คุณคิดเห็นอย่างไรระหว่างคุณหญิงจารุวรรณ กับ ดร.สุวรรณ วลัยสเถียร

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ก.พ. 18, 2006 2:02 am

นั่นสิครับ อ่านๆดูเฉพาะในกระทู้นี้นะครับ ยังไม่มีใครตัดสินอะไรนะครับ ยกเว้นบทความที่อ้างอิงมา ซึ่งก็เป็นของคนข้างนอกที่โดนก๊อปมาเฉยๆ

ผมเอาหลักพระคัมภีร์มาอ้างอิงทั้งหมด แทนการแสดงความเห็นส่วนตัว เพราะไม่อยากแสดงความเห็นเรื่องการเมืองในบอร์ดของพระสักเท่าไหร่ แต่เห็นว่าในพระคัมภีร์มีหลักสอนเรื่องนี้อยู่แล้ว ถ้าเราในฐานะคริสตชน ควรยึดหลักพระคัมภีร์แทนการยึดตามคนในสังคมว่าทำอะไร ส่วนถ้ามองในแง่ความรักก็น่าเห็นใจคุณหญิงในสมัยที่โดนกลั่นแกล้ง และดร.ในเวลานี้ที่โดนสังคมโจมตี

และถ้ามองในเรื่องแบบอย่างที่ดีที่เด็กๆควรเอาอย่างแล้ว ถ้าผมสอนน้อง ลูก หลาน

ก็จะบอกว่าการรับใช้พระเจ้าก่อนอื่นใด และซื่อสัตย์ถึงที่สุด แบบคุณหญิงจารุวรรณนั้นดีมาก และสิ่งที่เกิดกับท่านจะช่วยหนุนใจคริสตชนที่ยืนหยัดในความดีคือเอาใจพระเจ้าก่อนเอาใจมนุษย์ เป็นสิ่งที่ดีมีค่ามาก

และก็จะบอกว่า การที่เราช่วยเหลืองานของวัดเช่นเก็บถุงทาน แม้เราจะรวยมีทรัพย์สินหลายร้อยล้าน ก็ยังทำแบบดร.สุวรรณ เป็นสิ่งที่ดี

และถ้าเรามีโอกาสให้สัมภาษณ์อะไรใคร การกล้าแสดงตนว่าเป็นคริสตชนเสมอแบบคุณหญิงจารุวรรณ เป็นสิ่งที่ดีมากและสมควรยึดเป็นแบบอย่าง เพราะถูกต้องตามที่พระเยซูเจ้าสอน

แต่สิ่งที่ผมจะไม่สนับสนุนเลย ไม่ใช่ว่าเพราะใครทำ แต่เป็นที่ตัวการกระทำนั้นๆเอง ก็คือ เราไม่ต้องสะสมเงินทองมากนัก เพราะเราสะสมทรัพย์สมบัติแค่ไม่ลำบากก็พอ ไม่ต้องถึงขนาดเกินความจำเป็น

และถ้าเราจะบริจาคคนจนบ้างก็เป็นเรื่องดี แต่การคิดว่าบริจาคคนจนแล้วไม่ต้องบริจาคให้พระศาสนจักรเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พระศาสนจักรสอนที่ว่า จงบำรุงพระศาสนจักรตามความสามารถ

และในฐานะคริสตชน โดยเฉพาะคนที่อยู่ที่สว่าง การกระทำใดๆของเราจะเป็นจุดที่ทำให้คนกล่าวโทษ หรือกล่าวดีกับพระเจ้าก็ได้ สมควรระวังตัวอย่างมาก เพราะควรเห็นแก่พระเจ้ามากที่สุด

มธ 5:16
ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์


รม 2:24
ดังที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า เป็นเพราะความผิดของพวกท่านที่พระนามของพระเจ้าถูกดูหมิ่นในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย


ดังนั้นตัดชื่อคนออกไปซะก็ได้ครับ ดูเฉพาะสิ่งที่กระทำพอไม่ใช่เพื่อตัดสินอะไรอีก แต่เพื่อเสวนาในด้านมาตรฐานจริยธรรมของคริสตชนว่าควรอยู่ที่ตรงไหน

---ดังนั้นตั้งแต่อ่านมา ยังไม่มีใครแสดงความเห็นว่าดร.เป็นคนไม่ดีเลยครับ เพียงแต่ไม่มีใครรู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นคือการแถลงข่าววันนั้นโดยเฉพาะในแง่ที่ว่า "วันนี้ไม่ได้มาพูดด้านจริยธรรม" ในขณะที่อีกคนขนาดสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เฉยๆยังใช้โอกาศนี้ประกาศพระนามพระเจ้า ซึ่งใครๆก็ชื่นชมยินดีกับสิ่งนี้ทั้งนั้นก็แค่นั้นครับ
Buddy.

เสาร์ ก.พ. 18, 2006 9:58 am

สำหรับคนที่สนใจและว่าง ;D .... ลองอ่านดูค่ะ

เค้าวิเคราะห์เป็นประเด็นๆ ทั้งในแง่กฎหมายและศีลธรรม ....

http://www.onopen.com/2006/editor-spaces/245
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ ก.พ. 18, 2006 2:41 pm

Buddy. เขียน: สำหรับคนที่สนใจและว่าง ;D .... ลองอ่านดูค่ะ

เค้าวิเคราะห์เป็นประเด็นๆ ทั้งในแง่กฎหมายและศีลธรรม ....

http://www.onopen.com/2006/editor-spaces/245
Thanks nong Buddy, it is veryyyyyyyyyyy long, will read later. ;D
Mei

จันทร์ ก.พ. 20, 2006 9:22 am

ไม่ทราบว่าเหตุใดคุณ abc จึงต้องมาแก้ตัวให้กับดร.สุวรรณ วลัยเสถียรด้วย

การที่คุณอ้างพระวาจาพระเจ้าที่ว่า ไม่ให้ตัดสินคนอื่น นั้น ขออนุญาตถามหน่อยว่า คุณเข้าใจข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ว่าอย่างไร

คนเรานั้นมีมโนธรรมต่างกัน บางคนมโนธรรมหยาบกระด้างเข้าขั้นไร้มโนธรรมเลยทีเดียว แม้ทำบาปหนักก็ยังแก้ตัวหน้าตาเฉย หาข้ออ้างเรื่อยไป ดิฉันเจอคริสตังแต่ปาก พวกคาทอลิกจอมปลอมมาแล้ว จึงได้เข้าใจดี หรือจะให้ "เปิดโปง" ก็ได้นะคะ ยิ่งบอร์ดศิษย์เก่าคณะพระมหาไถ่ยิ่งดี

ในสายตาของคนทั่วไปนั้น ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ได้ชื่อว่า เป็นทนายโจร ด้วยซ้ำ

คุณจะมาแก้ตัวให้ทั่นทำไม ดิฉันเคยฟังการเล็กเชอร์ของท่านในชั้นเรียน ยังรู้สึกถึงความผิดปกติด้วยซ้ำว่า การหลีกเลี่ยงภาษี นั้น แท้จริงมันไม่ได้แตกต่างจากการคอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง แม้แต่น้อย

พวกมือถือสาก ปากถือศีล น่ะมันเยอะ

คุณลองศึกษาดูว่า เงินถวายของหญิงม่ายในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นมีคุณค่าเพียงไหน แตกต่างจากพวกบรรดาเศรษฐีขี้เหนียวที่แบ่งเศษเงินทำบุญเอาหน้าอย่างไร
แก้ไขล่าสุดโดย mei เมื่อ จันทร์ ก.พ. 20, 2006 3:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Mei

จันทร์ ก.พ. 20, 2006 9:27 am

ดิฉันจะบอกให้คุณ abc ทราบเอาไว้ว่า ดิฉันเชื่อว่า พระเจ้าทรงให้บทเรียน ดร.สุวรรณ วลัยเสถียรอยู่

ยิ่งเปรียบเทียบกับการกระทำของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ช่างแตกต่างเหมือนฟ้ากับเหว

หรือคุณ abc จะตาบอดจนแยกแยะไม่ออกว่า อะไรถูก อะไรผิด

เช่นนี้ คุณก็คงจะได้รับบทเรียนหรือการตีสอนจากพระเจ้าเช่นกัน
แก้ไขล่าสุดโดย mei เมื่อ จันทร์ ก.พ. 20, 2006 11:29 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Mei

จันทร์ ก.พ. 20, 2006 11:27 am

ดิฉันมองว่า พฤติกรรมของทั่นนายก จะต่างอะไรจากบรรดาเสี่ยกระเป๋าหนักที่แสวงหาความสุขทางเพศจากผู้หญิงโดยใช้เงินหรือความรักจอมปลอมหลอกล่อ ล่อลวง หญิงสาวผู้ด้อยโอกาส นอกจากจะไร้สามัญสำนึกว่าเป็นความผิดแล้ว ยังอ้างอย่างหน้าหนาว่า ใคร ๆ เขาก็ทำกัน

เหมือนทั่นเอาเงินภาษีของประชาชนไปโปรยหว่านให้กับชนชั้นรากหญ้าผู้ด้อยโอกาส ใช้พวกเขาเป็นบันไดไต่ขึ้นมา "ฉ้อฉล" ปล้นชาติ แก้กฏหมายเพื่อขายหุ้นชินคอร์ปที่ไม่เพียงแต่มีโทรศัพท์มือถือ แต่ยังรวมดาวเทียม โทรทัศน์ แทรกแซงองค์กรอิสระ โกหกเอาตัวรอดไปวัน ๆ หยิ่งยโส บ้าอำนาจ จดทะเบียนบริษัทที่เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งฟอกเงิน ขายสัมปทานของรัฐที่ตัวเองจ่ายค่าคอมมิสชั่น อามิสสินจ้างตามรายทางมาก่อนแล้วให้กับสิงคโปร์ ประเทศที่ไม่เคยหวังดีต่อประเทศไทย

แล้วดร.สุวรรณ ไปทำหน้าที่ทนายหน้าหอ ให้กับผู้นำประเทศที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ น่าละอายแบบนี้ได้อย่างไร

คุณอย่าอ้าง "ความยากจน" ในการที่จะต้องแสวงหาความร่ำรวยเลย เช่นนั้นแล้ว คุณก็ไม่ได้มีความเข้าใจในพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า แม้แต่พระเยซูเจ้ายังทรงยอมมาเกิดในรางหญ้า

แล้วคุณเป็นใครที่จะต้องสะสมเงินทอง ทรัพย์สินเป็นมูลค่านับร้อยล้าน พันล้าน ในขณะที่คนร่วมโลกอีกมากมายนับไม่ถ้วนมีชีวิตที่ยากจนขัดสน และยังแสร้งทำว่า เป็นคนใจบุญ ศรัทธาในพระเจ้า ?

ความร่ำรวยนั้นไม่ผิด แต่มันจะ "ผิด" ถ้าความร่ำรวยนั้นมาจากวิถีทางที่ผิดศีลธรรม ผิดจริยธรรม

แล้วความยากจนมันผิดตรงไหน เลวร้ายมากนักหรือ ? คนจะดีจะชั่วไม่ได้อยู่ที่ฐานะ แต่อยู่ที่ "ธาตุแท้" ของคน ๆ นั้นต่างหากเล่า

ดิฉันจะบอกไว้อย่างหนึ่งว่า คนเราหว่านสิ่งใดย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น อย่าคิดชุ่ย ๆ ว่า พระเจ้าทรงให้อภัยเสมอไม่ว่าจะทำบาปหนักหนาสาหัสเพียงใด แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจบาปอยากจะทำ

พระเป็นเจ้าทรงเมตตามให้อภัยบาปของเราก็จริง แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า สำนึกผิดจริงหรือไม่ หรือสำนึกผิดแต่ปาก และยังต้องมีการชดเชยบาปด้วย
แก้ไขล่าสุดโดย mei เมื่อ จันทร์ ก.พ. 20, 2006 3:46 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Mei

จันทร์ ก.พ. 20, 2006 11:51 am

และขอเรียนว่า ไม่มีใครไปบังอาจตัดสินว่าดร.สุวรรณจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก หรือท่านเป็นคนดีหรือเลวแต่อย่างใด แต่เรามีสิทธิ์วิพากย์วิจารณ์ว่าการกระทำของท่านนั้น ถูกต้องชอบธรรม ดีชั่ว ตามมโนธรรมของเราหรือไม่

คุณ abc กรุณาทำความเข้าใจให้ดีด้วย และคุณเองก็ควรหมั่นสวดภาวนาให้ตัวเองมีระดับมโนธรรมที่สูงกว่านี้

เพราะในสายตาดิฉัน มโนธรรมของคุณก็หยาบกระด้างนัก ลองสำรวจจิตใจของคุณ ว่าได้สำนึกผิดต่อบาปหนักที่ได้กระทำต่อพระเป็นเจ้าหรือยัง หรือยังกระทำบาปหนัก ผิดซ้ำซากอยู่อย่างนั้น ? นอกจากตนเองยังต้องรับผลแห่งการกระทำบาปนั้น ๆ แล้ว ยังส่งผลให้ลูกหลานได้รับผลกรรมแห่งความบาปหนาหนักนั้นด้วย เพียงแค่ไปมิสซาคุกเข่าขอร้องพระเป็นเจ้าเท่านั้น จะเพียงพอหรือ ?

หรือคุณจะสะสมบาปหนักที่ได้กระทำไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ? ถ้าเป็นดังนั้น แม้แต่ "ไฟชำระ" คุณก็คงไม่มีสิทธิ์เข้าไปอยู่กระมัง ?
แก้ไขล่าสุดโดย mei เมื่อ อังคาร ก.พ. 21, 2006 5:25 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Mei

จันทร์ ก.พ. 20, 2006 12:10 pm

Jeab Agape เขียน:
อ้าวทำไม พี่เม่ย พูดสั้นผิดปกติล่ะ :D ???

เป็นไงล่ะฮับ น้องเจี๊ยบ คราวนี้เลยพูดซะยาวววววเล้ยยย :D
Mei

จันทร์ ก.พ. 20, 2006 12:17 pm

ขอแถม...

จากประโยคนี้...เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า ท่านรวยขึ้นมาเพราะน้ำพักน้ำแรงของท่านเอง ไม่ได้ไปโกงภาษี หรือไปกินบ้านกินเมืองมาอย่างที่ผู้ไม่หวังดี หรือผู้ที่เป็นโรคอิจฉาคนรวย บางคนกล่าวหา

ขอตอบว่า...เลิกคิดแบบศรีธนญชัยเสียทีว่า คนเค้าอิจฉา แต่คนเขา "รับไม่ได้" กับ ความร่ำรวยที่มาจาก "เหลี่ยมจัด" ในการหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ต่างหากเล่า

ส่วนพฤติกรรมของนายกฯ ที่ได้กระทำการผ่านร่างกฎหมายก่อนการขายหุ้นบิ๊กล็อตเพียงสามวัน ภาษาชาวบ้านเค้าว่า "โกงกันหน้าด้าน ๆ โกงกันเห็น ๆ " เข้าใจหรือไม่


อ้อ...ป่านนี้ท่านคงรู้ตัวดีว่า ไม่สมควรที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็น สว. ดิฉันล่ะอายแทนจริง ๆ ที่มีคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสตัง สมองระดับอัจฉริยะ แต่ไปรับใช้คนที่กำลังได้ชื่อว่าเป็น ทรราช ปล้นชาติ

คุณ abc ช่วยนำคำตอบของพวกเราไปเรียนให้ท่านทราบด้วยนะคะ :D

ดิฉันขออนุญาตแนะนำว่า ทั้งคุณ abc และดร.สุวรรณ ควรไปเข้าชั้นเรียนคำสอน เรียนเรื่อง "จริยธรรม" หรือ "ศีลธรรมคริสต์" แบบเข้มข้นโดยด่วนด้วยค่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย mei เมื่อ จันทร์ ก.พ. 20, 2006 7:26 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ ก.พ. 20, 2006 3:17 pm

On Friday, the president of Brazil came to greet the WCC 9th Assembly also,
many Brazilian people protested him at the Assembly Hall , because of the corruptions.
Michael
โพสต์: 42
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 10, 2005 1:15 pm

อังคาร ก.พ. 21, 2006 2:02 pm

ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ
จากการกระทำของทั้งสองท่านที่ผมยกมาเป็นตัวอย่าง
มีจุดประสงค์
เพื่อให้เราทั้งหลายที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั่น
ตระหนักว่าเราทั้งหลายควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร
เราอยู่ในหน้าที่ใดที่พระเจ้าทรงเรียกเรามานั้น
ให้เราทำงานในหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
และรับใช้องค์พระเจ้าจากสถานะภาพที่เราเป็นอยู่
ผมไม่บอกว่าใครทำถูกหรือไม่ถูกต้อง....
สิ่งที่สำคัญให้ยึดพระคัมภีร์เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต... ::)

ขอฝากให้ทุกท่านพิจารณา
มัทธิว 17: 24-27
เมื่อมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมแล้ว ผู้เก็บค่าบำรุงพระวิหารมาหาเปโตรถามว่า
Mei

อังคาร ก.พ. 21, 2006 4:22 pm

ได้รับ fwd mail มา มีความว่า ดังนี้

++++++++++++++++++++++++++++

จดหมายเปิดผนึก จาก ท่าพระจันทร์ ถึง สามย่าน



เรียน คณาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


การเป็นนักวิชาการนอกจากจะต้องถ่ายทอดความรู้วิชาการที่ทันสมัย เป็นประโยชน์แก่ลูกศิษย์แล้ว การใช้
ความรู้วิชาการที่มีอยู่ในการร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย ยังเป็นภารกิจที่คณาจารย์
ต้องแบกรับ ยิ่งคณาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับหลักการบริหาร หลักการปกครองบ้านเมือง ยิ่งต้องช่วยกันผลักดัน
บ้านเมืองให้ไปในทิศทางที่ถูกที่ควร


วันนี้หลักการบริหารทุกประการ ถูกละเมิดโดยผู้ปกครองประเทศที่ชื่อ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำที่
สมควรทำตนเองเป็นแบบอย่างทั้งในด้านความถูกต้องและจริยธรรม กลับมีพฤติกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงความ
บกพร่องในจริยธรรมการบริหาร ไม่สามารถใช้เป็นแบบอย่างของการยกตัวอย่างเพื่อปลูกฝังให้นักศึกษา
เกิดภาพลักษณ์ในทางดีงาม เพื่อสร้างผู้นำสังคมไทยรุ่นใหม่ในอนาคตอีกต่อไป


1. การนำชื่อตนเอง

ไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในดินแดนที่คนทั้งโลกรู้จักดีว่าเป็นถิ่นของการฟอกเงินการ
ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ทำธุรกิจปิดบังพราง สร้างเงื่อนไขยอกย้อนจนสามารถหลีก หลบ เลี่ยง ไม่ต้อง
เสียภาษีอย่างถูกกฎหมาย หากเป็นนักธุรกิจทั่วไป ยังถูกประณามว่าไม่รักชาติ แต่นี่เป็นนายกรัฐมนตรีของ
ประเทศ จะให้เรียกว่าอย่างไร


2. การขายธุรกิจชิน แก่นักลงทุนต่างประเทศ ที่มีมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท แม้ว่าจะกล่าวอ้างว่า
เพื่อต้องการทำงานการเมืองโดยปราศจากความกังวลทางธุรกิจ สะท้อนว่าตลอด 4 ปีกว่าที่ท่านดำรง
ตำแหน่งทางการเมือง ท่านมิได้ปลอดจากธุรกิจอย่างแท้จริง เป็นเพียงการปลอดแต่ในนามเท่านั้น การ
ขายธุรกิจที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เช่น โทรคมนาคม ให้แก่ต่างชาติ โดยกล่าวอ้างว่าไม่มี
แหล่งเงินทุนใดใหญ่พอจะรับซื้อ แสดงถึงการนำผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง มองเห็นความร่ำรวยของ
วงศ์ตระกูลมากกว่าความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ


3. ความร่ำรวยที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจในสมัยที่ท่านเป็นผู้บริหารประเทศ ทำให้ให้เพิ่มมูลค่า
ท! รัพย์สิน ถึงหลักแสนล้าน มาจากความได้เปรียบในการบริหาร

การใช้ราชการและการออกกฎกติกาเพื่อ
เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจครอบครัว ความร่ำรวยดังกล่าวไม่ได้มาจากการแข่งขันกับธุรกิจอื่นอย่างเสมอภาค
และผลจากการประกอบที่เพิ่มความร่ำรวย กลับอาศัยช่องว่างช่องโหว่ทางกฎหมาย โดยการแนะนำจาก
เนติบริกร ไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว ในขณะที่ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ ข้าราชการที่รับเงินเดือนชน
เดือน ต้องชำระภาษีตามระบบ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายในเชิงเหตุผล ความเป็นธรรมในสังคมได้


4. การแทรกแซงองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ ปปช. สตง. คณะกรรมการการเลือกตั้ง วุฒิสภา
กทช.กสช. ซี่งรัฐธรรมนูญได้ออกแบบเพื่อให้เกิดการถ่วงดุลทางการเมือง แต่ทุกองค์กรกลับกลายเป็น
องค์กร
ง่อยเปลี้ยทางการเมือง ไม่สามารถทำหน้าที่ในการถ่วงดุล หรือกำกับติดตามอย่างได้ผล เกิดขึ้นอย่าง
รุนแรงและยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในยุคสมัยที่รัฐบาลไทยรักไทยครองอำนาจ ทั้งนี้ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
มาจากความพยายามที่ต้องการ "กินรวบ" เพื่อการปกครองประเทศแบบศิโรราบของท่าน


5. การใช้จ่ายเงินงบประมาณของประเทศ ถูก! ใช้จ่ายอย่างไร้หลักการ อย่างฟุ่มเฟือย

แจกจ่ายไปในชน
บทอย่างไร้วินัยทางการเงิน เพียงเพื่อหวังผลคะแนนนิยมทางการเมือง สร้างค่านิยมการรอคอยความ
ช่วยเหลือ และรอการปลดหนี้ มากกว่าการพึ่งพาตนเอง โครงการแล้วโครงการเล่าที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้น
นำไปสู่ภาระหนี้ในอนาคต นอกจากนี้การใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ เช่น เงินจากกองสลาก หวยบนดิน
ถูกใช้จ่ายอย่างง่ายดายตามบัญชาและบงการของนักการเมือง ไม่สะท้อนถึงความสามารถในการวางแผน
การจัดการที่เป็นระบบ


6. การทุจริต คอรัปชั่น ที่กระจายขยายวง นำไปสู่ต้นทุนที่ไม่ควรมีของประเทศอย่างมากมาย การให้
ประโยชน์ทางธุรกิจเพื่อครอบครัวพวกพ้อง ได้ถูกเปิดเผยขึ้นตลอดเวลาเรื่องแล้วเรื่องเล่า โดยขาด
ความจริงจังในการแก้ไขจากผู้นำประเทศ หนำซ้ำบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวได้รับการสัมปทาน หรือสิทธิ
ประโยชน์อย่างง่ายดายโดยปราศจากการแข่งขันที่เป็นธรรม จนเป็นที่เกรงว่าหากรัฐบาลยังอยู่ต่อไปอีก
เพียงแค่ครบสมัย ไม่ต้องรอถึง 12 ปี 16 ปี อย่างที่บางคนใฝ่ฝัน ประเทศไทยจะเหลืออะไรบ้าง บน
ความร่ำรวยของคนไม่กี่ตระกูล


7. การครอบง! ำสื่อ

เป็นผู้จัดการเบ็ดเสร็จของสื่อของรัฐและเอกชนเกือบทุกชนิด เช่น ช่อง 11 ช่อง
9ที่เป็นของรัฐอยู่แล้ว ช่อง 3 เป็นตระกูลที่ร่วมในรัฐบาล การซื้อและครอบงำ ITV การใช้รายการใน
ช่อง 5 และช่อง 9 ในการวิเคราะห์ข่าวกล่าวร้ายผู้มีความเห็นแตกต่างจากรัฐบาล การปิดและเบียด
รายการข่าวที่เป็นกลางในคลื่นวิทยุหลายสถานี การสั่งปิดเวปไซต์ และสถานีวิทยุโทรทัศน์ที่วิพากย์การทำ
งานของรัฐ จัดได้ว่าไม่มียุคสมัยใดที่สื่อถูกครอบงำและคุกคามเท่าสมัยนี้


คนที่จะทำการบริหาร การปกครองบ้านเมือง นอกจากต้องมีความรู้ ความสามารถ ยังต้องสอบผ่านทาง
จริยธรรม ซึ่ง ณ วันนี้ พิสูจน์แล้วว่า คุณธรรม จริยธรรม เป็นสิ่งสำคัญเหนือ ความรู้ความสามารถ วันที่
ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า ท่านนายกไม่ผิดกรณีซุกหุ้น ตุลาการหลายท่านอาจคิดว่า ควรให้โอกาสแก่คนที่มี
ความสามารถมากู้วิกฤตบ้านเมืองแม้ว่าเขาจะมีข้อบกพร่องทางจริยธรรมเพียงเล็กน้อย ซึ่ง ณ วันนี้พิสูจน์
ว่า การให้คนที่บกพร่องทางจริยธรรมมาบริหารบ้านเมือง ไม่มีทางที่การดำรงตำแหน่งหน้าที่จะเป็นการ
พัฒนาให้เกิดก! ารเติมเต็มในจริยธรรมที่ขาดหาย

มีแต่จะใช้โอกาสในฐานะผู้บริหาร ฉกฉวยผลประโยชน์
ให้แก่ตนเองพวกพ้องโดยไม่คำนึงถึงจริยธรรมอย่างไร้ยางอายมากขึ้นทุกที


เราในฐานะคณาจารย์ผู้สอนหนังสือทางรัฐศาสตร์ เมื่อสอนลูกศิษย์ลูกหาเกี่ยวกับการบริหารการปกครอง
บ้านเมือง หากลูกศิษย์ถามหาตัวอย่างของผู้นำที่มีจริยธรรม คงตอบไม่ได้ว่าผู้นำของประเทศจะเป็นแบบ
อย่างที่ดีได้อย่างไร และอารมณ์ความรู้สึกของคนทั้งประเทศขณะนี้ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันที่จะทวงถาม
จริยธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง


เมื่อคณาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาเป็นแนวหน้าในการแสดงออกซึ่งจุดยืน
เสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง เพราะขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ เรา
คณาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งอยู่อีกฟากของมุมเมือง มองปรากฏการณ์ดังกล่าว
ด้วยความชื่นชมในความอาจหาญ หลายชื่อที่ร่วมลงนาม เป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศและ
ไม่เคยฝักใฝ่ทางการเมือง หลายชื่อเป็นคนที่เคยช่วยงานของรัฐบาลด้วยซ้ำ ซึ่งการตัดสินใจร่วมลงนาม
อาจส่งผลกระทบต่อการงา! นวิชาชีพ หรืออาจถูกหมายหัว "เช็คบิล" จากผู้มีอำนาจหรือ ลิ่วล้อ ขุนพลอย
พยักต่างๆ

แต่ท่านกล้าที่จะลงนาม กล้าที่จะประกาศตัว ธรรมศาสตร์ อาจจะเปิดตัวบ่อย จนบางคนหา
เป็นว่า "ขาประจำ" แต่เมื่อจุฬาเปิดประเด็น จึงส่งผลสะเทือนทางการเมืองค่อนข้างมาก เหมือนกฎ
ทางฟิสิกส์ แรงกระทบย่อมเท่ากับแรงสะท้อน เมื่อมีผลสะเทือนมาก ก็ต้องมีการตอบโต้อย่างรุนแรง จาก
ศิษย์เก่าที่กำลังเติบโตได้ดีในระบบราชการ และจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ต้องระมัดระวังในความเป็น
สถาบันการศึกษาที่สูงส่ง ยิ่งเราได้ยินว่าคณาจารย์ในคณะที่มีความเห็นต่างจะร่วมกัน "เช็คบิล" คณบดี
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า เสรีภาพ ความเป็นอิสระ และความกล้าหาญทางวิชาการ
กำลังถูกท้าทายอย่างยิ่ง


จากอีกฟากของมุมเมือง ขอส่งกำลังใจมาให้คณาจารย์ที่หาญกล้า เป็นแบบอย่างทางจริยธรรมของลูกศิษย์
ชื่นชมในความตรงไปตรงมา โดยไม่คิดถึงอามิสสินจ้างหรือประโยชน์ ขอมอบดอกไม้ สำหรับความเป็น
อิสระทางความคิดในฐานะนักวิชาการร่วมวิชาชีพ และเป็นกำลังใจเพื่อการยืนหยัดต่อสู้สิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อ
ไป


รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากรประธานที่ประชุมคณาจารย์ คณะรัฐศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

7 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 10:14:17
Mei

อังคาร ก.พ. 21, 2006 4:32 pm

เพลงสดุดี 5:6 พระองค์ทรงทำลายผู้ที่มุสา พระเจ้าทรงสะอิดสะเอียนต่อผู้กระหายเลือดและคนหลอกลวง

เพลงสดุดี 59:12 เพราะบาปปากของเขาและเพราะถ้อยคำริมฝีปากของเขาขอให้เขาติดกับโดยความเย่อหยิ่งของเขาเพราะการแช่งสาปและการมุสาซึ่งเขาเปล่งออกมานั้น


สุภาษิต 12:19 ริมฝีปากที่พูดจริงทนอยู่ได้เป็นนิตย์ แต่ลิ้นที่พูดมุสาอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว

สุภาษิต 12:22 ริมฝีปากที่พูดมุสาเป็นที่น่าเกลียดน่าชังแก่พระเจ้า แต่บรรดาผู้ที่ประพฤติความซื่อสัตย์เป็นที่ปีติยินดีแด่พระองค์
Mei

อังคาร ก.พ. 21, 2006 4:33 pm

มัทธิว 6:24 ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่งและจะรักนายอีกข้างหนึ่งหรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่งท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้


1 ทิโมธี 6:10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวลและเพราะความโลภนี่แหละจึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อและตรอมตรมด้วยความทุกข์
Buddy.

พุธ ก.พ. 22, 2006 3:25 am

P'Mei ka,

K. abc might be Dr.Suwan's son na ka.... Who knows? :) And that's why he has to defend his father... :) We don't know everything.. so we can't judge anyone... :)
Mei

พุธ ก.พ. 22, 2006 10:06 am

Buddy. เขียน: P'Mei ka,

K. abc might be Dr.Suwan's son na ka.... Who knows? :) And that's why he has to defend his father... :) We don't know everything.. so we can't judge anyone... :)

:D
Mei

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 1:48 pm

ทักษิณในสายตาต่างชาติ

โดย เปลวสีเงิน

ใครไม่ร่วม "ไล่ทักษิณ" กลายเป็นคน "ตกกระแส" ไปเสียแล้ว หันไปทางไหน
ปะหน้าใครก็ถามด้วยคำถามเดียวกันว่า "26 นี้ไปเปล่า?" ผมก็ได้แต่ยิ้ม
เพราะใครไม่รู้บอกผมว่า "ยิ้ม" คือความเป็นกลาง ผมก็เลยยิ้มไฉไล แทนการยืน
"ถ่างขาเลือกข้าง"

คุณชายอุ๋ย "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ท่านบอกหลายครั้งแล้วว่า
การเปลี่ยนแปลงใดๆ ทางการเมืองขณะนี้ ไม่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของไทย

ครับ..ผมก็อยากบอกต่อว่า ที่คุณชายอุ๋ยพูดนี่ "ใช่.. 100%"
ระบบเศรษฐกิจทุกวันนี้ มันตั้งอยู่บนฐานรากของมันแล้ว รัฐบาล และตัวนายกฯ
เป็นแค่ผู้กำหนดนโยบายผ่าน "ฐานรากที่มั่นคง" นี้ไปใช้เท่านั้น ส่วนเศรษฐกิจประกอบจะดี
หรือจะเลว ในแต่ละช่วง

ตรงนั้น-แค่นั้นแหละที่ ขึ้นอยู่กับฝีมือของแต่ละรัฐบาล
ที่คิดกันว่า ถ้าทักษิณไปแล้วเศรษฐกิจไทยจะทรุดตามนั้น ถ้าคนที่คิดเป็นฝ่ายรัฐบาลก็ต้องบอกว่า ยกหางตัวเองจน..
เว่อร์มากไปแล้ว!

แต่ถ้าชาวบ้านทั่วๆ ไปคิดอย่างนั้นก็ต้องบอกว่า กรุงรัตนโกสินทร์วัฒนาสถาพรเรื่อยมา
โดยไม่ต้องมีนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ตั้ง 223-224 ปีแล้ว

แต่เพราะให้มีนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณอยู่ต่อไปนี่แหละ กรุงรัตนโกสินทร์..จะสิ้นเอาง่ายๆ
เพราะสมบัติของชาติมีเท่าไหร่..ขายเกลี้ยง!
ขนาดคลื่นอยู่ในอากาศยังเอาไปขายได้ ก็ต้องเชื่อเค้าละว่าเจ๋ง
แล้วต่อไปจะเชื่อใจได้อย่างไรว่า จะไม่แยกผืนดินประเทศไทยเป็นส่วน "บนดิน-ใต้ดิน"

แล้วฝานขายเป็นชั้นๆ ให้ต่างชาติ?
ประปา-ไฟฟ้า-ท่าเรือ-ออมสิน รวมทั้งองค์การเภสัชฯ ที่ผลิตยาถูกขายคนไทย
นึกกันหรือว่าจะรอด ปล่อยให้เป็นนายกฯ ต่ออีกพักเดียว

"หัวใจของชาติ" ฝรั่งสิงคโปร์ผูกขาดหมด!
นี่..แค่ "ครองเมือง" 4 ปีกว่ายังขนาดนี้ ถ้าถึง 8 ปี
คนไทยก็อาจมีสภาพไม่ต่างจากชาวอเมริกาใต้อย่างที่ เอกวาดอร์ โคลัมเบีย เวเนซุเอลา
กระทั่งไนจีเรีย แถบแอฟริกา

เหล่านี้ล้วนเป็นประเทศที่สมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ ทั้งป่าไม้
ทั้งพันธุ์พืชในเขตป่าฝนร้อนชื้น ทั้งน้ำมัน และทั้งก๊าซ

เหล่านี้เป็นสมบัติส่วนรวมของชาติแท้ๆ แต่ผู้นำกลับฮุบไปเป็นสัมปทานส่วนตัว
แล้วสมคบขายต่างชาติโดยเฉพาะกับสหรัฐ ผูกขาดความรวยจากการขายสมบัติชาติอยู่ฝ่ายเดียว

ส่วนชาวบ้านมีแต่ความยากจน อดอยาก หิวโหย และถูกไล่ล่าเหมือนหมู-เหมือนหมา
เพราะมันมาเอาที่ดิน!

ถามกันดีนักว่า "ไม่เอาทักษิณ แล้วจะเอาใคร?"
ก็อยากตอบว่า "ใครก็ได้ที่ไม่ขายชาติ และสะอาดด้วยจริยธรรม-คุณธรรมนำบริหาร"
เพราะต้องไม่ลืมว่า ไทยเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก และเวลานี้โลกกำลังเข้าสู่วงรอบแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ยุคไล่ล่าจักรวรรดินิยมกำลังกลับคืนมาอีกครั้ง แต่เป็นการไล่ล่าเพื่อยึดครองพลังงานจากประเทศมหาอำนาจ
ถ้าเราเปิดตากว้างมองโลกให้ครบใบก็จะเห็นว่า

เวลานี้ไทยเราก็มีสภาพไม่ต่างจากหลายๆ ประเทศในละติน-ในอเมริกาใต้
ผู้นำขายชาติ
ประชาชนกำลังลุกฮือ-ยื้อยุดฉุดสมบัติชาติเอาไว้!
เอกวาดอร์ คนขายชาติต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือที่ไนจีเรีย ก็ไม่ใช่โจร
ไม่ใช่กบฏที่ไหนก่อการ แต่เป็นชาวบ้านพื้นเมืองที่ทนให้ผู้นำสมคบต่างชาติ "สูบน้ำมัน"
ไปร่ำรวยเฉพาะตัวกันไม่ไหว

จึงเผา-จับเอาตัวพวกขุดน้ำมันต่างชาติไป คนงานไทยพลอยซวย!
สังคมไทยก็นับได้ว่า กำลังขยับตัวเพื่อ "ปรับตัว" เข้าสู่สถานการณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงสังคมโลกใหม่ ฉะนั้น
ผู้นำคนไหนที่ส่อท่าทีจะนำไทยไปสู่ความเป็นเมืองทาสในยุคจักรวรรดินิยมใหม่ เอะอะก็จะขายสมบัติชาติ
ต้องขับไล่มันออกไป!

ก็อย่างที่ "คุณชายอุ๋ย" บอกนั่นแหละครับว่า "ความแข็งแกร่ง-มั่นคงของเศรษฐกิจไทย
อยู่นอกเหนือความเปลี่ยนแปลงใดๆ ทางการเมืองแล้ว"

อย่าเข้าใจว่าเพราะ "คุณชายอุ๋ย" พูดแล้วผมจึงเชื่อตามที่สังคมเขาให้เครดิตคุณชาย
แต่ผมเชื่อเพราะผมแอบทำสถิติบางอย่างไว้ในใจมาหลายเดือนแล้ว

ไม่ต้องดูอะไรมาก ดูที่ตลาดหุ้นก็พอ!
ไทยขาย..ฝรั่งซื้อ
กองทุนในประเทศขาย..ฝรั่งซื้อ
ไทยขาย..กองทุนขาย..ฝรั่งซื้อ
ไทย ขายยยยยยยยย ฝรั่ง ซื้ออออออออออ!!
เอาก๊ะเผือก-กะมันซี?
แม้ถึงวันนี้ กองทุนต่างชาติมันยังคงไล่ซื้อ-ไล่ช้อนเก็บเข้าพอร์ตโดยไม่วอกแวกหัวเกรียน-มหาจำลอง
ถามว่า...ทำไม?
ตอบว่า...เพราะฐานทางเศรษฐกิจไทยเราดีน่ะซี!
แล้วมีเหตุผลอื่นอีกมั้ย?
มี...
เพราะฝรั่ง-ต่างชาติ มันมองแบบจับประเทศไทยขึ้นขาหยั่งส่องกล้องวิจัยจนแน่ใจและมั่นใจเป็นข้อสรุปลงตัวว่า

ความแข็งแกร่ง ความมั่นคงของประเทศไทย คือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ครับ..ต่างชาติไม่ได้ให้ความเชื่อมั่นประเทศไทยผ่านนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ นาย ก. นาย ข. นาย ค. หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรอก
อย่าสำคัญตัวผิด...จะบอกให้รู้!
เพราะอย่างนี้ ฝรั่ง-ต่างชาติมันถึงไล่ซื้อ-ไล่ช้อนหุ้นไทยเก็บ ในระยะ 2-3 เดือนนี้
เงินฝรั่งเข้าซื้อหุ้นในตลาดไทยร่วมแสนล้านแล้ว
หุ้น ปตท.ที่วันนี้ราคาหุ้นละ 200 กว่าบาทนั้นน่ะ ผมจะบอกให้กองทุนต่างชาติเขามีตั้งแต่ราคา 33 บาทโน่นแน่ะ

ฝรั่งที่ยังไม่ขายวันนี้ และไม่ตื่นตกใจกับทัพขับไล่ทักษิณ แถมซื้อเข้าเรื่อยๆ นั้น อีกสาเหตุก็เพราะ
มั่นใจ..ทักษิณไปแน่!
แล้วก็รู้นิสัยคนไทยว่า เป็นแค่นักการพนัน ไม่ใช่นักลงทุน ในโลกนี้ใครจะขี้ขลาดตาขาวเท่านักพนันเป็นไม่มี ฉะนั้นเจอภาวะตอนนี้
นักพนันไทยขายตะพึดตะพือ ฝรั่งมันก็นอนอ้าปากรองับไปเรื่อยๆ แล้วคำนวณว่า
อีกสี่ซ้าห้าเดือนข้างหน้า ทักษิณไปแล้ว รัฐบาลใหม่มาแล้ว มีนายกฯ คนใหม่แล้ว ประเทศไทยเดินเต็มสูบตามปกติแล้ว
ด้วยจุดแข็งจากศูนย์รวมศรัทธาไทย "องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" และจากฐานรากทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งด้วยภาคเอกชน
และด้วยแบงก์ชาติที่บริหารมาตรฐานการเงินประเทศมั่นคง
และด้วย "รัฐบาลใหม่" บนความไว้วางใจ "ด้วยพอใจ" ของประชาชน
คิดดูซิ..ฝรั่งที่ซื้อหุ้นถูกๆ เก็บวันนี้
แล้วจะรวยพรุ่งนี้ด้วยตลาดสดใสซาบซ่าในวันนั้นขนาดไหน?
เพราะเหตุผลนี้แหละที่ฝรั่งไม่เต้นด้านเศรษฐกิจด้วยพิษการเมืองเหมือนคนไทย
และด้วยกระแสเงินนอกไหลเข้าในเมืองไทยผ่านตลาดหุ้นยังไม่หยุดนี่แหละ

เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ "คุณชายอุ๋ย" ทุบโต๊ะว่า "ถึงเปลี่ยนรัฐบาลก็ไม่มีนัยสำคัญเป็นด้านลบกับเศรษฐกิจไทย"

แต่ก็นั่นแหละ ถึงอนาคตข้างหน้าของไทยจะสดใสแน่นอน จุดอ่อนอันเป็นจุดทำลายก็มี
เช่น คลั่งไคล้ผู้อื่น ในขณะที่เหยียดหยามตัวเอง นับถือชาติอื่น ในขณะที่ดูแคลนชาติตัวเอง
หลงใหลวัฒนธรรมผู้อื่น ในขณะที่เหยียบย่ำวัฒนธรรมตัวเอง เป็นเมืองพุทธศาสนา
แต่ว่าหนักไปทาง กิน-โกง-กาม-เกียรติ.
Mei

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 1:49 pm

ทักษิโณมิกส์ : ภาคอวสาน ซุกหุ้น และขายชาติ

โดย ยุค ศรีอาริยะ

เรื่องราวของสรรพชีวิตในโลกมีหลายฉาก พลิกผันเปลี่ยนแปลงไปตามกฎแห่งกรรม มีฉากของการก่อเกิด รุ่งเรือง และจุดจบ ทักษิโณมิกส์ ภายใต้การนำของคุณทักษิณก็ไม่แตกต่างออกไป ชีวิตที่เราเรียกว่า
Mei

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 1:51 pm

ชีวิตของ ทักษิโณมิกส์ ก็ไม่แตกต่างออกไป

พรรคไทยรักไทยก่อกำเนิดขึ้น และขยายตัวได้อย่างรวดเร็วด้วยนโยบายที่ดีๆจำนวนหนึ่ง เริ่มจาก ๓๐ บาทรักษาทุกโรค การพักชำระหนี้ การทำนโยบายกระตุ้นส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย รวมถึงการส่งเสริมการผลิตสินค้าแบบโอท๊อป (หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์)

นโยบายเหล่านี้ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับ
Mei

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 1:55 pm

จำได้ว่าวันหนึ่งผมเจอเพื่อนที่ไปร่วมชุมนุมที่สวนลุมพินี ถามว่า
"ทำไมคุณยุคมาเข้าร่วมกับคุณสนธิ"

ผมตอบว่า
"เหตุผลที่ผมมาเข้าร่วม ไม่ใช่เรื่องสงสารคุณสนธิ และไม่ใช่เรื่องคอรัปชั่น หรือผลประโยชน์ทับซ้อน ผมมาเข้าร่วมเพราะผมเป็นชาวพุทธ"

เล่นเอาเพื่อนๆ มองหน้าผมด้วยความสงสัย ผมตอบว่า
"สิ่งที่ชาวพุทธรับไม่ได้คือ บาปกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่อง การ "ฆ่า" คน
Mei

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 1:57 pm

เราชาวพุทธ ต้องแนวแน่ แก้ไขในสิ่งผิด

ผมบอกเพื่อนๆว่า
Mei

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 1:59 pm

แต่การขายหุ้นครั้งนี้ มีเรื่องที่สำคัญกว่าข้อหา"ซุกหุ้น" นั่นคือ ข้อหา"ขายชาติ"

ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร เขียนบทความเรื่อง
Mei

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 2:02 pm

บทสรุป

ถ้าเราศึกษาเรื่อง
Mei

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 2:08 pm

แท้จริงแล้ว สิ่งที่จะทำการ "พิพากษา" หรือ "ตัดสิน" ผู้หนึ่งผู้ใดนั้น ก็เนื่องมาจาก "การกระทำ" ของคนผู้นั้นเอง เช่นเดียวกับผู้พิพากษาได้ไต่สวนและพิจารณา "การกระทำหรือพฤติกรรม" ของจำเลย และเห็นว่าจำเลยผู้นั้นสมควรได้รับผลจาก "การกระทำหรือพฤติกรรม" นั้น ๆ อย่างไร

จึงควรเข้าใจคำว่า "พิพากษา" หรือ "ตัดสิน" ให้ดี ไม่ใช่ใช้เพียงเพื่อเป็น "ข้ออ้าง" ในการแก้ตัว หรือห้ามให้บุคคลอื่นวิพากย์วิจารณ์ นี่เป็นกรณีตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ส่วนความหมายในพระคัมภีร์ มีความละเอียดลึกซึ้งกว่านี้เพราะยังเกี่ยวกับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณด้วย

บทวิจารณ์จากคอลัมนิสต์ของทั้งสองท่านที่ยกมาข้างต้น ได้ชี้ให้เห็นถึง "กฎแห่งกรรม" ตามความเชื่อของพระพุทธศาสนา ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่าเป็นกฎที่พระเป็นเจ้าทรงวางไว้ตั้งแต่ก่อนหรือเริ่มสร้างโลกมาแล้ว

ก็ไม่ต่างอะไรจากความดื้อดึงของชาวอิสราเอลในพระคัมภีร์เดิมที่พระเป็นเจ้าทรงต้องตีสอนพวกเขาอยู่เสมอ

คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ได้กล่าวว่า การที่ได้กลับมาทำงานในตำแหน่งของผู้ว่าสตง.อีกครั้งหนึ่งนั้นเป็นเพราะฤทธิ์อำนาจของพระเบื้องบนและในหลวง

อาแมน
แก้ไขล่าสุดโดย mei เมื่อ พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 2:39 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 3:23 pm

Thanks Nong Mei for more informations. ;D
Brasil

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 6:52 pm

50อจ.นิติฯ14มหาวิทยาลัย จี้8ศาลรธน.ออก

"แม้ว-สุวรรณ"ปิดปาก ไม่แจงที่ตั้ง2บ.อื้อฉาว ก.ล.ต.แถลงวันนี้ปมลูก



ก.ล.ต.ลุยตรวจสอบ 2 กองทุนในประเทศมาเลเซียที่รับโอนหุ้นเอสซีฯ กว่า 61 ล้านหุ้น ว่าเกี่ยวพันกับครอบครัวชินวัตรหรือไม่ หลังพบ"วินมาร์ค"ตั้งอยู่ที่เดียวกันกับ"แอมเพิล ริชฯ"



กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ภริยา โอนหุ้นบริษัททั้ง 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2546 และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน ในวันที่ 23 สิงหาคม 2546) บริษัท เอสซี ออฟฟิซ ปาร์ค, บริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ บริษัท พีที คอร์ปอเรชั่น และบริษัท เอสซีเค เอสเตท มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท ให้แก่บริษัท วินมาร์ค ลิมิเต็ด (Win Mark Limited) บนเกาะบริติช เวอร์จิ้น และต่อมาเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547 บริษัทวินมาร์คฯได้โอนหุ้นบริษัท 4 แห่งกลับคืนให้แก่ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาวคนรองของ พ.ต.ท.ทักษิณ

ขณะโอนหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 61,165,144 ล้านหุ้น ให้แก่แวลู แอสเสทส์ ฟันด์ แอลทีดี ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2546 ก่อนที่กองทุนแวลู แอสเสท ฟัดจ์ โอนหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่กองทุนโอเวอร์ซี โกล์ฟ ฟันด์ อินซ์ และกองทุน ออฟชอร์ ไดนามิค ฟันด์ อินซ์ ในวันที่ 1 กันยายน 2546 ก่อนจะยื่นขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 5 กันยายน 2546 นั้น

**ก.ล.ต.สอบ2กองทุนมาเลย์โอนหุ้น"เอสซี"

ผู้สื่อข่าว "มติชน" รายงานเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ถึงความคืบหน้าในกรณีดังกล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำลังตรวจสอบว่ากองทุน โอเวอร์ซี โกล์ฟ ฟันด์ อินซ์ และกองทุน ออฟชอร์ ไดนามิค ฟันด์ อินซ์ในมาเลเซียที่โอนหุ้นมาจากบริษัทวินมาร์คฯเป็นกองทุนประเภทไหน ถ้าเป็นกองทุนส่วนบุคคล ใครเป็นผู้จัดตั้งขึ้น และเกี่ยวพันกับครอบครัวชินวัตรซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือไม่ เพราะถ้าใช่อาจมีการกระทำที่เข้าข่ายผิดของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 (มาตรา 65, 69 และ 278) ในการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงในการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อ ก.ล.ต. ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของราคาขายหลักทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งผู้นั้นได้เสนอขาย

**สงสัย"แวลูฯ"สละสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน

แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้สำนักงาน ก.ล.ต.เข้าตรวจสอบกรณีดังกล่าวเนื่องจากมีหลักฐานที่สื่อมวลชนนำเสนอว่าบริษัทวินมาร์คฯซึ่งโอนหุ้นบริษัทแอสซี แอสเสทฯให้แก่ทั้งสองกองทุน และบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสต์เมนท์ส (Ample Rich Investments Ltd.) ซึ่งเป็นของครอบครัวชินวัตร มีที่ตั้งเดียวกันบนเกาะบริติช เวอร์จิ้น P.O.Box 3151, Road Town, Tortola, British Virgin Island นอกจากนั้นกองทุนแวลู แอสเสท ฟันด์ ซึ่งถือหุ้นเอสซี แอสเสทฯอยู่ถึงกว่า 61 ล้านหุ้น หรือประมาณ 33% ของทุนจดทะเบียน ยังสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุน 23.43 ล้านหุ้น ให้แก่ น.ส.พิณทองทา และ น.ส.แพทองธาร บุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนที่จะโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่ 2 กองทุนซึ่งมีสถานที่ตั้งเดียวกับกองทุนแวลู แอสเสท ฟันด์ ทำให้เสียประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นที่จัดจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไปถึงราคาหุ้นละ 5 บาท หรือกว่า 117 ล้านบาท

**ชี้ถ้าเกี่ยวตระกูลชินวัตรเข้าข่ายม.258

แหล่งข่าวกล่าวว่า ประเด็นที่ ก.ล.ต.ต้องตรวจสอบคือ ถ้ากองทุนทั้งสองที่รับโอนหุ้นบริษัทเอสซี แอสเสทฯมาจากบริษัทวินมาร์คฯมีความเกี่ยวพันกับครอบครัวชินวัตร หรือครอบครัวชินวัตรมีอำนาจในการจัดการควบคุม กองทุนทั้งสองก็จะเป็นบุคคลคนเดียวกันหรือกลุ่มเดียวกันตามมาตรา 258 ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ซึ่งในการยื่นไฟลิ่งเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้องเปิดเผยข้อมูลในเรื่องนี้ด้วย ถ้ารายชื่อผู้ถือหุ้นไม่แสดงถึงบุคคลผู้ถือหุ้นที่แท้จริง เช่น แสดงไว้เป็นโฮลดิ้ง คัมปะนี หรือบัญชีผู้ถือหุ้นแทน (นอมินี แอคเคานต์) ให้ระบุชื่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหลักที่เป็นผู้ถือหุ้นแท้จริง รวมทั้งธุรกิจหลักของบุคคลดังกล่าวด้วย

แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนั้นในด้านข้อมูลด้านความเสี่ยงของการบริหารต้องระบุอย่างชัดเจนด้วยว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถือหุ้นอยู่ในบริษัทในสัดส่วนเท่าใด เช่น มากกว่า 50% หรือ 75% เพราะจะเป็นอำนาจในการควบคุมบริษัทและอิทธิพลต่อการตัดสินใจบริษัทต่างๆ กันโดยเฉพาะถ้าถือหุ้น 75% ขึ้นไปจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทซึ่งในบริษัทเอสซี แอสเสทฯก็คือครอบครัวชินวัตรซึ่งระบุว่า ถือหุ้นรวมกัน 60.8% หลังจากการจำหน่ายหุ้นให้ประชาชน กล่าวคือ น.ส.พิณทองทาและ น.ส.แพทองธาร ถือรายละ 28.97% คุณหญิงพจมานถืออยู่ 2.88% ไม่ได้มีการรวมหุ้นที่กองทุนทั้งสองถือรวมกัน 19.05% เข้าไปด้วย (ดูรายละเอียดในตาราง)

**หากผิดจริงมีโทษคุก5ปี-ปรับ1.9พันล.

"แต่ถ้า ก.ล.ต.ตรวจสอบพบว่ากองทุนทั้งสองมีความเกี่ยวพันกับครอบครัวชินวัตรหรืออยู่ในอำนาจการควบคุมของครอบครัวชินวัตร จะทำให้กลุ่มครอบครัวชินวัตรถือหุ้นอยู่ในบริษัทเอสซี แอสเสทฯถึง 79.87% เกินกว่า 75% ของทุนจดทะเบียนซึ่งเป็นสาระสำคัญที่ต้องเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนทราบ แต่การไม่ยอมเปิดเผยหรือปกปิด อาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 2 เท่าของหลักทรัพย์ทั้งหมดที่เสนอขายต่อประชาชนซึ่งบริษัทเอสซี แอสเสทฯเสนอขาย 64.6 ล้านหุ้น หุ้นละ 15 บาท เป็นเงิน 969 ล้านบาท ถ้าปรับ 2 เท่าเป็นเงินกว่า 1,900 ล้านบาท" แหล่งข่าวกล่าว

**"ตระกูลดามาพงศ์"ลงนามรับรองไฟลิ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการยื่นไฟลิ่งของบริษัทเอสซี แอสเสทฯนั้น กรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทที่ลงนามในเอกสารประกอบด้วย นางบุษบา ดามาพงศ์ ภรรยานายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน, นายสุรเธียร จักรธรานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ (ในขณะนั้น) และนางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ โดยมีข้อความรับรองว่า

"ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบข้อมูลในหนังสือชี้ชวนฉบับนี้แล้ว ขอรับรองว่าข้อมูลดังกล่าวถูกต้องครบถ้วนไม่เป็นเท็จ ไม่ทำให้ผู้อื่นสำคัญผิด หรือขาดข้อมูลที่ควรต้องแจ้งในสาระสำคัญอันอาจทำให้บุคคลผู้เข้าซื้อหลักทรัพย์เสียหาย และข้าพเจ้าทราบว่า หากข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าให้คำรับรองไว้ ผู้จองซื้อหลักทรัพย์อาจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากข้าพเจ้าได้ตามมาตรา 82 หรือมาตรา 83 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และข้าพเจ้าอาจได้รับโทษตามมาตรา 278 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกันด้วย"

**กลต.นัดแถลงประเด็น"แอมเพิลริช1-2"

รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 11.30 น. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. จะเปิดแถลงข่าวเพื่อสรุปประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ทั้งในส่วนเกี่ยวกับมาตรา 247 เกี่ยวกับการทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ และผู้ถือหุ้นแอมเพิล ริชฯว่ามี 1 หรือ 2 ราย โดยเปลี่ยนสถานที่แถลงข่าวจากเดิมที่ ก.ล.ต. เป็นการแถลงที่สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งอยู่เยื้องกับสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อรองรับบุคคลที่จะเข้าร่วมฟังการแถลงข่าวจำนวนมาก

**"แม้ว-สุวรรณ"เลี่ยงตอบปมที่อยู่"วินมาร์ค"

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าทำไมบริษัทวินมาร์คจึงมีที่ตั้งเดียวกับบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ พ.ต.ท.ทักษิณตอบเพียงว่า "ไม่ทราบ มาถามอะไรผมเล่า" ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า แต่ที่ผ่านมานายกฯเคยทำธุรกรรมเรื่องการซื้อขายหุ้นกับบริษัทวินมาร์คมาก่อน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่สนใจตอบคำถามก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไป

เที่ยงวันเดียวกัน นายสุวรรณ วลัยเสถียร โฆษกประจำตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ เดินทางไปยังทำเนียบ แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้มาพบ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มาประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายแห่งชาติเท่านั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า จะชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการขายหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพิ่มเติมหรือไม่ นายสุวรรณกล่าวว่า "ไม่มีอะไร ผมได้รับมอบหมายให้เป็นโฆษกเป็นช่วงๆ ไป" เมื่อถามย้ำว่า เหตุใดบริษัทวินมาร์คจึงมีเลขที่ตั้งบนเกาะบริติช เวอร์จิ้นเหมือนบริษัทแอมเพิล ริชฯ โฆษกตระกูลชินฯ กล่าวว่า "ไม่รู้สิ" แล้วรีบเดินขึ้นตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ทันที และได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการ ครม. บนตึก สลค. จากนั้นนายสุวรรณหลบออกจากตึกเพื่อเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว

**โบรกฯยันไม่มีสัญญาณล้มดีล"ชิน"

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยถึงกระแสข่าวยกเลิกการเจรจาซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของกองทุนเทมาเส็กว่า ในแบบรายงานการทำคำเสนอซื้อ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) หุ้นชิน ที่ บล.ไทยพาณิชย์ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัท แอสเพน จำกัด ที่ยื่นต่อ ก.ล.ต.ระบุการยกเลิกการซื้อขายหุ้นไว้ว่า กรณีที่มีเหตุการณ์และหรือกระทำการใดๆ ที่เกิดขึ้น หลังจาก ก.ล.ต.รับคำเสนอซื้อและยังไม่พ้นระยะเวลารับซื้อ ที่อาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อฐานะหรือทรัพย์สินของกิจการ โดยเหตุการณ์หรือการกระทำดังกล่าวไม่ได้เกิดจากผู้ทำคำเสนอซื้อหรือที่ผู้ทำคำเสนอซื้อต้องรับผิดชอบ เป็นเหตุให้สามารถยกเลิกการซื้อขายหุ้นได้

"เท่าที่ทราบขณะนี้ยังยืนยันที่จะซื้ออยู่ หากมีการล้มดีล เพราะปัญหาเรื่องนอมินี ก็ต้องย้อนไปตรวจสอบอีกเป็น 10 ปี เพราะมีการซื้อขายหุ้นในลักษณะที่มีนอมินีมาเกี่ยวข้องจำนวนมาก หากมีการล้มดีลจริง คนที่เสียผลประโยชน์คือผู้ถือหุ้นรายย่อย เพราะรายใหญ่อย่างตระกูลชินวัตรได้เงินเข้ากระเป๋าไปแล้ว" แหล่งข่าวกล่าว

**50อจ.นิติฯให้8ตุลาการพิจารณาตัวเอง

วันเดียวกัน คณาจารย์นิติศาสตร์ 50 คนจาก 14 มหาวิทยาลัย ออกแถลงการณ์ขอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 8 ท่านพิจารณาตนเอง จากกรณีที่ลงมติไม่รับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 27 คน ที่ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 209

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า มาตรา 96 นี้ไม่ได้เปิดโอกาสให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจะรับหรือไม่รับคำร้อง การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ปรากฏข้อเท็จจริงหลายประการที่ส่อไปในทางที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีการกระทำที่ละเมิดต่อมาตรา 209 ทั้งจากปากคำของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง ("พอเข้าสู่การเมืองก็ถูกโจมตีว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน พอดีมีคนสนใจอยากจะซื้อ ลูกๆ เขาก็บอกว่า พ่อขายไปเถอะ") หรือจากปากคำของนายพานทองแท้ ("การขายหุ้นครั้งนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่") หรือจากข้อมูลกรณีบริษัทแอมเพิล ริชฯ กรณีนี้จึงมีมูลและมีสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องรับไว้พิจารณา ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้

"ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากทั้ง 8 ท่าน ไม่เข้าใจรัฐธรรมนูญ และไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ การวินิจฉัยครั้งนี้จึงไม่ถูกต้อง และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงขอเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากทั้ง 8 ท่าน แสดงความรับผิดชอบด้วยการพิจารณาตนเอง"

**อจ.นิติฯมธ.อัดศาลรธน.เอียงกระเทเร่

ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย (ควป.) จัดอภิปรายหัวข้อ "บทวิเคราะห์เชิงวิชาการต่อภาวะวิกฤตผู้นำ : ปัญหาและทางออก" นายบรรเจิด สิงคเนติ ผช.ศ.ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คดีซุกหุ้น 1 และ 2 ศาลรัฐธรรมนูญเอียงกระเทเร่ ในอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าง 1-2 ตำแหน่ง พรรครัฐบาลทักษิณเข้าไปมีบทบาทในการสรรหา ขณะนั้นมีกรณีที่ฝ่ายค้านยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เวลานั้นมีศาสตราจารย์ผ่านชั้นกรรมการสรรหาด้วยคะแนนสูงสุด แต่พอไปถึงชั้นวุฒิสภาก็หลุดโผ เพราะปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือบริษัทมือถือยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ที่โทรศัพท์มาขอร้องว่าหากผ่านเข้าไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้วให้ช่วยยกมือผ่าน พ.ร.ก.ฉบับนี้ด้วย

**ชูแก้ม.268หวั่นคำวินิจฉัยพาลงเหว

"ศาลรัฐธรรมนูญก็ทำการบิดเบือนซึ่งหน้า ทำเยี่ยงว่าคนไทยกินแกลบ ทำเหมือนประเทศนี้ไม่มีคนรู้กฎหมาย แต่อาชญากรที่ทิ้งร่องรอยไว้ฉันใด การให้ดุลพินิจที่บิดเบือนไม่ตรงไปตรงมาของตุลาการ ย่อมทิ้งร่องรอยไว้ฉันนั้น พฤติกรรมเช่นนี้เท่ากับศาลรัฐธรรมนูญกำลังปฏิเสธความยุติธรรม หลังจากนี้เราต้องทบทวนมาตรา 268 ที่ระบุว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร เพราะถ้าวินิจฉัยไม่สุจริตพาลงห้วย ลงเหว องค์กรอื่นๆ ต้องลงห้วยลงเหวตามไปด้วยหรือไม่" นักนิติศาสตร์ มธ. กล่าว และว่า จากการขายหุ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงมีกระสุนอีก 7.3 หมื่นล้านบาท ยังซื้อองค์กรต่างๆ ได้อีกนาน ถึงยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่เขากลับมาอีก ตนเห็นว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นองค์กรแรกที่ต้องทุบทิ้ง เพราะการคอร์รัปชั่นเลวกว่ากรมการปกครองเป็นพันเท่า ถ้าเลือกตั้งใหม่แต่ กกต.ยังเป็นแบบนี้ประเทศไทยก็เจ๊งรอบ 2

นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.กทม. กล่าวว่า วุฒิสภาซึ่งเป็นผู้สรรหากรรมการองค์กรอิสระยังถูกครอบงำ ไม่มีความเป็นอิสระตั้งแต่ประธานวุฒิสภา ในช่วงแรกๆ ที่ประธานวุฒิสภารับตำแหน่ง เมื่อนายกรัฐมนตรีเข้าไปชี้แจงในสภา ขากลับประธานวุฒิสภาไปเปิดรถให้นายกรัฐมนตรี ภาวะเช่นนี้ควรเกิดขึ้นหรือไม่ เมื่อ ส.ว.ถูกครอบงำ จะให้องค์กรอิสระเป็นอิสระอยู่ได้อย่างไร

**"วีระ"แจ้งดำเนิตคดี"แม้ว-เจ๊แดง"

วันเดียวกัน นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน เข้าพบ พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผู้บังคับการกองบังคับการกองปราบปราม (ผบก.บก.ป.) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.พรรคไทยรักไทย ในความผิดฐานให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ ตามประมวลอาญา มาตรา 167

นายวีระกล่าวว่า กรณีคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อปี 2544 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากมีมติ 8 ต่อ 7 ว่าผู้ถูกร้องไม่มีความผิดและให้ยกคำร้องนั้น ต่อมาปรากฏว่ามีหนังสือพิมพ์เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นเบิกความของนายบัณฑิต ศิริพันธ์ พยานในคดีนี้ว่า มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีเข้ามาวิ่งเต้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางท่านให้ช่วยเหลือเพื่อแลกเปลี่ยนกับหน้าที่การงานของบุตรชายตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านนั้น

"หากเรื่องที่กล่าวหากันในคำเบิกความไม่เป็นความจริงแล้วเหตุใดผู้ที่ถูกกล่าวอ้างถึงคือ พ.ต.ท.ทักษิณและนางเยาวภา รวมทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เกิดความเสียหายอย่างมาก แต่ไม่มีผู้ใดจะออกมาฟ้องร้องนายบัณฑิตหรือหนังสือพิมพ์ที่นำเรื่องนี้ออกมาเผยแพร่ จึงเชื่อว่าคำเบิกความดังกล่าวเป็นความจริง" นายวีระกล่าว

**กมธ.วุฒิฯไล่บี้สัดส่วนหุ้น"แอร์เอเชีย"

ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา มีนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ว.นครราชสีมา เป็นประธาน พิจารณาถึงกรณีบริษัทเอเชียเอวิเอชั่นถือหุ้นในบริษัทไทยแอร์เอเชีย โดยนายดุสิต อุชุพงศ์อมร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และนายนที วิพุธกุล รักษาการผู้อำนวยการกองนิติการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า มาชี้แจง

นายดุสิตกล่าวว่า ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบสถานที่ตั้งบริษัทเอเชีย เอวิเอชั่น แล้วอยู่ระหว่างการดำเนินการ หากตรวจแล้วไม่เจอ มีโทษปรับ 20,000 บาท

ส่วนบริษัทเอเชียเอวิเอชั่นที่สามารถจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและสามารถเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทไทยแอร์เอเซียภายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้น นายนทีชี้แจงว่า การที่จะเข้าไปถือหุ้นบริษัทใดจะต้องมีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก่อน ในกรณีนี้ ไม่ทราบว่าสองบริษัทมีการโอนหุ้นระหว่างกันอย่างไร

จากนั้นกรรมาธิการซักถามถึงกรณีการได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โดยนายธำรง มหัจฉริยวงศ์ รองเลขาธิการบีโอไอ ชี้แจงว่า กลุ่มชินคอร์ปมี 2 กิจการที่ได้รับสิทธิจากบีโอไอ คือ ชินแซทฯ และไทยแอร์เอเชีย มีเงื่อนไขว่าผู้ถือหุ้นไทยต้องมากกว่า 51% เมื่อมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นแล้ว ต้องรายงานให้บีโอไอทราบ ถ้าผิดเงื่อนไข สามารถเพิกถอนได้

**ยูเอ็นแฉ"ลาบวน"แหล่งฟอกเงิน

ผู้สื่อข่าวระบุว่า เกาะลาบวน ซึ่งถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดตั้งบริษัทเพื่อการโอนหุ้นของบริษัท ชินฯนั้น เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของมาเลเซีย เดิมอยู่ในอำนาจการปกครองของรัฐซาบาห์ ต่อมารัฐซาบาห์โอนอำนาจการปกครองให้กับรัฐบาลกลาง ทำให้ ลาบวนกลายเป็นเขตปกครองพิเศษ (เอฟที) ของมาเลเซียไปเมื่อปี 2527 หลังจากนั้นในปี 2533 รัฐบาลมาเลเซียก็ประกาศจัดตั้งเกาะแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางการเงินโพ้นทะเล (อินเตอร์เนชั่นแนล ออฟชอร์ ไฟแนนเชียล เซนเตอร์ (ไอโอเอฟซี) โดยให้สิทธิพิเศษแก่การทำธุรกรรมและมีระบบการรักษาความลับของลูกค้าอย่างเข้มงวด ลอกแบบระบบมาจากเกาะบริติช เวอร์จิ้น

ในปี 2541 รายงานการสำรวจของโครงการต่อต้านการฟอกเงิน ในสังกัดสำนักงานเพื่อการต่อต้านอาชญากรรมและยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า ลาบวนเป็นหนึ่งในแหล่งฟอกเงิน ของนักฉ้อฉลทางการเงิน,ผู้ที่หลบเลี่ยงภาษี และองค์กรอาชญากรรมระหว่างประเทศที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค
Mei

จันทร์ ก.พ. 27, 2006 9:13 am

เอ๋า...คำตอบเมื่อวันศุกร์และเสาร์ที่ผ่านมาหายไปนี่นา ไม่เป็นไร ฝากบทความของท่านอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ไว้ ณ ตรงนี้ค่ะ
Mei

จันทร์ ก.พ. 27, 2006 9:17 am

วัฒนธรรมคนอย่างทักษิณ

นิธิ เอียวศรีวงศ์ มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1332

จนถึงเดี๋ยวนี้ ผมก็ยังไม่ได้ร่วมลงชื่อขับไล่ทักษิณ ไม่เคยร่วมแถลงข่าวกดดันให้นายกฯ ลาออก

และแน่นอนว่าไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมไม่ว่าจะที่สวนลุมฯ ลานพระบรมรูป หรือสนามหลวงเลยสักครั้งเดียว

ไม่ใช่เพราะผมเห็นว่า คุณทักษิณ ชินวัตร ไม่มีความบกพร่องอะไรในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นะครับ

ตรงกันข้ามเลย ผมเห็นว่าคุณทักษิณขาดความชอบธรรมทางการเมืองมานานเต็มทีแล้ว นับตั้งแต่ปล่อยให้มีคนถูกประหารโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมกว่า 2,000 คน ในสงครามปราบยาเสพติด

ตั้งแต่ทำโครงการนานาชนิดกับประชาชนระดับล่าง แล้วไม่ติดตามสนับสนุนให้ลุล่วงเป็นมรรคผลสักโครงการเดียว

ตั้งแต่ผิดคำพูดกับสมัชชาคนจน อันเป็นกรณีที่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าต้องเลือกระหว่างชะตากรรมของคนจน กับของอุตสาหกรที่ไม่มีกึ๋น จะแข่งกับใคร นอกจากเบียดเบียนทรัพยากรของเพื่อนร่วมชาติเพื่อผลิตพลังงานราคาถูกให้ผลาญ คุณทักษิณเลือกเพื่อนของตัวในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมก่อน

ตั้งแต่ประเมินสถานการณ์ภาคใต้ผิด แล้วปล่อยให้มีการอุ้มฆ่าผู้คน ด้วยความคิดตื้นเขินว่า อำนาจดิบสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ง่าย และเร็ว จนทำให้เกิดการสังหารหมู่ที่กรือเซะโดยไม่ขยับลงโทษผู้กระทำผิด แม้เป็นเรื่องที่ปิดลับต่อไปไม่ได้แล้ว ปล่อยให้กระทำทารุณต่อประชาชนถึงกับต้องล้มตายร่วมร้อยในกรณีตากใบ และจนถึงทุกวันนี้คุณทักษิณก็ยังเห็นเรื่องร้ายแรงขนาดนั้นว่าเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคเท่านั้น คือมีรถไม่พอขนคน

ตั้งแต่ดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจหลายอย่างที่ส่อให้เชื่อได้ว่าเอื้อต่อธุรกิจตนเองและพวกพ้อง แม้มาตรการเหล่านั้นหลายเรื่อง สร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสแก่ประชาชนบางกลุ่ม เช่น เกษตรกรผู้ปลูกหอมกระเทียม ไปจนถึงผู้เลี้ยงโคนม ฯลฯ

ตั้งแต่ทำให้องค์กรและกระบวนการตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยเสียขา เอาเครื่องมือของรัฐเช่น ปปง. ซึ่งควรมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการตรวจสอบทรัพย์สมบัติของนักการเมืองฉ้อฉลไปใช้ในทางข่มขู่คุกคามศัตรูทางการเมือง ไม่เว้นแม้แต่หน่วยราชการอื่นๆ เช่นสรรพากรไปจนถึงองค์กรนอกราชการ เช่น ก.ล.ต. ซึ่งสังคมกำลังเขียนเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเฮิ่มอยู่เวลานี้

โอ๊ยพรรณนาไปก็หมดหน้ากระดาษเปล่าครับ

แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ได้เห็นว่าคนที่กำลังล่ารายชื่อถอดถอนคุณทักษิณ คนที่ออกมาแถลงข่าวความไม่ชอบธรรม ในตำแหน่งนายกฯ หรือคนที่เคลื่อนไหวชุมนุมขับไล่ ฯลฯ ทำอะไรนอกกติกาอย่างที่รัฐบาลพยายามสร้างภาพอยู่เวลานี้

กติกาของระบอบประชาธิปไตยต้องมีพื้นที่สำหรับทุกคน ทุกความเห็น ที่จะแสดงออกได้เสมอ

มีแต่กติกาของคุณทักษิณเท่านั้นที่ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับใครเลยนอกจากพรรคพวกและขาเชลียร์

คงไม่ลืม ทนายสมชาย นีละไพจิตร นะครับ นั่นแหละเคลื่อนไหวตาม "กติกา" เปี๊ยบเลย แต่กลับถูกอุ้มหายไป โดยหาคนรับผิดชอบอะไรไม่ได้ แม้แต่นายกรัฐมนตรี (ซึ่งเคยแสดงความอวดรู้ว่าเขาทะเลาะกับเมีย) ก็ไม่อายต่อความล้มเหลวที่จะรักษาพื้นที่ใน "กติกา" ให้ปลอดภัย

คนที่ออกมาเคลื่อนไหวกดดันและขับไล่คุณทักษิณ ยังไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายหลักๆ สักข้อ

ถ้าจะบอกว่าวิถีทางของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจะอยู่หรือไป อยู่ในสภาเท่านั้น ผมก็อยากถามว่าใครสั่งสอนคุณมาอย่างนี้

สภาเป็นหนึ่งในวิถีทางเท่านั้น พื้นที่ข้างนอกไม่ว่าจะเป็นสื่อ (ที่ไม่ถูกครอบงำ) ในไซเบอร์สเปซ, ในข่าวลือ, ในถนน ฯลฯ ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีทางของการควบคุมกำกับรัฐบาลทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นการเลือกตั้งที่พรรค ทรท. ฝากความหวังไว้อย่างเหนียวแน่นจะมีความหมายอะไร นอกจากการแสดงปาหี่ให้ดู 60 วันก่อนการตัดสินใจสำคัญทางการเมืองของประชาชน

ถ้าจะหาข้อละเมิดกฎหมายของผู้เคลื่อนไหวในตอนนี้ให้ได้ก็อาจมีกฎหมายป่าเถื่อน เช่น การชุมนุมเกิน 10 คน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการจลาจลขึ้นได้ โดยอาศัยวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะเกิดหรือไม่เกิดจลาจล กฎหมายนี้ขัดกับรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง แต่ก็ยังคงใช้สืบเนื่องมา ตามแต่วินิจฉัยของตำรวจว่า หัวชาวบ้านกลุ่มใดควรถูกตีให้แตก เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย

กฎหมายสับปะรังเคของเผด็จการฉบับเดียวยังไม่มีปัญญาจะยกเลิก อุตริจะมาคิดแก้รัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม แม้เชียร์อยู่ในใจให้เขาประสบความสำเร็จ ผมก็ไม่ได้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มซึ่งส่วนใหญ่คือเพื่อนฝูงที่รักใคร่นับถือกันทั้งนั้น

ไม่ใช่เพราะไม่เห็นด้วยนะครับ

แต่เพราะเป้าหมายของผมไม่ได้อยู่ที่เอาคุณทักษิณออกไป เท่ากับเอาประเทศไทยคืนมา

คืนมาให้ใคร?

ต้องคืนมาให้แก่ประชาชนซึ่งประกอบดวยคนหลายจำพวก นักธุรกิจแบบคุณทักษิณ, บริวาร และพันธมิตรก็มี, เกษตรกรรายย่อยก็มี, กรรมกรก็มี, นักบวชก็มี, คนพิการก็มี, นักวิชาการก็มี, ช่างตัดผมก็มี ฯลฯ

ถ้าคืนมาให้เฉพาะคนชั้นกลางในเมือง ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ต่างกันมากนัก

เพราะสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างยิ่งนั้นไม่ใช่ทักษิณ แต่คือ "คนอย่างทักษิณ" ต่างหาก

และคนอย่างทักษิณนั้นไม่ได้มีเฉพาะเศรษฐี ซึ่งยังอธิบายธนสารสมบัติของตัวไม่ได้เป็นที่กระจ่างใจแก่คนไทยจำนวนมากเท่านั้น แต่รวมไปถึงคนอื่นๆ อีกมากที่อยู่ในกลุ่มคนชั้นกลาง ทั้งที่อยู่ในสภาพัฒน์, ในตลาดหลักทรัพย์ฯ, ในวงการเมือง

หรือแม้แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในที่เหล่านั้นเลย แต่ถูกครอบงำด้วยอุดมคติและโลกทรรศน์แบบนั้น เช่น คุณชวน หลีกภัย, คุณบรรหาร ศิลปอาชา, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฯลฯ ก็อาจมีความเป็นคนอย่างทักษิณผสมปนเปอยู่ในตัวมากทีเดียว

ทั้งนี้ เพราะความเป็นคนอย่างทักษิณนั้นเป็นวัฒนธรรมครับ

คือเป็นวิถีคิดและโลกทรรศน์ของคนจำนวนมาก ไม่ได้จำกัดอยู่กับคนไม่กี่คน

จะพูดว่าเป็น "กระแสสังคม" ก็ได้ แพร่หลายอยู่ในหมู่คนชั้นกลาง ซึ่งผ่านระบบการศึกษาที่เสี้ยมสอนให้เป็นอย่างนี้, ผ่านระบบเศรษฐกิจที่ประสานผลประโยชน์ของคนชั้นกลางบางส่วนเข้ากับธุรกิจใหญ่ และผ่านระบบการเมืองที่เปิดพื้นที่ให้เฉพาะคนชั้นกลางเท่านั้นได้เข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองอย่างเป็นผล

ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องขับไล่ออกไปจากการเมืองของเรา ขับไล่ออกไปจากตำแหน่งผู้นำทางการเมือง ขับไล่ออกไปจากวิถีคิด และโลกทรรศน์ของสังคมไทยคือวัฒนธรรมของคนอย่างทักษิณ ซึ่งแม้ว่าคุณทักษิณอาจหลุดจากตำแหน่งนายกฯ แล้ว ก็ยังมีคนอย่างทักษิณที่พร้อมจะเข้ามาเป็นนายกฯ ต่อไปได้ไม่สิ้นสุด ด้วยเสียงเชียร์ในตอนแรกเหมือนเดิม

วัฒนธรรมหรือวิถีคิดและโลกทรรศน์ดังกล่าว ในทัศนะของผม มีสองส่วนสำคัญคือ อำนาจนิยม และเสรีนิยมใหม่

อํานาจนิยมไม่ได้หมายความถึงระบอบเผด็จการเพียงอย่างเดียว แม้ในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในชีวิตปกติ ก็อาจมีลักษณะเป็นอำนาจนิยมได้ เพราะอำนาจนิยมหมายถึงความเชื่อว่าการจัดการที่มีประสิทธิภาพมีอยู่อย่างเดียว คือการใช้อำนาจเด็ดขาด

ความนิยมที่คุณทักษิณเคยได้รับอย่างท่วมท้นมาจากไหน

โพลสำนักต่างๆ สำรวจแล้วได้ผลตรงกันว่า ประชาชนนิยมคุณทักษิณที่ความเด็ดขาด และกล้าตัดสินใจ แปลออกมาให้เข้าใจง่ายกว่านั้นคือ แก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการตัดสินใจแต่ผู้เดียว แล้วใช้อำนาจเด็ดขาดดำเนินการ

อำนาจนั้นจำเป็นแน่ครับในการจัดการ แต่อำนาจที่เด็ดขาดของเถ้าแก่ไม่เปิดโอกาสให้มีการไตร่ตรองจากหลายฝ่าย ใครโดนเหยียบเท้าก็ร้องบอกไม่ได้ หรือถึงบอกได้ก็จะได้รับแค่คำปลอบโยนว่าทนไป แล้วจะดีเอง

ไม่ดีแก่ลื้อ ก็ดีแก่บริษัทของอั๊ว

และด้วยเหตุดังนั้น คนอย่างคุณทักษิณจึงไม่ยอมรับการตรวจสอบ ไม่ว่าจะตรวจสอบโดยองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรภาคประชาชน อำนาจที่ถูกตรวจสอบทัดทานได้ ทำให้ไม่อาจจัดการอะไรด้วยอำนาจเด็ดขาดได้

นั่นคือที่มาของเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญของการฆาตกรรมในสงครามยาเสพติด (ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมสืบมา เพียงแต่สื่อไม่ปล่อยให้เสียงบ่นเล็ดลอดออกมามากเกินไปเท่านั้น) แม้แต่นักวิชาการระดับเคยบริหารสำนักวิจัยใหญ่บางแห่งยังเคยสรรเสริญเอฟทีเอกับจีนและอินเดีย ซึ่งทำกันขึ้นอย่างรวบรัดแบบกล้าตัดสินใจและเด็ดขาดที่อยู่ในวัฒนธรรมคนแบบทักษิณนี่แหละครับ

การมองแต่อำนาจเป็นหนทางแก้ปัญหาทุกอย่างไปหมด จึงไม่ได้จำกัดอยู่กับทักษิณ แต่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมของคนชั้นกลางไทย ซึ่งเคยชินแต่กับการเมืองเผด็จการมาตลอด และผมคิดว่าเราต้องล้มวัฒนธรรมนี้ ซึ่งในปัจจุบัน คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุด แต่ล้มคุณทักษิณคนเดียว ไม่กระเทือนอะไรกับวัฒนธรรมนี้เลย เดี๋ยวคนอย่างคุณทักษิณก็กลับมาใหม่

อีกส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมคนอย่างทักษิณก็คือ คนชั้นกลางไทยส่วนใหญ่เชื่อว่า ควรให้โอกาสอย่างไม่อั้นแก่นักลงทุน เพราะผลกำไรของนักลงทุนจะทำให้บ้านเมืองเจริญ และคนอื่นๆ ก็จะได้ผลดีตามไปด้วย โอกาสที่ต้องเปิดให้นักลงทุน หมายถึงโอกาสที่นักลงทุนไปแย่งเอาทรัพยากรของชาวบ้านมาใช้ประโยชน์ โดยไม่จ่าย, จ่ายไม่คุ้ม, หรือเอาไปแฝงไว้ในงบประมาณแผ่นดิน ทั้งหมดนี้รัฐไม่ควรแทรกแซงเพื่อปกป้องประชาชน ถ้ารัฐจะแทรกก็คือแทรกเข้าไปตีหัวชาวบ้านที่ออกมาปกป้องทรัพยากรของชุมชน

ผมเรียกวัฒนธรรมส่วนนี้ว่าเสรีนิยมใหม่ เพราะมีลักษณะตรงกันกับปรัชญาเสรีนิยมใหม่ที่แพร่หลายในโลกทุนนิยมตะวันตก แต่ไม่ได้แปลว่าคนชั้นกลางไทยรับจากฝรั่ง เพราะเราถูกกล่อมให้คิดอย่างนี้มาตั้งแต่เริ่มนโยบายพัฒนา ก่อนหน้าที่ลัทธิเสรีนิยมใหม่จะระบาดในโลกตะวันตกเสียอีก

วัฒนธรรมอย่างนี้และครับที่ทำให้ประชาธิปไตยไม่มีความหมายแก่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เฉพาะคนชั้นกลางซึ่งสามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างได้ผลเท่านั้นที่อาจได้ประโยชน์บ้าง

และวัฒนธรรมอย่างนี้ก็อยู่กับชนชั้นนำไทยมาตั้งแต่สมัยเริ่มการพัฒนาเป็นต้นมาจนบัดนี้ ทักษิณ ชินวัตร แสดงส่วนที่หยาบที่สุดของวัฒนธรรมเสรีนิยมใหม่ให้เห็นได้ชัดเท่านั้น ไม่ได้แปลว่า นายกฯ คนอื่นยึดถือวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป

ฉะนั้น การกดดันขับไล่ทักษิณให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ จึงเป็นเพียงการขับไล่สัญลักษณ์ ไม่ใช่ขับไล่ความอยุติธรรมและความป่าเถื่อนของอำนาจ ซึ่งพร้อมจะกลับมาครอบงำคนไทยได้อีกเสมอ

หน้า 33
แก้ไขล่าสุดโดย mei เมื่อ จันทร์ ก.พ. 27, 2006 9:25 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Michael
โพสต์: 42
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 10, 2005 1:15 pm

จันทร์ มี.ค. 20, 2006 1:01 pm

โฆษกชินวัตรสุดปลื้ม
"สอนเพื่อนเลี่ยงภาษี"
ตั้งบริษัท-ชูญาติถือหุ้น
ส่งชิงโชครถ-ใช้ชื่อลูก

18 March 2006 16:49
จำนวนผู้อ่าน 859 คน
ตอบกลับโพส