++ ก่อนแม่สิ้นลม ++
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
เรื่องราวของแม่เฒ่าวัย 91 ปี ที่รอคอยลูกจากบ้านพักคนชราที่ไม่มีใครเหลียวแล
..แม่เฒ่ามีลูกชายสองคน และหญิงหนึ่งคน 60 ปีที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ใน ระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อร่างสร้างตัวจากกรรมกรกิน ค่าแรงรายวันโดย แม่เฒ่ารับจ้าง ทอผ้าอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่ง อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น สามารถสร้างหลักฐานจนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพักหวังจะฟูมฟักลูก 3 คนให้ อยู่อบอุ่น กินอิ่มโดยไม่ต้องลำบาก
ช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกทอผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คนที่อยู่ในวัยซนไล่เรียงตามลำดับ เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบ สามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ ตื่นมาร่ำลา หมอที่ โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้งๆ ที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิดเป็นร้านค้าโชห่วยขายของสารพัดชนิดอดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน ให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัวอบอุ่นพี่น้องรักใคร่กันดี ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหักดั่งหนึ่งคนละสายเลือด
ลูกชายคนโตแต่งงานไป กับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด ในชีวิตของแม่เฒ่าไม่เคยมีความสุขครั้งไหน เหมือนวันที่ลูกชายแต่งงานสมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ
...ปีต่อมา ลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคนแม่เฒ่ายกบ้าน และที่ดินที่เปิดร้านขายของสอง คูหาสามชั้นให้เป็นสมบัติของลูกด้วยความยินดีโดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย สองปีถัดมาลูกสาวคน สุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า รับขวัญลูกเขยด้วยความปรีดา
สะใภ้คนที่สองเริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือนซักผ้าทำกับข้าวจัดสำรับคับค้อน ตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือ ก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง กวาดเช็ดบ้านช่องเรียบร้อยแล้ว จึงได้พักผ่อนด้วยการเดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิดที่ซื้อมาทำกับข้าว ต้องถามราคาแล้วยกไปชั่งน้ำหนัก ราคา สินค้ากับเงินทอนที่เหลือต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์
...แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่ หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโตเพื่อนกินกันแค่สองผัวเมีย แล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันล่ะยี่สิบบาทไปหากินเอาเองด้วยเหตุผลโง่ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึก ๆ ในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้นส่วนเกิน แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูกๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อย จึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาด แม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย
แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้านสะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์ สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอกลัวแม่ผัวขโมยของในบ้าน จะคุยกับลูกชายไอ้นั่นก็ออกอาการไม่ว่างถามคำตอบคำเหมือนหนามตำโดน โคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน อึดอัดแม่เกรงใจเมีย แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโตที่ห้อยแขวนพระ เครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ขึ้นมาส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใส และไม่แม้แต่จะชายตา มองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดาย เก้ๆ กังๆ อยู่พักใหญ่ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโต อย่างเหงาๆ โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ ระหว่างทางก็แวะ ทักทายคนรู้จักเพื่อ รักษามารยาท แต่ในใจของแม่เฒ่ามันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้าง
ระหว่างทาง ลูกสาวคนเล็กที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึงเธอยื่นคำขาดกับแม่เฒ่า ตั้งแต่้ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหา เพราะบ้านเธอมีแขกที่เป็นลูกน้องของผัว และพ่อค้าวานิชเข้าพบผัวของเธอเพื่อขออำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อยๆ และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควร จะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย แม่เฒ่าไม่เข้าใจว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้นต้อง ทำอย่างไรแม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน
...เขาว่าแม่เฒ่าวาสนาดีลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคนแม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้มทั้งๆ ที่ ไม่เข้าใจว่าทำไมการเป็น เจ้าคนนายคนจึงเหมือนกำแพงชนชั้นปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูกจนหนักหนาสาหัสขนาดนั้น ร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่สอง กระทบธุรกิจของสองผัวเมียจนทรวดเซ ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่าที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด ปัญหา และวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงขาลง สองผัวเมียเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง และแทบทุก ครั้งลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปกป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด
.. 12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ
ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยพยับเมฆ สลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับ ปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว
..แม่เฒ่าจำได้ว่าวัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้านขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด แม่เฒ่ารับเงิน แล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่า สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะกล่องช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยสองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้านช่วยกันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ๆ เคยวาง เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่าที่กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่า "ไม่เห็น" ก่อนปักธูปลงกระถาง
เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชายก็ดังสนั่นบ้าน ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้าน ก่อนที่ทั้งคู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์ ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร แม่เฒ่าให้การไม่รู้ ด้วยซื่อบริสุทธิ์โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียว กว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบ แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำ "ให้ตำรวจอบรมแม่เฒ่า" ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้านโดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ สายฝนยังสาดซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่เฒ่า ที่บ้านบ้านซึ่ง ประตูเหล็กถูกปิดสนิท
..แม่เฒ่าลงจากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้านแล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีดกับภาพเบื้องหน้าที่พื้นหน้าบ้าน เสื้อผ้าเก่า ๆ ยัดแน่นอยู่ในถุงถูกโยนออกมากองเรี่ยราดเหมือนขยะ บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า กระถางธูป และรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำของสามีจนเปียกปอนขาดวิ่น แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก น้ำตาแห่งความรันทดทะลักล้นปนน้ำฝน ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้อง จากสายฝนสุดชีวิต สองเท้าออกก้าวช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ เข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทอง ของลูกชายคนโตเหมือนเป็นการบอกลา แล้วลัดเลาะฝ่าความมืดและสายฝนไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคนเล็กเก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่ จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้า ร้องระงม สลับกับ เสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ
ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้วกัปนาท บรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติติดตามมาทวงคืนให้แม่เฒ่าต้องชดใช้อย่างบอบช้ำยับเยิน รถกระบะเก่าๆ คันนั้นวิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระของสมภารเจ้าวัด ตอนตีสามเศษๆ คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ด้วยใจเมตตา เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่ จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวช แม่เฒ่ามักคุ้นกับสมภารวัดนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่ นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิตจึงไม่มีที่ไหนอบอุ่นให้พึ่งพิงเหมือน ร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห่งรัตนะทั้งสาม
... นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่จนวันนี้ แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัด เหมือนๆ กับที่ทั้งสามคนก็ไม่เคย ออกติดตามถามหาจะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัด แต่ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่ เงาของลูกทั้ง 3 ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา..
..แม่เฒ่ามีลูกชายสองคน และหญิงหนึ่งคน 60 ปีที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ใน ระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อร่างสร้างตัวจากกรรมกรกิน ค่าแรงรายวันโดย แม่เฒ่ารับจ้าง ทอผ้าอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่ง อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น สามารถสร้างหลักฐานจนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพักหวังจะฟูมฟักลูก 3 คนให้ อยู่อบอุ่น กินอิ่มโดยไม่ต้องลำบาก
ช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกทอผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คนที่อยู่ในวัยซนไล่เรียงตามลำดับ เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบ สามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ ตื่นมาร่ำลา หมอที่ โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้งๆ ที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิดเป็นร้านค้าโชห่วยขายของสารพัดชนิดอดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน ให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัวอบอุ่นพี่น้องรักใคร่กันดี ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหักดั่งหนึ่งคนละสายเลือด
ลูกชายคนโตแต่งงานไป กับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด ในชีวิตของแม่เฒ่าไม่เคยมีความสุขครั้งไหน เหมือนวันที่ลูกชายแต่งงานสมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ
...ปีต่อมา ลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคนแม่เฒ่ายกบ้าน และที่ดินที่เปิดร้านขายของสอง คูหาสามชั้นให้เป็นสมบัติของลูกด้วยความยินดีโดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย สองปีถัดมาลูกสาวคน สุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า รับขวัญลูกเขยด้วยความปรีดา
สะใภ้คนที่สองเริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือนซักผ้าทำกับข้าวจัดสำรับคับค้อน ตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือ ก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง กวาดเช็ดบ้านช่องเรียบร้อยแล้ว จึงได้พักผ่อนด้วยการเดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิดที่ซื้อมาทำกับข้าว ต้องถามราคาแล้วยกไปชั่งน้ำหนัก ราคา สินค้ากับเงินทอนที่เหลือต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์
...แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่ หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโตเพื่อนกินกันแค่สองผัวเมีย แล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันล่ะยี่สิบบาทไปหากินเอาเองด้วยเหตุผลโง่ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึก ๆ ในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้นส่วนเกิน แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูกๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อย จึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาด แม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย
แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้านสะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์ สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอกลัวแม่ผัวขโมยของในบ้าน จะคุยกับลูกชายไอ้นั่นก็ออกอาการไม่ว่างถามคำตอบคำเหมือนหนามตำโดน โคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน อึดอัดแม่เกรงใจเมีย แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโตที่ห้อยแขวนพระ เครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ขึ้นมาส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใส และไม่แม้แต่จะชายตา มองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดาย เก้ๆ กังๆ อยู่พักใหญ่ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโต อย่างเหงาๆ โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ ระหว่างทางก็แวะ ทักทายคนรู้จักเพื่อ รักษามารยาท แต่ในใจของแม่เฒ่ามันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้าง
ระหว่างทาง ลูกสาวคนเล็กที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึงเธอยื่นคำขาดกับแม่เฒ่า ตั้งแต่้ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหา เพราะบ้านเธอมีแขกที่เป็นลูกน้องของผัว และพ่อค้าวานิชเข้าพบผัวของเธอเพื่อขออำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อยๆ และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควร จะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย แม่เฒ่าไม่เข้าใจว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้นต้อง ทำอย่างไรแม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน
...เขาว่าแม่เฒ่าวาสนาดีลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคนแม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้มทั้งๆ ที่ ไม่เข้าใจว่าทำไมการเป็น เจ้าคนนายคนจึงเหมือนกำแพงชนชั้นปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูกจนหนักหนาสาหัสขนาดนั้น ร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่สอง กระทบธุรกิจของสองผัวเมียจนทรวดเซ ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่าที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด ปัญหา และวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงขาลง สองผัวเมียเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง และแทบทุก ครั้งลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปกป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด
.. 12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ
ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยพยับเมฆ สลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับ ปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว
..แม่เฒ่าจำได้ว่าวัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้านขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด แม่เฒ่ารับเงิน แล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่า สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะกล่องช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยสองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้านช่วยกันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ๆ เคยวาง เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่าที่กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่า "ไม่เห็น" ก่อนปักธูปลงกระถาง
เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชายก็ดังสนั่นบ้าน ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้าน ก่อนที่ทั้งคู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์ ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร แม่เฒ่าให้การไม่รู้ ด้วยซื่อบริสุทธิ์โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียว กว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบ แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำ "ให้ตำรวจอบรมแม่เฒ่า" ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้านโดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ สายฝนยังสาดซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่เฒ่า ที่บ้านบ้านซึ่ง ประตูเหล็กถูกปิดสนิท
..แม่เฒ่าลงจากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้านแล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีดกับภาพเบื้องหน้าที่พื้นหน้าบ้าน เสื้อผ้าเก่า ๆ ยัดแน่นอยู่ในถุงถูกโยนออกมากองเรี่ยราดเหมือนขยะ บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า กระถางธูป และรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำของสามีจนเปียกปอนขาดวิ่น แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก น้ำตาแห่งความรันทดทะลักล้นปนน้ำฝน ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้อง จากสายฝนสุดชีวิต สองเท้าออกก้าวช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ เข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทอง ของลูกชายคนโตเหมือนเป็นการบอกลา แล้วลัดเลาะฝ่าความมืดและสายฝนไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคนเล็กเก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่ จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้า ร้องระงม สลับกับ เสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ
ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้วกัปนาท บรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติติดตามมาทวงคืนให้แม่เฒ่าต้องชดใช้อย่างบอบช้ำยับเยิน รถกระบะเก่าๆ คันนั้นวิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระของสมภารเจ้าวัด ตอนตีสามเศษๆ คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ด้วยใจเมตตา เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่ จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวช แม่เฒ่ามักคุ้นกับสมภารวัดนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่ นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิตจึงไม่มีที่ไหนอบอุ่นให้พึ่งพิงเหมือน ร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห่งรัตนะทั้งสาม
... นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่จนวันนี้ แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัด เหมือนๆ กับที่ทั้งสามคนก็ไม่เคย ออกติดตามถามหาจะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัด แต่ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่ เงาของลูกทั้ง 3 ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา..
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อ่านเรื่องของเจ๊ฟีมแล้วรันทดใจ ลองมาอ่านเรื่องของเจี๊ยบคร้าบ
ผมรักแม่ แต่ผมทำได้แค่นี้
มีครอบครัวหนึ่งอยู่กันมาอย่างรักใคร่กันเป็นที่สุดซึ่งเพื่อนบ้านต่างอิจฉากับ
ความรักใคร่กันของครอบครัวนี้
ครอบครัวนี้มีด้วยกัน 4 คน มีแม่ และลูก ๆ อีก 3 คน วันหนึ่ง แม่
ก็เกิดเป็นโรคร้ายแรงขึ้นมานั่นก็คือ
เป็นโรคหัวใจร้ายแรง
จำเป็นต้องผ่าดัดเปลี่ยนหัวใจโดยด่วน
ลูกชายทั้ง 3 รักแม่มาก
และรู้ว่าตนเองนั้นต้องทำอะไรซักอย่างให้กับแม่บังเกิดเกล้าของเขา
คนโตเป็นนักธุรกิจพันล้านมีธุรกิจใหญ่โต
ได้รับผิดชอบในเรื่องของค่าใช้จ่ายในทุก ๆ ด้าน
โดนยอมสละเวลาในการเซ็นสัญญาเพื่อมาคอยเฝ้าไข้คุณแม่
คนรองเป็นนายแพทย์ชั้นนำของโลก รับผิดชอบในการรักษาคุณแม่
และทำการเรียกประชุมสมาคมแพทย์ทั่ว
โลกเพื่อหาวิธีรักษาคุณแม่ของเขา
คนเล็กนั้น ยังไม่มีงานทำ
เนื่องจากตนนั้นมิได้มีความเฉลียวฉลาดเหมือนกับพวกพ! ี่ ๆ เขา
และก็สำนึกตัวอยู่ตลอดว่าตนเองนั้นคง
ไม่มีกำลังพอที่จะช่วยแม่ที่เขา
เทิดทูนได้อย่างที่พี่ ๆ ทั้ง 2 ทำได้
แต่เขารู้ว่าตนเองต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อแม่ของเขา
ผมรักแม่ แต่ผมทำได้แค่นี้
มีครอบครัวหนึ่งอยู่กันมาอย่างรักใคร่กันเป็นที่สุดซึ่งเพื่อนบ้านต่างอิจฉากับ
ความรักใคร่กันของครอบครัวนี้
ครอบครัวนี้มีด้วยกัน 4 คน มีแม่ และลูก ๆ อีก 3 คน วันหนึ่ง แม่
ก็เกิดเป็นโรคร้ายแรงขึ้นมานั่นก็คือ
เป็นโรคหัวใจร้ายแรง
จำเป็นต้องผ่าดัดเปลี่ยนหัวใจโดยด่วน
ลูกชายทั้ง 3 รักแม่มาก
และรู้ว่าตนเองนั้นต้องทำอะไรซักอย่างให้กับแม่บังเกิดเกล้าของเขา
คนโตเป็นนักธุรกิจพันล้านมีธุรกิจใหญ่โต
ได้รับผิดชอบในเรื่องของค่าใช้จ่ายในทุก ๆ ด้าน
โดนยอมสละเวลาในการเซ็นสัญญาเพื่อมาคอยเฝ้าไข้คุณแม่
คนรองเป็นนายแพทย์ชั้นนำของโลก รับผิดชอบในการรักษาคุณแม่
และทำการเรียกประชุมสมาคมแพทย์ทั่ว
โลกเพื่อหาวิธีรักษาคุณแม่ของเขา
คนเล็กนั้น ยังไม่มีงานทำ
เนื่องจากตนนั้นมิได้มีความเฉลียวฉลาดเหมือนกับพวกพ! ี่ ๆ เขา
และก็สำนึกตัวอยู่ตลอดว่าตนเองนั้นคง
ไม่มีกำลังพอที่จะช่วยแม่ที่เขา
เทิดทูนได้อย่างที่พี่ ๆ ทั้ง 2 ทำได้
แต่เขารู้ว่าตนเองต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อแม่ของเขา
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ซึ้ง
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
น่าสะเทือนใจเปนยิ่งนักครับ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
เรื่องราวดีๆที่อยากให้ทุกคนอ่าน "กล่องของแม่"
มอบให้พิเศษแด่เจ๊ฟีม นี่อาจจะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ขอรับ
แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย ' หนักมั้ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้วกัน'
ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่องเก่า ๆ นั้น จากมือแม่แต่ไม่สำเร็จ
แม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัดระวัง
ส่วนมือประคองกล่องที่ว่าไว้อย่างมั่นคง
วันสุดท้ายแล้วที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉัน
เมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุขมาก
สุขที่แม่เข้าใจความจำเป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่น
แน่นอนตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่
ทุกคนจะมีความสุขเพราะเป็นสถานที่สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความต้องการ
ความคิดอ่านและอะไรต่อมิอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกัน
มาไว้ใต้ชายคาเดียวกันมันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง
ทฤษฎีของการแยกประเภทแยกโลกออกจากกันให้ชัดเจน
เพื่อลดความชัดแย้งในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่นนี้
'ไปก็ไปซิ ว่าแต่แกจะอยู่อย่างไรล่ะ' แม่ตอบง่าย ๆ
หลังจากฟังลูกสาวคนเล็กอย่างฉันพูดวกวนอยู่เป็นนานสองนาน
ใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วงแหน
'จะอยู่จะกินยังไรต่อไป'
' แม่อย่าห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว' ฉันตอบแม่อย่างเด็ดเดี่ยวบ้าง
นับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตที่ปกติ เพื่อรอวัน 'ย้ายบ้าน'
แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่อย่างที่ฉันคิดไว้
แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหยอยอย่างที่พวกเราพี่ ๆ น้อง ๆ กลัวกัน
และไม่ได้ได้พูดจาโต้แย้งกับฉัน เหมือนเรื่องอื่นที่เคยเป็นมา
พวกพี่ ๆ และบรรดาสะใภ้ กับเขยทั้งหลายเสียอีกที่รุกถล่มฉันอยู่หลายวัน
'แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กี่ปี อิ๋วก็ไม่น่าจะต้องผลักใสแกไปอย่างนี้' นี่พี่สาวคนโต
'คนแก่ก็ยังงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้างจะอะไรกันหนักหนา ชั่วดีก็แม่เรา จะส่งแกไปทำไมกัน
แถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮมที่ไปหามาก็ราคาแพงเป็นบ้า '> นี่ก็พี่เขยจอมตืด
'แม่คงเสียใจพิลึก แก่ลองไปคิดดูใหม่ดี ๆแล้วกันว่าจะส่งแม่ไปจริงเหรอ'
'แกก็หัดใจเย็น ๆ ลงมั่งสิลูกผัวก็ไม่มีแม่คนเดียวก็ดูไม่ได้ แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้'
เออ
มอบให้พิเศษแด่เจ๊ฟีม นี่อาจจะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ขอรับ
แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย ' หนักมั้ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้วกัน'
ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่องเก่า ๆ นั้น จากมือแม่แต่ไม่สำเร็จ
แม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัดระวัง
ส่วนมือประคองกล่องที่ว่าไว้อย่างมั่นคง
วันสุดท้ายแล้วที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉัน
เมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุขมาก
สุขที่แม่เข้าใจความจำเป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่น
แน่นอนตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่
ทุกคนจะมีความสุขเพราะเป็นสถานที่สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความต้องการ
ความคิดอ่านและอะไรต่อมิอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกัน
มาไว้ใต้ชายคาเดียวกันมันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง
ทฤษฎีของการแยกประเภทแยกโลกออกจากกันให้ชัดเจน
เพื่อลดความชัดแย้งในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่นนี้
'ไปก็ไปซิ ว่าแต่แกจะอยู่อย่างไรล่ะ' แม่ตอบง่าย ๆ
หลังจากฟังลูกสาวคนเล็กอย่างฉันพูดวกวนอยู่เป็นนานสองนาน
ใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วงแหน
'จะอยู่จะกินยังไรต่อไป'
' แม่อย่าห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว' ฉันตอบแม่อย่างเด็ดเดี่ยวบ้าง
นับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตที่ปกติ เพื่อรอวัน 'ย้ายบ้าน'
แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่อย่างที่ฉันคิดไว้
แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหยอยอย่างที่พวกเราพี่ ๆ น้อง ๆ กลัวกัน
และไม่ได้ได้พูดจาโต้แย้งกับฉัน เหมือนเรื่องอื่นที่เคยเป็นมา
พวกพี่ ๆ และบรรดาสะใภ้ กับเขยทั้งหลายเสียอีกที่รุกถล่มฉันอยู่หลายวัน
'แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กี่ปี อิ๋วก็ไม่น่าจะต้องผลักใสแกไปอย่างนี้' นี่พี่สาวคนโต
'คนแก่ก็ยังงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้างจะอะไรกันหนักหนา ชั่วดีก็แม่เรา จะส่งแกไปทำไมกัน
แถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮมที่ไปหามาก็ราคาแพงเป็นบ้า '> นี่ก็พี่เขยจอมตืด
'แม่คงเสียใจพิลึก แก่ลองไปคิดดูใหม่ดี ๆแล้วกันว่าจะส่งแม่ไปจริงเหรอ'
'แกก็หัดใจเย็น ๆ ลงมั่งสิลูกผัวก็ไม่มีแม่คนเดียวก็ดูไม่ได้ แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้'
เออ
- reccanohono
- โพสต์: 1045
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 03, 2008 7:06 pm
- ที่อยู่: thailand
ขอบพระคุณค่ะ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
เหมือนเจี๊ยบเลยครับ แต่ 2 เรื่องยาวๆ เป็นของตัวเอง เลยได้อ่านก่อนโพสต์ ฮะ :cheesy:อันตน เขียน: เอ่อ ข้าพเจ้าเป็นโรคแพ้ความยาว แต่ขอร่วมซึ้งใจด้วยคนแล้วกัน
เมื่อกี้เจี๊ยบก็เจอกล่องดวงใจ เฮ้ยกล่องของตัวเองดีใจมากๆ มีรูปเก่าๆเยอะเลย นั่งดูแล้วขำตัวเอง
กำลังจะร่วมภาวนาให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ และจะภาวนาให้คุณแม่ทั้งหลายด้วย
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
เ่อ่อ สามารถบิ้วอารมณ์ได้ขนาดนั้นเลยอันตน เขียน: เอ่อ ข้าพเจ้าเป็นโรคแพ้ความยาว แต่ขอร่วมซึ้งใจด้วยคนแล้วกัน
พอดีจบจากวิทยาลัยนาฏศิลป์จังหวัดอ่างทองนะพ่อคุณ (ส่วนอำดำแคแสด เห็นว่าจบจากนาฏศิลป์กรุงเทพ) เรื่องสร้างอารมณ์แค่นี้เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ถ้าน้ำตามันไม่ยอมไหลจริงๆ ก็หยอดน้ำหรือป้ายยาหม่องเอา แป๊บเดียวน้ำตาไหลพรากๆBatholomew เขียน:เ่อ่อ สามารถบิ้วอารมณ์ได้ขนาดนั้นเลยอันตน เขียน: เอ่อ ข้าพเจ้าเป็นโรคแพ้ความยาว แต่ขอร่วมซึ้งใจด้วยคนแล้วกัน
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ผมว่าเห็นหน้าพี่ฟิมก็น้ำตาไหลพราก ๆ เหมือนกันนะครับ แบบว่า เห็นแล้วนั่งปลงว่า ตรูจะนอนหลับมั๊ยนี่อันตน เขียน:พอดีจบจากวิทยาลัยนาฏศิลป์จังหวัดอ่างทองนะพ่อคุณ (ส่วนอำดำแคแสด เห็นว่าจบจากนาฏศิลป์กรุงเทพ) เรื่องสร้างอารมณ์แค่นี้เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ถ้าน้ำตามันไม่ยอมไหลจริงๆ ก็หยอดน้ำหรือป้ายยาหม่องเอา แป๊บเดียวน้ำตาไหลพรากๆBatholomew เขียน:เ่อ่อ สามารถบิ้วอารมณ์ได้ขนาดนั้นเลยอันตน เขียน: เอ่อ ข้าพเจ้าเป็นโรคแพ้ความยาว แต่ขอร่วมซึ้งใจด้วยคนแล้วกัน
ปล.คิดถึงพี่ฟิมทั้งยามหลับและยามตื่น
- reccanohono
- โพสต์: 1045
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 03, 2008 7:06 pm
- ที่อยู่: thailand
โอ้ ท่าเจ้าคณะช่างสามารถยิ่งนักอันตน เขียน:พอดีจบจากวิทยาลัยนาฏศิลป์จังหวัดอ่างทองนะพ่อคุณ (ส่วนอำดำแคแสด เห็นว่าจบจากนาฏศิลป์กรุงเทพ) เรื่องสร้างอารมณ์แค่นี้เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ถ้าน้ำตามันไม่ยอมไหลจริงๆ ก็หยอดน้ำหรือป้ายยาหม่องเอา แป๊บเดียวน้ำตาไหลพรากๆBatholomew เขียน:เ่อ่อ สามารถบิ้วอารมณ์ได้ขนาดนั้นเลยอันตน เขียน: เอ่อ ข้าพเจ้าเป็นโรคแพ้ความยาว แต่ขอร่วมซึ้งใจด้วยคนแล้วกัน
ข้าน้อยเลื่อมใส ::011::
วกไปหาพี่หญิงฟิมของข้าพเจ้าอีกแล้ว เชียร์พี่ฟิมสุดใจเค้าค่าBatholomew เขียน: ผมว่าเห็นหน้าพี่ฟิมก็น้ำตาไหลพราก ๆ เหมือนกันนะครับ แบบว่า เห็นแล้วนั่งปลงว่า ตรูจะนอนหลับมั๊ยนี่
ปล.คิดถึงพี่ฟิมทั้งยามหลับและยามตื่น
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
วกไปหาพี่หญิงฟิมของข้าพเจ้าอีกแล้ว เชียร์พี่ฟิมสุดใจเค้าค่าreccanohono เขียน:โอ้ ท่าเจ้าคณะช่างสามารถยิ่งนักอันตน เขียน:พอดีจบจากวิทยาลัยนาฏศิลป์จังหวัดอ่างทองนะพ่อคุณ (ส่วนอำดำแคแสด เห็นว่าจบจากนาฏศิลป์กรุงเทพ) เรื่องสร้างอารมณ์แค่นี้เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ถ้าน้ำตามันไม่ยอมไหลจริงๆ ก็หยอดน้ำหรือป้ายยาหม่องเอา แป๊บเดียวน้ำตาไหลพรากๆBatholomew เขียน: เ่อ่อ สามารถบิ้วอารมณ์ได้ขนาดนั้นเลย
ข้าน้อยเลื่อมใส ::011::
ผมว่าเห็นหน้าพี่ฟิมก็น้ำตาไหลพราก ๆ เหมือนกันนะครับ แบบว่า เห็นแล้วนั่งปลงว่า ตรูจะนอนหลับมั๊ยนี่Batholomew เขียน:
ปล.คิดถึงพี่ฟิมทั้งยามหลับและยามตื่น
[/quote]เชียร์อะไรอ่ะครับ พี่เค้าก็ต้องนอนมาก ๆ อย่างนี้แหละครับ อายุก็มากแล้ว
- reccanohono
- โพสต์: 1045
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 03, 2008 7:06 pm
- ที่อยู่: thailand
เชียร์อะไรอ่ะครับ พี่เค้าก็ต้องนอนมาก ๆ อย่างนี้แหละครับ อายุก็มากแล้วBatholomew เขียน:วกไปหาพี่หญิงฟิมของข้าพเจ้าอีกแล้ว เชียร์พี่ฟิมสุดใจเค้าค่าreccanohono เขียน:โอ้ ท่าเจ้าคณะช่างสามารถยิ่งนักอันตน เขียน: พอดีจบจากวิทยาลัยนาฏศิลป์จังหวัดอ่างทองนะพ่อคุณ (ส่วนอำดำแคแสด เห็นว่าจบจากนาฏศิลป์กรุงเทพ) เรื่องสร้างอารมณ์แค่นี้เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ถ้าน้ำตามันไม่ยอมไหลจริงๆ ก็หยอดน้ำหรือป้ายยาหม่องเอา แป๊บเดียวน้ำตาไหลพรากๆ
ข้าน้อยเลื่อมใส ::011::
ผมว่าเห็นหน้าพี่ฟิมก็น้ำตาไหลพราก ๆ เหมือนกันนะครับ แบบว่า เห็นแล้วนั่งปลงว่า ตรูจะนอนหลับมั๊ยนี่Batholomew เขียน:
ปล.คิดถึงพี่ฟิมทั้งยามหลับและยามตื่น
[/quote]
อายุเท่าไรเหรอคะ :huh: :huh:
แต่เท่าที่ทราบจากกระทู้อื่นๆมา พี่หญิงฟิมทั้งสวยและเก่งนะเจ้าคะ ยังไงก็ขอให้หลับฝันดีเจ้าค่ะ
เชียร์อะไรอ่ะครับ พี่เค้าก็ต้องนอนมาก ๆ อย่างนี้แหละครับ อายุก็มากแล้วBatholomew เขียน:วกไปหาพี่หญิงฟิมของข้าพเจ้าอีกแล้ว เชียร์พี่ฟิมสุดใจเค้าค่าreccanohono เขียน:โอ้ ท่าเจ้าคณะช่างสามารถยิ่งนักอันตน เขียน: พอดีจบจากวิทยาลัยนาฏศิลป์จังหวัดอ่างทองนะพ่อคุณ (ส่วนอำดำแคแสด เห็นว่าจบจากนาฏศิลป์กรุงเทพ) เรื่องสร้างอารมณ์แค่นี้เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ถ้าน้ำตามันไม่ยอมไหลจริงๆ ก็หยอดน้ำหรือป้ายยาหม่องเอา แป๊บเดียวน้ำตาไหลพรากๆ
ข้าน้อยเลื่อมใส ::011::
ผมว่าเห็นหน้าพี่ฟิมก็น้ำตาไหลพราก ๆ เหมือนกันนะครับ แบบว่า เห็นแล้วนั่งปลงว่า ตรูจะนอนหลับมั๊ยนี่Batholomew เขียน:
ปล.คิดถึงพี่ฟิมทั้งยามหลับและยามตื่น
[/quote]
โถๆๆ พ่อเอื้อประไพวรรณ ไปว่ายาย เอ้ย พี่เขาอายุมาก เขาอายุมากที่ไหนกัน เขาอยู่ในวัยเสมือนกำลังกินกำลังนอนต่างหากเล่า
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
อายุเท่าไรเหรอคะ :huh: :huh:reccanohono เขียน:เชียร์อะไรอ่ะครับ พี่เค้าก็ต้องนอนมาก ๆ อย่างนี้แหละครับ อายุก็มากแล้วBatholomew เขียน:วกไปหาพี่หญิงฟิมของข้าพเจ้าอีกแล้ว เชียร์พี่ฟิมสุดใจเค้าค่าreccanohono เขียน: โอ้ ท่าเจ้าคณะช่างสามารถยิ่งนัก
ข้าน้อยเลื่อมใส ::011::
ผมว่าเห็นหน้าพี่ฟิมก็น้ำตาไหลพราก ๆ เหมือนกันนะครับ แบบว่า เห็นแล้วนั่งปลงว่า ตรูจะนอนหลับมั๊ยนี่
ปล.คิดถึงพี่ฟิมทั้งยามหลับและยามตื่น
แต่เท่าที่ทราบจากกระทู้อื่นๆมา พี่หญิงฟิมทั้งสวยและเก่งนะเจ้าคะ ยังไงก็ขอให้หลับฝันดีเจ้าค่ะ
[/quote]โห ถ้าถามแบบนี้เค้าก็บอกว่า 21 อยู่ร่ำไปแหละครับ
ปล.อย่า่ไปรู้เลยครับ เอาเป็นว่า มาก ๆๆๆๆๆๆ ก็แล้วกัน
- reccanohono
- โพสต์: 1045
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 03, 2008 7:06 pm
- ที่อยู่: thailand
โห ถ้าถามแบบนี้เค้าก็บอกว่า 21 อยู่ร่ำไปแหละครับBatholomew เขียน:อายุเท่าไรเหรอคะ :huh: :huh:reccanohono เขียน:เชียร์อะไรอ่ะครับ พี่เค้าก็ต้องนอนมาก ๆ อย่างนี้แหละครับ อายุก็มากแล้วBatholomew เขียน: วกไปหาพี่หญิงฟิมของข้าพเจ้าอีกแล้ว เชียร์พี่ฟิมสุดใจเค้าค่า
แต่เท่าที่ทราบจากกระทู้อื่นๆมา พี่หญิงฟิมทั้งสวยและเก่งนะเจ้าคะ ยังไงก็ขอให้หลับฝันดีเจ้าค่ะ
ปล.อย่า่ไปรู้เลยครับ เอาเป็นว่า มาก ๆๆๆๆๆๆ ก็แล้วกัน
[/quote]
ไม่จริงน้า...
ไม่ว่าพี่หญิงฟิมจะอายุเท่าไร ก็ยังเป็นพี่สาวที่น่ารักและเก่งของข้าพเจ้าต่อไปเจ้าค่า
(เชียร์สุดใจขาดดิ้น )
ไม่จริงน้า...reccanohono เขียน:โห ถ้าถามแบบนี้เค้าก็บอกว่า 21 อยู่ร่ำไปแหละครับBatholomew เขียน:อายุเท่าไรเหรอคะ :huh: :huh:reccanohono เขียน: เชียร์อะไรอ่ะครับ พี่เค้าก็ต้องนอนมาก ๆ อย่างนี้แหละครับ อายุก็มากแล้ว
แต่เท่าที่ทราบจากกระทู้อื่นๆมา พี่หญิงฟิมทั้งสวยและเก่งนะเจ้าคะ ยังไงก็ขอให้หลับฝันดีเจ้าค่ะ
ปล.อย่า่ไปรู้เลยครับ เอาเป็นว่า มาก ๆๆๆๆๆๆ ก็แล้วกัน
ไม่ว่าพี่หญิงฟิมจะอายุเท่าไร ก็ยังเป็นพี่สาวที่น่ารักและเก่งของข้าพเจ้าต่อไปเจ้าค่า
(เชียร์สุดใจขาดดิ้น )
[/quote]
เอ เล่นเชียร์กันทุกเม็ดอย่างนี้ หรือว่าจะเป็นหนึ่งคนสองล๊อคอิน เข้ามาเพื่อโปรโมทตัวเอง
- reccanohono
- โพสต์: 1045
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 03, 2008 7:06 pm
- ที่อยู่: thailand
กำ ค่ะ
พูดแบบนี้พี่หญิงฟิมเสียหายหมด เรื่องนี้ถามน้องเจนได้เจ้าค่ะ
ข้าพเจ้ามีตัวเป็นๆนะเจ้าคะ แล้วประทับใจจากหลายๆกระทู้ที่พี่หญิงฟิมตอบจริงๆ น้า
อย่าคิดแบบนี้อีกน้า ท่านเจ้าคณะรักสมุทร
พูดแบบนี้พี่หญิงฟิมเสียหายหมด เรื่องนี้ถามน้องเจนได้เจ้าค่ะ
ข้าพเจ้ามีตัวเป็นๆนะเจ้าคะ แล้วประทับใจจากหลายๆกระทู้ที่พี่หญิงฟิมตอบจริงๆ น้า
อย่าคิดแบบนี้อีกน้า ท่านเจ้าคณะรักสมุทร
อะย้อเย่นนนน เฮ้อ คำว่ามีตัวเป็นๆนะนี่พาลให้นึกถึงปลาช่อนปลาดุกปลาหมอในตลาดเลยวุ้ย ว่าแล้วอยากกินแกงส้มปลาหมอใส่หัวมันขี้หนูreccanohono เขียน: กำ ค่ะ
พูดแบบนี้พี่หญิงฟิมเสียหายหมด เรื่องนี้ถามน้องเจนได้เจ้าค่ะ
ข้าพเจ้ามีตัวเป็นๆนะเจ้าคะ แล้วประทับใจจากหลายๆกระทู้ที่พี่หญิงฟิมตอบจริงๆ น้า
อย่าคิดแบบนี้อีกน้า ท่านเจ้าคณะรักสมุทร
- reccanohono
- โพสต์: 1045
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 03, 2008 7:06 pm
- ที่อยู่: thailand
กำ รอบ 2 เจ้าค่ะอันตน เขียน:อะย้อเย่นนนน เฮ้อ คำว่ามีตัวเป็นๆนะนี่พาลให้นึกถึงปลาช่อนปลาดุกปลาหมอในตลาดเลยวุ้ย ว่าแล้วอยากกินแกงส้มปลาหมอใส่หัวมันขี้หนูreccanohono เขียน: กำ ค่ะ
พูดแบบนี้พี่หญิงฟิมเสียหายหมด เรื่องนี้ถามน้องเจนได้เจ้าค่ะ
ข้าพเจ้ามีตัวเป็นๆนะเจ้าคะ แล้วประทับใจจากหลายๆกระทู้ที่พี่หญิงฟิมตอบจริงๆ น้า
อย่าคิดแบบนี้อีกน้า ท่านเจ้าคณะรักสมุทร
นอกจากท่าเจ้าคณะจะมีความสามารถจนข้าน้อยเลื่อมใสแล้ว ยังมีจินตนาการกว้างไกลอีก
นับถือๆ
ป.ล.ข้าพเจ้าไม่ใช่ปลาเจ้าค่า...
แบบนี้พี่หญิงฟีมเตรียมอ้าแขนรอรับเข้าคณะเป็นแน่แท้reccanohono เขียน: กำ ค่ะ
พูดแบบนี้พี่หญิงฟิมเสียหายหมด เรื่องนี้ถามน้องเจนได้เจ้าค่ะ
ข้าพเจ้ามีตัวเป็นๆนะเจ้าคะ แล้วประทับใจจากหลายๆกระทู้ที่พี่หญิงฟิมตอบจริงๆ น้า
อย่าคิดแบบนี้อีกน้า ท่านเจ้าคณะรักสมุทร
ดีออกนะพี่ว่า จะได้ 21 นิรันดร ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
- reccanohono
- โพสต์: 1045
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 03, 2008 7:06 pm
- ที่อยู่: thailand
ดีจริงรึคะพี่เท็นViridian เขียน:แบบนี้พี่หญิงฟีมเตรียมอ้าแขนรอรับเข้าคณะเป็นแน่แท้reccanohono เขียน: กำ ค่ะ
พูดแบบนี้พี่หญิงฟิมเสียหายหมด เรื่องนี้ถามน้องเจนได้เจ้าค่ะ
ข้าพเจ้ามีตัวเป็นๆนะเจ้าคะ แล้วประทับใจจากหลายๆกระทู้ที่พี่หญิงฟิมตอบจริงๆ น้า
อย่าคิดแบบนี้อีกน้า ท่านเจ้าคณะรักสมุทร
ดีออกนะพี่ว่า จะได้ 21 นิรันดร ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ใจน้องแอบเลื่อมใสเจ้าคณะรักสมุทรไงไม่รู้ แถมประทับใจชื่อหวานๆของท่าน เอื้อประไพวรรณศิริอีก
เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะท่านเจ้าคณะ ข้าพเจ้าเชื่อ ว่าพี่หญิงฟิมสุดสวยและเก่งของข้าพเจ้าทำได้แน่เจ้าค่าอันตน เขียน: เจ้าของกระทู้ ตื่นเช้าขึ้นมาเห็นกระทู้ตัวเองคงสิ้นลมเหมือนกัน เพราะมันออกทะเลไปเยอะแล้ว ถ้าจะดึงกลับคงต้องให้ชาวบ้านท่านอื่นๆที่ไม่ใช่สี่ห้าคนนี้เป็นคนดึงกลับแล้วละ อันนี้คงต้องอาศัยบารมีของเจ้าของกระทู้เอง
ป.ล. วกเข้าเรื่อง วันนี้วันแม่ สุขสันต์วันแม่ค่า
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ ส.ค. 13, 2008 12:02 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ดีจริงสิคะคุณน้อง คุณน้องจะได้สวยใสไร้วันโรยรา แบบท่านเจ้าคณะไงจ๊ะreccanohono เขียน:ดีจริงรึคะพี่เท็นViridian เขียน:แบบนี้พี่หญิงฟีมเตรียมอ้าแขนรอรับเข้าคณะเป็นแน่แท้reccanohono เขียน: กำ ค่ะ
พูดแบบนี้พี่หญิงฟิมเสียหายหมด เรื่องนี้ถามน้องเจนได้เจ้าค่ะ
ข้าพเจ้ามีตัวเป็นๆนะเจ้าคะ แล้วประทับใจจากหลายๆกระทู้ที่พี่หญิงฟิมตอบจริงๆ น้า
อย่าคิดแบบนี้อีกน้า ท่านเจ้าคณะรักสมุทร
ดีออกนะพี่ว่า จะได้ 21 นิรันดร ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ใจน้องแอบเลื่อมใสเจ้าคณะรักสมุทรไงไม่รู้ แถมประทับใจชื่อหวานๆของท่าน เอื้อประไพวรรณศิริอีก
แต่ถ้าคุณน้องเลื่อมใสท่านเจ้าคณะรักสมุทร แถมชอบชื่อหวานๆ แบบนั้น
ลองให้ท่านเจ้าคณะท่านตั้งให้หนูสิจ๊ะ หุหุ
หรือถ้าหนูอยากให้ "เริ่ด" และ "เดิ้น" กว่านั้น...
คงต้องไปเชิญคุณหญิงพิมานรัถยา โสภาพิลาส มาตั้งให้แล้วล่ะ 555
แน่ใจฤาจ๊ะ อิอิreccanohono เขียน:เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะท่านเจ้าคณะ ข้าพเจ้าเชื่อ ว่าพี่หญิงฟิมสุดสวยและเก่งของข้าพเจ้าทำได้แน่เจ้าค่าอันตน เขียน: เจ้าของกระทู้ ตื่นเช้าขึ้นมาเห็นกระทู้ตัวเองคงสิ้นลมเหมือนกัน เพราะมันออกทะเลไปเยอะแล้ว ถ้าจะดึงกลับคงต้องให้ชาวบ้านท่านอื่นๆที่ไม่ใช่สี่ห้าคนนี้เป็นคนดึงกลับแล้วละ อันนี้คงต้องอาศัยบารมีของเจ้าของกระทู้เอง
ป.ล. วกเข้าเรื่อง วันนี้วันแม่ สุขสันต์วันแม่ค่า
ถึงคุณน้องจะยังอุตส่าห์มีความพยายามว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง (หน่อยนึง หุหุ)
คุณพี่ชื่นชมและเห็นใจในความพยายามของคุณน้องนะจ๊ะ
แต่...พี่ว่า...มันช้าไปแล้วล่ะน้องเอ๋ย...ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กร๊าก