอทำงานได้เร็วขึ้น เธอกลาย
เป็นโปรแกรมเมอร์ที่เจ้านายวางใจในฝีมือมากที่สุดคนหนึ่ง แต่เธอก็กลายเป็นคนที่รู้เรื่องข่าวสารใน
บริษัทช้าที่สุดคนหนึ่งด้วยเช่นกัน และแน่นอน เธอย่อมหลีกไม่พ้นที่จะตกเป็นหัวข้อของการนินทาเสมอ
เพราะทุกคนรู้ว่าเธอไม่ได้ยินภายใต้หูฟังนั้น
.
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมสังเกตเห็นเธอนั่งทำงานอย่างเคร่งเครียดโดยไม่มีหูฟังคาดเหนือศีรษะเช่นเคย พวกเรา
แกล้งเย้าแหย่เธอเล่น แต่เธอกลับนั่งทำงานนิ่งเฉย สายตาจดจ่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ราวกับหูหนวก
ไม่ได้ยินเสียงนกการอบตัวเลย...
.
จนเมื่อทำงานเสร็จแล้วนั่นแหละ เธอถึงเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับเรา เมื่อผมถามเธอว่าไม่ต้องใช้หูฟัง
แล้วหรือ? เธองง บอกว่า “ก็อยู่นี่ไง” แล้วเอามือแตะศีรษะตัวเอง วินาทีนั้น, โซเฟียเพิ่งรู้ว่า เธอนั่งทำงาน
ได้อย่างสงบ โดยไม่ต้องพึ่งหูฟังเลย!
.
“โอ วิเศษจัง ฉันมี‘หูพิเศษ’ของตัวเองแล้ว” เธอหัวเราะชอบใจ
. . . . .
.
บนโลกที่ทุกนาทีอึงอลด้วยเสียงสับสน ร้อนรน อึกทึก เราคงไม่สามารถหลบเร้นด้วยการออกเดินทาง
ไปหาที่สงบเงียบได้ทุกครั้ง และหากไม่อยากคาดหูฟังเหนือศีรษะตลอดเวลา เราจำเป็นต้องสร้าง
‘หูพิเศษ’ของตัวเองขึ้น เพื่อกรองเสียงขยะรอบตัวออกไป ให้เหลือแต่สันติสงบในใจที่แท้จริง! นิ่งได้
เหมือนแม่นกกกไข่ กลางสายน้ำตกและฟ้ามรสุม...
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าประทานสันติสุขในใจของทุกคนบนโลกนี้ ]
.
__
* บางส่วนจากหนังสือ #นับหนึ่งใหม่ไม่เป็นไร โดย #ปะการัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มี.ค. 31, 2024 11:20 pm

( 6 )


เมื่อปี 2020 จากกรณีตำรวจจับกุมชายผิวดำ โดยใช้เข่ากดคอจนเสียชีวิตเพราะหายใจไม่ออก
ทำให้เกิดการประท้วงไปหลายเมือง หลายรัฐ - - ที่เมืองลา เมซา ชุมชนเล็ก ๆ แสนสงบ การชุมนุม
ก็เริ่มบานปลายและรุนแรงมากเช่นกัน ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้ถือโอกาสบุกทำลายร้านค้าและขโมยสินค้าไป...
.
แดน บักซ์ตัน เจ้าของร้านขายเครื่องกีฬา ก็เป็นหนึ่งในหลายสิบร้านที่ถูกทำลายจนยับเยิน... ใจเขา
แทบสลายเมื่อเห็นผู้ประท้วงวัยรุ่นใช้ไม้เบสบอล(ที่เอามาจากร้านของเขานั่นเอง) ฟาดทำลายประตู/
หน้าต่างกระจกจนแตกละเอียด แล้วบุกเข้าไปรื้อค้นขโมยสินค้าออกไปหมด
.
เมื่อค่ำคืนแห่งความมืดหม่นเลวร้ายผ่านไป เช้าวันใหม่ก็มาถึงอย่างสวยงามอบอุ่น สิ่งที่ไม่คาดคิด
เกิดขึ้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหาแดน ขณะที่เขากำลังเก็บกวาดซากหักพัง พูดว่า
.
“ผมรู้สึกแย่มาก ผมไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนที่บุกทำลาย แต่ผมก็ได้เดินเข้าไปหยิบเอาของในร้านออกมา...”
- - แล้วเขาก็คืนไม้เบสบอลและถุงที่เต็มไปด้วยสินค้าจากร้านของแดน เด็กหนุ่มย้ำว่า “ผมรู้สึกไม่ดี
เอามาก ๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมไม่ใช่คนแบบนั้น...”
.
แดนตอบเด็กหนุ่มว่า- - "ฉันให้อภัยเธอ เมื่อตอนฉันยังเด็ก ก็เคยทำสิ่งผิดพลาดเหมือนกัน... เธอเอง
ได้ทำสิ่งผิดพลาด แต่เธอก็ตัดสินใจเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ก็ขอให้เธอเลือกที่จะทำสิ่งที่ดีต่อไป”
. . . . .
.
ไมเคิล ฟรานซีสเป็นอดีตอาชญากรชื่อดังของนิวยอร์กในช่วงปี 1980 - - นิตยสาร Fortune จัด
ให้เขาเป็นอันดับ18 ในรายชื่อ "50 หัวหน้ามาเฟียที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลที่สุด"!
.
ตามรายงานของรัฐบาลกลาง เขาทำเงินได้มากกว่าใคร ๆ นับตั้งแต่ยุคมาเฟียอัล คาโปน - - ไมเคิล
ต้องเผชิญหน้ากับคณะลูกขุนหลายสิบครั้ง คดีฉ้อโกงสามคดี คดีอาญาอีกห้าคดี ถูกตัดสินจำคุกเจ็ดปี
.
ขณะอยู่โดดเดี่ยวในคุกอย่างสิ้นหวัง ไมเคิลรู้สึกราวกับเขาได้สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเติบโตมา
ในฐานะลูกชายของตระกูลอาชญากรที่ดุร้ายและน่ากลัวในนิวยอร์ก ไมเคิลใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยอำนาจ
ความหรูหรา และความรุนแรง ผลของการใช้ชีวิตแบบนั้นตลอดมา ทำให้เขาต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่
ในห้องขังขนาด 6 คูณ 8 ฟุต!
.
“ผมนอนอยู่ในนั้นอย่างไร้คำตอบ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นผมอายุ 39 ปี...
แต่แล้ว จู่ ๆ ผู้คุมเรือนจำคนหนึ่งเดินผ่านห้องขังของผม และวางพระคัมภีร์ไว้ที่ช่องประตู และนั่นคือ คืนที่
ผมเริ่มอ่านถ้อยคำของพระเจ้า...”
.
ไมเคิลศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจังเพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่อ่านนั้นจะนำพาเขาไปไหน และเขาก็ได้ข้อสรุปว่า
พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระวจนะของพระเจ้า - - “...พระเยซูคือพระผู้ช่วยให้รอด ที่ฟื้นคืนพระชนม์ และใน
ห้องขังนั้นเอง ผมได้ถวายชีวิตแด่พระคริสต์”
.
หลังจากนั้นไม่นาน ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ซึ่งทำให้เขาสามารถเดินออกจากห้องขัง และเป็นอิสระในที่สุด - -
ไมเคิลกล่าวว่า “คดีที่พวกเขาพยายามจะฟ้องผมล้มเหลว และพวกเขาไม่สามารถตั้งข้อหาผมได้อีก...”
แต่เป็นการพ้นโทษอย่างมีเงื่อนไข(ทำทัณฑ์บนไว้) เขาจึงใช้เวลาเกือบสามปีเก็บตัว และศึกษาพระคัมภีร์
มากยิ่งขึ้นไปอีก! เขากล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพร้อมกับความเชื่อศรัทธาที่เพิ่งค้นพบนั้นไม่ใช่
เรื่องง่าย - -
.
“...พระเยซูคริสต์เปลี่ยนเราจากภายในสู่ภายนอก แต่เราก็ยังมีกลไกเดิมที่ฝังอยู่ในสมอง ฉะนั้น ผมไม่ได้
เป็นคนดีแค่ชั่วข้ามคืน... ผมต้องต่อสู้กับสัญชาตญาณภายในมาทั้งชีวิตและก็ยังต้องทำอยู่ วิธีเดียวที่ผม
สามารถรับมือกับมันได้ คือการพยายามอยู่ใกล้กับแวดวงคนที่เหมาะสมและรับผิดชอบต่อการกระทำ
ของตัวเอง... นับเป็นพระพรอย่างยิ่งที่ผมถูกเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่ต้องเผชิญ ...เพราะพระองค์ทรงมี
จุดประสงค์อื่นสำหรับผม”
. . . . .
.
วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2024 เป็นวันอาทิตย์ใบลาน ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุง
เยรูซาเล็ม ประชาชน“จึงถือใบปาล์มออกไปรับเสด็จ”(ยอห์น 12:13) พร้อมกับโห่ร้องต้อนรับอย่างปิติ
ยินดียิ่ง แต่ไม่กี่วันต่อมา ประชาชนกลุ่มเดียวกันนี้ กลับตะโกนให้จับพระองค์ไปฆ่าเสีย! วันนี้จึงเป็นวัน
เริ่มต้นสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ พระทรมานของพระเยซูเจ้า ไปจนถึงวันปัสกาหรืออีสเตอร์ (Easter)
ในวันอาทิตย์หน้า
.
บทอ่านวันนี้มาจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก (มก 15:1-39) กล่าวถึงเหตุการณ์ที่
บรรดาหัวหน้าสมณะ ธรรมาจารย์ สั่งให้มัดพระเยซูเจ้า และนำไปมอบให้ปีลาตตัดสิน ปีลาตรู้อยู่แล้วว่า
บรรดาหัวหน้าสมณะมอบพระองค์ให้เพราะความอิจฉา จึงพยายามหาทางออกไม่ให้ถูกลงโทษ ด้วยข้อ
เสนอปล่อยนักโทษตามประเพณีที่เคยทำทุกปีในเทศกาลปัสกา ว่าจะให้ปล่อยใคร ระหว่างบารับบัส
นักโทษฆ่าคน กับพระเยซูเจ้า แต่ประชาชนที่ถูกยุยงมาแล้วจากบรรดาสมณะ กลับเลือกให้ปล่อย
บารับบัส แล้วตะโกนให้เอาพระเยซูไปตรึงกางเขนแทน ปิลาตไม่กล้าปฏิเสธความต้องการของ
ประชาชนที่ถูกเสี้ยมสั่งให้มากดดัน...
.
พระเยซูเจ้าถูกเฆี่ยนโบยตี, ถูกบรรดาทหารล้อเลียนให้สวมมงกุฎหนาม ใช้ไม้อ้อฟาดพระเศียร
ถ่มน้ำลายรด จากนั้น พระองค์ต้องแบกกางเขนใหญ่หนักอึ้งเดินตรงไปยังลานประหารบนเนินเขา
“กลโกธา” (แปลว่า “เนินหัวกระโหลก”) ระหว่างทาง พระองค์ทรงล้มลงบนพื้น ชายคนหนึ่งชื่อ ซีโมน
ชาวไซรีนผ่านมาพอดี บรรดาทหารจึงเกณฑ์ให้เขาช่วยแบกไม้กางเขนของพระองค์ไป
.
กระทั่งถูกตรึงกางเขนแล้ว พระองค์ก็ยังถูกเยาะเย้ยกลั่นแกล้ง... เมื่อถึงเวลาเที่ยง ทั่วแผ่นดินมืดไป
จนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมง พระเยซูเจ้าทรงเปล่งเสียงดัง แล้วสิ้นพระชนม์ - - ม่านในพระวิหารฉีก
ขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่ด้านบนลงมาถึงด้านล่าง นายร้อยซึ่งยืนเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์
เมื่อเห็นพระองค์สิ้นพระชนม์ดังนั้น จึงพูดว่า “ชายคนนี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าแน่ทีเดียว”
. . . . .
.
เวลาอ่านพระวรสารบทนี้ ไม่ว่าใครย่อมรู้สึกเศร้าสลดสะเทือนใจสงสารพระองค์ แต่สาระสำคัญ คือ
ทุกวันนี้ เราได้ใช้ชีวิตตามคำสอนของพระองค์หรือไม่? มิเช่นนั้น เราก็เป็นเหมือนบรรดาสมณะที่
เกลียดชังใส่ร้ายพระองค์, เป็นหนึ่งในประชาชนที่โห่ร้องยินดีต้อนรับพระองค์ แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น
กลับชี้หน้าด่าให้เอาพระองค์ไปตรึงกางเขน, หรือเป็นทหารที่คอยเยาะเย้ย ทำร้าย ถ่มน้ำลายใส่?
.
ชีวิตประจำวันของโลกยุคนี้ แม้จะตั้งอยู่ในความดี แต่บางเวลาก็ทำให้เราหลงลืมตั้งตัวเป็นศัตรูกับ
พระองค์ได้ง่ายดายยิ่งนัก - - อย่างเช่น เด็กหนุ่มที่ถูกปีศาจแห่งโลภกิเลส ลวงชั่วขณะให้เดินเข้าไป
ขโมยไม้เบสบอลในร้านขายเครื่องกีฬา ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนแบบนั้น - - ไม่ต่างจากประชาชนที่วันหนึ่ง
โห่ร้องยินดีต้อนรับพระเยซูเจ้า แต่อีกวันก็ทรยศต่อพระองค์อย่างน่ากลัว - - บางครั้ง เราเองก็เป็น
แบบนั้นวันละหลายเวลา อิจฉา ริษยา เหยียดหยัน กลั่นแกล้ง แทงข้างหลังผู้อื่น... โดยไม่รู้ตัวว่า
สิ่งไม่ดีเหล่านั้น คือการทำร้ายพระเยซู เช่นเดียวกับการกระทำของบรรดาสมณะ,ทหาร หรือชาวบ้าน
ที่มุงดูด้วยความสะใจ
.
อีกทั้งการโดนแลกตัวของพระเยซูกับนักโทษบารับบัส ก็ยังคงปรากฏในยุคปัจจุบัน - -
อดีตมาเฟียไมเคิล ได้รับพระเมตตาของพระองค์ จนสามารถเดินออกจากการใช้ชีวิตแบบเก่า
โดยสิ้นเชิง และออกจากคุกเริ่มต้นใหม่อย่างคนปลอดพันธนาการ...
.
สิ้นเสียงซ้อง ร้องโห่ แห่ใบลาน
สู่สัปดาห์ ทรมาน อันศักดิ์สิทธิ์
เพราะรักโลก จึงยอมพลี ด้วยชีวิต
ไถ่พ้นผิด บนทาง แห่งกางเขน
.
ทุกครั้งที่แผ่นฟ้ายามเที่ยงมืดมิด ชีวิตมืดมน อย่ากลัวและอย่าลืมว่า ยังมีชายคนหนึ่งอยู่กับเรา - -
“ชายคนนี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าแน่ทีเดียว!”
.
ปะการัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มี.ค. 31, 2024 11:25 pm

( 7 )


หญิงม่ายคนหนึ่ง มักทำขนมเปาะเปี้ยะให้คนทั้งบ้านกิน แต่เธอจะทำเผื่อ 1 อันใว้ให้คนหิวโซ
ที่เดินผ่านไปมา เธอนำเปาะเปี้ยะที่ทำเผื่ออันนั้นตั้งไว้บนขอบหน้าต่างนอกบ้าน เพื่อให้คน
ต้องการหยิบไปกินเองได้ และทุกวันจะมีขอทานเฒ่าหลังค่อมเป็นผู้มาหยิบไปทุกครั้ง แต่ขอทาน
เฒ่าไม่เคยกล่าวขอบคุณแม้แต่ครั้งเดียว และเมื่อเดินห่างออกไป ยังมีการบ่นงึมงำไปตลอดทางด้วย
จับใจความได้ว่า 所做之恶, 在身边..... 所做之善, 回到身边
(สอจ่อจืออัก เหล่าต่อซิงเปียง....สอจ่อจือเสียง ห่วยเก๊าซิงเปียง) แปลว่า บาปที่กระทำเก็บไว้กับตัว
กุศลที่ได้ทำย้อนกลับมาหาตัว

วันเวลาผ่านไปเช่นนี้ทุก ๆ วัน ขอทานเฒ่าหยิบแผ่นเปาะเปี้ยะแล้ว จะบ่นซ้ำ ๆ คำนี้
และเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ

นานวันเข้านางรู้สึกไม่ค่อยพอใจ จนสะสมถึงจุด ๆ หนึ่ง ที่เริ่มคิดในใจว่า แม้แต่คำขอบคุณสักคำ
ก็พูดไม่เป็นหรือไร เอาของไปกินทุกวันไม่เคยขอบคุณ แถมยังบ่นอีกต่างหาก มันหมายความว่า
ยังไงหรือตาเฒ่า ???

จนวันหนึ่ง นางสะสมความโกรธจนระเบิดออกมา คิดอยากจะสลัดขอทานเฒ่าออกจากขนมเปาะเปี้ยะ
แผ่นนี้ (นางคิดว่าตาเฒ่าแย่งคนอื่นมาหยิบไปกินทุกวัน) ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาในใจวูบหนึ่ง เอา
ยาเบื่อใส่เปาะเปี้ยะให้มันกินก็หมดเรื่อง ระหว่างเอาเปาะเปี้ยะผสมยาเบื่อไปวางบนขอบหน้าต่าง
พลันฉุกคิดได้ว่า แอ๊ะ เรากำลังทำอะไรไปนะ พอคิดได้ ก็รีบเอาเปาะเปี้ยชิ้นนั้น โยนเข้าไปในเตา เผา
ทิ้งจนหมด แล้วรีบทำแผ่นใหม่ วางบนขอบหน้าต่างอีกครั้ง

ถึงเวลาขอทานเฒ่าก็มาหยิบเอาไปเหมือนเช่นเดิมทุกครั้ง พร้อมบ่นงึมงำ ๆ แต่ครั้งนี้ฟังได้ความชัดมาก
ว่า...สอจ่อจืออัก, ฉุ่งหลิ่วซิงเปียง..สอจ่อจือเสียง, ห่วยเก๊าซิงเปียง...นางสังเกตเห็นขอทานเฒ่าบ่นงึมงำ
อย่างคนมีความสุข ไม่ปรากฏว่าจะเป็นการด่าให้ร้ายใคร ๆ เลย

ช่วงที่เธอเอาเปาะเปี้ยะวางบนขอบหน้าต่าง สายตาก็จะมองออกไปบนทางเดินที่เข้าหมู่บ้าน โดยมีความ
หวังว่า จะได้เห็นหน้าลูกชายที่หลายเดือนก่อนออกจากหมู่บ้าน ไปหางานทำในเมืองและไม่เคยส่งข่าว
กลับมาให้เธอทราบเลย เธอได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ลูกชายคงจะส่งข่าวกลับมาหาเธอบ้าง
คืนวันนั้น มีเสียงเคาะประตู เมื่อเธอเปิดออกมา ก็ต้องตกใจอย่างมาก เห็นลูกชายยืนอยู่หน้าประตู
ทั้งซูบผอมเสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่งหิวโซและอ่อนล้าสุด ๆ

พอพบหน้าแม่ลูกชายก็พูดขึ้นว่า“แม่ ที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว ตอนก่อนจะ
ถึงบ้านซักกิโลเมตรกว่า ๆ ผมหิวจนเป็นลม ล้มลงกับพื้น โชคดีเจอขอทานหลังค่อมคนหนึ่งผ่านมา
ผมขอให้เขาแบ่งของกิน อะไรก็ได้ให้ผมกินหน่อย แค่เศษ ๆ ก็พอ แต่ขอทานหลังค่อมใจดีมาก กลับ
ยื่นเปาะเปี้ยะให้ผมทั้งแผ่น และยังพูดกับผมว่า นี่เป็นอาหารที่เขาใช้ยังชีพทุกวัน แต่วันนี้จะให้ผม
เพราะผมต้องการมันมากกว่าเขา” ฟังถึงตรงนี้ หญิงม่ายหน้าซีดขาวเผือด ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงประตู
หวนคิดถึงตอนเช้า ถ้านางเอาเปาะเปี้ยะใส่ยาเบื่อให้ขอทานเฒ่า งั้นคนที่ตายย่อมเป็นลูกชายตัวเอง
แน่นอน

ถึงตอนนี้ นางเพิ่งเข้าใจความหมายในคำบ่นของขอทานเฒ่าว่า “สอจ่อจืออัก,หลิ่วต่อซิงเปียง
(บาปที่กระทำเก็บไว้ที่ตัว) สอจ่อจือเสียง , ห่วยเก๊าซิงเปียง (บุญกุศลที่ได้ทำย้อนกลับมาหาตัว)”

การทำบุญโดยไร้การคาดหวัง ทำบุญเพื่อจรรโลงโลก รักษาสังคม มักมีสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา
มาจากความใจบุญใจกุศล และบางเรื่องอาจจะเกิดขึ้นกับเราอย่างกับปาฏิหาริย์

“ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย”
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 04, 2024 10:52 pm

( 8 )

ความรักอมตะแห่งศตวรรตที่21 ของนกกระสาขาวคู่หนึ่ง สะเทือนใจคนทั้งโลก
เจ้าของชาวโครเอเชียเลี้ยง นกกระสาขาวเพศเมียที่ปีกหัก รักษาจนหายและ
มันเชื่องมาก ติดตามเจ้าของตลอดเวลา มันชื่อมารีน่า มันอยู่กับเจ้าของถึง10ปี
เจ้าของรักเมันเหมือนลูกสาว ในปีที่11 มารีน่าเจอคู่รักที่ชื่อฮาเคอร์ ซึ่งอยู่ด้วยกัน
นานถึง 15ปี ทุกๆปี นกกระสาขาวตัวผู้ ต้องบินอพยพไปอยู่ต่างแดน
และจะบินกลับมาทุกฤดูใบไม้ผลิ เพื่อมาหาภรรยาตัวเอง มันปฏิบัติมาทุก15ปี
พวกมันมีทายาท66 ตัว และลูกของมันก็บินจากไป เมื่อเติบโตขึ้น คงเหลือไว้
พ่อแม่ที่ยังครองรักกัน
ในปีคศ.2017
อาเคอร์ ไม่ได้บินกลับมาเหมือนทุกปี นกมารีน่ากระวนกระวาย จนเจ้าของรู้สึกเห็นใจ
เขาได้เขียนจม.พร้อมปีกนกของอาเคอร์ ไปให้ประธานาธิบดีของเลบานอน ให้ช่วย
ตามหา นกตัวนี้ เพราะที่เลบานอนมัก มีการลอบทำร้ายนกอพยพ เจ้าของนกได้ทำคลิป
ความน่ารักของนกคู่นี้ให้คนทั้งโลกได้รับรู้ถึงความรักเดียวใจเดียวของพวกมัน
ประธานาธิบดี ของเลบานอนได้รับจดหมายจากเจ้าของนก รู้สึกประทับใจในชีวิตรัก
ของนกคู่นี้ และแก้กฎหมาย ปกป้องนกอพยพขึ้นมา หลังจากที่มารีน่ารอสามีของเธอ
เหมือนคนทั้งโลกที่ลุ้นเอาใจช่วยว่า เมื่อไหร่จะบินกลับมา ทุกกำลังใจส่งไปให้พวกมัน
พร้อมทั้งติดตั้งจอเฝ้าติดตามพวกมัน ท่ามกลางความสิ้นหวังจาก ผู้คนที่เห็นฤดูใบไม้ผลิ
กำลังสิ้นสุดลง อาเคอร์ก็ยังไม่บินกลับมา แต่ปาฏิหาริย์มีจริง อาเคอร์
บินกลับมามารีน่า ด้วยสภาพบาดเจ็บทั่วร่างกาย ทุกๆปี นกอพยพเหล่านี้จะ บินไปถึง
อัฟริกาใต้ ระยะทาง16,000 กม.โดยประมาณ และถูกลอบทำร้าย แถวประเทศเลบานอน

คลิปนี้ดีมากๆ สรุปให้ฟังครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 04, 2024 11:22 pm

( 9 )


เป็นอีกวันหนึ่งของอลิซ่า ขณะกำลังปั่นจักรยานไปบนท้องถนน ในกระเป๋าเธอมีเศษเงิน
อยู่ไม่กี่เหรียญและยาเสพติดที่เหลือจากเมื่อคืน เธอเป็นผู้เสพติดยาที่สิ้นหวัง โดนจับ
เข้าคุก ครั้งแล้วครั้งเล่า...
.
ทันใดนั้น มีรถกระบะคันหนึ่งขับตามเธอมา ชายผู้ขับรถใส่ชุดแบบคุณหมอ เปิดไฟสัญญาณ
ให้เธอจอด เมื่อเธอขึ้นไปนั่งในรถ เพราะนึกว่าจะมีการติดต่อซื้อขายยา ขณะที่ชายคนนั้น
ยื่นเงินให้ รถตำรวจสามคันก็ขับมาจอดล้อมรถที่เธอนั่ง!
.
อลิซ่ารู้ตัวในทันทีว่า เธอถูกจับอีกครั้งในข้อหาครอบครองยาเสพติด - - นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่
สำหรับเธอ เธอถูกจับหลายครั้งและก่ออาชญากรรมถึง 11 คดี ชีวิตของเธอวนเวียนอยู่แบบ
นั้นมาตลอด...
. . . . .
.
4 ปีต่อมา อลิซ่าพยายามกอบกู้ชีวิตให้เป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง เธอยังคงป้วนเปี้ยนอยู่บนถนน
สายนั้น แต่คราวนี้เริ่มต้นใหม่ด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอต้องการ
พิสูจน์ตัวเองว่า เธอยังสามารถอยู่ที่เดิมได้ และอยู่อย่างสะอาด ทำสิ่งที่ถูกต้อง ประคองสติ
ไม่ให้มึนเมาอีกต่อไป
.
เช้าวันหนึ่ง ชายในเครื่องแบบตำรวจเดินเข้ามาในร้าน เธอจำได้ว่า นี่คือชายคนเดียวกับที่
แต่งเป็นชุดหมอในรถกระบะล่อซื้อยาจนเธอถูกจับ - - ขณะอลิซ่ากำลังเสิร์ฟไข่และกาแฟ
ให้เขา เธอถาม นายตำรวจคนนั้นว่า
.
“คุณจำฉันได้ไหมคะ?”
เขาเงยหน้าขึ้นมอง “ขอโทษครับ ผมจำไม่ได้”
.
อลิซ่าลองกระตุ้นความจำด้วยเรื่องราวในอดีต เขามองเธอเต็มตาอีกครั้ง แทบไม่เชื่อสายตา
ตัวเองว่า ผู้หญิงในวันนั้นจะเป็นคนเดียวกับที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้ เธอบอกว่าเธอไม่ใช่
ขี้ยาข้างถนน อีกต่อไป เธอเป็นสมาชิกคนหนึ่งของชุมชนแล้ว เป็นคนใหม่ที่จะเริ่มต้นใหม่ - -
.
ตำรวจคนนั้นกล่าวว่า “ผมขอโทษที่ต้องจับคุณ ผมแค่ทำตามหน้าที่ของผมนะครับ” อลิซ่าตอบว่า
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าคุณช่วยชีวิตฉันไว้ในวันนั้น – และต้องขอบคุณที่คุณจับฉันและ
พาฉันออกไปจากชีวิตข้างถนนสักระยะ (ติดคุก)”
.
เช้าวันเสาร์ของเดือนมกราคม เป็นวันครบรอบ 4 ปีที่อลิซ่าใช้ชีวิตใหม่ได้อย่างสะอาดไม่ข้องแวะ
เรื่องยา สำเร็จราบรื่นตามประสงค์ นายตำรวจคนนี้เข้ามารับประทานอาหารกลางวันในร้านพอดี
เธอดีใจมากเล่าให้เขาฟังถึงวันพิเศษนี้ และเริ่มต้นร้องไห้ เธอขอถ่ายรูปกับเขาเป็นที่ระลึก เพื่อเธอ
จะได้มีความทรงจำกับช่วงชีวิตที่เรียกได้ว่า “ตาสว่าง” หลังจากมืดบอดวนเวียนกับชีวิตเก่ามานาน
เต็มที!
.
เมื่อทานอาหารเสร็จ นายตำรวจให้ทิปตามปกติ แถมยังเขียน 'ขอแสดงความยินดีด้วย' บนสลิป
บัตรเครดิต!
.
อลิซ่ากล่าวว่า เธอรู้สึกขอบคุณตัวเองจริง ๆ ที่ตัดสินใจพลิกชีวิต! ช่างเป็นเหตุการณ์ที่พลิกผัน
ซึ่งเธอรู้ดีว่า เกิดขึ้นได้ด้วยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น!
.
"...ฉันจะขอบคุณตลอดไป สำหรับเจ้าหน้าที่ที่เคยจับกุมฉันในแต่ละวัน เพราะในแต่ละวันนั้นอาจ
เป็นวันสุดท้ายของฉัน – แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้า ฉันยังคงมีชีวิตอยู่ และสามารถส่งสารแห่ง
ความหวังไปยังผู้ติดยาคนอื่น ๆ ที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ตามท้องถนน ยังติดอยู่ในเงื้อมมือของ
สิ่งเสพติด ฉันจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่ายังมีหนทางในการดำเนินชีวิตอีกทางหนึ่ง - - หากคุณรู้สึก
สิ้นหวัง โปรดรับความหวังของฉันไว้ และเชื่อว่าถ้าฉันทำได้ คุณก็ทำได้เช่นกัน!”
. . . . .
.
บทอ่านประจำวันนี้ วันพุธที่ 3 เมษายน 2024 มาจากพระวรสารของนักบุญลูกา (ลก 24:13-35)
เล่าถึงศิษย์สองคนเดินทางออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส พวกเขาสนทนากันถึง
เหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าถูกตรึงบนไม้กางเขน และศิษย์บางคนได้ไปที่พระคูหา แล้วไม่เห็นพระองค์...
พวกเขาพูดคุยด้วยใบหน้าเศร้าหมอง อย่างสิ้นหวัง ระหว่างนั้น พระเยซูเจ้าได้เสด็จเข้าร่วมเดินทางด้วย
แต่พวกเขาจำพระองค์ไม่ได้เหมือนดวงตาถูกปิดบัง!
.
พระองค์ทรงอธิบายว่าพระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้ ก็เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของ
พระองค์ จากนั้น ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้พวกเขาฟัง... เมื่อมาถึงหมู่บ้าน
พวกเขาได้รบเร้าพระองค์ให้พักอยู่กับเขา - -
.
ขณะประทับที่โต๊ะ พระเยซูทรงหยิบขนมปัง ถวายพระพร ทรงบิขนมปังและทรงยื่นให้... ทันใดนั้น
พวกเขาก็ ‘ตาสว่าง’และจำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของเขา...
.
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม บรรดาศิษย์ถึงจำพระเยซูเจ้าไม่ได้หลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกสาเหตุไว้ แต่เดาได้ว่า อาจเป็นเพราะพวกเขาคาดไม่ถึงว่าพระองค์จะทรงฟื้นคืน
พระชนม์ได้จริง แม้พระเยซูจะตรัสไว้ล่วงหน้าว่าจะกลับมาในวันที่สามก็ตาม
.
หรืออย่างในกรณีที่มารีย์ชาวมักดาลาไปที่อุโมงค์ แล้วจำพระเยซูไม่ได้ เข้าใจว่าเป็นคนสวน
(ยอห์น 20:15) นั่นอาจเพราะเป็นเวลาเช้ามืด และอาจจะยืนห่างกันในระยะไกล จึงมองได้ไม่ชัด
ตราบเมื่อพระองค์ตรัสนั่นแหละ ถึงจำได้ หรือเหตุการณ์ที่บรรดาศิษย์ออกไปจับปลา แล้วจำพระเยซู
ที่ทรงยืนอยู่บนฝั่งไม่ได้ (ยอห์น 21:4) ก็น่าจะเป็นเพราะระยะทางที่อยู่ไกลเช่นกัน
.
แต่สำหรับเหตุการณ์จากบทอ่านวันนี้ ที่ศิษย์จำพระองค์ไม่ได้ แม้จะร่วมเดินทาง-สนทนาไปด้วยกัน
บนถนนสู่เอมมาอูส นั่นอาจเป็นความตั้งใจของพระองค์ที่จะปิดดวงตาของพวกเขาไว้
(ตามที่เขียนในพระวรสาร) หรือพระองค์อาจจะสวมเสื้อคลุมศีรษะปกปิดใบหน้า ซึ่งการที่พระเยซู
ทรง “ปกปิด”ตัวตนของพระองค์ ก็เพื่อให้สาวกทั้งสองได้พิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่พระองค์ตรัสอย่าง
แท้จริง แทนที่จะยอมรับคำสอนแต่โดยดีเพราะรู้ว่าเป็นพระองค์
.
ระยะทาง 11 กิโลเมตร จากกรุงเยรูซาเล็มไปหมู่บ้านเอมมาอูส ที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนศิษย์ไป
ตลอดการเดินทางนั้น ไม่ต่างจากเหตุการณ์ของอลิซ่า ในช่วงระยะเวลาชีวิตที่เธอมืดบอด การถูก
ตำรวจจับเข้าคุก เป็นเรื่องที่ชวนหงุดหงิดใจอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าทรงอยู่เคียง
ข้างดูแลเธอตลอดเวลา การถูกจับเข้าคุก ก็เพื่อให้เธอได้พ้นอันตรายจากข้างถนน มีเวลาให้
พระองค์ค่อย ๆ บ่มเพาะจิตใจของเธอขึ้นมาใหม่...
.
แล้ววันหนึ่ง ก็ถึงเวลา ที่เธอ‘ตาสว่าง’ จำพระองค์ได้ ชีวิตก็พลิกผันเปลี่ยนไป!
.
บางครั้ง, เรามัวหมกมุ่นครุ่นคิดแต่ปัญหาของตัวเอง จนลืมมองคนรอบตัว และพลาดที่จะเห็น
แสงสว่างแห่ง ‘ความหวัง’!
.
บนทุกถนนชีวิตของเราก็เช่นกัน ไม่ว่าหนทางจะยาวไกลและมืดมิดแค่ไหน จำไว้ว่า เราไม่ได้
เดินคนเดียว ยังมีใครอีกคนเคียงข้างเราเสมอ จงเชื่อและเปิดใจมองหา’แสงสว่างแห่งความหวัง’นั้น!
.
ปะการัง
.
ภาพ/ที่มา : Alisa Freeman
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 18, 2024 8:41 pm

( 10 )


ดูรูปลักษณ์ภายนอก หลายคนที่ไม่รู้จัก คงแอบนึกกลัวในใจ หากชายคนนี้ (ในภาพ)
เดินเข้าใกล้ แต่จริง ๆ แล้ว เขาคือ ซาดิโอ มาเน นักฟุตบอลอาชีพชาวเซเนกัล ที่มีรายได้
ประมาณ 10.2 ล้านเหรียญต่อปี!
.
ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้ตีราคาตัวตนของเขาเองด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนม หรือวัตถุเปลือกนอกทั้งหลาย!
.
แม้แต่โทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เป็นไอโฟนรุ่น 11 ที่ล้าสมัยไปแล้ว 2-3 ปี แถมมีรอยแตกที่
หน้าจอ เมื่อมีบางคนสงสัยถามถึงประเด็นการใช้ชีวิตแบบนี้ของเขา ซาดิโอ มาเน ตอบได้ยอดเยี่ยมมาก
.
“ทำไมผมต้องมีเฟอร์รารี่ 10 คัน, นาฬิกาประดับเพชร 20 เรือน และเครื่องบินเจ็ต 2 ลำ? ผมเคยอดอยาก
หิวโหย ทำงานอยู่กลางทุ่ง วิ่งเล่นเท้าเปล่า และไม่ได้ไปโรงเรียน ตอนนี้ ผมสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้
ผมก็เลือกที่จะสร้างโรงเรียนแทน ให้อาหารหรือเสื้อผ้ากับคนยากไร้...”
.
ซาดิโอได้สร้างโรงเรียนและสนามกีฬา จัดหาเสื้อผ้า รองเท้า และอาหารสำหรับผู้คนที่ยากจนข้นแค้น
นอกจากนี้ เขายังบริจาคเงิน 70 ยูโรทุกเดือนให้กับทุกคนที่มาจากภูมิภาคเซเนกัลอันแสนยากลำบาก
เพื่อจุนเจือเศรษฐกิจครอบครัวของพวกเขาด้วย...
.
“ผมไม่จำเป็นต้องโชว์รถหรู บ้านหลังใหญ่ การเดินทางท่องเที่ยว หรือแม้แต่เครื่องบินอะไรแบบนั้นหรอก
ผมแค่อยากให้ผู้คนเหล่านั้นได้รับ ‘สิ่งที่ชีวิตนี้ได้ให้กับผม’มากกว่าครับ...”
.
ต้องยอมรับว่าบางครั้ง เราก็หลงลืมตน แอบเบ่งตัวให้พองโตด้วยกิเลส เพื่อติดฉลากตัวเองให้ดูดี
มีราคา เราต้องสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม, ต้องถือกระเป๋าราคาแพง ต้องมีโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุด
เราวิ่งไล่ตามกระแสสังคม จนตกหล่มความโลภลึกชนิดปีนกลับขึ้นมาไม่ได้...
.
มิใช่เพียงซาดิโอ มาเนที่แสดงเป็นตัวอย่างให้เราเห็น หากในโลกแห่งสีสันบันเทิงและแสงไฟแห่ง
ชื่อเสียง ยังมีอีกหลากหลายดวงดาวที่ส่องทางให้เราเดินตาม - -
.
เลดี้ กาก้า นักร้องชื่อดังที่รูปลักษณ์ภายนอกสดใส มีชื่อด้านแฟชั่นแปลกประหลาด ดูเหมือนฟู่ฟ่า
ฟุ่มเฟือย และถึงแม้เธอจะมีทรัพย์สินกว่า 275 ล้านเหรียญ แต่เวลาซื้อของ เธอยังเลือกมองสินค้า
ที่ลดราคาและยังใช้คูปองในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างไม่กลัวเสียหน้า- - ผู้จัดการของเธอเคยโทรมา
ถามว่าเกิดอะไรผิดปกติกับบัตรเครดิตของเธอหรือเปล่า เพราะไม่ได้เคลื่อนไหวนานแล้ว! เลดี้ กาก้า
ตอบว่า “ก็ฉันไม่ได้ใช้เงินเลยนี่นา? แต่ฉันสบายดี ฉันมีความสุขมาก”
.
หรือจูเลีย โรเบิร์ต ดาราฮอลลีวู้ดค่าตัวหลายสิบล้านเหรียญ แต่กลับนิยมชมชอบสินค้ามือสอง
ราคาถูก และบางครั้งก็ซื้อเสื้อผ้าต่อจากเพื่อน ๆ หรือคีอานู รีฟส์ ที่เราเคยได้ยินได้เห็นภาพข่าวบ่อย ๆ
ว่าเขาไม่ซื้อรถหรู หากใช้รถโดยสารสาธารณะเป็นประจำ กินข้าวข้างถนน และมีใจกว้างมาก เคยยก
ค่าแสดงของตัวเองให้กับเพื่อนร่วมงานในทีมกองถ่าย...
.
หรือแม้แต่คนที่ร่ำรวยที่สุดในลำดับต้น ๆ ของโลก อย่างวอร์เรน บัฟเฟ็ต ทุกวันนี้ เขายังคงอาศัยอยู่
ในบ้านหลังเก่าหลังแรกที่ซื้อไว้ตอนวัยหนุ่ม, ไม่ได้กินอาหารภัตตาคารใหญ่ แค่ร้านแมคโดนัลด์,
ไม่ชอบงานสังคมหรูหรา ความสุขของเขาเรียบง่าย อยู่บ้านดูฟุตบอลทางทีวีขณะกินป็อปคอร์นเท่านั้นเอง - -
ที่สำคัญ เขาเป็นคนใจบุญที่บริจาคเงินมากมาย และมีเจตนาแน่วแน่ที่จะบริจาคทรัพย์สมบัติ 99%
ให้กับการกุศล!
.
โป๊ปฟรานซิสเคยกล่าวว่า - - เป็นที่เข้าใจได้ว่าเราทุกคนปรารถนาที่จะร่ำรวย แต่ต้องร่ำรวยตามวิถี
ของพระเจ้า นั่นคือร่ำรวยด้วยความเห็นอกเห็นใจ เปี่ยมด้วยความเมตตา ความร่ำรวยแบบนี้จะไม่ทำให้
ใครยากจนลงหรือสร้างความขัดแย้งแก่งแย่งทำร้ายกัน เพราะความร่ำรวยของพระเจ้าเป็นการให้
แจกจ่าย และแบ่งปัน ตรงข้ามกับความโลภและสะสมโดยสิ้นเชิง!
.
หลายครั้ง สื่อมักจะฉายภาพฟุ้งเฟ้อหรูหราของโลกให้เราเดินตาม จนหลงคิดว่านั่นเป็นแบบอย่างที่
เราควรเป็น เป็นจุดหมายชีวิตที่ควรไปให้ถึง แต่ในความเป็นจริง ยังมีดาราเศรษฐีอีกมากที่รู้จัก
ร่ำรวยตามวิถีของพระเจ้า และเป็นตัวอย่างของความสุขที่แท้จริง - -
.
นอกจากรู้จักกล้าใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีแบรนด์เนมมารับประกันตัวเองแล้ว เรายังต้องฝึกฝน‘การให้’ - -
ไม่ต้องร่ำรวยถึงขั้นซาดิโอ มาเน หรือวอเร็น บัฟเฟ็ต แต่สามารถเริ่มต้นง่าย ๆ เล็กน้อย ด้วยรอยยิ้ม,
คำพูดดี ๆ, น้ำใจ หรืออาหารกล่องแก่ผู้ยากไร้...
.
เพราะ‘การให้’แบบนี้ ไม่มีทางทำให้ใครยากจนลงได้ หากจะเป็นคนร่ำรวยที่แท้บนสวรรค์ทันที!
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรให้เราร่ำรวยตามวิถีของพระเจ้า ]
.
ภาพ/ที่มา : Liverpool Twitter
.
*********************************************
ขอแนะนำหนังสือใหม่สำหรับฤดูกาลแห่งความรัก
“อย่ากลัว ที่จะยืนโดดเดี่ยว กลางแดดร้อนลมแรง” โดย ปะการัง
.
"เพราะโลกกลม สักวันหนึ่ง ความรักนั้นจะวนกลับมาหาเรา" โดย ปะการัง
.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 18, 2024 9:06 pm

( 11 )


"แตงโมครึ่งซีก สอนชีวิตคู่”

บ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ผมเลิกงาน กลับบ้าน ร้อนจนเหงื่อโทรม เปิดตู้เย็น เจอแตงโมแช่เย็นอยู่ครึ่งซีก
ดีใจจนคว้าออกมาแทะกินจนหมดสักครู่ ภรรยาก็กลับมาถึง เข้าประตูก็บ่น “ร้อนมาก หิวน้ำ!”
เธอเปิดตู้เย็น แล้วก็ชะงัก ผมบอกเธอว่า แตงโมซีกนั้น ผมกินไปแล้ว สีหน้าเธอไม่พอใจ รีบเอาถ้วย
ไปรินน้ำ หยิบกระติกขึ้นมา แล้วร้องขึ้นว่า ไม่มีน้ำ! เธอพูดทันที “กลับบ้านมาก่อน ทำไมไม่ต้มน้ำ
ไว้บ้าง มัวทำอะไรอยู่?” ผมโกรธบ้าง “แล้วทำไมอะไรๆ ก็ต้องให้ฉันทำ?”
จากวันนั้น เราสองคนทำสงครามเย็นเป็นสัปดาห์ กว่าจะคืนดีกัน
วันเสาร์ ผมกลับบ้านพ่อแม่คนเดียว พอเห็นหน้า ทั้งคู่ก็ถามว่า “ทำไมไม่เห็นเมียมาด้วย?
” ผมเล่าเรื่องที่โกรธกันให้ฟัง แม่ฟัง แล้วตำหนิ “ทำอะไรไม่ควรห่วงแต่ตัวเอง ควรใส่ใจคนอื่นบ้าง"
ผมไม่เห็นด้วย “แค่กินแตงโมไปครึ่งซีก จะอะไรนักหนา?”
พ่อหัวเราะ “แกไม่ต้องแก้ตัว พรุ่งนี้วันอาทิตย์ พาเมียกับลูกมากินข้าวที่นี่นะ”
รุ่งขึ้น ผมพาครอบครัวมาหาพ่อแม่ พอเข้าบ้าน พ่อก็ใช้ให้ออกไปซื้อน้ำส้มสายชู ร้านปากซอย
พอกลับมา พ่อก็บอกให้ภรรยาพาลูกออกไปข้างนอกก่อน แล้วพ่อก็เอาแตงโมครึ่งซีกมาให้ผม
“แกร้อนซะเหงื่อชุ่ม กินแตงโมดับร้อนหน่อยเถอะ" แตงซีกนั้นใหญ่ น่าจะประมาณกิโลกว่า
พ่อส่งช้อนให้คันหนึ่ง “กินไม่หมด ก็เหลือไว้ให้เมียแกกินบ้าง” ผมหยิบช้อนแล้วก็ตัก กินไม่ถึงครึ่ง
ก็อิ่มพุงกาง

หลังกินอาหารเที่ยง พ่อเอาแตงโมงสองซีกออกมาวางบนโต๊ะ บอกผมว่า “แกดูซิว่า มันต่างกันตรงไหน?”
ผมงง ดูอย่างละเอียด ซีกหนึ่งเป็นซีกที่ผมกินไป อีกซีกก็ถูกกินไปด้วย ดูอยู่พักใหญ่ ก็ไม่เห็นว่า ต่างกัน
ยังไง จึงส่ายหัว พ่อชี้ให้ดูแตงโม แล้วอธิบายว่า “ซีกนี้แกกิน อีกซีกนี่ เมียแกกิน พ่อบอกทั้งคู่ว่า ถ้ากิน
ไม่หมดให้เหลือไว้ ดูสิ เมียแกใช้ช้อนกินยังไง เธอเริ่มตักจากตรงกลาง กินไปถึงขอบครึ่งหนึ่ง อีกครึ่ง
ไม่ถูกแตะ แล้วดูของแก แกควักกินเนื้อตรงกลางจนหมด เหลือขอบไว้ให้คนอื่น
ใครๆ ก็รู้ว่า เนื้อแตงโมน่ะ หวานตรงกลาง เรื่องเล็กๆ แค่นี้ เห็นได้ว่าเมียแกใจใหญ่กว่าแกเยอะ”

ผมหน้าแดงทันที พ่อพูดได้อย่างจี้จุด “คนสองคนอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต จะมีเรื่องสำคัญอะไร?
ความรักความใส่ใจระหว่างผัวเมีย อยู่ตรงไหน? มันก็อยู่ในน้ำหยดเดียว ข้าวช้อนเดียว
น้ำแกงทัพพีเดียว
คราวก่อนแกโกรธกันเรื่องกินแตงโม แล้วมีข้ออ้างมากมายทั้งที่เป็นฝ่ายผิด ถ้าเมียแก เป็นฝ่าย
กลับถึงบ้านก่อน รับรองว่า เธอจะต้องเก็บไว้ให้ครึ่งหนึ่ง "อย่าคิดว่า นี่เป็นเรื่องเล็กที่ไม่สำคัญ
มันสะท้อนให้เห็นหัวใจคน แตงโมชิ้นเดียวนี่แหละ ทำให้รู้การใช้ชีวิตประจำวัน หัวใจคน ต่อให้
เย็นชาแค่ไหน แกค่อยๆ ให้ความอบอุ่น มันจะร้อนขึ้นสักวัน หรือหัวใจที่ต่อให้ร้อนเท่าไหร่ แกสาด
น้ำเย็นใส่ทีละช้อน สักวัน ก็ทำให้เย็นลงได้ คิดดูนะ ถ้าเมียเป็นเหมือนแก ทำอะไรไม่เคยใส่ใจ
นานวันไป แกจะรู้สึกยังไง?” คำพูดคำเดียว ปลุกผมตื่นในทันใดว่า รองเท้าแตะที่วางไว้ให้ทุกวัน
เมื่อกลับถึงบ้าน .. น้ำชาที่ชงไว้ให้ .. ร่มที่วางหน้าประตูเวลาฝนตก ล้วนเป็นความรักความใส่ใจ
ของภรรยา แต่ผม กลับไม่เคยเห็น ไม่รู้จัก เอาใจเขา มาใส่ใจเรา คิดแล้ว ก็อาย รีบยกชามเกี๊ยวมา
ให้ "เธอกินก่อนเถอะ”

เธอหัวเราะ “ไม่ต้องมาทำไก๋ต่อหน้าพ่อกับแม่” พ่อหัวเราะ “ถ้าทำไก๋อย่างนี้ได้ทั้งชีวิต ก็ถือว่า
เป็นสามีที่ดีนะลูก” ในใจมีรัก ความรักต้องให้กันและกัน เราควรใส่ใจอีกครึ่งของเรา อย่าคิดว่า
ทุกปัญหาเป็นการหาเรื่องโดยไร้เหตุผล ลองคิดถึงความผิดของตัวเองก่อน
ใช้ชีวิตธรรมดาให้ดี ใส่ใจคนในครอบครัว อย่ามัวแต่สนใจเรื่องของคนอื่น

ความสุข .. ไม่ได้อยู่ที่บ้านใหญ่แค่ไหน แต่อยู่ที่เสียงหัวเราะของคนในบ้านว่าสดใสแค่ไหน
ความสุข .. ไม่ใช่ได้ขับรถหรู แต่อยู่ที่ขับรถกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยทุกวัน
ความสุข .. ไม่ใช่มีคนรักสวยหล่อ แต่อยู่ที่รอยยิ้มของคนรักว่า สดชื่นเพียงใด
ความสุข .. ไม่ได้อยู่ที่ได้ฟังคำหวานมาก หรือน้อย แต่อยู่ที่ยามเศร้าเสียใจ มีคนบอกว่า ไม่เป็นไรนะ
ยังมีฉันอยู่ อย่ามัวแต่สนใจเรื่องของคนอื่นในโลกโซเชียลจนห่างเหินกับคนในครอบครัว

#youngatheart
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 25, 2024 8:41 pm

. ( 12 )


“...ลูกเหลือเพียงสองสิ่งที่มีค่าในชีวิตนี้ที่พระองค์ทรงมอบให้ลูก คือ ‘ความทรงจำ’ ของการได้รักผู้อื่น
และการได้รับรักกลับมา ลูกจะปล่อยให้มันหายไปไม่ได้ ลูกจะไม่ขอให้พระองค์ช่วยชีวิต... แต่ได้โปรด,
ให้ลูกได้เก็บรักษาความทรงจำเหล่านี้ไว้... จนกว่าลมหายใจสุดท้าย...”
.
นั่นคือ ถ้อยคำอธิษฐานของ ฮงแฮอิน เธอเป็นโรคร้ายเนื้องอกในสมองที่ต้องผ่าตัดถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้
แต่ต้องแลกกับการสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป... โดยเฉพาะความทรงจำสวยงามกับคนรักของเธอ
.
ขณะที่ ก่อนหน้านี้ แบคฮยอนอู คนรักของเธอ ก็สวดอธิษฐานเช่นกัน แต่...

“ผมไม่ได้สวดอธิษฐานให้ผมได้ขึ้นสวรรค์... ผมสวดอธิษฐานให้คุณยอมผ่าตัด - - ผมไม่ได้ขอกับพระเจ้าว่า
คุณจะต้องจำได้ทุกอย่าง... ผมแค่ขอให้คุณยังมีชีวิตอยู่...”
. . . . .
.
นั่นเป็นเพียงบทสวดอธิษฐานของตัวละครจากบทภาพยนตร์* ทีทำให้หลายคนหลั่งน้ำตา แต่ปฏิเสธ
ไม่ได้ว่าในชีวิตจริงก็ไม่ต่างกัน...
.
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ซึ่งหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้หรือโลกวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ไม่สามารถให้คำตอบ
ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเลือกเชื่อ- - เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น, เชื่อในสิ่งที่ไม่เคยยอมรับในยามปกติ
เรายอมคุกเข่า สองมือประนม ร้องขอทั้งน้ำตา...

วาระนั้น เรารู้สึกว่า “กฎธรรมชาติ”ที่นักวิทยาศาสตร์ยึดมั่นไม่เพียงพอ
ยังมี “กฎจักรวาล”ที่อยู่เหนือสติปัญญามนุษย์ ให้หวังพึ่งพา...

เราจึงเห็นบรรดามนุษย์ทั้งเศรษฐีแสนล้าน และยาจกไร้เศษสตางค์ยอมก้มศีรษะภาวนา
หรือ แม้แต่นักบินอวกาศยังสวดอธิษฐานให้การเดินทางปลอดภัย...
.
การสวดภาวนาจึงไม่ใช่เรื่องงมงาย ที่ไม่เกิดประโยชน์ใด แต่ในความจริง การสวดภาวนาทำให้
เราถ่อมตน ไม่ประมาท

การสวดภาวนา เตือนตนว่าเราไม่ได้ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งตลอดเวลา บางครั้ง เราก็อ่อนแอได้และ
ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น

การสวดภาวนา ไม่ใช่เรื่องคนแพ้พ่าย ขี้ขลาด หมดหนทาง แต่เป็นเรื่องคนที่ต้องการสู้ หยัดยืน
และมีความหวัง...
.
การสวดภาวนายังทำให้ใจที่กระด้างนั้น อ่อนลง, ใจที่คับแคบ กว้างขึ้น และใจที่เย็นชา จะรู้สึกถึง
ความอบอุ่นของความรัก…
.
การอธิษฐานภาวนาอย่างไม่ท้อถอย จึงไม่ใช่เพียงอ้อนวอนพระเจ้าให้ใจอ่อน แต่สร้างพลังใจเราเอง
ให้แข็งแกร่ง พร้อมก้มหน้ารับทุกเรื่องราว และเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่สิ้นหวัง!
.
ปะการัง
.
___
* จาก Ep. 14 ของ Queen of Tears ซีรีย์เกาหลีที่กำลังมาแรง (เรตติ้ง Ep.นี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
สูงมากจนใกล้จะแซงเรื่อง “Crash Landing on You” แล้ว) นำแสดงโดย คิมซูฮยอน (รับบท แบคฮยอนอู)
และคิมจีวอน (รับบท ฮงแฮอิน) เขียนบทโดย พัคจีอึน (นักเขียนบทซีรีส์ฝีมือดี ที่มีผลงานโด่งดังก่อนหน้า
อย่างเช่น Crash Landing on You, My Love from the Star, The Producers, The Legend of the Blue Sea)
.
สถานที่ถ่ายทำฉากนี้ คือ อาสนวิหารเบอร์ลิน Berlin Cathedral ที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน
ตอบกลับโพส