เรื่องของแม่คนหนึ่ง (จะถึงวันแม่แล้วน้า)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
fififai
โพสต์: 10
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ส.ค. 02, 2007 7:12 pm

ศุกร์ ส.ค. 10, 2007 7:16 pm

ซึ้งดีค่ะ พอดีมีเพื่อนส่งเมลล์มาให้ ชอบมากเลย อยากให้อ่านกันนะ

เรื่องราวนี้ถ่ายทอดจากบทความหนึ่งของอัสสัมชัญสาส์นฉบับเดือนสิงหาคม
พ.ศ. 2540 ซึ่งเขียนโดยมิสอุไรพร นาคะเสถียร
เป็นเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่งที่มิสบังเอิญทราบมาจากการได้พบคุณแม่ของลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งได้เล่าไว้
เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ "มิสอุไรพร" 
ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนลูกศิษย์ให้สำนึกและมีความภาคภูมิใจในความรักของผู้เป็นแม่

      ณ. ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539 
  "มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ " 
โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร 
คุณครูประจำชั้นป.4 ทำให้มีสอุไรพรรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้
เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ

      เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์
มิสอุไรพรก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน
หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้
หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

      ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้มิสอุไรพรตกใจเล็กน้อย
แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก
เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา
"ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม
กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ
อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา"
น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม
เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดคุณครูก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการเรื่องที่
ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว
หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้าทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย

        ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก
มิสอุไรพรจึงได้ถือโอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน
เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้  วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536
หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัด
สตูล ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่
และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน

        ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ
โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก
ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ
ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม
คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย
แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง
ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่
และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก

        "ถ้าเป็นพวกนักเรียน น้องตกลงไปอย่างนี้พวกเธอจะทำอย่างไร"
มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ
หน้าซีด โดยเฉพาะ "ลูกชาย" ของคุณแม่ท่านนั้น

        มิสอุไรพร ดำเนินเรื่องต่อไปทันที "ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย
คิดไม่ทันใช่มั้ย แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร"
คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่าง
อยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้
ก่อน...ที่ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที
แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม่
ขาดสะบั้นลง!
คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่...
ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจน
กระดูกหัก
...แต่ไม่ขาดไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...

       
คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน
พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!
คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!
สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที
ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป
ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ

      มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า
"นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ"    "กล้าหาญมาก "
เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า มิสมองหน้า
"ลูกชาย" ของคุณแม่ท่านนั้นแล้วบอกต่อว่า
"นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน
ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ"
เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง
"วันนี้เมื่อเธอกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม
และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา"


      "จริงครับๆ ใช่ครับๆ" เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน 
"มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา
ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ"  มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น
สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด
มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า  "ดีมากนักเรียน
ตอนนี้พวกเธอคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ "
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ

        ครูสาวน้ำตาคลอ
ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า
หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร ?
เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง
ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง
ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด
หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจของเด็กคนนี้ลงจน
สิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว "ลูกชาย" เข้าไปคุยอีกครั้ง 
"วันนี้เธอมีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ"
เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า
"ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่
แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ"

รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่ บอกแม่เถอะนะ
บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย
ก่อนไม่มีแม่ให้กอด...

บทความต้นฉบับเป็นการบรรยายเรื่องธรรมดาแต่นำมาเล่าใหม่
โดยเขียนในลักษณะจำลองเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาเพื่อให้เห็นภาพ
และได้รับความประทับใจครบถ้วนตามเจตนารมณ์ของผู้เขียนเดิม
ใครอยากทราบชื่อและนามสกุลของคุณแม่ท่านนี้
สามารถไปค้นอ่านได้จากอัสสัมชัญสาส์นฉบับดังกล่าว ทั้งนี้ผมขอไม่บอกไว้ ณ
ที่นี้เพราะไม่ได้ขออนุญาติจากครอบครัวดังกล่าวให้เปิดเผยได้
เพียงนำเรื่องราวมาให้ได้ชื่นชมกันเท่านั้นทุกวันนี้มีลูกอีกหลายคนที่พบรักใหม่และหลงลืมรักอันบริสุทธิ์ของแม่
และบางคนยอมบูชารักใหม่ด้วยชีวิตที้งแม่ผู้มีแต่ให้ไว้ในความทุกข์ ......

ใครรักแม่...อ่านจบแล้ว...อย่าลืมไปกอดแม่นะ
กอดแน่นๆ หอมแก้มซ้ายแก้มขวา หอมแล้วหอมอีก
หอมหลาย ๆ ที...รักแม่ให้มากๆ และไม่ว่าแม่จะเป็นใคร? ประกอบอาชีพอะไร?
รูปร่างหน้าตาอย่างไร? รวยหรือจน?
อย่าลืมว่าความรักของผู้ที่เป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่
และมากเกินกว่าคนที่เป็นลูกจะสามารถชดใช้ได้หมด.....
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

ศุกร์ ส.ค. 10, 2007 7:24 pm

เมื่อแม่โกหกผม 8 ครั้งในชีวิต
แม่โกหกผม 8 ครั้งในชีวิต

1. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวยากจน
ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ
เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวม าให้ผมเพิ่มขึ้นอีก
พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม ่ไม่ค่อยหิว"
นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม

2. เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ
เพื่อว่าผมจะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติ บโตของผม
แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน
ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาหลังจากที่ผมไ ด้กินเนื้อปลาไปแล้ว
ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่
แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม

3. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น
แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก ๆน้อยจากโรงงานมาทำที่บ้าน
บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน
"แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก"
แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หล ับ"
ครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม

4. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย
แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจใ ห้ผม
มันเป็นวันที่แดดร้อนมาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม.
เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่
เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว..
แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม
ผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อ น
แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ"
นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม

5. หลังจากที่พ่อผมล้มป่วยและเสียชีวิต
คุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มาจ ุนเจือครอบครัว
แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมากขึ้นเ พียงไร
คุณลุงที่อยู่ข้าง ๆบ้านท่านเป็นคนดี
พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ....เช่นซ่อมแซมบ้า นที่ผุพัง..ฯลฯ
เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงาน ใหม่
แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับผมว่า
"แม่มีลูกอยู่ทั้งคน...แม่ไม่ต้องความรักอีก"
แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 5 แล้ว

6. ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ
ผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง
แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้า
ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง ๆที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่
(ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล)
แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคื นให้ผมอีก
แม่พูดกับผมว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ"
แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 6

7. เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า..
ผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่ม ีชื่อเสียงในอเมริกา เมื่อผมเรียนจบก็ได้งานทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูง
เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมาอยู่กับผมท ี่อเมริกา
เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต
แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน"
ครั้งที่ 7 แล้วซินะที่แม่โกหกผม

8. เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย ๆ..
ในที่สุดแม่ก็เป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โ รงพยาบาล
ผมลางานแล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุดที่รักทันที
แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง
น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโ ทรมลงอย่างมาก
แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก
ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน
จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว
ผมโอบกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร
หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด
แม่พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ
"ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ ว"
นี่เป็นครั้งที่ 8 ที่แม่โกหก
และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ที่โกหกผม

แม่ที่ผมรักและบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่ 8 จบลง.........

แปลและเรียบเรียงจาก English Forward Mail -"mother's 8 lies"


http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topi ... 47992.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
แบกะดิน
โพสต์: 1085
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 26, 2007 7:49 pm

ศุกร์ ส.ค. 10, 2007 8:21 pm

อ่านและซึ่งอ่ะ T^T


วันจันที่ผ่านมา เพิ่งทะเลาะกับแม่เอง เฮ่อออ


ต่อไปนี้จะเปนเด็กดีแล้วน้ะ กลับบ้านตรงเวลา ไม่ทานข้าวนอกบ้าน 






รักแม่*


: xemo026 : : xemo026 :
HaKo_Rain
โพสต์: 150
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ เม.ย. 09, 2007 11:09 am
ที่อยู่: Phatom Thani
ติดต่อ:

เสาร์ ส.ค. 11, 2007 11:48 pm

เกือบร้องและ ฟังเพลงค่าน้ำนมอยู่พอดีเลย  : xemo031 : (อ๊ากกก น้ำตาจะไหล ::008::)
saranu1
โพสต์: 109
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มิ.ย. 26, 2007 9:56 am
ที่อยู่: rangsit

อาทิตย์ ส.ค. 12, 2007 7:08 pm

วันแม่ไปโบสถ์ฟังเพลงค่าน้ำนมน้ำตาไหลเลย กลับมาอ่านเรื่องนี้อีก .....รักแม่มากกว่าเดิมอีกมากมาย  : xemo023 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
iBONT
โพสต์: 310
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 06, 2007 1:22 pm
ที่อยู่: ระย๊อง ระยอง
ติดต่อ:

จันทร์ ส.ค. 13, 2007 12:10 am

อ่านแล้วทั้งสองเรื่อง และก็ขนลุึกทั้งสองเรื่อง
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ ส.ค. 13, 2007 10:34 am

ซึ้ง ::008::
ภาพประจำตัวสมาชิก
*~glossolalia~*
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ เม.ย. 30, 2007 7:14 pm

จันทร์ ส.ค. 13, 2007 10:24 pm

อ่านเเล้วซึ้งใจจัง
ตอบกลับโพส