นิกายออโทด๊อก และหลักความเชื่อ

คริสตสัมพันธ์ เอกภาพในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 3:54 am

ไม่ทราบว่ามีใครโพสไปแล้วหรือยังนะคะถ้าโพสแล้วแจนต้องขออภัยด้วยเผื่อว่า มีคนเข้ามาสอบถาม จะได้ เอากระทู้นี้ให้ดูได้ค่ะ
กำเนิดและวิวัฒนาการของนิกายที่สำคัญในศาสนาคริสต์

ในรัชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine the Great) พระองค์ได้ตั้ง ราชธานีใหม่ในภาคตะวันออก แถบประเทศตุรกีในปัจจุบัน และได้พระราชทานนามราชธานีนี้ว่า "คอนสแตนติโนเปิล" (Constantinople) หรือโรมันตะวันออกซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรไบแซนทีน (Byzantine) อาณาจักรนี้มีความอิสระแยกออกจากโรมันตะวันตก ซึ่งมีโรม (Rome) เป็นศูนย์กลาง แต่เมื่อนานวันอาณาจักรโรมันตะวันออกมีความเข้มแข็งและเป็นอิสระในทุกด้าน จึงปกครองเป็นเอกเทศรวมไปถึงการปกครองทางศาสนา มีความเป็นอิสระจากกรุงโรม ไม่ยอมรับในพระราชอำนาจของพระสันตะปาปา จึงทำให้เกิดการแตกแยกออกเป็นนิกาย กล่าวคืออาณาจักรโรมันตะวันตกนั้นได้รับอิทธิพลคำสอนของปีเตอร์ ซึ่งเข้าไปมีส่วนผสมกลมกลืนกับบทบาททางสังคมและการเมือง ส่วนอาณาจักรโรมันตะวันออกได้รับอิทธิพลทาง วัฒนธรรมของเอเชีย จากจุดนี้เองทำให้ศาสนาคริสต์ต้องแยกออกเป็น 2 นิกาย คือ

1. นิกายออร์โธดอกซ์ (Orthodox) มีศูนย์กลางอำนาจในแต่ละประเทศโดยเฉพาะ แต่อยู่ในความเป็นหนึ่งเดียวกันของหลักธรรมบัญญัติแห่งคริสตศาสนจักรออร์โธด็อกซ์และให้ความสำคัญต่อประมุขนิกายซึ่งอยู่ในแต่ละประเทศต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน โดยเรียกชื่อประมุขเหมือนกันหมดว่า ปาตริอาร์ค (Patriarch) และมี อาร์คบิชอบ(Archbishop) และบิชอป (Bishop)เป็นหัวหน้าสงฆ์ปกครองสังฆมณฑลแต่ละจังหวัดตามลำดับ

- ใช้คำสอนที่มีมาแต่ดั้งเดิมของคริสต์จักรแห่พระเยซูที่เป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีการบิดเบือนใดๆ

- เป็นนิกายเดียวที่เชื่อเรื่องนักบุญ และเชื่อในชีวิตหลังความตายอันเป็นนิรันดร

- รูปเคารพ คือ ไม้กางเขนที่พระเยซูถูกตรึงอยู่ คือ ภาพ 2 มิติ

- รูปเคารพของพระเยซู พระแม่มารีย์ และเหล่านักบุญ (Icon) คือ ภาพ 2 มิติ

- การประกอบพิธีกรรมตามวันลำรึกสำคัญต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด

2. นิกายโรมันคาทอลิก (Roman Catholic) มีศูนย์กลางอำนาจอยู่พระสันตะปาปาที่สำนักวาติกัน (Vatican) กรุงโรม ใช้ภาษาละตินเป็นภาษาทางศาสนา ประมุขสูงสุดคือพระสันตะปาปา

- เน้นว่าต้องเป็นผู้สืบทอดคำสอนจากพระเยซู

- ประมุข คือ สันตะปาปา และมีพระที่เรียกว่า บาทหลวง

- เป็นนิกายที่เชื่อเรื่องนักบุญ และแดนชำระวิญญาณผู้ตาย

- รูปเคารพ คือ ไม้กางเขนที่พระเยซูถูกตรึงอยู่

ต่อมาในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้แตกแยกออกไปอีก โดยบาทหลวง ชาวเยอรมันชื่อ มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) ท่านเกิดความไม่พอใจต่อสภาพการปกครองของสำนักวาติกัน จึงทำหนังสือถึงพระสังฆราชผู้เกี่ยวข้อง แต่กลับได้รับหมายขับออกจากพระศาสนจักรในปี ค.ศ. 1521 มาร์ติน ลูเธอร์ จึงแยกตนเองออกมาตั้งนิกายใหม่ คือ โปรเตสแตนต์ (Protestant)

3. นิกายโปรเตสแตนท์ เช่น ลัทธิลูเธอร์น และแอกลิแคน

- ไม่พอใจการกระทำคำสอนบางประการของพระสันตะปาปา

- เน้นคัมภีร์ ไม่มีนักบวช

- รับศีลศักดิ์สิทธิ์เพียง 2 ศีล คือ ศีลล้างบาป และศีลมหาสนิท
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 3:55 am

นิกายออร์โธดอกซ์ (Orthodox)

คำว่า "ออร์โธด็อกซ์" นี้แปลว่า "ความเป็นดั้งเดิม" ได้แก่ ปฏิปทาของคนทั่วไป คริสตศาสนิกชนออร์โธด็อกซ์ จึงไม่ถือว่าตนเองคือ นิกายหนึ่งของคริสตศาสนาแต่เป็นคริสตศาสนาที่สืบเนื่องมาจากต้นกำเนิด และถือว่าพวกตนเป็นผู้อนุรักษ์คำสั่งสอนที่ได้รับมาจากพระเยซูอย่างซื่อสัตย์ อีกทั้งเป็นผู้ปกป้องพระศาสนาให้เจริญก้าวหน้ามาโดยตลอด

นิกายออร์โธด็อกซ์ มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ท่านอัครฑูตเปโตร และเปาโล ได้รับการสถาปนาจากพระเยซูให้เป็นผู้ดูแลพระศาสนจักร เราอาจกล่าวได้ว่า ท่านเป็นรากฐานแห่งคริสตศาสนจักรท่านแรกที่ทุกคนต้องยอมรับนับถือและมีศรัทธาเชื่อฟังอย่างเดียวในฐานะที่เป็น "ผู้ดูแลฝูงแกะ" ของพระเจ้า ความคิดแบบนี้ได้สืบทอดกันต่อมารวมไปถึงสาวกทั้ง 12ท่าน จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พระอัครสังฆราชจึงมิได้อยู่ในฐานะนักบวชเท่านั้น แต่เป็นประมุขสูงสุดของศาสนจักรที่ทุกคนต้องให้ความเคารพเชื่อถือ นิกายออร์โธด็อกซ์จึงเป็นนิกาย ที่มุ่งมั่นให้สัตบุรุษมีศรัทธา และปฏิบัติตามพระศาสนจักร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแห่งสวรรค์ ที่จะสามารถนำประชาชนไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามภาระกิจ ที่พระเจ้าได้มอบไว้

ศีลศักดิ์สิทธิ์วิถีชีวิตของชาวคริสต์คริสต์เตียนโอโธด็อกซ์มีดังนี้

1. ศีลล้างบาป (Baptism)

ชาวคริสต์ทุกคนต้องผ่านพิธีรับศีลนี้ก่อน เพื่อแสดงว่าตนเองได้เข้ามาเป็นสมาชิกของศาสนจักรแล้ว จึงจะสามารถรับศีลอื่น ๆ ต่อไปได้อีก การรับศีลล้างบาปนี้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตแม้ว่าจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น แต่ถ้ากลับมานับถือศาสนาคริสต์อีกก็ไม่ต้องรับศีลนี้ เพราะถือได้ว่าทำการล้างบาปแล้ว ทั้งนี้เพราะชาวคริสต์เชื่อกันว่ามนุษย์มีบาปกำเนิดติดตัวมาตั้งแต่เกิดสืบมาแต่บรรพบุรุษซึ่งตามพระคัมภีร์เก่าว่ามาจากมนุษย์คู่แรก คือ อาดัมและอีฟ

พิธีกรรมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของศีลล้างบาป คือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเข้ารับการจุ่มตัวทั้งร่างกายลงไปในน้ำสามครั้ง ไปพร้อมๆกับการกล่าวนามพระไตรลักษณ์เจ้า คือ ในนามแห่งพระบิดา และพระบุตร และพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอชำระจากบาปแต่ครั้งเริ่มแรก และจากบาปที่มีอยู่ทั้งหลายทั้งปวง และบาปที่เคยทำมาแต่ครั้งก่อน ก่อนที่จะเข้ารับศีลล้างบาป และเป็นการกำเนิดใหม่ในพระพรแห่งพรจิตเจ้า ที่ได้รับมาซึ่งชีวิตใหม่แห่งฝ่ายจิตวิญญาณ (การกำเนิดใหม่แห่งจิตวิญญาณ) และได้ทำการเข้าเป็นสมาชิกแห่งพระคริสตจักร ซึ่งได้มีส่วนในพระคุณาธิการแห่งราชอาณาจักรแห่งพระคริสต์เจ้า พิธีศีลล้างบาปนี้ได้ทำการสถาปนาขึ้นโดยพระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเราเอง พระองค์เทรงกระทำให้พิธีศีลล้างบาปนี้ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการใช้พระองค์เองเป็นตัวอย่างในการรับศีลล้างบาป จากท่านยอห์นผู้ให้ศีลล้างบาป หลังจากนั้น ก่อนที่พระองค์จะทรงเสด็จข้นสู่สรวงสวรรค์ พระองค์ได้ทรงสั่งแก่เหล่าสาวกของพระองค์ไว้ด้วยว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 3:57 am

ธีศีลล้างบาปนี้ จำเป็นสำหรับทุกๆคนที่มีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกแห่งคริสตจักรของพระคริสต์เจ้า ดังที่มีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ที่ว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 3:58 am

2. พิธีกรรมแห่งศีลการเจิมน้ำมันอันศักดิ์สิทธิ์

พิธีกรรมของศีลการเจิมน้ำมันนั้น คือการส่งผ่านความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระจิตเจ้าแก่ผู้ที่เชื่อในพระคริสต์เจ้า ศีลเจิมนี้คือการมอบพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระจิตเจ้าเพื่อความสงบสุขทางด้านจิตวิญญาณแก่ชาวคริสต์เตียนทุกคน เกี่ยวกับการได้รับมาซึ่งพระพรแห่งพระจิตเจ้า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเองได้ทรงตรัสกล่าวไว้ว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 4:00 am

3. ศีลมหาสนิท (Eucharist)

ศีลศักดิ์สิทธิ์ในข้อนี้สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ในสมัยที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งตรงกับคืนวันพฤหัสบดี ก่อนที่จะถูกจับตัวไปตรึงไม้กางเขน คืนวันนั้นได้มีการรับประทานอาหารร่วมกับสาวกทั้ง 12 คน อันเป็นมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ในการรับประทานอาหารครั้งนี้ ขนมปัง และเหล้าองุ่นได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญแห่งพันธสัญญา ทั้งนี้เพราะในขณะรับประทานอาหารนั้น พระเยซูได้ส่งขนมปังให้กับสาวกทั้ง 12 คน พร้อมกับกล่าวว่าขนมปังนี้แทนกายของท่าน จากนั้น พระเยซูได้ส่งเหล้าองุ่นให้กับสาวกและกล่าวว่าเหล้าองุ่นนี้แทนโลหิตที่หลังออกมาเพื่อยกบาปโทษให้แก่คนทั้งหลาย เรื่องราวทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของ "ศีลมหาสนิท" และการประกอบพิธีกรรมนี้ เรียกว่า "มิสซา" อันเป็นกิจกรรมของชาวคริสต์ เพื่อร่วมสนิทกับพระเจ้าโดยการรับประทาน "พระกาย" และ "พระโลหิต" นี้ คือความหมายของ "มหาสนิท" ซึ่งแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวใน ประชาคมเดียวกันและอยู่ร่วมกันด้วยความรัก (Agape) อีกทั้งเป็นการประกาศยอมรับว่าพระเจ้าได้สถิตอยู่ในกายตน
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 4:01 am

4. ศีลอภัยบาป (Penance) หรือศีลสารภาพบาป (Confession)

พิธีสารภาพบาปนี้ ได้แบบอย่างมาจากพระจริยวัตรของพระเยซูเมื่อครั้งไปรักษาโรคให้แก่คนเป็นโรคเรื้อน และคนตาบอด คนเหล่านี้เมื่อได้รับการอภัยโทษจากพระเยซูแล้วก็หายจากโรคร้ายและคนตาบอดได้กลายเป็นคนตาดี การรักษาโรคของพระเยซู ก็คือ การใช้อำนาจจิตที่เต็มไปด้วยความรักและความเมตตาอันยิ่งใหญ่แก่คนทุกข์ยากเหล่านั้น เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่มีบาปอันกระทำไว้แล้ว จึงถูกพระเจ้าลงโทษ และพระเยซูซึ่งเป็นพระเจ้าตามความเชื่อของชาวคริสต์สามารถยกบาปให้ได้เพียงกล่าวแก่คนบาปเหล่านั้นว่า "บาปของเจ้า เราได้ยกโทษให้แล้ว" นับแต่นั้นมาการสารภาพบาปเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญยิ่ง

ความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีศีลสารภาพบาปนี้อยู่ที่ ชาวคริสต์เตียนจะสารภาพ(กล่าวเปิดเผยออกมาเป็นคำพูด)ความในใจที่เป็นบาปของตัวเอง ต่อพระผู้เป็นเจ้าโดยมีบาทหลวงชาวคริสต์เตียนเป็นสื่อของพระเยซูคริสต์เจ้า เป็นผู้รับบาปและให้อภัยบาปแก่คนผู้นั้น

พระเยซูคริสต์เจ้าได้ให้อำนาจในการอภัยในบาปนี้ของพระองค์แก่เหล่าพระสาวกของพระองค์ และอำนาจในการให้อภัยในบาปของพวกท่านนี้เอง ก็ได้ส่งผ่านทอดมายังเหล่าบาทหลวงชาวคริสต์เตียนในปัจจุบันนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 4:02 am

5. พิธีกรรมศีลเสกเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์

พิธีกรรมของศีลเสกเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์นี้ คือการอ่านบทภาวนาอธิษฐานต่อพระเจ้าแก่ผู้ป่วย และเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์นี้แก่พวกเขา เพื่อเป็นการขอพรจากพระจิตเจ้าให้รักษาผู้เจ็บป่วยนี้จากทางร่างกายและทางจิตใจ

พิธีกรรมศีลเสกเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์นี้ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พิธีกรรมลงสงฆ์ เพราะว่าสำหรับการประกอบพิธีกรรมศีลเสกนี้นั้นคือการรวมพระสงฆ์แห่งคริสตจักรหลายรูปเพื่อร่วมประกอบพิธีกรรม แต่ถ้ามีความจำเป็นจริงๆพระสงฆ์เพียงรูปเดียวก็สามารถที่จะประกอบพิธีกรรมได้

ในพิธีกรรมนี้ได้มีการประพฤติปฏิบัติสืบเนื่องกันมาตั้งแต่ในสมัยเริ่มต้นช่วงเวลาของเหล่าพระสาวกของพระเยซูคริสต์ ที่พวกท่านในช่วงเวลานั้นได้รับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาคนป่วยและคนอ่อนแอจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 4:03 am

6. พิธีกรรมแห่งศีลอุปสมบท

ความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมศีลอุปสมบทนี้ คือการคัดเลือกบุคคลอย่างถูกต้องในตำแหน่งทางสงฆ์ เช่น ผู้หัวหน้าพระหรือบิชอป(พระสังฆราช) พระผู้ประกอบพิธีทางศาสนา(บาทหลวง) และพระผู้ช่วยประกอบพิธีทางศาสนา(เดียคอน) บุคลเหล่านี้ จะต้องผ่านพิธีอุปสมบทแต่งตั้งโดยการวางมือของหัวหน้าสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่กว่าบนศีรษะของผู้ที่ได้รับการอุปสมบทและในระหว่างนั้นจะมีการอ่านบดสวดมนตร์เพื่อเรียกขอพระพรจากพระจิตเจ้าให้ลงมาสถิตในตัวผู้นั้น เพื่อที่ผู้นั้นสามารถที่จะรับใช้ต่อการประกอบพิธีในคริสตจักรของพระเจ้าได้ต่อไปโดยมีพระจิตเจ้าเป็นผู้นำทาง

พิธีการอุปสมบทนี้จะกระทำขึ้นบนตัวของบุคคลที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกมาแล้ว หรือว่าผู้ที่ได้รับการอุปสมบทมาแล้วจากทางคริสตจักร และได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นทางสงฆ์ ก็จะมีการประกอบพิธีอุปสมบทเลื่อนขั้นของทางคริสตจักรได้อีก ในลำดับขั้นของตำแหน่งสงฆ์หลักๆแล้วมีด้วยกันสามลำดับขั้นคือ พระผู้ช่วยในการประกอบพิธี(เดียคอน) พระผู้ประกอบพิธี (บาทหลวง) และหัวหน้าพระหรือบิชอป(พระสังฆราช)

ในการประกอบพิธีอุปสมบทแต่งตั้งเป็นพระผู้ช่วยนั้น คือการให้ได้รับพระพรจากพระจิตเจ้าให้สามารถเป็นพระผู้ช่วยในพิธีกรรมทางศาสนาของคริสตจักรต่อไป

ในการประกอบพิธีกรรมอุปสมบทวางมือบนศีรษะแต่งตั้งเป็นพระผู้ประกอบพิธีทางศาสนานั้น คือการให้ได้รับพระพรจากพระจิตเจ้า ให้สามารถเป็นพระ(บาทหลวง)ในการประกอบพิธีทางศาสนาของคริสตจักรได้ต่อไป ทั้งนี้ตัวของผู้เข้ารับการอุปสมบทเป็นบาทหลวงนั้นจะต้องผ่านการอุปสมบทเป็นพระผู้ช่วยมาก่อน

ในการประกอบพิธีกรรมแต่งตั้งสังฆราช(บิชอป) ผู้ที่ได้ผ่านพิธีกรรมแต่งตั้งเป็นสังฆราชนี้คือผู้ที่ได้รับการวางมือบนศีรษะจากสังฆราชราชชั้นผู้ใหญ่ตั้งแต่สามท่านขึ้นไปเป็นอย่างน้อย เพื่อสวดมนตร์ขอพรจากพระจิตเจ้าให้ลงมาสถิตกับตัวของผู้นั้น และหลังจากได้รับการแต่งตั้งแล้ว บุคคลผู้นี้สามารถที่จะประกอบพิธีกรรมอุปสมบทวางมือบนศีรษะแก่พระผู้ช่วย และพระผู้ประกอบพิธีทางศาสนาได้ต่อไป ตัวของผู้ที่ได้รับการอุปสมบทวางมือบนศีรษะแต่งตั้งเป็นสังฆราชนั้นจะต้องไม่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน และจะต้องผ่านการบวชเป็นพระที่ถือศีลพรหมจรรย์มาก่อน

อธิบายเพิ่มเติม: ผู้ที่จะได้เข้ารับพิธีกรรมการอุปสมบทวางมือบนศีรษะนั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทด้วยกันคือ

1. ผู้ที่เข้ารับการสมรสเป็นครอบครัวจากทางคริสตจักรแล้ว

2. ผู้ที่เข้ารับการบวชเป็นพระที่ถือศีลพรหมจรรย์จากทางคริสตจักรแล้ว

ในพิธีกรรมการอุปสมบทการวางมือบนศีรษะนี้เป็นการสถาปนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า โดยนักบุญสาวกเปาโลได้เป็นพยานในการยืนยันแก่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 4:06 am

7. พิธีกรรมแห่งศีลมงคลสมรส

พิธีกรรมศีลมงคลสมรสในศาสนาคริสต์เตียนออร์โธด็อกซ์ดั้งเดิมนั้น คือการให้คำมั่นสัญญาของฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่อพระเจ้าว่าจะอยู่ร่วมสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียวด้วยความซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน โดยความสัมพันธ์ของคู่สมรสนี้เปรียบได้กับความสัมพันธ์ของพระคริสต์เจ้าที่มีต่อศาสนจักรของพระองค์ และการครองคู่อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยานี้ นี่เองที่ทั้งสองฝ่าย มีความใฝ่ประสงค์ขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อที่พระองค์จะอำนวยพระพรของพระองค์ให้แก่ชีวิตครอบครัว และการกำเนิดใหม่และการเลี้ยงดูบุตรให้เป็นชาวคริสต์เตียนที่ดีในภายภาคหน้า

พิธีสมรสนี้ได้ถูกสถาปนาขึ้นโดยองค์พระผู้เป็นเจ้าเองเมื่อครั้งเวลาบนสรวงสวรรค์ ที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ผู้แรกขึ้นคือ อดัม และอีวา
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 4:08 am

พิธีกรรมและแนวความเชื่อของนิกายออร์โธด็อกซ์

1. การรับศีลล้างบาปของนิกายออร์โธด็อกซ์ยังคงกระทำกับทารกโดยมีพ่อแม่อุปถัมภ์ และใช้วิธีการปะพรมน้ำ

2. การรับศีลมหาสนิทของนิกายออร์โธด็อกซ์ใช้ขนมปังและเหล้าไวน์ ส่วนนิกายคาทอลิคให้แต่ขนมปังอย่างเดียว ส่วนเหล้าไวน์นั้นบาทหลวงผู้ทำพิธีเท่านั้นที่ได้ดื่ม และระยะเวลาของการทำพิธีศีลมหาสนิทของนิกายออร์โธด็อกซ์ก็ใช้เวลาที่ยาวนานกว่ากัน

3. นิกายออร์โธด็อกซ์ยอมให้ผู้ที่จะเข้ารับการแต่งตั้งเป็นผู้ประกอบพิธีในศาสนกิจได้นั้นสามารถแต่งงานได้ก่อนบวช

4. นักปรัชญาและนักคิดของทางตะวันออก มีอิทธิพลต่อนิกายออร์โธด็อกซ์ เน้นในความศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์คำตรัสเทศนาและความเป็นมนุษย์ของพระองค์

5. นิกายออร์โธด็อกซ์ปฏิเสธการสลักรูปปั้นของพระเจ้าและพระแม่มารี เราจะพบว่าโบสถ์ของนิกายออร์โธด็อกซ์มีภาพเขียนฝาฝนังรูปพระเจ้า แม่พระและนักบุญ แต่ไม่มีการสลักเป็นรูปปั้นเลย

6. นิกายออร์โธด็อกซ์ส่งเสริมชีวิตประชาชนให้ดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย โดยเฉพาะนักบวชนั้นต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ มีความอดทน กล้าหาญ ไม่อาลัยในความสุข ละความรักแบบโลก ๆ แต่เคร่งครัดศรัทธาในศาสนาอย่างจริงจัง นักบวชคริสต์เตียนออร์โธด็อกซ์หลายคนสละชีวิตทางโลกไปเป็น นักพรตถือศีลภาวนาตามถ้ำและทะเลทรายไม่น้อย

7. นิกายออร์โธด็อกซ์ใช้ภาษากรีกและถือว่าเป็นภาษาที่ต้องให้ความเคารพคล้ายกับพระพุทธศาสนาที่ให้ความสำคัญกับภาษาบาลี

ผู้นับถือนิกายออร์โธด็อกซ์นี้มีศรัทธาที่เหนียวแน่นในศาสนามาก เราจะเห็นได้ว่า แม้นประเทศทางแถบยุโรปตะวันออกหลายประเทศ ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์และประชาชนประเทศตุรกีเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ผู้นับถือนิกายออร์โธด็อกซ์หลายคนยังคงมีศรัทธาที่เหนียวแน่นและปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ไม่ถูกหลอมเหลาได้ง่ายจาก สภาพแวดล้อมจวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ยังคงมีผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ในบริเวณ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นจำนวนไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่น่าจะถูกทำลายจนหมดสิ้นโดยผู้รุกราน
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อังคาร ก.ค. 07, 2009 4:29 am

นิกายออร์โธด็อกซ์ (Orthodox)

ความเป็นมาสืบย้อนได้ถึงศตวรรษแรกในคริสตศาสนา อันเป็นช่วงระยะเวลาที่จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกออกเป็นสองอาณาจักร คือ โรมันตะวันตกมีศูนย์กลางที่กรุงโรม (Rome)ใช้ภาษาละตินเป็นภาษากลาง ส่วนโรมันตะวันออกซึ่งนิยมเรียกกันว่า ไบแซนทีน (Byzantine) มีศูนย์กลางที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) มีสหมิตรที่เป็นแนวร่วมเดียวกัน คือ เมืองอาเล็กซานเดรีย (Alexandria) อันติอ็อค (Antioch) และเยรูซาเล็ม (Jerusalem) ใช้ภาษากรีกเป็นภาษากลางสื่อสาร

แม้นว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิล โดยทั่วไปเป็นของพวกเตอร์ก แต่ผู้นับถือนิกายออร์โธด็อกซ์ยังคงมีอยู่บ้าง ส่วนมากแพร่หลายในแถบยุโรปตะวันออกและรัสเซีย ทำให้เกิดนิกายออร์โธด็อกซ์แบบสลาฟ (Slavic Orthodox) และนิกายออร์โธด็อกซ์แบบรัสเซีย (Russia Orthodox) ซึ่งแต่เดิมมาทั้งหมดนี้เคยเป็นแบบนิกายกรีก ออร์โธด็อกซ์ (Greek Orthodox) โดยเฉพาะที่รัสเซียนั้น ศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากอาจเรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรโรมันแห่งที่สาม มีศูนย์กลางที่มอสโคว์ (Moscow) อย่างไรก็ตาม พอสิ้นสุดระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช เข้าสู่ยุคการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ความรุ่งเรืองของศาสนาได้ลดลงไปแต่ยังไม่ถึงกับศูนย์สลาย

ปัจจุบันนี้ นิกายออร์โธด็อกซ์มีอิสระภาพในด้านความเชื่อและการปกครองของตนเอง ออร์โธด็อกซ์ส่วนมากอยู่ทางยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย โรมาเนีย ฮังการี โปแลนด์ ยูโกสลาเวีย ฯลฯ
sinner
โพสต์: 2246
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 1:24 pm

อังคาร ก.ค. 07, 2009 9:13 am

ขอบคุณค่ะที่แบ่งปัน

ได้ความรู้เพิ่มอีกเยอะเลย

ขอพระเจ้าอวยพระนะคะ

: xemo026 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nano Lamp
โพสต์: 98
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 11, 2006 1:02 pm
ที่อยู่: Chiangmai

อังคาร ก.ค. 07, 2009 10:38 am

jacky เขียน:
- เป็นนิกายเดียวที่เชื่อเรื่องนักบุญ และเชื่อในชีวิตหลังความตายอันเป็นนิรันดร

ไม่น่าเป็นนิกายเดียวนะครับ
ในเมื่อคาทอลิกก็เชื่อ
และคริสตชนทุกคนก็เชื่อในชีวิตหลังความตายอันเป็นนิรันดร
หรือมีข้อใดพิเศษ ในชีวิตหลังความตายอีกของนิกายออร์โธด็อกซ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ก.ค. 07, 2009 7:29 pm

มี7ศีลเท่าคาทอลิค

แต่ไม่นาเรียกไอค่อนหรือกางเขนว่ารูปเคารพเลยนะครับ
ตอบกลับโพส