สารจากพระบิดา ถึงคุณพ่อมิเชล

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5984
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 18, 2024 9:24 pm

🌼~ Why Fr. Michael Rodrigue? สารจากพระบิดา ถึง คุณพ่อมิเชล
โรดริกย์ และคำเตือนแห่งยุคสุดท้าย ~🌼

👉 ตอนที่ (1)👈

🔥--- คุณพ่อมิเชล อัครสาวกยุคสุดท้าย (1) ---🔥
📍คุณพ่อมิเชลเล่าเรื่องราวชีวิตของคุณพ่อ📍
คุณพ่อมิเชลเป็นน้องคนเล็กสุด จากเด็กทั้งหมด 21 คนในครอบครัว ตอนที่คุณพ่ออายุสามขวบ
พระเป็นเจ้าพูดคุยกับท่านโดยใช้ภาษาและบทสนทนาทั่วไปในการพูดคุยกับเด็กที่มีอายุเพียงแค่สามปี
คุณพ่อมิเชลจำได้ว่า ตอนนั้นกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในไร่สวนของครอบครัวที่อยู่บริเวณหลังบ้าน และได้พุด
คุยกับพระเป็นเจ้าว่า "ใครเป็นคนสร้างต้นไม้หรอ"

พระองค์ตอบ "เราเป็นคนสร้าง" หลังพระเป็นเจ้าตอบว่าเป็นพระองค์เอง เด็กน้อยมิเชลก็ถามคำถาม
มากมายที่เกี่ยวกับโลก จักรวาล และตัวเอง จนเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ ที่สร้างขึ้นและมีอยู่เกิดขึ้นจากพระเป็นเจ้า
เช่นเดียวกับเด็กน้อยนามว่า ฟรานซิสโก ฟอร์จิโน ที่ได้เติบโตเป็นนักบุญปีโอ คุณพ่อมิเชลในวัยเด็กคิดว่า
ใครๆ ก็ได้ยินเสียงพูดของพระบิดา จนกระทั่งคุณพ่ออายุหกขวบ พระเป็นเจ้าสอนเรื่องความเชื่อของชาว
คาทอลิก และสอนเรื่องเทววิทยาทุกอย่างให้กับคุณพ่อ พระเป็นเจ้ายังบอกกับคุณพ่อมิเชลในวัยสามขวบ
อีกว่า เขาจะได้เป็นพระสงฆ์ ตอนที่คุณพ่อมิเชลอายุหกขวบ ท่านได้รู้จักบาปและปีศาจเป็นครั้งแรก ท่านเห็น
ปีศาจควบคุมการกระทำของคนผู้หนึ่ง มันชักจูงความคิด การกระทำและการเคลื่อนไหวของเขา ท่านยัง
สามารถเห็นว่าคนๆ นั้นมีจิตใจเย็นชาปิดกั้นความรัก ท่านเห็นปีศาจตนนั้นขยับมือ ขา และใบหน้าของคนผู้นั้น
ท่านถามพระเป็นเจ้าด้วยความตกใจว่า "นี้มันอะไรกัน"
พระเป็นเจ้าตอบท่านว่า "นั่นคือปีศาจที่ควบคุมผู้ที่ตกอยู่ในบาป"
"บาปคืออะไร"
"มนุษย์ทำบาปทุกครั้งเมื่อพวกเขากระทำสิ่งที่ขุ่นเคืองพระทัยเรา ขุ่นเคืองต่อพี่น้องชายหญิง ขุ่นเคือง
ความตั้งใจทของเรา และไม่เชื่อฟังคำสอนของเรา"

คุณพ่อจำครั้งแรกที่คุณพ่อตั้งใจทำบาปได้ ด้วยความที่คุณพ่อมีญาติผู้ใหญ่ทั้งหมด 55 คน ทำให้ท่าน
กลายเป็นลุงก่อนที่คุณพ่อจะเกิดเสียอีก ในปี ค.ศ. 2004 คุณพ่อนับได้ว่าท่านมีปู่ยาตายายรวม 250 คน
วันหนึ่งคุณพ่อกำลังเล่นกับหลานชื่อว่า คลาวด์ (Claud) คุณพ่อของท่านชื่อว่า อีมิล อุ้ม Claud ให้ยืนอยู่บน
เท้าแล้วเต้นพร้อมกันและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนทำให้คุณพ่อในตอนเด็กเกิดความอิจฉา หลังจาก
เขาปล่อย Claud ลง คุณพ่อมิเชล บอก Claud ว่า "ออกไปเล่นข้างนอกกัน" บริเวณรอบๆ ที่ดินครอบครัวของ
คุณพ่อจะมีสายไฟขึงกับรั้วเอาไว้เพื่อกันไม่ให้หมูวิ่งหนีออกไป คุณพ่อก็ทำทีผลัก Claud มั่วๆ ให้ไปชนกับ
สายไฟ เสียง Claud ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเป็นระยะ ทำให้คุณแม่ของคุณพ่อได้ยินและมองออกมาด้าน
นอกบ้านแล้วตะโกนออกมาว่า "มิเชล นั่นลูกทำอะไร"
"เล่นกันครับ" คุณพ่อตะโกนตอบกลับ คุณพ่อเล่าว่า "ครั้งนี้เป็นการทำบาปครั้งที่สองของพ่อ พ่อโกหกแม่"
คุณแม่ของท่านพาคุณพ่อมิเชลเข้ามาในบ้าน แล้วลงโทษให้ท่านคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
"ทำไมลูกทำแบบนั้น มิเชล" แม่ของท่านถาม
"เพราะ Claud ได้ยืนบนเท้าของพ่อ และพ่อก็เต้นกับเขา ผมอยากทำแบบนั้นบ้าง"
"มิเชลลูกไม่รู้หรือ พ่อเขารักลูกนะ หนูเป็นลูกของพ่อ และพ่อก็รักเหลนเหมือนกัน" จากนั้นคุณพ่อก็ร้องไห้
ออกมาเสียงดัง หลังจากที่ได้ฟังว่าพ่อของท่านรักเด็กคนอื่นนอกจากตัวคุณพ่อเอง มันทำให้คุณพ่อเหมือน
โดนตีด้วยคำพูด เป็นครั้งแรกที่คุณพ่อรู้ว่าความรักนั้นไม่ได้มีให้แค่คุณพ่อคนเดียว แต่มีให้สำหรับทุกคน
"ตอนนั้นพ่อยังเด็กเกินไปที่จะแก้บาป พ่อเลยต้องรอให้ถึงวันนั้น พ่อรู้สึกผิดต่อพระบิดา แต่พระองค์ทรง
ใจดี พระองค์ยังคงตรัสกับพ่อ"

ตอนคุณพ่ออายุประมาณ 4-5 ปี ท่านได้รถบรรทุกของเล่น เป็นรถที่ทำจากบล็อกไม้มีล้อสี่ล้อที่ทำ
จากฝาขวด และคุณพ่อค่อนข้างจะชอบมากเลยทีเดียว มีวันหนึ่งคุณพ่อกำลังเล่นกับรถของเล่นพร้อมกับ
ทำเสียงรถบรรทุกอยู่ที่หน้าบ้าน ท่านได้ยินเสียงของพระเป็นเจ้าตรัสกับท่าน "มิเชล"
"ครับ" คุณพ่อขานรับแต่ยังคงจดจ่ออยู่กับรถของเล่น
"ลูกจะได้ออกเดินทางในวันหนึ่ง"
"เดินทางหรือ อะไรคือเดินทางหรอครับ"
"ลูกจะได้ไปที่อื่น"
"แม่ไม่ได้ไปด้วยหรอครับ"
"ใช่แล้ว"
"โอ้" และท่านก็กลับมาทำเสียงรถบรรทุกต่อ สารฉบับนี้ทำให้คุณพ่อสงสัย แต่ครู่เดียวท่านก็เลิกใส่ใจ
แต่แล้วคำพูดของพระบิดาเกิดขึ้นกับพ่อจริงๆ ในปี ค.ศ. 2017 - 2019 คุณพ่อมิเชลได้เดินทางไปยัง
ประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา เพื่อไปเทศน์และเข้าเงียบ โดยที่คุณแม่ของท่านไม่ได้ไปด้วย

ตอนที่คุณพ่อมิเชลอายุ 6 ปี คุณพ่อได้ยินคนเรียกชื่ออีกครั้งตอนที่เล่นอยู่นอกบ้าน "มิเชล มิเชล"
แต่ท่านไม่รู้ว่าเสียงนั้นมาจากพระเจ้า คุณพ่อหันไปมองรอบๆ ตัวเอง แต่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น พวกพี่สาว
ของคุณพ่อไม่อยู่บ้าน และพี่น้องคนอื่นๆ ก็ออกไปทำงานที่ไร่ คุณพ่อเลยเดินกลับเข้าบ้านไปหาคุณแม่
"แม่ครับ เรียกผมหรือเปล่า"
"เปล่าจ้ะ"
"มีคนเรียกผมด้วย"
"ไม่มีใครเรียกเลยจ้ะ ออกไปเล่นข้างนอกเถอะ"
คุณพ่อก็เลยเดินออกมา แต่ก็ได้ยินคนเรียกชื่อคุณพ่ออีกแล้ว "มิเชล มิเชล"
เสียงนั้นอยู่ใกล้ๆ คุณพ่อ แต่ก็ดูเหมือนว่าเสียงนี้มีคนเรียกมาจากที่ไกลๆ
คุณพ่อเลยเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกรอบ
"แม่ครับ แม่เรียกผมหรือเปล่า ผมได้ยินเสียงคนเรียกนะแม่"
"ไม่มีหรอก ออกไปเล่นเถอะ"
ในตอนที่คุณพ่อกำลังเล่นอยู่ข้างนอกบ้าน เสียงนั้นเรียกชื่อคุณพ่อมิเชลเป็นครั้งที่สาม คุณพ่อเดินกลับ
เข้ามาในบ้านอีกครั้ง คุณแม่ของท่านเลยบอกว่า "ถ้าหากลูกได้ยินเสียงเรียกอีก ลูกก็ตอบไปว่า ข้าแต่
พระเจ้าโปรดตรัสมาเถิด ข้ารับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่"

ในเช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง สมาชิกครอบครัวของคุณพ่อมิเชลทุกคนไปร่วมพิธีมิสซา แต่พวกท่าน
ไม่ได้เดินทางไปพร้อมกัน และไม่มีรถขับ พวกท่านเดินทางบนหลังม้าเป็นระยะทาง 8 ไมล์ ด้วยเส้นทาง
ที่ขรุขระ วันนั้นพระวรสารบทแรกคือ ซามูเอล ฉบับที่ 1 บทที่ 3
"พระยาห์เวห์ตรัสเรียกอีกว่า 'ซามูเอล! ซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีถามว่า 'ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ
ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว' เอลีตอบว่า 'ลูกเอ๋ย พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ' "
ตอนที่พระเป็นเจ้าเรียกชื่อเป็นครั้งที่สามในพระคัมภีร์ คุณพ่อได้ยินประโยคหนึ่งของประกาศกที่เป็นที่
รู้จักกันดีว่า "กลับไปนอนเถอะ ถ้ามีเสียงเรียกลูกอีกก็จงตอบว่า "ข้าแต่พระยาห์เวห์ ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้
ของพระองค์กำลังฟังอยู่" คำพูดของเอลีเหมือนกับคำพูดของแม่ บทอ่านพระวาจาดำเนินต่อไปว่า
"ซามูเอลเจริญวัยขึ้น พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่กับเขา และทรงทำให้คำพูดทุกคำของซามูเอลเป็นความจริง"
(ซามูเอล ฉบับที่ 1 3:19) คุณพ่อนั่งนิ่งฟังด้วยความตกตะลึง

ตอนที่คุณพ่ออายุ 6 ปี พระเป็นเจ้าชักชวนคุณพ่อให้ฟังเสียงของพระองค์ผ่านทางพระวาจา
แทนการสนทนาด้วยเสียงกับคุณพ่อเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ตอนที่พระบิดายังคงใช้เสียงในการสนทนา เสียง
ของพระองค์แตกต่างจากเสียงที่คุณพ่อมิเชลได้ยินตอนอายุสามขวบ ในปีนั้นคุณพ่อได้รู้จักกับความจริง
มิติใหม่
💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5984
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 02, 2024 9:47 pm

🌼~ Why Fr. Michael Rodrigue? สารจากพระบิดา ถึง คุณพ่อมิเชล
โรดริกย์ และคำเตือนแห่งยุคสุดท้าย ~🌼
👉 ตอนที่ (2)👈
🔥--- คุณพ่อมิเชล อัครสาวกยุคสุดท้าย (2) ---🔥
          วันหนึ่งคุณพ่อมิเชลวิ่งไปหาคุณแม่ของท่านด้วยความกลัว "แม่ครับ ผมเจอตัวอะไรไม่รู้น่าเกลียด
น่ากลัว" อสูรกายสูงราว 15 ฟุต ปรากฏตัวอยู่ในสวนของครอบครัว อสูรกายตัวนั้นคือปีศาจ
"ไม่ต้องกลัว" คุณแม่ท่านกล่าว "เรามาสวดสายประคำกัน" ตอนนั้นคุณพ่อเห็นว่าการสวดสายประคำ
ทำให้อสูรกายตัวนั้นกลับสู่นรกดังเดิม
คุณพ่อเล่าต่อว่า "พ่อแม่ของพ่อเป็นคนใจบุญ แม่ของพ่อเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง มีความเป็นแม่ เอาใจใส่
และน่ารัก ส่วนพ่อของพ่อก็เป็นคนตลก"
ในปีที่ผ่านมาคุณพ่อของท่าน เออมิล ต้องทรมานจากการหายใจลำบาก แต่ว่าคุณพ่อมิเชลก็ไม่เคยเห็น
คุณพ่อของท่านต่อต้าน หรือต่อว่าพระองค์เพียงเพราะความเจ็บป่วย ปอดของเออมิลต้องการออกซิเจน
เป็นอย่างมาก และในตอนนั้นเครื่องช่วยหายใจก็ยังไม่มี ในช่วงหน้าหนาวของทุกๆ ปี ทุกคนในครอบครัว
จะเปิดประตูและหน้าต่างเอาไว้เพราะลมเย็นๆ จะมีออกซิเจนเยอะ ทุกคนในครอบครัวทั้งหมด 23 คน
ยอมทนหนาวเพื่อให้เออมิลหายใจได้ดีขึ้น และในตอนกลางคืนคุณพ่อมักจะนอนมองน้ำค้างแข็งที่เกาะ
อยู่บนเพดาน
มีอยู่วันหนึ่งคุณพ่อมิเชลที่เข้าสู่วัยหนุ่มถามพระเจ้าว่า "ทำไมพ่อผมถึงต้องเป็นโรคนี้ด้วย"
พระเป็นเจ้าตอบกลับคุณพ่อว่า "ลูกจำที่เราพูดคุยกับลูกเกี่ยวกับบาปกำเนิด และส่งผลให้ร่างกายเรา
เจ็บป่วยได้ไหม นี่แหละคือผลจากบาปกำเนิด"
"แต่ทำไมต้องเป็นโรคมะเร็งด้วย"
"ความอ่อนแอในร่างกายทำให้เขาพ่ายต่อโรคร้าย แต่นั้นไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก"

ในวันที่เกิดพายุขนาดใหญ่ทำให้หิมะตกหนา 5 ฟุต เออมิลเริ่มจะหายใจไม่ไหวแล้ว ถนนทุกเส้นทาง
ใช้การไม่ได้ คุณแม่ของท่านกล่าวกับพี่ชายของคุณพ่อชื่อว่า ไกทั่น ให้พาบาทหลวงมาที่บ้าน ไกทั่นรีบ
วิ่งออกไป แล้วขับรถเลื่อนหิมะออกไปรับพระสงฆ์ที่สวมหมวกนิรภัยขนาดใหญ่นั่งเกาะเอวเขากลับมา
พระสงฆ์เดินเข้ามาในห้องนอนของเออมิลเพื่อมอบศีลเจิมคนไข้และสวดภาวนาให้เขา พระสงฆ์เดิน
ออกมาหาคุณแม่ของคุณพ่อแล้วหัวเราะออกมา
"ท่านหัวเราะทำไม" เธอถาม
"เขายังไม่ตายหรอก"
"ยังไม่ตายหรือ"
"เพราะว่าเขายังเล่าเรื่องตลกให้พ่อฟังอยู่เลย" เออมิลมีชีวิตอยู่ต่ออีกสองปี
จากเหตุการณ์นี้ พระบิดาทำให้คุณพ่อมิเชลเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงพลังของการเป็นคริสตชน

ยิ่งคุณพ่อมิเชลเติบโตขึ้น ท่านก็พบเจอกับปีศาจมากขึ้นเช่นกัน และทำให้บ้านของพวกท่านถูก
ปีศาจสิง คุณพ่อมิเชลในตอนเด็กรู้ว่าปีศาจคอยจับตามองคุณพ่อทุกครั้ง ทั้งตอนที่มันทำให้บ้านของ
พวกเขาสั่นไหว หรือทำเสียงน่ากลัวที่น่าขนลุก พ่อของท่านก็เคยเห็นปีศาจในบ้าน พี่ชายและพี่สาว
ก็เห็นเหมือนกัน พวกเขาเลยไปหาพระสงฆ์ประจำเขตชุมชนวัดแล้วพูดกับท่านว่า "เสกบ้านให้พวก
เราด้วย บ้านเรามีปีศาจสิงอยู่" พระสงฆ์องค์นั้นก็มาที่บ้านของคุณพ่อมิเชล แล้วเปิดประตูเข้าไปในบ้าน
ก่อนที่บาทหลวงจะเริ่มก่อบทภาวนา ปีศาจก็ส่งเสียงคำรามน่ากลัวออกมาทำให้พระสงฆ์วิ่งหนีไป
พวกท่านเลยไปขอร้องพระสังฆราชแทน ทันทีที่พระสังฆราชเปิดประตูบ้าน ปีศาจก็แผดเสียงร้องน่ากลัว
อีกครั้ง ทำให้พระสังฆราชองค์นั้นร้องลั่นออกมาว่า "พ่อทำไม่ได้! พ่อทำไม่ได้!"
ที่ดินของตระกูลโรดริกย์มีลำคลองพาดผ่าน ในช่วงพระอาทิตย์ตกดินวันหนึ่ง ตอนนั้นคุณพ่อมิเชล
อายุ 7 ปี คุณแม่ของท่านบอกว่า "ไปให้อาหารเป็ดด้วย"
"แม่ครับ" คุณพ่อมิเชลพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "แม่อยากให้ผมออกไปให้อาหารเป็ดจริงๆ หรอครับ"
"ใช่ ลูกทำได้อยู่แล้ว"
"แม่ครับแต่ว่ามันจะมืดแล้ว เจ้าตัวนั้นมันจะจับตัวผม"
"ไม่ต้องกลัว" คุณแม่ของท่านปลอบ พี่ชายของคุณพ่อชื่อว่า เกอเวส เห็นว่าคุณพ่อกลัวเลยอาสาจะ
ไปด้วยกัน ตอนที่ทั้งสองกำลังเข้าไปใกล้ๆ บริเวณลำน้ำ ทันใดนั้นแผ่นดินตรงเท้าของคุณพ่อก็แยก
ออกจากกัน มีมือสัตว์ประหลาดไว้เล็บยาวสองข้างลักษณะเหมือนสัตว์ความยาวประมาณ 4 ฟุต โผล่
ออกมาจากรอยแยกนั้น แล้วจับขาคุณพ่อเอาไว้ พร้อมทั้งออกแรงดึงให้ท่านลงไปข้างล่าง เกอเวสจับมือ
ของคุณพ่อทั้งสองข้างแล้วดึงท่านให้หลุดออก แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้ คุณพ่อมิเชล
คิดในใจว่า "ผมไม่รอดแล้ว" ท่านเลยนึกถึงพระแม่มารีย์แล้วร้องตะโกนออกมาว่า "พระแม่มารีย์ พระชนนี
แห่งพระเจ้า ได้โปรดช่วยลูกด้วย" ทันใดนั้นก็มีแรงดึงมหาศาลฉุดคุณพ่อขึ้นมาจากหลุมนั้น ทั้งสองจึง
รีบวิ่งกลับเข้าบ้าน
"ไม่ต้องให้พวกผมไปให้อาหารเป็ดอีกแล้วนะ" ทั้งสองตะโกนบอก
"เรามาสวดสายประคำกัน"

คุณแม่ของคุณพ่อมิเชลเป็นผู้มีความเชื่ออย่างแรงกล้าที่เชื่อมั่นในคำภาวนา ในชีวิตของเธอเคย
พบเจอเหตุการณ์อัศจรรย์มากมาย หลังจากคุณพ่อมิเชลเกิดไม่นาน เออมิล สามีของเธอประสบอุบัติเหตุ
ร้ายแรง เธอจึงสวดภาวนาต่อนักบุญแอนนา ยายของพระเยซูเจ้า พี่ชายสองคนของคุณพ่อมิเชลที่เสียชีวิต
ตอนอายุ 3 ปี และ 6 เดือน ได้ปรากฏตัวพร้อมแสงเรืองรอง แล้วกล่าว กับเธอว่า "ไม่ต้องห่วงครับแม่
พรุ่งนี้พ่อก็กลับบ้านแล้ว พ่อจะอยู่กับแม่จนมิเชลอายุ 10 ปี" แล้วก็เป็นเรื่องจริง สามีของเธอกลับบ้าน
ในวันถัดมา และมีชีวิตอยู่ต่ออีก 10 ปี เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในอ้อมกอดของ
คุณพ่อมิเชลตอนอายุ 10 ปี

หลังจากคุณพ่อของท่านเสียชีวิต คนในครอบครัวได้หารือกัน พวกเขาต้องยอมรับความจริงแล้วว่า
ต้องหาทางกำจัดปีศาจที่อาศัยอยู่กับพวกเขามานานเกินพอแล้ว ครอบครัวของท่านไม่มีอำนาจที่จะไล่มัน
ออกไป จึงตัดสินใจเผาบ้านทิ้ง คุณพ่อมิเชลวัยสิบขวบบอกกับคนในครอบครัวว่า "ผมจะเป็นคนจุดไฟเผา
บ้านเอง" เพราะว่าปีศาจมุ่งเป้าที่จะทำร้ายตัวคุณพ่อ ทุกคนในครอบครัวช่วยกันขุดหลุมจำนวน 6 หลุม
ในพื้นบ้านของพวกเขา คุณพ่อเทน้ำมันลงไปในหลุมทั้ง 6 หลุม แล้วจุดไม้ขีดไฟโยนลงไปในหลุมแรก
พอไฟลุกก็มีลมแรงพัดเปลวไฟให้ดับไป คุณพ่อมิเชลจึงจุดไม้ขีดก้านที่สองแต่ก็ไม่ติดอีก คุณพ่อจึงภาวนา
ต่อพระแม่มารีย์ในการจุดไฟครั้งที่สามว่าขอให้ไฟเผาบ้านนี้ จากนั้นไฟในหลุมก็ลุกโชน คุณพ่อต้องวิ่งผ่าน
เปลวไฟออกมา เพื่อออกไปที่ประตูหน้าบ้านซึ่งมีหน้าต่างบานใหญ่สองบานขนาบข้าง ขณะที่คุณพ่อกำลัง
วิ่งออกมานั้น หน้าต่างทั้งสองบานนั้นก็แตกกระจาย และมีเปลวไฟยื่นออกมาจากหน้าต่างเหมือนมือเพื่อจะ
จับตัวคุณพ่อ คุณแม่ของคุณพ่อที่ยืนอยู่ข้างนอกเห็นดังนั้น จึงสวดภาวนาถึงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
ของพระเยซูคริสตเจ้า ทันใดนั้น มือไฟที่ยื่นออกมาก็หายกลับเข้าไปในบ้านที่ลุกไหม้

คุณพ่ออธิบายถึงเหตุการณ์นี้ว่า "ครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจร่วมกันในครอบครัวที่ดีที่สุด เพราะเรา
ได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่แล้วปีศาจก็หาวิธีอื่นเพื่อมาอยู่กับพ่ออยู่ดี คุณพ่อต้องทุกข์ทนกับ
ความเจ็บปวดใต้ผิวหนังอย่างมาก คุณแม่ก็พาพ่อไปหาหมอ แต่หมอบอกว่าเขายังไม่เคยเจอโรคแบบนี้
เกิดขึ้นกับเด็กอายุน้อยขนาดนี้ เพราะโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุที่ใกล้จะเสียชีวิตเท่านั้น หมอก็ให้ยาพ่อไปกิน
แต่อาการเจ็บปวดของพ่อก็ยังไม่ดีขึ้น พ่อรู้สึกว่าเหมือนมีแมงมุมตัวใหญ่อยู่ข้างในตัวพ่อ แต่เมื่อพ่อเอนตัว
อยู่บนเตาเผาไม้ พ่อรู้สึกดีขึ้น เมื่อพ่อรู้สึกว่าร่างกายพ่ออยู่ใกล้ความร้อนสิ่งที่อยู่ในตัวพ่อก็ตายไป แต่ตัว
พ่อกลับไม่รู้สึกร้อนเลย มันแปลกมาก ๆ คุณแม่ของพ่อก็งงเช่นกัน"
วันหนึ่งคุณแม่ของคุณพ่อเข้ามาหาตอนที่ท่านกำลังร้องไห้เพราะความเจ็บปวด
"ฟังแม่นะ พระเป็นเจ้าไม่ได้ทรงกระทำสิ่งนี้ มันไม่ปกติแล้ว"
"ผมรู้ครับแม่ แต่มันอยู่ในต้วผม ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5984
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 02, 2024 10:04 pm

🌼~ Why Fr. Michael Rodrigue? สารจากพระบิดา ถึง คุณพ่อมิเชล
โรดริกย์ และคำเตือนแห่งยุคสุดท้าย ~🌼
👉 ตอนที่ (3)👈
🔥--- คุณพ่อมิเชล อัครสาวกยุคสุดท้าย (3) ---🔥
"งั้นเรามาสวดภาวนาแล้วมองไปที่พระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเยซูเจ้านะลูก" ท่านทั้งสองสวด
ภาวนาต่อหน้ารูปพระเยซูเจ้า "ทีนี้มองไปที่ดวงหทัยอันนิรมลของพระแม่มารีย์ เราจะขอพระแม่ให้ลูก
หลับ เพื่อให้พระเยซูเจ้ารักษาลูก" พวกท่านทั้งสองก็สวดภาวนาขอแล้วก็หลับไป คุณพ่อตื่นขึ้นมา
ในเช้าอีกวันหนึ่ง และพบว่าร่างกายของท่านไม่เจ็บปวดอีกแล้ว สิ่งนั้นที่อยู่ในตัวคุณพ่อร่วงหล่นอยู่
บนที่นอนแทน คุณพ่อและคุณแม่ของท่านก็ถอดผ้าปูที่นอนแล้วเผาทิ้ง

หลังจากนั้นไม่นานคุณพ่อก็ได้รับศีลมหาสนิทเป็นครั้งแรก แต่ว่าครอบครัวของคุณพ่อไม่ใช่ตระกูล
ที่มีเงินทองมากมาย ทำให้เสื้อสูทของคุณพ่อเป็นเสื้อสูทธรรมดาทั่วไป คุณแม่ของคุณพ่อเย็บเสื้อให้คุณพ่อ
และพี่ๆ ของท่านด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าคุณพ่อจะได้สวมเสื้อผ้าอย่างดีเท่าที่แม่คนนึงและเงินของท่านจะหาได้
แต่ท่านก็ยังรู้สึกอายและไม่มั่นใจตรงที่ท่านใส่รองเท้าเก่าๆ ท่านเป็นเด็กคนเดียวที่ไม่ได้สวมรองเท้าใหม่
มันเงาเหมือนคนอื่นๆ

เมื่อถึงเวลาที่ท่านจะรับแผ่นศีลมหาสนิทครั้งแรก ใจของท่านไม่อยู่กับตัวเองแต่อยู่ที่รองเท้า ในทุก
ย่างก้าวที่คุณพ่อก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับศีล ตาของท่านยังมองไปที่รองเท้า คุณพ่อเงยหน้าขึ้นมามองคุณพ่อ
เจ้าอาวาสเขตวัดที่นี้ คุณพ่อจีน มาร์ค ท่านรู้จักครอบครัวคุณพ่อมิเชลเป็นอย่างดี และปฏิบัติศาสนกิจโดย
ใช้ภาษาฝรั่งเศสอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ในเมืองควิเบก เป็นเวลา30 ปีมาแล้ว คุณพ่อ จีนส์ มาร์ค ยกแผ่นศีลขึ้นพร้อม
กล่าวคำว่า "พระกายพระคริสตเจ้า" ในตอนนั้นแสงอาทิตย์ส่องสว่างทะลุผ่านกระจกด้านข้างโบสถ์มายังเด็ก
น้อยมิเชลและคุณพ่อจีนส์ มาร์ค เท่านั้น คุณพ่อจีนส์นิ่งค้างไปราวกับงุนงง ทำให้คุณพ่อมิเชลมีเวลาให้พูด
กับพระเป็นเจ้าว่า "ลูกขอโทษที่ใส่รองเท้าเก่ามา" และแล้วคุณพ่อก็ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก

ตั้งแต่คุณพ่ออายุ 10 ปี ท่านมีพระสงฆ์องค์หนึ่งเป็นผู้ชี้นำฝ่ายจิตให้กับคุณพ่อ พระสงฆ์องค์นี้รู้ว่า
เด็กน้อยมิเชลกลัวความมืด ท่านยังรู้อีกว่า ท่านจะยิ่งกลัวมากขึ้น ถ้าได้เห็นหน้าตาน่ากลัวของปีศาจที่ชอบมา
ให้คุณพ่อเห็นอยู่บ่อยๆ และเมื่อคุณพ่อมิเชลอายุ 12 ปี พระสงฆ์องค์นั้นบอกกับท่านตอนที่กำลังทำงานที่
โบสถ์หลังจบพิธีมิสซาว่า
"มิเชล คืนนี้เราจะสวดภาวนาร่วมกัน"
"หืม"
"ลูกมาหาพ่อที่หน้าพระแท่นแล้วเราจะสวดภาวนาร่วมกัน" ในคืนนั้น คุณพ่อมิเชลมาพบพระสงฆ์ในโบสถ์
ท่านพูดว่า "พ่อจะนั่งสวดอยู่ด้านนึงของโบสถ์ ส่วนลูกก็นั่งสวดอยู่อีกด้านนึง" แล้วท่านก็ปิดไฟทั้งหมดเหลือ
แต่ความมืดมิดและเงียบสงบ มีเพียงเปลวไฟจากตู้ศีลมหาสนิทที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด
"ทำไมเราไม่เปิดไฟเอาไว้ล่ะครับ" เด็กน้อยมิเชลกล่าวด้วยความตื่นกลัว
"ไม่ต้องกลัว"
ทันใดนั้นประตูด้านหน้าโบสถ์ที่ปิดอยู่เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง
พระสงฆ์องค์นั้นพูดกับคุณพ่อมิเชลว่า "เดินไปดูสิว่ามีอะไร"
"พระเจ้าช่วย" เด็กน้อยมิเชลตัวสั่น รู้สึกว่าตัวเองจะตายเพราะความกลัว
"เราอยู่ที่นี้ไม่ได้แล้วครับ"
"ไม่ ลูกต้องเดินไปดูเสียงนั่น ลูกต้องเดินไป พอไปถึงประตู ลูกก็เปิดออก"
เด็กน้อยมิเชลทำตามที่บาทหลวงบอก และเดินตรงไปหาต้นตอของเสียง ท่ามกลางความมืด เสียงทุบ
และกระแทก ทำให้ประตูสั่นไหวเพราะปีศาจ มันต้องการเข้ามาข้างใน คุณพ่อมิเชลควานหาประตูใน
ความมืดด้วยมือที่สั่นเทา และรู้สึกกลัวถึงความตายที่ใกล้เข้ามา ท่านเปิดประตูออกมาพบว่า ไม่มีใคร
อยู่ข้างนอก จึงเดินกลับมานั่งอยู่ด้านหลังบาทหลวงเป็นเวลาสองสามนาที เสียงกระแทกและทุบประตูก็
ดังขึ้นมาอีกครั้ง
"ไปดูสิ"
"พระเจ้าช่วย"
"ไปดูอีกที"
"แต่ผมกลัวนะครับ"
"ลุก ลูกต้องเดินไปดู"
ขาของคุณพ่อมิเชลสั่นที่ต้องเดินท่ามกลางความมืดด้วยความกลัว เพื่อไปยังประตูด้านหน้าโบสถ์ แล้วเปิด
ประตูด้วยตัวที่สั่นไม่หยุด ท่านเพ่งมองมาข้างในโบสถ์ แต่ไม่มีใครเข้ามา ท่านจึงเดินกลับเข้ามาและนั่งที่เดิม
เป็นแบบนี้อยู่สามรอบ หลังจากกลับมานั่งเด็กน้อยมิเชลคิดในใจว่า
"ตายแน่ๆ ต้องตายแน่ๆ" อยู่ดีๆ เปลวเทียนหน้าตู้ศีลก็ติดๆ ดับๆ
"ลูกต้องเดินกลับไปปิดไฟ"
"แต่ว่าเราปิดไฟไปแล้วนี่ครับ"
"ลูกต้องไปปิด"
คุณพ่อมิเชลเดินไปด้านหลังโบสถ์ ผ่านประตูโถงก่อนประตูหน้าวัด เพื่อไปเปิดไฟแล้วปิดใหม่อีกครั้งด้วย
ความกลัวจนน่าสงสาร แต่ว่าสวิตซ์ไฟปิดอยู่ก่อนแล้ว คุณพ่อมิเชลกลับมานั่งที่เดิม ทันใดนั้นกลอนหน้าต่าง
ที่ล็อคอยู่ก็เปิดเองพร้อมกัน ท่านสะดุ้งจนรู้สึกว่าหัวใจจะหลุดออกมา พระสงฆ์ผู้คอยชี้นำคุณพ่อมาตลอด
กล่าวขึ้นว่า "มันคือปีศาจ แต่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ที่นี่ เมื่อลูกอยู่กับพระองค์ ไม่มีอะไรทำให้ลูกกลัวได้"
คำพูดของพระสงฆ์ในวันนั้นทำให้คุณพ่อมิเชลไม่กลัวอีกต่อไป ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบ และตั้งแต่เหตุการณ์
ครั้งนี้ ทำให้ท่านไม่กลัวที่จะเผชิญอยู่ในความมืดทั้งในตอนนี้และในอนาคต
พระสงฆ์องค์นั้นกล่าวว่า "ตอนนี้ลูกเป็นบาทหลวงได้แล้ว"
***
คุณพ่อมิเชลจึงตัดสินใจเข้าเรียนในโรงเรียนบ้านเณรในเมืองควิเบก และพระเป็นเจ้ายังคงมอบกระแสเรียก
ให้กับท่าน วันหนึ่ง พระสงฆ์ชื่อ คุณพ่อ จีนส์ มาร์ค มาหาท่าน แล้วพูดว่า "มิเชล ลูกยังจำตอนที่ลูกรับ
ศีลมหาสนิทครั้งแรกเมื่อหลายปีที่แล้วได้ไหม"
"จำได้ครับ แต่ส่วนมากผมจำได้แค่รองเท้าของผมตอนนั้น" ท่านทั้งสองก็หัวเราะออกมาดังลั่น
"มีสิ่งหนึ่งที่พ่อยังไม่เคยบอกลูกมาก่อน"
"อะไรหรือครับ"
"ลูกจำที่แสงอาทิตย์ส่องมาที่เราสองคนได้ไหม"
"จำได้ครับ ผมประทับใจมากๆ"
"ในตอนนั้นพ่อได้รับสารจากพระเยซูเจ้า"
"โอ้ พระองค์ว่าอย่างไรครับ"
"ตอนที่พ่อชูแผ่นศีล พระเยซูเจ้าตรัสกับพ่อว่า "ผู้ที่จะรับพระกายของเราในวันนี้ ผู้ที่อยู่หน้าลูกตรงนี้
เขาจะได้เป็นบาทหลวง" พอพ่อรู้ข่าวว่าลูกเข้ามาเรียนโรงเรียนบ้านเณร พ่อเลยอยากมาบอกเรื่องนี้ เพื่อ
ให้ลูกมีกำลังใจที่จะเรียนต่อไปในอนาคต" เพราะท่านต้องใช้กำลังใจนี้ในปีถัดมา ในตอนนั้น คุณพ่อมิเชล
เริ่มทำงานเป็นคนขายปลาตามบ้านเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน ท่านขายได้มากที่สุด เพราะท่านทำให้คน
หัวเราะจนพวกเขาซื้อปลาจากท่าน และท่านเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกเขาถึงหัวเราะกัน
(คุณพ่อมิเชลยิ้มและหัวเราะออกมาทันที)

คุณพ่อเข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านเณรตอนอายุ 16 ปี ในช่วงหนึ่งเดือนแรก ท่านเป็นนักเรียนที่ได้
คะแนนวิชาปรัชญาน้อยที่สุดในห้องจากนักเรียนทั้งหมด 13 คน ท่านไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สอนเลย
ทำให้ท่านรู้สึกหมดกำลังใจที่จะเรียนต่อ คุณพ่ออธิการให้คุณพ่อมิเชล มาเข้าพบแล้วกล่าวว่า "ลูกคงเรียน
ต่อไม่ไหวแล้ว พ่อต้องส่งลูกกลับบ้าน ลูกไม่เหมาะที่จะเรียนที่นี้ และเรียนต่อมหาวิทยาลัยในอนาคต
แต่ถ้าลูกใช้สองมือของลูกทำอะไรได้ มันก็คงจะดี"
คุณพ่อมิเชลคิดในใจว่า "ไม่นะ เราไม่ใช่คนโง่" ท่านจึงเข้าพบอาจารย์สอนวิชาปรัชญา ท่านดูเพี้ยนนิดๆ
เพราะผมที่พันกันยุ่งเหยิง และชอบบ่นงึมงำกับตัวเอง แต่ท่านก็เป็นคนที่เก่งมากๆ ท่านเป็นพระสงฆ์คณะ
พระหฤทัยที่สอนวิชาฟิสิกส์ และจบปริญญาเอกทางค้านคณิตศาสตร์และปรัชญา

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5984
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 02, 2024 10:10 pm

🌼~ Why Fr. Michael Rodrigue? สารจากพระบิดา ถึง คุณพ่อมิเชล
โรดริกย์ และคำเตือนแห่งยุคสุดท้าย ~🌼
👉 ตอนที่ (4)👈
🔥--- คุณพ่อมิเชล อัครสาวกยุคสุดท้าย (4) ---🔥
"ผมอยากจะคุยกับอาจารย์สักหน่อยครับ"
"เข้ามาเลย" คุณพ่อมิเชลเดินเข้ามาในห้องทำงานของอาจารย์ และเล่าเรื่องที่คุณพ่ออธิการบอก
กับท่าน อาจารย์ของคุณพ่อหัวเราะออกมาดังลั่น
"พวกเขาไม่รู้อะไรซะแล้ว ไม่รู้จริงๆ"
"เอ๋ ไม่รู้อะไรครับ"
"พวกเขาไม่รู้เลยจริงๆ เดี๋ยวพ่อจะเอาบทสวดมาให้" แล้วอาจารย์ก็ยื่นบทสวดนักบุญโทมัส อไควนัส
ให้คุณพ่อมิเชล

เชิญเสด็จมาพระจิตเจ้าข้าผู้เป็นแสงสว่างและน้ำพุแห่งปัญญา โปรดประทานสติปัญญาของ
พระองค์มาเหนือลูก และปัดเป่าความมืดมิดจากบาปและการเมินเฉยที่ปกคลุมลูกให้จางหายไป
ขอให้ลูกมีสติปัญญาหลักแหลม ความจำที่ดี มีวิธีการเรียนที่ดีและเข้าใจในบทเรียน มีความเข้าใจที่
กระจ่างชัด และพระคุณอันมากมายในการแสดงออกออกมา โปรดชี้แนะการเริ่มต้นการทำงานและ
นำพาลูกไปสู่ผลสำเร็จ โดยอาศัยพระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ผู้ทรงจำเริญและ
ครองราชย์ร่วมกับพระบิดา ตลอดนิรันดร อาเมน

"ลูกต้องสวดบทนี้ เข้าใจไหม ทั้งตอนก่อนนอนและตื่นนอน แล้วลูกจะได้เห็น ลูกจะได้เห็นล่ะ ไปได้แล้ว"

คุณพ่อเดินออกจากห้องทำงานของอาจารย์สุดเพี้ยนแล้วคิดในใจว่า "เราจะเลือกกลับบ้านหรือ
ทำตามที่อาจารย์บอกดี" และแล้วคุณพ่อตัดสินใจเลือกที่จะสวดภาวนาตามที่อาจารย์บอกทุกวัน แต่
ท่านก็ยังคงไม่เข้าใจในวิชาปรัชญาอยู่ดี ในวันที่คุณพ่อสวคภาวนาด้วยความเชื่อมั่นครบสามสิบวัน
คุณพ่อเข้าเรียนวิชาปรัชญาตามปกติเพื่อฟังอาจารย์สอน ท่านได้ยินแต่เสียง "บลา บลา บลา" แต่ทันใดนั้น
ก็เหมือนมีแสงพุ่งเข้ามาในหัวของคุณพ่อจนท่านได้ยินเสียงดัง "ปัง" แล้วคุณพ่อก็เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์
เคยสอน รวมทั้งสิ่งที่กำลังจะสอนอีกด้วย ตอนนั้นคุณพ่อมิเชล ยกมือขึ้น
"ว่าไง มิเชล"
"อาจารย์ครับ สิ่งที่อาจารย์กำลังพูดคือ....."
พอคุณพ่อพูดจบ อาจารย์ก็กล่าวออกมาว่า "โอ้ ฮ่าฮ่า เห็นไหม ลูกไม่ได้เพียงเข้าใจในสิ่งสิ่งอาจารย์
สอนและเคยสอน แต่ลูกยังบอกเรื่องที่พ่อจะสอนอีกด้วย"

หลังจากนั้นมา นักเรียนคนอื่นๆ ก็เข้าหาคุณพ่อมิเชลเพื่อให้ท่านอธิบายปรัชญาให้พวกเขาฟัง จน
ท่านกลายเป็นอาจารย์อีกคนของโรงเรียนไปแล้ว ผ่านไปสองสามปี ท่านเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาเทววิทยา
และเป็นอาจารย์ผู้ช่วยวิชานี้ด้วย คนที่นี่เรียกคุณพ่อว่า "กระทิงของคณะ" เพราะคุณพ่อสามารถโต้แย้งต่อหน้า
อาจารย์เวลาพวกเขาสอนผิด และไม่ใช่เพียงแค่โต้แย้ง แต่ยังพิสูจน์ในข้อคำสอนของศาสนจักรด้วย เพราะว่า
คุณพ่อเรียนเทววิทยากับพระบิดาตั้งแต่อายุ 3 ปี คุณพ่อกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องชมคุณพ่อขนาดนั้น เพราะข้อมูล
ต่างๆ อยู่ในหัวของท่านอยู่แล้ว อีกอย่างท่านจำข้อมูลต่างๆ เป็นรูปภาพ เพียงแค่คุณพ่อมองหน้าหนังสือ ท่าน
ก็จำสิ่งต่างๆ ได้เหมือนกับภาพถ่าย แล้วท่านก็หลับตาเพื่อซึมซับข้อมูลแล้วก็เปิดหน้าถัดไป แต่ความสามารถ
พิเศษนี้ก็เปลี่ยนไป หลังจากที่คุณพ่อเป็นโรคหัวใจครั้งแรก (จากทั้งหมดแปดครั้ง)

หลังจากศึกษาเทววิทยาได้ 1 ปี คุณพ่อมิเชลรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เสียเวลา ท่านเลยตัดสินใจเข้าพบ
อธิการบดีมหาวิทยาลัย "ตอนนี้ผมมีปัญหาว่าผมรู้ทุกอย่างที่เรียนในวิชานี้แล้ว"
คุณพ่อกล่าวขึ้นและแสดงความคิดเห็นอีกว่า "ลองคิดดูสิว่าผมรู้สึกภูมิใจในตัวเองแค่ไหน คนตัวเล็กๆ อย่างผม"
"มันเป็นไปไม่ได้หรอก"
"ผมรู้ทุกเรื่องที่อาจารย์สอนอยู่แล้ว"
"โอเค มาดูกัน เราจะให้คุณทำแบบทดสอบ"

ชายสามคนที่จบด็อกเตอร์ด้านเทววิทยาได้เตรียมแบบทดสอบความเข้าใจให้คุณพ่อมิเชล และท่าน
ก็ทำได้เกรด A+ "คุณยังเด็กเกินไปที่จะเป็นบาทหลวง" อธิการบดีกล่าวกับคุณพ่อ "ถ้าอย่างนั้นเราจะให้คุณ
อยู่ที่นี่ต่อ โดยที่คุณสามารถศึกษาเทววิทยาในสาขาที่ท่านเลือกเองได้ และเราจะมอบปริญญาเอกด้าน
เทววิทยาแก่คุณ" คุณพ่อจึงได้ศึกษาเรื่องต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้คุณพ่อได้เรียนวิชา Mariology
(การศึกษาเทววิทยาเรื่องพระแม่มารีย์) pneumatology (การศึกษาเทววิทยาเรื่องพระจิต)
the theology of grace (การศึกษาเทววิทยาเรื่องพระหรรษทาน) งานเขียนของปิตาจารย์
และสาขาอื่นๆ ในวิชาเทววิทยาภายใต้การดูแลของคณะ

ช่วงที่คุณพ่อเรียนอยู่ที่โรงเรียนบ้านเณร เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับท่าน ครั้งแรกที่พ่อเข้ามา
เหยียบที่โรงเรียน คุณพ่อเห็นปีศาจคอยนั่งเฝ้า และจ้องมองอยู่ที่หน้าห้องข้างๆ ห้องพักของคุณพ่อ ตอนนั้น
กิจกรรมเกี่ยวกับการรักร่วมเพศเกิดขึ้นมากมาย และเพื่อนข้างห้องของคุณพ่อมักมีคนแวะเวียนมาหาใน
ตอนกลางคืน คุณพ่อได้ยินทุกอย่างในห้องข้างๆ ผ่านกำแพงห้อง และได้กลิ่นจางๆ ของแอลกอฮอล์ลอย
ออกมา ท่านเลยขอเข้าพบกับคุณพ่ออธิการ และบอกเรื่องที่คุณพ่อประสบมา และบอกชื่อของชายที่อยู่ข้างๆ
ห้องท่าน แต่ว่าคุณพ่ออธิการกลับไล่พ่อออกจากโรงเรียนแทน พวกเขาบอกว่าคุณพ่อมีจิตวิญญาณที่แรงกล้า
เกินไป และกล่าวหาว่าท่านสวดสายประคำเวลาอยู่ข้างนอกโรงเรียนเยอะเกินไป เรื่องที่ว่านี้ทำให้คุณพ่อรู้สึก
เสียใจจนเกือบจะเป็นลมขณะที่ฟังคำเหล่านั้น คุณพ่อมารู้ทีหลังว่า อธิการคนนั้นก็เป็นแขกที่เข้าไปในห้องข้างๆ
คุณพ่อในตอนกลางคืน

คุณพ่อมิเชลเลยกลับบ้าน ท่านจมอยู่กับความรู้สึกเสียใจ และความพ่ายแพ้ที่มีคนอยากขัดขวางไม่ให้
คุณพ่อได้เรียนที่โรงเรียนบ้านเณร ความเจ็บปวดนี้มันมากเกินไปจนคุณพ่อรู้สึกว่ามันเสียดแทงหัวใจ คุณแม่
ของท่านสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดในจิตวิญญาณของคุณพ่อทันที และกล่าวว่า " มิเชล มองมาที่แม่" คุณพ่อ
เงยหน้าขึ้นมามอง "ลูกจำที่เราสวดภาวนาต่อดวงหทัยอันนิรมลของพระแม่มารีย์ และพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งของพระเยซูเจ้าด้วยกันได้ไหม"
"จำได้ครับแม่"
"ถ้าหากพระเยซูเจ้าอยากให้ลูกเป็นพระสงฆ์ ใครหน้าไหนก็มาขัดขวางลูกไม่ได้ ลูกเข้าใจใช่ไหม ดังนั้นลูก
ต้องเชื่อมั่นและเชื่อใจในพระองค์"
คำพูดของท่านทำให้คุณพ่อมีกำลังใจ คุณพ่อมิเชลจึงโทรไปหา ท่านหลุยส์ อัลเบิร์ต วากอน ในตอนนั้นท่าน
คือพระอัครสังฆราชเมืองควิเบก ท่านรู้จักคุณพ่อมิเชลตอนที่ยังเป็นเด็กช่วยมิสซา พระอัครสังฆราชโทรกลับ
หาคุณพ่อ "พ่อได้ยินว่าลูกโดนไล่ออก เกิดอะไรขึ้น" คุณพ่อเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง แล้วบอกชื่อทุกคน และ
ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หลังจากนั้นไม่นาน พระอัครสังฆราชก็แอบมาที่โรงเรียนบ้านเณรแห่งนี้ในตอน
กลางดึกโดยไม่มีใครรู้ ท่านไปที่ห้องพักข้างๆ ของคุณพ่อมิเชล และเคาะประตู เมื่อเขาเปิดประตูออกมา
พระอัครสังฆราชก็สั่งว่า "เก็บกระเป๋าแล้วออกไปจากที่นี่ซะ" แล้วท่านก็เดินไปเคาะประตูที่ห้องของอธิการ
"มีอะไรหรือ ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้" อธิการโรงเรียนกล่าวด้วยอาการสะลึมสะลือ
"เรามาที่นี่เพราะนี่คือบ้านของเรา"
"เกิดอะไรขึ้น"
"เราเพิ่งไล่นักเรียนของท่านออก แล้วตอนนี้เราก็จะมาไล่ท่าน"

คืนนั้น พระอัครสังฆราชวากอน ทำการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนบ้านเณรแห่งนี้ใหม่ และคุณพ่อก็กลับ
มาศึกษาต่อได้เหมือนเดิม ท่านศึกษาเทววิทยาจนจบ และเรียนปรัชญาต่อ แต่ใช่ว่าทุกคนจะรู้สึกยินดีที่
คุณฟ้องเรื่องนี้ วันหนึ่งพระอัครสังฆราชจากเมืองรีมูสกี มาพบคุณแม่ของคุณพ่อมิเชล เพื่อมาบอกท่านว่า
จะไม่มีใครทำพิธีบวชให้คุณพ่อมิเชล และท่านจะไม่ได้เรียนที่โรงเรียนบ้านเณรอีกต่อไป เธอมองไปที่
พระอัครสังฆราช แล้วพูดว่า

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5984
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 02, 2024 10:15 pm

🌼~ Why Fr. Michael Rodrigue? สารจากพระบิดา ถึง คุณพ่อมิเชล
โรดริกย์ และคำเตือนแห่งยุคสุดท้าย ~🌼
👉 ตอนที่ (5)👈
🔥--- คุณพ่อมิเชล อัครสาวกยุคสุดท้าย (5) ---🔥
"พระคุณเจ้าคะ ลูกชายดิฉันเป็นผู้มีเจตจำนงเสรี และพระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำเขาตามพระประสงค์
ของพระองค์ ท่านอาจจะได้สวมหมวกไมเทอร์ แต่ท่านก็ไม่ใช่องค์พระเยซูเจ้า ท่านเป็นเพียงแค่ศิษย์
ของพระองค์ ดิฉันทำซุปให้คนในบ้าน แต่ท่านไม่ได้รับเชิญ เชิญท่านกลับบ้านไปกินซุปเถิด ดิฉัน
จะกินซุปของดิฉัน เชิญท่านกลับได้แล้ว"

คุณพ่อมิเชลเล่าว่า คุณแม่ของท่านเป็นคนใจบุญ ท่านดูแลเด็กในบ้านทั้ง 23 คน และยังเตรียมที่
ให้ขอทานเข้ามาพักอาศัย แต่กลับไม่มีที่ว่างให้สำหรับพระอัครสังฆราชองค์นี้ คุณแม่ของท่านต้องทน
ต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสเพื่อคุณพ่อ ท่านยอมทำทุกอย่างเพื่อทำให้คุณพ่อมิเชลได้เป็นพระสงฆ์

คุณพ่อมิเชลยังคงรับใช้งานอภิบาลในศาสนจักร และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ชำนาญการ
พิธีกรรมของอัครสังฆมณฑลรามอนสกี และคอยดูแลวงจรพิธีกรรมอีกสามสังฆมณฑล ท่านได้ไปที่
สังฆมณฑลอามอสเพื่อเข้าร่วมคณะภราดรที่ก่อตั้งโดยพระสงฆ์องค์หนึ่ง แต่เมื่อสมาชิกในภราดา
ทำพิธีบวชแล้ว พระสงฆ์องค์นั้นจะย้ายพวกเขาให้เป็นพระสงฆ์ประจำสังฆมณฑลต่างๆ จึงทำให้
ต้องยุบคณะภราดาลง

คุณพ่อมิเชลกลับมาที่มอนทรีออลและเปิดศูนย์ช่วยเหลือเยาวชนที่มีปัญหา ตั้งแต่อายุ 18 - 21 ปี
ที่ไร้ที่อยู่และติดยาหรือเป็นคนขายบริการ ในตอนนั้นคุณพ่อจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยาแล้ว คุณพ่อจึง
คอยให้คำปรึกษา มอบความหวังและอนาคตให้แก่เยาวชน อีกทั้งรวบรวมคนมากมายเพื่อมาช่วยเหลือ
เด็กเหล่านี้

ในตอนนั้นคุณแม่ของคุณพ่อมิเชลเป็นโรคมะเร็ง และรู้ว่าเธอจะอยู่กับคุณพ่อได้อีกไม่นาน คืนก่อนที่
เธอจะเสียชีวิต คุณพ่อมิเชลกล่าวต่อพระแม่มารีย์ว่า "ผมทนเห็นแม่เป็นแบบนี้ไม่ได้ มันยากเกินไป ได้โปรด
ช่วยลูกทีเถิด พระองค์จะช่วยรักษาแม่ของลูก หรือว่าจะพาแม่ของลูกไปก็ได้" พอคุณพ่อเข้านอน ท่านฝันว่า
ท่านเห็นคุณพ่อของท่าน เออมิล ยืนอยู่กลางทุ่งข้าวสาลีสีทองอยู่ทางด้านขวาไกลๆ ของคุณพ่อ ส่วนคุณแม่
ของท่านปรากฏตัวขึ้นทางด้านซ้ายมือห่างออกไป คุณพ่อของท่านยื่นมือออกมาเพื่อให้คุณแม่ของท่านเดิน
มาหา ในตอนนั้นเธอมองมาที่คุณพ่อและยิ้มให้ พ่อของท่านมองมาที่คุณพ่อมิเชลและผงกหัวให้ คุณพ่อรู้ว่า
แม่ของท่านจะเสียชีวิตแล้ว เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางทุ่งเพื่อหันมามองคุณพ่อมิเชล และมองสามีของเธอ
ที่เรียกเธออีกครั้ง เธอยิ้มให้คุณพ่อเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินตรงไปหาสามีของเธอ

คุณแม่ของคุณพ่อมิเชลเสียชีวิตในวันถัดมา ท่านหมดลมหายใจก่อนเที่ยงคืน 5 นาที คุณพ่อมิเชลเล่าว่า
"พ่อจะบอกให้ว่าแม่ของพ่อเป็นคนดีแค่ไหน สี่ชั่วโมงสุดท้ายของชีวิตท่าน ท่านทำให้ห้องพักผู้ป่วยของท่าน
สว่างจ้าด้วยแสงสว่างที่ออกมาจากร่างกายของท่าน หมอและพยาบาลทุกคนในโรงพยาบาลพระหฤทัยของ
พระเยซูเจ้า ในเมืองมอน ทรีออล มามุงดูเหตุการณ์ที่พวกเขาเรียกว่า "ปรากฏการณ์" พวกเขาไม่รู้เลยว่า
แสงสว่างที่แผ่ออกมาจากตัวท่านคือเครื่องหมายของความศรัทธาของท่าน"

หลายอาทิตย์ผ่านไปหลังจากวันที่คุณแม่ของท่านเสียชีวิต คุณพ่อมิเชลได้รับสายจากพระสงฆ์ที่เป็น
เพื่อนของท่าน ชวนคุณพ่อให้มาร้องเพลงในพิธีมิสซาบวชพระสงฆ์ในสังฆมณฑลเฮิร์สต์ ในเมืองออนแทรีโอ
ประเทศแคนาดา ท่านต้องการให้คุณพ่อร้องเพลงบทเร้าวิงวอน และเพลงสรรเสริญพระจิตที่มีคีย์เสียงสูงซึ่ง
ไม่มีใครร้องได้ คุณพ่อมิเชลจึงตอบตกลง พระสังฆราชประจำสังฆมณฑลเฮิร์สต์ ท่านโรเจอร์ อัลเฟรด เดสพาทีย์
เป็นผู้ทำพิธีในวันนั้น ท่านคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพระแท่นสวดบทเร้าวิงวอน ท่านได้ยินเสียงหนึ่งพูดคุยกับท่าน
"ลูกเอ๋ย ผู้ที่กำลังร้องบทเร้าวิงวอน เราอยากให้ท่านบวชให้เขา" พระสังฆราชหันมองซ้ายขวาแล้วคิดใน
ใจว่า "บ้าไปแล้วเรา อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงคนพูดด้วย" ท่านเลยเลิกสนใจ และตั้งใจสวดบทเร้าวิงวอนนักบุญ
ทั้งหลายต่อ แต่เสียงนั้นก็กลับมาอีก "ลูกเอ๋ย ผู้ที่กำลังร้องบทเร้าวิงวอน เราอยากให้ท่านบวชให้เขา" ตอนนั้น
พระสังฆราชนึกออกแล้วว่าเสียงนั้นคือเสียงจากพระเยซูเจ้า
หลังจากจบพิธี พระสังฆราชเดินเข้าไปหาคุณพ่อมิเชลและถามว่า
"ลูกอยากบวชเป็นพระสงฆ์ไหม"
ท่านตอบว่า "ใช่ครับผมอยากบวช"
"พ่อจะบวชให้ลูก"
คุณพ่อมิเชลก็หัวเราะ เพราะคุณพ่อเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่กับพระสังฆราชมาก่อน ทำให้ท่าน
คิดว่าพระสังฆราชกำลังล้อท่านเล่น "ท่านพูดจริงหรือครับ"
"พ่อจะบวชให้"
"โอเคครับ แต่ผมไม่ได้อยากเป็นแค่ฆราวาสช่วยงานอภิบาล แต่ถ้าท่านอยากให้ผมบวชจริงๆ ผมจะมาหา
ท่านในตอนที่ผมจะได้เป็นพระสงฆ์"
"นั่นแหละที่พ่อต้องการจะบอก"
"ตกลงครับ"

คุณพ่อมิเชลลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการจิตวิทยาบริการ ขององค์กรที่คุณพ่อก่อตั้งขึ้น
ในมอนทรีออล วันต่อมาพระสังฆราชเดสปาตีโทรมาหาคุณพ่อ "ลูกจะได้เข้าพิธีบวช และประจำที่
วัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ (Church of the Assumption of the Virgin Mary)"
"เรื่องจริงหรอครับ"
"ทำไมหรอ"
"เอ่อ ตกลงครับ" คุณพ่อมิเชลพึมพำไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่ ตอนนั้นใจของท่านร่วงไปที่ตาตุ่ม เพราะ
ตอนที่คุณพ่ออายุได้ประมาณ 11-12 ปี วันนั้นท่านกำลังสวดภาวนาต่อหน้ารูปปั้นแม่พระแจกจ่ายพระ
หรรษทานในโบสถ์ที่บ้านเกิดของท่าน พระแม่มารีย์ตรัสกับคุณพ่อว่า "วันหนึ่ง ลูกจะได้บวชเป็นพระสงฆ์
ที่อยู่ภายใต้การดูแลของดวงหทัยอันนิรมลของแม่" และพระแม่ยังกล่าวอีกว่า ท่านจะได้บวชและรับใช้
ในโบสถ์แม่พระปฏิสนธินิรมล (Immaculate Conception of the Virgin Mary)
"อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด" คุณพ่อคิดในใจ "วันนั้นผมอาจจะฟังพระแม่ผิดไป"
สองสามวันต่อมา คุณพ่อก็รับสายจากพระสังฆราช "มิเชล ตอนนี้เรามีปัญหานิดหน่อย พ่อย้ายพระสงฆ์
ประจำวัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ไม่ได้ พ่อเลยจะส่งลูกไปประจำวัดแม่พระปฏิสนธินิรมลแทน
ลูกจะได้บวชเป็นพระสงฆ์ที่นั่น"
"ได้ครับ ได้ครับ" คุณพ่อรีบตอบออกมาก่อนที่พระสังฆราชจะพูดจบเสียอีก ทำให้ชายหนุ่มอายุ 30 ปี
ชื่อว่า มิเชล ได้กลายเป็นคุณพ่อมิเชลเต็มตัว แต่ก่อนที่ท่านจะเป็นพระสงฆ์ คุณพ่อมักจะพูดกับเทวดา
อารักขาของท่าน เวลาที่คุณพ่อจะเข้าห้องเป็นเวลาหลายปีว่า "เชิญท่านเข้าก่อนครับ" แต่วันที่ท่านได้
บวชเป็นพระสงฆ์แล้ว เวลาท่านกล่าวกับเทวดาอารักขาก่อนเข้าห้องว่า "เชิญเดินนำผมเข้าไปก่อนครับ"
ท่านจะได้ยินเทวดาพูดกับท่านว่า "ไม่ได้หรอก ท่านต้องเดินนำเรา ท่านเป็นพระสงฆ์แล้ว"
หลายปีต่อมาพระสังฆราชเดสปาตีกล่าวกับคุณพ่อมิเชลว่า "เราเคยได้ยินเสียงของพระเยซูเจ้าเพียงแค่
ครั้งเดียวในชีวิตของเรา และในครั้งนั้นพระองค์ตรัสให้เราบวชให้ท่าน"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ตอบกลับโพส