Requiem
-
- โพสต์: 548
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm
Requiem - Dies irae - 3 Wolfgang Amadeus Mozart
illa
Solvet saeclum en favilla
Teste davidcum sybilla
Quantus tremor est futurus
Quando judex est venturus
Cuncta stricte discus surus
Quantus tre-e-mo-or e-est fu-u-turus
Dies irae, Dies illa
Quantus tre-e-mo-or e-est fu-u-turus
Dies irae, Dies illa
Quantus tre-e-mo-or e-est fu-u-turus
Quando judex est venturus
Cuncta stricte discus surus
Cuncta stricte
Stricte discus surus
Cuncta stricte
Stricte discus surus
1.นี้เป็นภาษาละตินใช่ไหมครับ
2.ถ้าใช่ขอช่วยสรุปสั้นๆว่าmozart กล่าวถึงอะไรน่ะครับ
ขอบคุณครับ
illa
Solvet saeclum en favilla
Teste davidcum sybilla
Quantus tremor est futurus
Quando judex est venturus
Cuncta stricte discus surus
Quantus tre-e-mo-or e-est fu-u-turus
Dies irae, Dies illa
Quantus tre-e-mo-or e-est fu-u-turus
Dies irae, Dies illa
Quantus tre-e-mo-or e-est fu-u-turus
Quando judex est venturus
Cuncta stricte discus surus
Cuncta stricte
Stricte discus surus
Cuncta stricte
Stricte discus surus
1.นี้เป็นภาษาละตินใช่ไหมครับ
2.ถ้าใช่ขอช่วยสรุปสั้นๆว่าmozart กล่าวถึงอะไรน่ะครับ
ขอบคุณครับ
- ดานุ้งพุงระเบิด
- โพสต์: 518
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ส.ค. 31, 2006 3:57 pm
- ที่อยู่: อุบลราชธานี
ถ้าผมไม่ผิดคือ ท่อนที่คุณยกมามันเป็น เนื้อเพลงที่ Thomas of celano เขียนขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากเพลงของ Mozart อีกทีครับ ยังมีท่อนอื่นๆ ส่วนอื่นๆ อีก
ลองเช็คนี่ครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Dies_irae
ลองเช็คนี่ครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Dies_irae
III Sequence
1. Dies irae
Day of wrath, that day วันแห่งความเกรี้ยวกราด วันนั้น
will dissolve the world in embers, จะละลายโลกเป็นถ่านคุกรุ่น
as David prophesied with the Sibyl. ตามที่ดาวิดทำนายไว้ดัวยกันกับซีบิล
How great the tremblings will be ความสั่นเทิ้มจะมีขึ้นอย่างใหญ่หลวงเท่าใด
when the Judge shall come, เมื่อพระผู้พิพากษาเสด็จลงมาจากสวรรค์
the rigorous investigator of all things. เพื่อพิพากษาทุกสิ่งอย่างเคร่งครัด
English translation by Ron Jeffers ภาษาไทย แปลโดย คุณภาวศุทธิ์ พิริยะพงษ์รัตน์
บท Requiem เป็นบทเพลงมิสซาสำหรับผู้ล่วงลับคะ ครั้งหน้าจะเอาประวัติแบบย่อๆมาให้อ่านกันนะคะ
1. Dies irae
Day of wrath, that day วันแห่งความเกรี้ยวกราด วันนั้น
will dissolve the world in embers, จะละลายโลกเป็นถ่านคุกรุ่น
as David prophesied with the Sibyl. ตามที่ดาวิดทำนายไว้ดัวยกันกับซีบิล
How great the tremblings will be ความสั่นเทิ้มจะมีขึ้นอย่างใหญ่หลวงเท่าใด
when the Judge shall come, เมื่อพระผู้พิพากษาเสด็จลงมาจากสวรรค์
the rigorous investigator of all things. เพื่อพิพากษาทุกสิ่งอย่างเคร่งครัด
English translation by Ron Jeffers ภาษาไทย แปลโดย คุณภาวศุทธิ์ พิริยะพงษ์รัตน์
บท Requiem เป็นบทเพลงมิสซาสำหรับผู้ล่วงลับคะ ครั้งหน้าจะเอาประวัติแบบย่อๆมาให้อ่านกันนะคะ
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
ขอบคุณครับignatius เขียน: III Sequence
1. Dies irae
Day of wrath, that day วันแห่งความเกรี้ยวกราด วันนั้น
will dissolve the world in embers, จะละลายโลกเป็นถ่านคุกรุ่น
as David prophesied with the Sibyl. ตามที่ดาวิดทำนายไว้ดัวยกันกับซีบิล
How great the tremblings will be ความสั่นเทิ้มจะมีขึ้นอย่างใหญ่หลวงเท่าใด
when the Judge shall come, เมื่อพระผู้พิพากษาเสด็จลงมาจากสวรรค์
the rigorous investigator of all things. เพื่อพิพากษาทุกสิ่งอย่างเคร่งครัด
English translation by Ron Jeffers ภาษาไทย แปลโดย คุณภาวศุทธิ์ พิริยะพงษ์รัตน์
บท Requiem เป็นบทเพลงมิสซาสำหรับผู้ล่วงลับคะ ครั้งหน้าจะเอาประวัติแบบย่อๆมาให้อ่านกันนะคะ
Dies irae วันแห่งพระพิโรธ
ที่จริงบทนี้มีแปลเป็นภาษาไทยอยู่แล้วคับ แต่ว่าหายากหน่อย
ที่ว่าหายากเพราะว่าเด๊ยวนี้เค้าไม่แนะนำให้ร้องกันแล้ว
เพราะว่าให้ภาพความน่ากลัวของวันพิพากษาอย่างชัดเจน
จะว่าไปก็เบากว่า เดปรอฟุนติส หรือ จากเหวลึก
"ข้าพเจ้ารอคอยพระองค์ยิ่งกว่าคนยามคอยแสงอรุณ พระเจ้าข้า แม้ผู้ชอบธรรมก็เอาตัวแทบไม่รอด!"
ที่จริงบทนี้มีแปลเป็นภาษาไทยอยู่แล้วคับ แต่ว่าหายากหน่อย
ที่ว่าหายากเพราะว่าเด๊ยวนี้เค้าไม่แนะนำให้ร้องกันแล้ว
เพราะว่าให้ภาพความน่ากลัวของวันพิพากษาอย่างชัดเจน
จะว่าไปก็เบากว่า เดปรอฟุนติส หรือ จากเหวลึก
"ข้าพเจ้ารอคอยพระองค์ยิ่งกว่าคนยามคอยแสงอรุณ พระเจ้าข้า แม้ผู้ชอบธรรมก็เอาตัวแทบไม่รอด!"
1. วันนั้นเป็นวันแห่งพระพิโรธ โลกจะสลายเป็นเถ้าถ่าน ดังที่ดาวิดและซีบิลลาทำนายไว้Porpalad เขียน: Dies irae วันแห่งพระพิโรธ
ที่จริงบทนี้มีแปลเป็นภาษาไทยอยู่แล้วคับ แต่ว่าหายากหน่อย
ที่ว่าหายากเพราะว่าเด๊ยวนี้เค้าไม่แนะนำให้ร้องกันแล้ว
2. ความกลัวจะยิ่งใหญ่สักเท่าใด เมื่อพระตุลากรจะมาพิจารณาทุกสิ่งอย่างเคร่งครัด
3. แตรส่งเสียงกึกก้อง ดังไปทั่วหลุมศพทุกแห่งหน รวบรวมทุกคนมาอยู่เฉพาะพระบัลลังก์
4. ความตายและธรรมชาติจะประหลาดใจ เมื่อสิ่งสร้างจะลุกขึ้นมาตอบแก่พระตุลาการ
5. หนังสือที่บันทึกจะถูกนำมาตั้งไว้ ข้อหาต่างๆที่โลกจะถูกพิพากษาล้วนมีเขียนไว้ในนั้นทั้งหมด
6. เมื่อพระตุลาการประทับนั่ง ทุกสิ่งที่ซ่อนเร้นก็จะปรากฏ จะไม่มีสิ่งใดไม่ถูกลงโทษ
7. ขณะนั้นข้าพเจ้าผู้น่าสงสารจะพูดว่าอย่างไร ข้าพเจ้าจะหาใครมาเป็นทนาย ในเมื่อแม้ผู้ชอบธรรมก็แทบจะเอาตัวไม่รอด
8. ข้าแต่พระมหากษัตริย์ที่น่าเกรงขาม พระองค์ทรงช่วยให้รอดโดยไม่คิดค่าจ้าง โปรดช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นด้วยเถิด องค์บ่อเกิดแห่งความเมตตา
9. ข้าแต่พระเยซูผู้กรุณา โปรดทรงระลึกว่าข้าพเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์เสด็จมา โปรดอย่าทอดทิ้งข้าพเจ้าในวันนั้นเลย
10. เมื่อทรงเสาะหาข้าพเจ้า พระองค์ทรงนั่งพักเพราะเหน็ดเหนื่อย พระองค์ทรงแบกไม้กางเขนเพื่อทรงไถ่ข้าพเจ้า ขออย่าให้ความทุกข์ยากเช่นนี้สูญเปล่าไปเลย
11. ข้าแต่พระตุลาการผู้ปรับโทษ โปรดทรงอภัยข้าพเจ้าก่อนวันพิพากษานั้นด้วย
12. ข้าพเจ้าคร่ำครวญเพราะสำนึกผิด ข้าพเจ้าอับอายจนหน้าแดงเพราะความผิด ข้าแต่พระเจ้า โปรดกรุณาต่อข้าพเจ้าผู้วอนขอด้วยเถิด
13. พระองค์เคยทรงให้อภัยแก่มารีย์ ทรงสดับฟังโจร(บนไม้กางเขน) พระองค์ก็ประทานความหวังแก่ข้าพเจ้าด้วย
14. คำภาวนาของข้าพเจ้าไม่สมควร แต่ขอพระองค์ผู้ทรงพระทัยดีได้โปรดอย่าให้ข้าพเจ้าต้องถูกไฟนิรันดรเผาเลย
15 โปรดจัดสถานที่ให้ข้าพเจ้าอยู่ทางขวาในหมู่แกะ แยกออกจากแพะด้วย
16. เมื่อคนชั่วถูกสาปแช่งได้รับความอับอายและถูกไฟเผาแล้ว โปรดทรงเรียกข้าพเจ้าพร้อมกับผู้ได้รับพระพรด้วย
17. ข้าพเจ้าก้มกราบอธิษฐานอ้อนวอน มีใจเป็นทุกข์เป็นผงประดุจขี้เถ้า โปรดทรงเอาพระทัยใส่บั้นปลายของข้าพเจ้าเถิด
18-19. ในวันนั้น วันน่าร้องไห้ ที่จำเลยจะลุกขึ้นมาจากเถ้าถ่านเพื่อถูกพิพากษา ขอพระองค์ทรงพระกรุณาต่อจำเลยคนนี้ด้วยเถิด ข้าแต่พระเจ้า
20. ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระเมตตา โปรดประทานการพักผ่อนแก่เขาทั้งหลายด้วยเถิด อาเมน.
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=1275.0
เดปอนิตุส เป็นบทเพลงสดุดีแสดงความหวัง ใช้สวดอุทิศให้ผู้ล่วงหลับนิครับPorpalad เขียน: จะว่าไปก็เบากว่า เดปรอฟุนติส หรือ จากเหวลึก
"ข้าพเจ้ารอคอยพระองค์ยิ่งกว่าคนยามคอยแสงอรุณ พระเจ้าข้า แม้ผู้ชอบธรรมก็เอาตัวแทบไม่รอด!"
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร ก.ย. 23, 2008 10:20 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เดปรอฟุนดีส เป็นบทสวดให้ผู้ล่วงลับและวิญญาณในไฟชำระยศิยล:ผู้แสวงหาพระเจ้า เขียน:เดปอนิตุส เป็นบทเพลงสดุดีแสดงความหวัง ใช้สวดอุทิศให้ผู้ล่วงหลับนิครับPorpalad เขียน: จะว่าไปก็เบากว่า เดปรอฟุนติส หรือ จากเหวลึก
"ข้าพเจ้ารอคอยพระองค์ยิ่งกว่าคนยามคอยแสงอรุณ พระเจ้าข้า แม้ผู้ชอบธรรมก็เอาตัวแทบไม่รอด!"
เป็นบทโปรดของข้าพเจ้าเลยล่ะ
ขออนุญาตแบ่งปันละกันนะคะ
จากเหวลึก ข้าพเจ้าร้องหาพระองค์ พระเจ้าข้า
โปรดฟังคำข้าพเจ้า โปรดเอียงพระกรรณสดับฟังคำอ้อนวอนของข้าพเจ้า
หากทรงระลึกถึงความผิดแล้ว พระเจ้าข้า ใครหนอจะทนไหว?
แต่พระองค์มีความกรุณายกบาป
เพื่อมนุษย์จะได้ปรนนิบัติพระองค์ด้วยความเคารพ
ข้าพเจ้าวางใจในพระเจ้า วิญญาณข้าพเจ้าวางใจในวาจาของพระองค์
วิญญาณข้าพเจ้าเฝ้าคอยพระเจ้า
ยิ่งเสียกว่าคนคอยแสงอรุณ ยิ่งเสียกว่าคนคอยแสงอรุณอีก
ขอให้อิสราเอลจงคอยพระเจ้า
เพราะพระเจ้าทรงเมตตากรุณา
พระองค์จึงจะไถ่บาปอย่างอุดมสมบูรณ์
แล้วพระองค์จะไถ่อิสราเอลให้สูญสิ้นบาปนั้นแล
ก่อ: ประทานการพักผ่อนตลอดนิรันดรแก่เขาเถิด พระเจ้าข้า
รับ: ขอให้ความสว่างชั่วนิรันดรทอแสงมาสู่เขา
ก่อ: ขอให้เขาได้พักผ่อนในสันติสุขเทอญ
รับ: อาแมน
(ที่มา : http://www.geocities.com/prakobkit/new2/04.html)
ดานุ้งพุงระเบิด เขียน: ถ้าผมไม่ผิดคือ ท่อนที่คุณยกมามันเป็น เนื้อเพลงที่ Thomas of celano เขียนขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากเพลงของ Mozart อีกทีครับ ยังมีท่อนอื่นๆ ส่วนอื่นๆ อีก
ลองเช็คนี่ครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Dies_irae
Thomas of celano (ช่วงศตวรรษที่13) เป็นคนแรกที่เขียนเพลงนี้ขึ้นมาครับ ทั้งเนื้อร้องและทำนองแบบเกรโกเรี่ยน ส่วนMozart(ช่วงศตวรรษที่18)นั้นเอาเนื้อเพลงมาใส่ทำนองใหม่อีกทีครับ
ความเป็นจริง มิสซาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ ใช้คำว่า Missa De profundis ล่ะครับ (น่าจะเป็นคนละบทกับเดปอนิตุสนะครับ) และในเนื้อเพลงของเพลงมิสซาชุด Missa De profundis ก็มีหลายๆท่อนที่สอดคล้องกับบทสวด เดปรอฟุนดิสที่เราคุ้นเคยกัน อยู่หลายท่อนเลยครับ
ปล. กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าโมสาร์ตไม่ตาย ก็น่าจะสามารถทำให้ทั้งเนื้อเพลงทำนองเพลงออกมาได้ครบถ้วนกว่านี้
ประวัติแบบย่อ.ของ Mozart's REQUIEM in D minor KV 626
ชื่อประเภทผลงาน (Genre) ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า เรควิเอม นั้นนำมาจากคำร้องคำแรกของบทเพลงที่มีชื่อว่า
" Requiem aeternam" แต่ประเภทผลงานคือ Mass pro defunctis ที่เป็นภาษาลาตินนั้น ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก แปลว่า
บทเพลงมิสซาแด่ผู้ล่วงลับ
เรควิเอม เป็นคำสวดอธิษฐานแทนผู้ล่วงลับ โดยผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เชื่อว่าการอธิษฐานอ้อนวอนพระเจ้าแทนวิญญาณของผู้ล่วงลับที่
อยู่ในไฟชำระ เป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้ผู้ล่วงลับได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเป็นเจ้า
Requiem มีหลักฐานเกี่ยวกับการใช้เพลงเรควิเอม ย้อนหลังไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 มาจนถึงปัจจุบัน แต่รูปแบบขั้นตอนพิธีกรรม
ที่เป็นมาตรฐานนั้น ได้ถูกสถาปนาโดยนักบุญ โอโดแห่งคูลนี St. Odo of Cluny ในปีค.ศ.998 สำหรับใช้ในวัน All Saint's Day
ซึ่งตรงกับวันที่ 2 พฤศจิกายนของทุกปี เพื่อระลึกถึงวิญญาณของผู้เชื่อทั้งหลาย และใช้ในวันปลงศพ หรือวันครบรอบที่ 3, 7, 13 ของ
การปลงศพ แต่ยังไม่เป็นพิธีกรรมที่ทำกันโดยทั่วไป จนกระทั่งหลักความเชื่อเกี่ยวกับไฟชำระ ได้รับการยอมรับในศตวรรษที่ 13
ต่อมาในปี 1570 ได้มีการเพิ่มเติม Sequence Hymn (คำร้องขึ้นต้นว่า..Dies irae) ขึ้นมาตามข้อกำหนดของการประชุมสภาบิชอป
ณ เมืองเตรนท์ Council of Trent ในระหว่างปี ค.ศ.1545-1563
เรควิเอมแมส ในภาษาลาตินนี้ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนามาจนถึงปี 1962 และการประชุมสังคยานาวาติกันที่ 2 มีคำสั่งให้ประกอบพิธี
ทางศาสนาโรมันคาทอลิก โดยใช้ภาษาท้องถิ่นได้ แต่ก็ยังมีบางที่ใช้ภาษาลาตินอยู่ โดยเฉพาะในโอกาสสำคัญ
รูปแบบและลีลาของคนตรีที่ประพันธืให้กับคำร้องที่เป็นคำร้องมาตรฐานนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิด และแนวโน้มทางดนตรี
ในแต่ละยุคสมัย เริ่มต้นจากแนวเสียงเดียวของเพลงสวดเกรกอเรียน Gregorian Chant ในยุคกลางมาจนถึงแนวเสียงสมัยใหม่
ซึ่งเริ่มเขียนกันในราวศตวรรษที่ 15 โดย กีโยม ดูฟาย Guillaume Dufay (1400-1474)และ โยฮันเนส อ็อคเคอเกม
Johannes Okteghem (1410-1497)
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนเครื่องดนตรีมาเป็นวงออร์เคสตราบรรเลงประกอบ และมีการประพันธ์บทเพลงประเภท นี้มาเรื่อยๆ บางครั้ง
ยังใช้ทำนองหลัก จากเกรกอเรียน ชานท์อยู่ แต่การนำเพลงเรควิเอมนี้ไปใช้จริงๆในพิธีงานศพกลับค่อยๆลดลง
ความเป็นมา Mozart Requiem by Theodore Karp,et al (From Grove Music)
ในราวกลางเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ. 1971 Count Walsegg-Stuppch เคานท์ วาลเสก ซทูพพัค ได้ส่งคนไปจ้าง
Mozart โมซาร์ท ให้ประพันธ์เพลง เรควิเอมสำหรับภรรยาที่เสียชีวิต เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1791 โดยมีเงื่อนไขให้เก็บการว่าจ้างนี้
เป็นความลับ การประพันธ์เพลงนี้ถูกเลื่อนออกไป จนกระทั่งโมสาร์ทเสร็จสิ้นการประพันธ์ โอเปร่า เรื่อง La Clemenza di Tito
ลา เคลเมนซา ดิ ติโต และ Die Zauberflöte ดี เซาเบอร์เฟลอเท น่าจะเป็นไปได้ที่โมสาร์ท ทราบว่า วาลเสกก เป็นผุ้ว่าจ้างให้ประพันธ์
เพลงเรควิเอมนี้ เนื่องจากเพื่อนโมสาร์ทที่ชื่อ Puchberg พุคแบร์ก อาศัยอยุ่ในบ้านของวาลเสกก และการที่โมสาร์ทเขียนแนวบาสเซ็ตฮอร์น
ในเพลงนี้ ทำให้เชื่อว่าโมสาร์ทเขียนขึ้นโดยเฉพาะเจาะจง ให้กับนักดนตรีที่ถูกจองตัวล่วงหน้าไว้สำหรับบรรเลง
แหล่งข้อมูลที่ได้ระยะหลังกล่าวว่า โมสาร์ท (ไว้มาต่อให้ตอนคำ่นะคะ งานมาพอดี)
ชื่อประเภทผลงาน (Genre) ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า เรควิเอม นั้นนำมาจากคำร้องคำแรกของบทเพลงที่มีชื่อว่า
" Requiem aeternam" แต่ประเภทผลงานคือ Mass pro defunctis ที่เป็นภาษาลาตินนั้น ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก แปลว่า
บทเพลงมิสซาแด่ผู้ล่วงลับ
เรควิเอม เป็นคำสวดอธิษฐานแทนผู้ล่วงลับ โดยผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เชื่อว่าการอธิษฐานอ้อนวอนพระเจ้าแทนวิญญาณของผู้ล่วงลับที่
อยู่ในไฟชำระ เป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้ผู้ล่วงลับได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเป็นเจ้า
Requiem มีหลักฐานเกี่ยวกับการใช้เพลงเรควิเอม ย้อนหลังไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 มาจนถึงปัจจุบัน แต่รูปแบบขั้นตอนพิธีกรรม
ที่เป็นมาตรฐานนั้น ได้ถูกสถาปนาโดยนักบุญ โอโดแห่งคูลนี St. Odo of Cluny ในปีค.ศ.998 สำหรับใช้ในวัน All Saint's Day
ซึ่งตรงกับวันที่ 2 พฤศจิกายนของทุกปี เพื่อระลึกถึงวิญญาณของผู้เชื่อทั้งหลาย และใช้ในวันปลงศพ หรือวันครบรอบที่ 3, 7, 13 ของ
การปลงศพ แต่ยังไม่เป็นพิธีกรรมที่ทำกันโดยทั่วไป จนกระทั่งหลักความเชื่อเกี่ยวกับไฟชำระ ได้รับการยอมรับในศตวรรษที่ 13
ต่อมาในปี 1570 ได้มีการเพิ่มเติม Sequence Hymn (คำร้องขึ้นต้นว่า..Dies irae) ขึ้นมาตามข้อกำหนดของการประชุมสภาบิชอป
ณ เมืองเตรนท์ Council of Trent ในระหว่างปี ค.ศ.1545-1563
เรควิเอมแมส ในภาษาลาตินนี้ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนามาจนถึงปี 1962 และการประชุมสังคยานาวาติกันที่ 2 มีคำสั่งให้ประกอบพิธี
ทางศาสนาโรมันคาทอลิก โดยใช้ภาษาท้องถิ่นได้ แต่ก็ยังมีบางที่ใช้ภาษาลาตินอยู่ โดยเฉพาะในโอกาสสำคัญ
รูปแบบและลีลาของคนตรีที่ประพันธืให้กับคำร้องที่เป็นคำร้องมาตรฐานนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิด และแนวโน้มทางดนตรี
ในแต่ละยุคสมัย เริ่มต้นจากแนวเสียงเดียวของเพลงสวดเกรกอเรียน Gregorian Chant ในยุคกลางมาจนถึงแนวเสียงสมัยใหม่
ซึ่งเริ่มเขียนกันในราวศตวรรษที่ 15 โดย กีโยม ดูฟาย Guillaume Dufay (1400-1474)และ โยฮันเนส อ็อคเคอเกม
Johannes Okteghem (1410-1497)
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนเครื่องดนตรีมาเป็นวงออร์เคสตราบรรเลงประกอบ และมีการประพันธ์บทเพลงประเภท นี้มาเรื่อยๆ บางครั้ง
ยังใช้ทำนองหลัก จากเกรกอเรียน ชานท์อยู่ แต่การนำเพลงเรควิเอมนี้ไปใช้จริงๆในพิธีงานศพกลับค่อยๆลดลง
ความเป็นมา Mozart Requiem by Theodore Karp,et al (From Grove Music)
ในราวกลางเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ. 1971 Count Walsegg-Stuppch เคานท์ วาลเสก ซทูพพัค ได้ส่งคนไปจ้าง
Mozart โมซาร์ท ให้ประพันธ์เพลง เรควิเอมสำหรับภรรยาที่เสียชีวิต เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1791 โดยมีเงื่อนไขให้เก็บการว่าจ้างนี้
เป็นความลับ การประพันธ์เพลงนี้ถูกเลื่อนออกไป จนกระทั่งโมสาร์ทเสร็จสิ้นการประพันธ์ โอเปร่า เรื่อง La Clemenza di Tito
ลา เคลเมนซา ดิ ติโต และ Die Zauberflöte ดี เซาเบอร์เฟลอเท น่าจะเป็นไปได้ที่โมสาร์ท ทราบว่า วาลเสกก เป็นผุ้ว่าจ้างให้ประพันธ์
เพลงเรควิเอมนี้ เนื่องจากเพื่อนโมสาร์ทที่ชื่อ Puchberg พุคแบร์ก อาศัยอยุ่ในบ้านของวาลเสกก และการที่โมสาร์ทเขียนแนวบาสเซ็ตฮอร์น
ในเพลงนี้ ทำให้เชื่อว่าโมสาร์ทเขียนขึ้นโดยเฉพาะเจาะจง ให้กับนักดนตรีที่ถูกจองตัวล่วงหน้าไว้สำหรับบรรเลง
แหล่งข้อมูลที่ได้ระยะหลังกล่าวว่า โมสาร์ท (ไว้มาต่อให้ตอนคำ่นะคะ งานมาพอดี)
แก้ไขล่าสุดโดย ignatius เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2008 1:01 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 207
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 17, 2008 2:13 pm
เคยได้ฟังเพลงนี้
เป็นวงออเคสตร้า เบอร์ลิน ฟิลฮาร์มอนิก
เพราะดีนะ
ถึงจาเปนเพลงที่ใช้ในพิธี...
เพราะ...............ดี
เป็นวงออเคสตร้า เบอร์ลิน ฟิลฮาร์มอนิก
เพราะดีนะ
ถึงจาเปนเพลงที่ใช้ในพิธี...
เพราะ...............ดี
ขอบคุณทุก reply ครับ