เหตุการณ์การแตกนิกาย นี้เกิดมาจากการที่ โรมัน มีแต่งตั้งตำแหน่ง pope ขึ้นมา

คริสตสัมพันธ์ เอกภาพในคริสตศาสนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

เสาร์ ม.ค. 16, 2010 3:24 pm

เห็นทาง ตะวันออกเขาบอกว่า เหตุการณ์การแตกนิกาย นี้เกิดมาจากการที่ โรมัน มีแต่งตั้งตำแหน่ง pope ขึ้นมา ทั้งๆที่ ตำแหน่งสูงสุดแต่งเดิมก็คือ พระสังฆราช ก็เลยทำให้ ฝ่ายที่เคยรวมกันอยู่ ไม่พอใจ แม้ในยุคหลัง ของ ชาวคริสต์ตะวันตก ที่ เกิดนิกาย โปร ขึ้นมา  มองว่า ในยุคนั้น พระศาสนจักรตะวันตก มีความวุ่นวาย ยุ่งยาก และปัญหาภายในเยอะ มากๆเลย
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 3:15 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ม.ค. 16, 2010 3:43 pm

ตำแหน่งพระสันตะปาปามีมานานแล้วครับ ไม่ได้เพิ่งมีตอนแยกนิกาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

เสาร์ ม.ค. 16, 2010 3:46 pm

Holy เขียน: ตำแหน่งพระสันตะปาปามีมานานแล้วครับ ไม่ได้เพิ่งมีตอนแยกนิกาย
คาดว่าจะเป็นตำแหน่งสันตสำนัก นะค่ะ แบบ ของแต่ละสำนัก นะค่ะ


This book started out as a correspondence course on Eastern Orthodox Christianity, the ancient faith that the popular Time-Life series on the great religions of the world calls “Christendom's oldest Church” [Christendom and Christianity, vol. 3 of The World's Great Religions, New York: Time, Inc., 1963, p. 266]. The author took the course many years ago after a long and vain search for the fullness of truth along the highways and byways of Western Christianity, all of which proved dead-end paths where one encounters truth in varying degrees, plus falsehood in one concentration or another.
In the passage of time, it became obvious that there are many Roman Catholic theologi-ans who do not agree with the teachings of the first and second Vatican Councils, and who are grappling with the problems of papal primacy, papal infallibility, and Catholic ecclesiology. It also became apparent that there are many Catholic and Protestant liturgical scholars, clergy and laity today who are interested in learning about the Orthodox Church and its maintaining the form of early Christian worship and its Divine Liturgy. Among these people were friends and co-workers of the author.

Still later, it became increasingly clear that this work could be turned into a book in question and answer format for these individuals. In making this change, the author rewrote large sections of it for the benefit of Western Christians so that they could ask themselves what kind of historical connection does their particular Church have with the Apostles when it was founded in schism in 1054 by a fallible man called the pope, or founded a few centuries ago by someone named Joe Smith? For those with more than an idle curiosity, the doctrines of the Western Churches are frequently compared and contrasted with those of another much older Church, the Orthodox Christian Church. This Church is the original Church and the depository of Apostolic Christian Truth, and a Church that until recently remained something mysterious and inaccessible for Western people.
Although this study does not force anyone to accept the Orthodox faith, still every truth-seeking person who read it came to the ineluctable conclusion that alone among the Churches, the Orthodox Church has retained the continuity and purity of ancient Christian teaching and preserves the oldest, fullest and most accurate traditions of all. The same readers also came to understand that the ancient Church founded by Christ through the Apostles is still present in the world today, just as it has been without interruption for two thousand years. They now under-stand that that ancient Church is the Orthodox Church, the Church of the Apostles and martyrs, and the only Church that has an unbroken line back to the Apostles. With this insight, all went on with their lives with a new clarity of thought, like a pure mountain spring.

จาก  http://www.holytrinitymission.org/index.php
แก้ไขล่าสุดโดย เจนจิรา เมื่อ เสาร์ ม.ค. 16, 2010 4:01 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 3:15 am

ขอแยกหัวข้อออกมาแล้วกันนะครับ เพราะเป็นการเปิดประเด็นใหม่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 3:24 am

ตำแหน่งพระสันตะปาปา ใช้เรียกครั้งแรกเมื่อสมัย พระสันตะปาปา ซิริซีอุส (ค.ศ. 384 - ค.ศ. 399) หลังจากตอนที่รวมสาระบบพระคัมภีร์ใหม่ๆเลยล่ะครับ


แต่ก่อนหน้านี้ พระศาสนจักรต่างๆไม่ได้ต่างคนต่างอยู่มาแต่แรกแล้วนะครับ ในหนังสือกิจการอัครสาวก มีเขียนอย่างชัดเจนว่า แม้จะมีการกระจายตัวออกไปในหลายๆเมืองและหลายๆประเทศ แต่มีการเรี่ยรายเงินบริจาคมาที่เยรูซเล็มที่น.เปโตรดูแล และเวลามีปัญหาเรื่องข้อความเชื่อ ก็ส่งเรื่องกลับมาให้ทางพระศาสนจักรแม่โดยนักบุญเปโตร ตัดสินชี้ขาด

ดังนั้นการปกครองของพระศาสนจักรยังคงเป็นสไตล์เดิมมาแต่แรกจนปัจจุบันครับ เพียงแต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป คนมีจำนวนมากขึ้น การปกครองมีการปรับปรุงกฎระเบียบมากขึ้น เป็นระบบองค์กรขึ้นมาจากแต่เดิมที่ออกแนวแฟมมิลี่ ก็เท่านั้นเอง
Isolation
โพสต์: 1042
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 22, 2008 11:37 am
ที่อยู่: Ether23@hotmail.com

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 1:25 pm

พระสันตะปาปา องค์ เเรก คือ นักบุญเปโตร คับ  : emo045 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 3:09 pm

แต่รู้สึกว่า สมัยก่อนจะเป็นสำนักๆ นะค่ะ โดยเวลา มีอะำไรก็จะมาตัดสินใจร่วมกันแต่ต่อมา สำนักโรมันมีการ พัฒนาคำสอน และเปลี่ยนรูปแบบ พีธีกรรม รวมถึง การให้อำนาจ เบ็ดเสร็จแก่ พระสันตปาปาแก่สำนักโรมัน ทำให้ orthodox ไม่สามารถยอมรับได้ โดย คณะ orthodox ที่แยกมาก่อนน่าจะเป็น ทางฝั่ง coptic orthodox ของนักบุญมาระโก ต่อมาจึงเป็น Eastren orthodox ของนักบุญ อันดรู  ซึ่งทั้งนี้มาจากการขยายอิทธิพล ไปทั่วโลก ในปี 1054 จนกลายเป็นพระศาสนจักรสากล โดย คนทั่วโลก เวลามอง ภาพของ ชาวคริสต์ มักจะมอง แต่ชาวคริสต์ตะวันตก และวัฒนธรรมแบบ พระศาสนจักร ลาติน และคริสต์ โปร เช่น คนมักจะกล่าว อ้างถึงโจมตีถึง การ เผาแม่มด การทำสงครูเสด เป็นต้น  จน เหมือนกับว่า orthodox ถูกลบลืม จากประวัติศาสตร์ ไปช่วงหนึ่ง จนถึงปัจจุบันมีหลายกลุ่มที่ ให้ความสนใจ กับ วัฒนธรรม ความเชื่อ และ วิถีชีวิต ใน แบบ orthodox ดังที่พระเยซูตรัสเรื่อง การประกาศข่าวประเสริฐไปสุดปลายแผ่นดินโลก พระศาสนจักร โบราณ ที่เกือบ จะสูญหายไปกับ กาลเวลา ถือบังเกิดใหม่ แล้ว  : emo027 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 4:07 pm

จริงๆ เรื่องการพัฒนาโครงสร้างองค์กร และเหตุของการแยกอำนาจการปกครอง ไม่สามารถเอาเฉพาะเรื่องความเชื่อ และคำสอนมาตัดสินได้ครับ

เพราะว่า ปัจจัยภายนอกสำคัญหลายๆ อย่างก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการจัดรูปแบบโครงสร้าง

เช่น

การเลียนแบบโครงสร้างทางการเมืองตามการเมืองในแต่ละท้องถิ่น

ในขณะที่โรมันใช้ระบบการแต่งตั้งผู้ปกครองจากส่วนกลาง และซีซาร์มีอำนาจสูงสุด โดยมีสภาถาวรเป็นผู้ให้คำปรึกษา
จากโครงสร้างการปกครองเช่นนี้ ก่อให้่เกิดระบบ Absolute of Power หรือ ความเด็ดขาดทางอำนาจ
ซึ่งต่อมา่มีการพัฒนาต่อยอดถึง Infallibility หรือ ความไม่ผิดพลาดในคำสอนโดยพระสันตะปาปา
และเช่นกัน ก่อให้เกิดสภาพระสังฆราช (ในภาวะปกติก็มีอยู่) ซึ่งสภานี้แต่เดิมใช้คัดเลือกพระสังฆราชแห่งโรม
ต่อมาจำนวนพระสังฆราชท้องถิ่นก็มากขึ้น ทำให้การเลือกพระสังฆราชแห่งโรมลำบากกว่าเดิม จึงพัฒนาระบบพระคาร์ดินัลขึ้นมาอีก
การเผยแผ่ในเขตแดนของโรมันเป็นหลัก เพราะความสะดวกในการเดินทางของคนสัญชาติโรมัน ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องภาษา หรือวัฒนธรรมมากนัก

ในขณะที่ฝ่ายสันตะสำนักของคอนสแตนติโนเปิลเผยแพร่เข้าไปในดินแดนใหม่เป็นหลัก ซึ่งหลายส่วนมีชนพื้นเมืองที่ไม่ถูกกัน
การส่งคนไปแพร่ธรรมย่อมไม่ใช่อุปสรรค แต่การส่งคนไปปกครองย่อมก่อให้เกิดปัญหา (สืบเนื่องจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติ)
อีกทั้งเมื่อรัสเซียมีอำนาจมากขึ้น คอนสแตนติโนเปิลซึ่งเคยผ่านสถานการณ์คล้ายๆ กับโรมมาก่อนจึงเลือกอีกทางเดินหนึ่ง
คือ ไม่รั้งอำนาจ ไม่สละอำนาจ แต่ยอมรับ (recognize) องคภาวะใหม่ให้มีอำนาจหน้าที่เท่าเทียมกัน
เพราะหากเลือกที่จะทำเหมือนโรม ก็จะเกิดความแตกแยกอีก และจะถูกโรมว่าเอาได้

วัฒนธรรมท้องถิ่น

เด่นชัดว่า โรมันไม่เน้น หรือไม่นิยมการไว้หนวดไว้เครา อิทธิพลของ Romanization จึงยังสะท้อนในพระศาสนจักรด้วยลักษณะคล้ายๆ กัน
ซึ่งดูให้ดีแล้วจะพบว่า ในพิธีกรรม ในการแต่งกาย หรือในวจนพิธีกรรมก็ตาม ก็ยังคงมีความเป็นโรมันอยู่ไม่น้อย

ในขณะที่ฝั่งตะวันออกมีรากฐานแต่เดิม และวัฒนธรรมใหม่ที่มิใช่โรมันอยู่ และค่อนข้างจะแตกต่างจากโรมันมาก
ทำให้จารีต หรือวัฒนธรรมก็ต่างกันออกไป และทีละเล็กละน้อย ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยพัฒนาการที่ไปคนละทาง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 4:14 pm

ข้อแตกต่างระหว่างออร์โธด๊อกซ์และคาทอลิก

ในสมัยอัครสาวก มีการตั้งสันตะสำนักทั้งหมด4แห่ง ก่อนที่จะมีการขยายออก

1.สันตะสำนักแห่งอเล็กซานเดรีย
ก่อตั้งและมีพระสังฆอัยกาองค์แรกคือ น.มาระโก



2.สันตะสำนักแห่งคอนสแตนตินโนเปิล
ก่อตั้งและมีพระสังฆอัยกาองค์แรกคือ น.อันดรู


3.สันตะสำนักแห่งเยรูซาเลม-อันติโอก
ก่อตั้งและมีพระสังฆอัยกาองค์แรกคือ น.ยากอบ


4.สำตะสำนักแห่งโรม
ก่อตั้งโดย น.เปาโลและน.เปโตร พระสังฆอัยกาองค์แรกคือ น.เปโตร


สำหรับออร์โธด๊อกซ์ พระสังฆราชทุกองค์ล้วนเท่ากัน
แม้แต่จะเป็นพระสังฆอัยกาเองก็ตาม
ก็ไม่ได้มีอำนาจสูงสุด
แต่เป็นเพียงตัวแทนของสันตะสำนักนั้นๆ


เห็นได้จากการลงคำสั่งซักอย่าง ต้องมีการประชุม และมีการรับรองเป็นคณะ
เพราะการปกครองและผู้นำ ต้องเป็นรูปของคณะเสมอ

5.การไม่รู้พลั้งของพระสังฆอัยกาแห่งโรม
แม้จะเรื่องคำสอนก็ตาม

เหตุผลสั้นๆ ไม่ว่าอย่างไรเราก็เป็นแค่มนุษย์ แต่เราเชื่อเรื่องการทำงานของพระจิตเจ้า
หากเป็นการตัดสินใจใหญ่ๆ จะเป็นรูปของหมู่คณะ
เมื่อมีการประชุมของสมณะแล้วการให้ความเห็น ไปในทางเดียวกัน100%
ไมใช่แค่เสียงส่วนใหญ่ แต่คือทั้งหมด นั่นจะมีความเชื่อว่าพระจิตเจ้าทรงทำงานร่วม

----------------------------------------------------------------

สำนักโรมต่างหากที่แยกตัวออกไป(ในปี1054)
โดยที่ก่อนหน้านั้น

ไม่เคยมีคำสอนเรื่องสิทธิอำนาจพิเศษของเปโตรมาก่อนเลย และน.เปโตรเองก็ไม่เคยยกตัวเองเป็นผู้นำอัครสาวกด้วย


มก:33-37(อ่านเต็มได้)
35:......ผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ทุกคน.......

ทางสันตะสำนักที่เหลืออีก3แห่งรวมทั้งคอปติก(ที่ขอแยกตนเองไปก่อนในปี541)ด้วย(และสำนักย่อยๆอีก)
ได้เตือนเรื่องคำสอน"กุญแจสวรรคและสิทธิพิเศษณ์ของ.เปโตร"ไปทางสันตะสำนักโรมแล้ว



ผมพูดเรื่องนี้ไปเยอะมากแล้ว
และมัติสภาสังฆราชทั้งมวลของออร์โธด๊อกซ์
(ที่ประชุมสังฆราชทุกองค์ ไม่ใช่แค่ตัวแทนสันตะสำนักหรือพระสังฆราชที่เป็นพระอัยกา)
ว่าด้วยเรื่องกุญแจสวรรค์ที่สำนักโรมมันอ้างดังนี้


1ธส.3:10
ถ้าท่านตักเตือนคนที่ยุยงให้คนอื่นแตกแยก ครั้งหนึ่งหรือสองครั้งแล้ว
ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงอย่าติดต่อกับเขาอีก


มธ18:17
ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมู่คณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมู้คณะอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือ คนเก็บภาษีเถิด


นั่นคือ หากเตือนแล้วไม่ฟังก็"ต่างคนต่างเชื่อ" เพราะเราไม่ใช่หน้าที่ของเราโดยเฉพาะฆราวาส

ผมคิดว่า เรื่องอำนาจพิเศษของนักบุญเปโตร ที่เป็นเรื่องโต้เถียงระหว่าง
        คาทอลิก และ โปรเตนแตนท์,ออร์โธด๊อกซ์


ผมขอยึดตามมันติสถาสังฆราชดีกว่าต่างคนต่างเชื่อ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเตือน(กู่ไม่กลับแล้ว)


เพราะสิทธิอำนาจของนักบุญเปโตรไม่ใช่ความรอด ความรอดมาทางพระเยซูเท่านั้น

ป.ล.ผมว่าคุณjackyน่าจะยึดตามมัติสภาสังฆราชนะครับ "ต่างคนต่างเชื่อ"
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 4:25 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 5:54 pm

Grey Cat =^. .^= เขียน: ข้อแตกต่างระหว่างออร์โธด๊อกซ์และคาทอลิก

ในสมัยอัครสาวก มีการตั้งสันตะสำนักทั้งหมด4แห่ง ก่อนที่จะมีการขยายออก

1.สันตะสำนักแห่งอเล็กซานเดรีย
ก่อตั้งและมีพระสังฆอัยกาองค์แรกคือ น.มาระโก



2.สันตะสำนักแห่งคอนสแตนตินโนเปิล
ก่อตั้งและมีพระสังฆอัยกาองค์แรกคือ น.อันดรู


3.สันตะสำนักแห่งเยรูซาเลม-อันติโอก
ก่อตั้งและมีพระสังฆอัยกาองค์แรกคือ น.ยากอบ


4.สำตะสำนักแห่งโรม
ก่อตั้งโดย น.เปาโลและน.เปโตร พระสังฆอัยกาองค์แรกคือ น.เปโตร


สำหรับออร์โธด๊อกซ์ พระสังฆราชทุกองค์ล้วนเท่ากัน
แม้แต่จะเป็นพระสังฆอัยกาเองก็ตาม
ก็ไม่ได้มีอำนาจสูงสุด
แต่เป็นเพียงตัวแทนของสันตะสำนักนั้นๆ


เห็นได้จากการลงคำสั่งซักอย่าง ต้องมีการประชุม และมีการรับรองเป็นคณะ
เพราะการปกครองและผู้นำ ต้องเป็นรูปของคณะเสมอ

5.การไม่รู้พลั้งของพระสังฆอัยกาแห่งโรม
แม้จะเรื่องคำสอนก็ตาม

เหตุผลสั้นๆ ไม่ว่าอย่างไรเราก็เป็นแค่มนุษย์ แต่เราเชื่อเรื่องการทำงานของพระจิตเจ้า
หากเป็นการตัดสินใจใหญ่ๆ จะเป็นรูปของหมู่คณะ
เมื่อมีการประชุมของสมณะแล้วการให้ความเห็น ไปในทางเดียวกัน100%
ไมใช่แค่เสียงส่วนใหญ่ แต่คือทั้งหมด นั่นจะมีความเชื่อว่าพระจิตเจ้าทรงทำงานร่วม

----------------------------------------------------------------

สำนักโรมต่างหากที่แยกตัวออกไป(ในปี1054)
โดยที่ก่อนหน้านั้น

ไม่เคยมีคำสอนเรื่องสิทธิอำนาจพิเศษของเปโตรมาก่อนเลย และน.เปโตรเองก็ไม่เคยยกตัวเองเป็นผู้นำอัครสาวกด้วย


มก:33-37(อ่านเต็มได้)
35:......ผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ทุกคน.......

ทางสันตะสำนักที่เหลืออีก3แห่งรวมทั้งคอปติก(ที่ขอแยกตนเองไปก่อนในปี541)ด้วย(และสำนักย่อยๆอีก)
ได้เตือนเรื่องคำสอน"กุญแจสวรรคและสิทธิพิเศษณ์ของ.เปโตร"ไปทางสันตะสำนักโรมแล้ว



ผมพูดเรื่องนี้ไปเยอะมากแล้ว
และมัติสภาสังฆราชทั้งมวลของออร์โธด๊อกซ์
(ที่ประชุมสังฆราชทุกองค์ ไม่ใช่แค่ตัวแทนสันตะสำนักหรือพระสังฆราชที่เป็นพระอัยกา)
ว่าด้วยเรื่องกุญแจสวรรค์ที่สำนักโรมมันอ้างดังนี้


1ธส.3:10
ถ้าท่านตักเตือนคนที่ยุยงให้คนอื่นแตกแยก ครั้งหนึ่งหรือสองครั้งแล้ว
ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงอย่าติดต่อกับเขาอีก


มธ18:17
ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมู่คณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมู้คณะอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือ คนเก็บภาษีเถิด


นั่นคือ หากเตือนแล้วไม่ฟังก็"ต่างคนต่างเชื่อ" เพราะเราไม่ใช่หน้าที่ของเราโดยเฉพาะฆราวาส

ผมคิดว่า เรื่องอำนาจพิเศษของนักบุญเปโตร ที่เป็นเรื่องโต้เถียงระหว่าง
       คาทอลิก และ โปรเตนแตนท์,ออร์โธด๊อกซ์


ผมขอยึดตามมันติสถาสังฆราชดีกว่าต่างคนต่างเชื่อ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเตือน(กู่ไม่กลับแล้ว)


เพราะสิทธิอำนาจของนักบุญเปโตรไม่ใช่ความรอด ความรอดมาทางพระเยซูเท่านั้น

ป.ล.ผมว่าคุณjackyน่าจะยึดตามมัติสภาสังฆราชนะครับ "ต่างคนต่างเชื่อ"

แค่ถามดูเพื่อ ประดับความรู้ค่ะ  อยากรู้ว่าอีกฝั่ง คิดยัง ไม่ก้าวก่ายกัน เพื่อความเข้าใจอันดีงาม และ คริสต์สัมพันธ์


อันนี้แสดงว่า พระศาสนจักรของ น. มะระโก แยกตัวออกไปก่อนนะสิค่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย เจนจิรา เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 6:06 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 7:46 pm

หน้าที่ของคริสตชนในเวลานี้คือ การละทิฐิของตนเอง แล้วอธิษฐานภาวนาด้วยความถ่อมตน เพื่อเอกภาพของพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้า ผมเชื่อว่าบนสวรรค์นั้นมีแค่พระศาสนจักรเดียว ซึ่งทุกคนบนนั้นยอมรับในความจริง และอยู่ร่วมกันด้วยความรัก
" พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์" 
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 8:23 pm

jacky เขียน: อันนี้แสดงว่า พระศาสนจักรของ น. มะระโก แยกตัวออกไปก่อนนะสิค่ะ
พ่อโอเล็กก็เคยสอนแบบนี้
แล้วลองไปคุยกับคอปติกออร์โธด๊อกซืจริงๆ เขาก็ว่าตามนี้
ว่าพระศาสนจักรกลุ่มออรเรียนทัลออร์โธด๊อกซ์ขอแยกออกก่อนจริง
(ซึ่งเป็นคนละกรณีกับ เหตุการณ์ในปี1054)

แต่ไม่น่าเรียกว่าสำนักสืบจากน.มาระโก เพราะว่าในยุคนั้นสำนักต่างมีการขยายไปเรื่อยๆ
กลุ่มกรีกที่อเล็กานเดรียก็มาจากสำนักสืบต่อจากนักบุญมาระโกเหมือนกัน

อธิบายง่ายๆคือ สำนักสืบจากน.มาระโก(อเล็กซานเดรีย)มีการแบ่งเป็น2ฝ่าย
1.ฝ่ายพระศาสนจักรคอปติก(นี่ต่างหากที่แยก)
2.ฝ่ายพระศาสจักรกรีกแห่งอเล็กซานเดรีย(นี่ที่ยึดตามแบบกรีก)

จึงไม่ใช่สำนักหรือพระศาสนจักรของน.มาระโก แต่เป็นเพียงบางส่วนครับ

ที่เยรูซาเลม-อันติโอกก็ด้วย เพราะสืบต่อจากสันตะสำนักนักบุญยากอบ
แต่ก็แตกย่อยเป็น
1.ซีเรีย ออร์โธด๊อกซ์(ฝ่ายออร์เรียนทัล)
2.กรีกออร์โธด๊อกซ์แห่งเยรูซาเลม
3.กรีกออร์โธด๊อกซ์แห่งอันติโอก
4.คาทอลิกจารีตกรีก

แต่ก็ยอมรับนะครับว่าพระศาสจักรโรมัน(สันตะสำนักแห่งน.เปโตร)มีการยึดแน่นกันมาก
ไม่มีการแตกแยกเป็นสันตะสำนัก หรืออาจมีแล้วแต่ทำไม่ได้(เทียบ สมัยที่มีโป๊ปทั้งที่อาวิญองและโรม)
คงมาจากที่พระศาสนจักรตะวันตกจะรวมสู่ศูนย์กลาง(โรม)และศาสนามาปะปนกับการเมือง

ซึ่งไม่เหมือนฟากพระศาสนจกรทางตะวันออก ที่ศาสนากับการเมืองต้องแยกจากกันอย่างชัดเจน
และอำนาจการปกครองของสงฆ์จะเป็นการขยายออกมากกว่ามารวมที่เดียว
ปัจจุบันจึงมีสันตะสำนัก(Patriarchate)มากมาย ตามการอภิบาล


ป.ล.เครือพระศาสนจักรออร์เรียนทัล ออร์โธด๊อกซ์เองก็มีย่อยนะครับ
1.พระศาสนจักรคอปติก (เป็นหัวหลักเลย)
2.พระศาสนจักรเอธิโอเปีย
3.พระศาสจักรซีเรีย (เคยอยู่ในกลุ่ม สันตะสำนักแห่งน.ยากอบ เยรูซาเลม-อันติโอก)
4.อื่นๆ (ขยายมาจากการแพร่ธรรม)

5.พระศาสนจักรอาร์เมเนียน แต่หลายคนมองว่ามีความเชื่อใกล้เคียงกับเครืออีสเทิร์นออร์โธด๊อกซมากกว่า
พ่อบางองค์(คอปติก)ยังเข้าใจว่าเป็นอีสเทิร์นออร์ฯด้วยซ้ำไป


ป.ล.2 การไว้เคราหรือไม่ไว้ ไม่เกี่ยวกับหลักศรัทธา หรือเป็นข้อแตกต่างระหว่างคาทอลิกและออร์โธด๊อกซ์
มันเป็น"วิถีประชา"มากกว่า ดูอย่างคุณวลาดิเมียรก็ไม่มีเครา คุณพ่อแถบญี่ปุ่นก็ไม่ไว้ ผมเองอยากไว้แต่ก็ไม่มี

ข้อแตกต่างระหว่างคาทอลิกและออร์โธด๊อกซ์ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเคราหรอก

(ตัวอย่าง )
ไม่งั้นพระศาสนจักรไทยคุณพ่อเสื้อหล่อ(ปัจจุบัน)สีขาว แต่ที่โรมสีดำ(สมเด็จพระสันตะปาปาเท่านั้นถึงจะใส่สีขาวได้)
พระศาสนจักรไทยใช้การกราบพระแท่น แต่ที่โรมใช้การจูบพระแท่น
ก็ไม่เห็นมีการแตกพระศาสนจักรเลย จริงไหม

ผมว่าไม่ควรเอาเรื่องเครามาเป็นเรื่องข้อแตกต่างของศาสนจักร(เหมือนมีหนังสือเล่มหนึ่ง ที่คริสเตียนแบ๊บติสต์เอามาเขียน)
เพราะมันไม่เกี่ยวกันเลย เป็นเพียงวิถีประชาเท่านั้น
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 8:35 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 8:36 pm

'' คริสเตียนแบ๊บติสต์ ''อันนี้ก็เป็น บ่าวช่าวยุ เสียจริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 9:46 pm

เรื่องพระสันตะปาปา ทางคาทอลิกเชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงแต่งตั้งนักบุญเปโตรให้เป็นหัวหน้าของคณะอัครสาวก และในพระวรสารทั้งสี่ อัครสาวกที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดก็คือ นักบุญเปโตร
เราทราบว่าบิดาของท่านชื่อยอห์น
เราทราบว่าน้องชายของท่านชื่ออันดรูว์
เราทราบว่าท่านเคยเป็นชาวประมง
เราทราบว่าพระเยซูทรงตั้งชื่อใหม่ให้ท่าน สำหรับหน้าที่ใหม่ของท่าน เพื่อท่านจะเป็นศิลาที่พระศาสนจักรของพระองค์จะตั้งอยู่
เราทราบว่าบ้านของท่านอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม
เราทราบว่าท่านมีภรรยาเพราะมีการกล่าวถึงแม่ยายของท่าน
เราทราบว่าความเชื่อของท่านหวั่นไหวเมื่อเดินบนน้ำไปหาพระเยซู
เราทราบว่าท่านอ่อนแอและขลาดกลัว จนปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระเยซูเจ้าถึงสามครั้ง
เราทราบว่าท่านได้เข้าไปในที่ฝังพระศพของพระเยซูเจ้าเป็นคนแรกในเช้าวันอาทิตย์ปัสกา

ส่วนอัครสาวกองค์อื่น ๆ เราทราบรายละเอียดของพวกท่านน้อยมาก ๆ ยกเว้นนักบุญเปาโล เพราะท่านให้ศิษย์ของท่านบันทึกเรื่องราวของท่านเอง นี่แสดงว่า บรรดาอัครสาวกทั้งสิบเอ็ด ต่างให้เกียรตินักบุญเปโตรให้เป็นที่หนึ่งในบรรดาพวกท่านทั้งหมด แต่ท่านเปโตรก็ถ่อมตน เพราะในพระวรสารที่บันทึกโดยนักบุญมาระโก ท่านมิได้ให้บันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงมอบกุญแจ แต่พระวรสารเล่มอื่น ๆ กลับมีการบันทึกเรื่องนี้ไว้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าท่านปฏิเสธความเป็นหัวหน้า แต่ท่านไม่ต้องการให้เกียรติตนเอง นอกจากนั้น พระสังฆราชแห่งโรมจะใช้คำเรียกตนเองว่า "ผู้รับใช้แห่งผู้รับทั้งหลายของพระเจ้า"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Slave of God
โพสต์: 336
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 02, 2008 10:47 pm

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 10:33 pm

ขอนั่งฟังอย่างเดียวแล้วกันครับ

::049::

เชิญตามสบายครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 10:39 pm

ไหนๆพูดเรื่องพระสังฆราชแล้ว ขอถามหน่อยละกันครับ

ทำไมนักบุญมาระโกจึงได้เป็นพระอัยกาทั้งๆที่ท่านไม่ใช่12สังฆราชชุดแรก(อัครสาวก)
แล้วทำไม อัครสาวกท่านอื่นๆจึงไม่ได้เป็นพระอัยกาละครับ?
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 11:15 pm

ยศิยล:ผู้หวังในพระเจ้า เขียน: ไหนๆพูดเรื่องพระสังฆราชแล้ว ขอถามหน่อยละกันครับ

ทำไมนักบุญมาระโกจึงได้เป็นพระอัยกาทั้งๆที่ท่านไม่ใช่12สังฆราชชุดแรก(อัครสาวก)
แล้วทำไม อัครสาวกท่านอื่นๆจึงไม่ได้เป็นพระอัยกาละครับ?
เพราะท่านได้ไปเผยแผ่ ข่าวประเสริฐ ที่เมือง อเล็กซานเดรีย ประเทศอียิป ค่ะ ท่านมีชื่อว่า ยอร์น
กิจการ
12:12 เมื่อเปโตรคิดอย่างนั้นแล้ว ก็มาถึงบ้านของมารีย์มารดาของยอห์นผู้มีชื่ออีกว่า มาระโก ที่นั่นมีหลายคนได้ประชุมอธิษฐานกันอยู่
12:13 พอเปโตรเคาะประตูรั้ว มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อโรดามาฟัง
12:14 เมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงของเปโตร เพราะความยินดีก็ยังไม่เปิดประตู แต่วิ่งเข้าไปบอกว่า เปโตรยืนอยู่หน้าประตู
12:15 คนทั้งหลายจึงพูดกับหญิงนั้นว่า "เจ้าเป็นบ้า" แต่หญิงคนนั้นยืนยันว่าเป็นอย่างนั้นจริง เขาทั้งหลายจึงว่า "เป็นทูตสวรรค์ประจำตัวเปโตร"
12:16 ฝ่ายเปโตรยังยืนเคาะประตูอยู่ เมื่อเขาเปิดประตูเห็นท่าน ก็อัศจรรย์ใจ
12:17 แต่เปโตรโบกมือให้เขานิ่ง และเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงพาท่านออกจากคุกอย่าง ไร แล้วท่านสั่งว่า "จงไปบอกเรื่องนี้แก่ยากอบกับพวกพี่น้องให้ทราบ" เปโตรจึงออกไปเสียที่อื่น

กิจการ 15:37 ฝ่ายบารนาบัสได้ตั้งใจว่าจะพายอห์นผู้มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโกไปด้วย

โคโลสี 4:10 อาริสทารคัส เพื่อนร่วมในการถูกจองจำกับข้าพเจ้าและมาระโก ลูกชายของน้องสาวบารนาบัส ฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย (ท่านก็ได้รับคำสั่งถึงเรื่องมาระโกแล้วว่า ถ้าเขามาหาท่าน ก็จงรับรองเขา)

หลังจากที่ พระเยซูถูกประหาร นั้น เหล่าสาวก ของพระเยซูก็ไป พักกับท่าน นับุญมาระโก จนถึงวัน ฟื้นคืนชีพของ พระเยซู ก็เสด็จมา ที่บ้าน หลังนี้ สาวกทั้ง 12 คน และ นักบุญมาระโกก็อยู่ที่นั่้นด้วย โดยครั้ง นั้น ได้บ พระจิตเจ้าได้เสด็จมา เพื่้อ การ สืบทอด อัครสาวกใน ช่วง เพนตาคอส ซึ่ง นักบุญ มาระโก ก็ได้รับพระพร นี้ด้วย
ทั้งนี้ ยังเชื่อการว่า นักบุญมาระโก เป็นคนที่ อยู่ในการอัศจรรย์ ครั้งแรก ของพระเยซู ซึ่งท่านก็ได้อยู่กับ พระมารดาและพระเยซู ในงานแต่งงานั้น โดยพระเยซู เปลี่ยน น้ำเป็นเหล้า องุ่น โดยตัวท่านเป็นคนไปตักน้ำมาใส่ถัง นั้น และ นักบุญมาระโก เป็นหนึ่งใน เจ็ดสิบคนของ อัครสาวก ที่แต่งตั้ง โดย พระเยซูเจ้า

ทรงส่งพยานเจ็ดสิบคนออกไปประกาศ (มธ 9:35-38; 10:1-42)
10:1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบคนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน ให้เข้าไปทุกเมืองและทุกตำบลที่พระองค์จะเสด็จไปนั้น
ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Mark_the_Evangelist
แก้ไขล่าสุดโดย เจนจิรา เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 11:45 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 11:37 pm

สำหรับพี่คิดว่าการย้อยรอยประวัติศาสตร์ ของศาสนา หรือการแตกแยกบนเว็บบอร์ด ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรมากนัก

เรื่องลักษณะนี้จะเกิดประโยชน์ได้ ต้องมีการศึกษา และมีจุดประสงค์ของการศึกษา สามารถสอบถามผู้รู้ที่เข้าใจอย่างแท้จริง

เพราะดีไม่ดีมันจะเป็นเรื่องบาดหมางกันเปล่าๆค่ะ

ถ้าน้องแจ็กกี้สนใจเรื่องแบบนี้จริงๆ น่าจะลงเรียน วิชาด้านเทววิทยา แล้วได้มีการถกเถียง กับอาจารย์ ผู้สอน
เพราะการค้นคว่าทางเน็ต เราไม่ได้รู้เบื้องหน้า เบื้องหลังของผู้เขียน ว่ามาจากสำนักไหน เป็นต้น

ถ้าสนใจเรื่องการจะได้เสวนา หรือฟัง หลักข้อเชื่อ ต่างนิกาย น้องสามารถ เข้าฟังเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ได้ค่ะ

เรามีการเข้าค่ายสัมมนาหลักข้อเชื่อ ระหว่างนิกาย ซึ่งเราจัดมา 7 ปีแล้ว ปีนี้เพิ่งเสร็จ วันนี้เอง (15-17 ม.ค.)

ปีหน้าจะเป็น 14-16 ม.ค. ค่ะ คาดว่าจะจัดที่บ้านผู้หว่าน อีกครั้ง ค่ะ (ถึงแม้น้องเณรแสงธรรมจะเบื่อแล้ว )
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 11:40 pm

Grey Cat =^. .^= เขียน:
ป.ล.2 การไว้เคราหรือไม่ไว้ ไม่เกี่ยวกับหลักศรัทธา หรือเป็นข้อแตกต่างระหว่างคาทอลิกและออร์โธด๊อกซ์
มันเป็น"วิถีประชา"มากกว่า ดูอย่างคุณวลาดิเมียรก็ไม่มีเครา คุณพ่อแถบญี่ปุ่นก็ไม่ไว้ ผมเองอยากไว้แต่ก็ไม่มี

ข้อแตกต่างระหว่างคาทอลิกและออร์โธด๊อกซ์ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเคราหรอก

(ตัวอย่าง )
ไม่งั้นพระศาสนจักรไทยคุณพ่อเสื้อหล่อ(ปัจจุบัน)สีขาว แต่ที่โรมสีดำ(สมเด็จพระสันตะปาปาเท่านั้นถึงจะใส่สีขาวได้)
พระศาสนจักรไทยใช้การกราบพระแท่น แต่ที่โรมใช้การจูบพระแท่น
ก็ไม่เห็นมีการแตกพระศาสนจักรเลย จริงไหม

ผมว่าไม่ควรเอาเรื่องเครามาเป็นเรื่องข้อแตกต่างของศาสนจักร(เหมือนมีหนังสือเล่มหนึ่ง ที่คริสเตียนแบ๊บติสต์เอามาเขียน)
เพราะมันไม่เกี่ยวกันเลย เป็นเพียงวิถีประชาเท่านั้น
ในความเป็นจริง ปัจจุบัน เรา (สัตบุรุษ) คงเห็นเหมือนกันว่า ไร้ประโยชน์ที่จะมาถกเถียงกันเรื่องหนวดเครา หรืออะไรทำนองนี้
เพราะในความเป็นจริง มนุษย์เรามีการศึกษามากขึ้น และรู้มันไม่ใช่สาระของความรอดเลย
แต่เรื่องของ "ศักดิ์ศรี" หรือการเชื่อมโยงไปถึง "อำนาจสั่งการ" มันก็ทำให้เป็นเรื่องเป็นราวได้
เพราะถ้าพระศาสนจักรทั้งปวงโกนหนวดเคราทิ้ง ก็อาจกลายเป็นว่า โรมมีอำนาจมากกว่าคอนสแตนติโนเปิล สามารถสั่งให้ทำแม้ในเรื่องเล็กๆ ได้
หรือถ้าพระศาสนจักรทั้งปวงไว้หนวดไว้เครา ก็อาจกลายเป็นว่า โรมยอมรับอำนาจคำสั่งของคอนสแตนติโนเปิลในขณะเดียวกัน

กรณีเครา ต้องมองจากประวัติศาสตร์ว่า คนโบราณแถบนั้นไ้ว้เครากันจริง แต่โรมันไม่ได้นิยมไว้เครากันเป็นล่ำเป็นสันขนาดนั้น
ลองดูปฏิมากรรมส่วนใหญ่ ก็ค่อนข้างชัดเจนว่า โรมัน กับ มีดโกนหนวด และโรงอาบน้ำ เป็นของที่แยกกันไม่ค่อยจะได้
เคราจึงไม่ใช่สาระสำคัญอย่างที่บอกไป แต่มันก็ได้รับการถ่ายทอดเข้าสู่องค์กรที่อยู่ซ้อนกับมันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ส่วนกรณีที่เสื้อหล่อ นั้น ต้องบอกว่า ได้มีการอนุญาต หรือในเชิงปฎิบัติการจากสันตะสำนัก และสภาพระสังฆราชท้องถิ่นก็ได้รับหลักการมาปฏิบัติแล้ว
ก็คือให้ประเทศในเขตศูนย์สูตรใส่เสื้อหล่อสีขาวได้ แต่เมื่อใดที่เดินทางไปยังสันตะสำนัก ก็ให้ใช้จารีตเดิมตามความเหมาะสม
ไม่ใช่เรื่องสีที่แบ่งแยกแตกต่าง อีกทั้ง ฉลองพระองค์ของพระสันตะปาปา ใช้่สีขาวเป็นหลักอยู่แล้วครับ
และในความเป็นจริง ก็มีกฎที่เราเห็นว่า "หยุมหยิมยิบย่อย" มากมาย เช่น สีของสร้อยห้อยกางเขน สีอัญมณีหัวแหวน สีผ้าคาดเอว ฯลฯ
ซึ่งก็เป็นไปตามแบบแผนจารีตโรมัน ที่มีตราไว้เป็นกฎหมายอย่างชัดเจน

จะบอกว่า ไม่เกี่ยว ก็คงไม่ได้ แต่จะยกให้เป็นสาระเพื่อทุ่มเถียงเป็นหลักก็ไม่ใช่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 11:41 pm

ยศิยล:ผู้หวังในพระเจ้า เขียน: ไหนๆพูดเรื่องพระสังฆราชแล้ว ขอถามหน่อยละกันครับ

ทำไมนักบุญมาระโกจึงได้เป็นพระอัยกาทั้งๆที่ท่านไม่ใช่12สังฆราชชุดแรก(อัครสาวก)
แล้วทำไม อัครสาวกท่านอื่นๆจึงไม่ได้เป็นพระอัยกาละครับ?
คำตอบเป็นข้อๆเลยนะครับ
1.พระอัยกา ไม่ใช่ประมุขของพระศาสนจักร
2.พระอัยกาเป็นตัวแทนของสภาสังฆราชเท่านั้น ไม่ได้มีตำแหน่งสูงกว่าสังฆราชองค์อื่น
3.เพราะในเขตการปกครองของท่านมีพระสังฆราชเพียงองค์เดียว
4.สันตะสำนักในสมัยนั้น(รวมทั้งออร์โธด๊อกซืในปัจจุบัน)เป็นเพียงแค่สัญญลักษณ์ตัวแทนของสังฆมณฑลนั้นๆเท่านั้น

ทำไมอัครสาวกท่านอื่นจึงไม่เป็นพระสังฆอัยกาหรือสังฆราช?
1.น.เปาโล ก็เป็นธรรมฑูต
2.ข้อมูลมีกล่าวถึงเยอะ แต่ล้วนเป็นข้อมูลที่ไม่ชัดเจนมากๆ
 2.1เช่น น.โธมัส เป็นธรรมฑูตไปอินเดียและเป็นมรณะสักขีที่นั่น(เห็นได้ว่าไม่ชัดเจนจริงๆ)
 2.2บ้างว่าน.บาร์โธโลมิว เป็นพระสังฆราชองค์แรกของพระศาสนจักรอาร์เมเนียน
3.ย้ำอีกครั้งว่า "พระอัยกาเป็นตัวแทนของสภาสังฆราชเท่านั้น ไม่ได้มีตำแหน่งสูงกว่าสังฆราชองค์อื่น"
4.เป็นการยกย่องของคนในรุ่นหลัง(แต่ยังอยู่ในศตวรรษแรก)ให้เป็นพระสังฆราชของท้องถิ่นตนเอง
5.จากการยกย่องในข้อ4 จึงมีการวิเคราะห์ว่าน.องค์ใดเป็นตัวแทนของเขตการปกครองนั้นๆ
  จึงมักยกผู้ที่มาแพร่ธรรมองค์แรกเป็นตัวแทนสภาพระสังฆราช(พระสังฆอัยกา)องค์แรก


ป.ล.ผมถึงบอกว่าเรื่อง"เครา" มันเป็น "วิถีประชา"
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 11:47 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 11:50 pm

Prod Pran เขียน:
สำหรับพี่คิดว่าการย้อยรอยประวัติศาสตร์ ของศาสนา หรือการแตกแยกบนเว็บบอร์ด ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรมากนัก

เรื่องลักษณะนี้จะเกิดประโยชน์ได้ ต้องมีการศึกษา และมีจุดประสงค์ของการศึกษา สามารถสอบถามผู้รู้ที่เข้าใจอย่างแท้จริง

เพราะดีไม่ดีมันจะเป็นเรื่องบาดหมางกันเปล่าๆค่ะ

ถ้าน้องแจ็กกี้สนใจเรื่องแบบนี้จริงๆ น่าจะลงเรียน วิชาด้านเทววิทยา แล้วได้มีการถกเถียง กับอาจารย์ ผู้สอน
เพราะการค้นคว่าทางเน็ต เราไม่ได้รู้เบื้องหน้า เบื้องหลังของผู้เขียน ว่ามาจากสำนักไหน เป็นต้น

ถ้าสนใจเรื่องการจะได้เสวนา หรือฟัง หลักข้อเชื่อ ต่างนิกาย น้องสามารถ เข้าฟังเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ได้ค่ะ

เรามีการเข้าค่ายสัมมนาหลักข้อเชื่อ ระหว่างนิกาย ซึ่งเราจัดมา 7 ปีแล้ว ปีนี้เพิ่งเสร็จ วันนี้เอง (15-17 ม.ค.)

ปีหน้าจะเป็น 14-16 ม.ค. ค่ะ คาดว่าจะจัดที่บ้านผู้หว่าน อีกครั้ง ค่ะ (ถึงแม้น้องเณรแสงธรรมจะเบื่อแล้ว )
น่าไปนะค่ะ  : emo056 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ecclēsia
โพสต์: 976
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 27, 2009 9:25 pm
ที่อยู่: อาสนวิหารอัสสัมชัญ เขต1 อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
ติดต่อ:

อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 11:57 pm

Prod Pran เขียน:
สำหรับพี่คิดว่าการย้อยรอยประวัติศาสตร์ ของศาสนา หรือการแตกแยกบนเว็บบอร์ด
ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรมากนักเรื่องลักษณะนี้จะเกิดประโยชน์ได้ ต้องมีการศึกษา และมีจุดประสงค์ของการศึกษา
สามารถสอบถามผู้รู้ที่เข้าใจอย่างแท้จริง  เพราะดีไม่ดีมันจะเป็นเรื่องบาดหมางกันเปล่าๆค่ะ


ถ้าน้องแจ็กกี้สนใจเรื่องแบบนี้จริงๆ น่าจะลงเรียน วิชาด้านเทววิทยา แล้วได้มีการถกเถียง กับอาจารย์ ผู้สอน
เพราะการค้นคว่าทางเน็ต เราไม่ได้รู้เบื้องหน้า เบื้องหลังของผู้เขียน ว่ามาจากสำนักไหน เป็นต้น

ถ้าสนใจเรื่องการจะได้เสวนา หรือฟัง หลักข้อเชื่อ ต่างนิกาย น้องสามารถ เข้าฟังเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ได้ค่ะ

เรามีการเข้าค่ายสัมมนาหลักข้อเชื่อ ระหว่างนิกาย ซึ่งเราจัดมา 7 ปีแล้ว ปีนี้เพิ่งเสร็จ วันนี้เอง (15-17 ม.ค.)

ปีหน้าจะเป็น 14-16 ม.ค. ค่ะ คาดว่าจะจัดที่บ้านผู้หว่าน อีกครั้ง ค่ะ (ถึงแม้น้องเณรแสงธรรมจะเบื่อแล้ว )
เห็นด้วย "อย่างยิ่ง" ค่ะ  คริสตศาสนจักรสัมพันธ์มีความละเอียดอ่อนมากกว่าที่หลายท่านคิด ให้เกียรติซึ่งกันเเละกันนะคะ


ปล. จริงๆอยากไปฟังงานนี้มากมาย -*- น่าเสียดาย
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ม.ค. 18, 2010 12:10 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

จันทร์ ม.ค. 18, 2010 4:20 am

Ecclēsia เขียน:
Prod Pran เขียน:
สำหรับพี่คิดว่าการย้อยรอยประวัติศาสตร์ ของศาสนา หรือการแตกแยกบนเว็บบอร์ด
ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรมากนักเรื่องลักษณะนี้จะเกิดประโยชน์ได้ ต้องมีการศึกษา และมีจุดประสงค์ของการศึกษา
สามารถสอบถามผู้รู้ที่เข้าใจอย่างแท้จริง  เพราะดีไม่ดีมันจะเป็นเรื่องบาดหมางกันเปล่าๆค่ะ


ถ้าน้องแจ็กกี้สนใจเรื่องแบบนี้จริงๆ น่าจะลงเรียน วิชาด้านเทววิทยา แล้วได้มีการถกเถียง กับอาจารย์ ผู้สอน
เพราะการค้นคว่าทางเน็ต เราไม่ได้รู้เบื้องหน้า เบื้องหลังของผู้เขียน ว่ามาจากสำนักไหน เป็นต้น

ถ้าสนใจเรื่องการจะได้เสวนา หรือฟัง หลักข้อเชื่อ ต่างนิกาย น้องสามารถ เข้าฟังเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ได้ค่ะ

เรามีการเข้าค่ายสัมมนาหลักข้อเชื่อ ระหว่างนิกาย ซึ่งเราจัดมา 7 ปีแล้ว ปีนี้เพิ่งเสร็จ วันนี้เอง (15-17 ม.ค.)

ปีหน้าจะเป็น 14-16 ม.ค. ค่ะ คาดว่าจะจัดที่บ้านผู้หว่าน อีกครั้ง ค่ะ (ถึงแม้น้องเณรแสงธรรมจะเบื่อแล้ว )
เห็นด้วย "อย่างยิ่ง" ค่ะ  คริสตศาสนจักรสัมพันธ์มีความละเอียดอ่อนมากกว่าที่หลายท่านคิด ให้เกียรติซึ่งกันเเละกันนะคะ


ปล. จริงๆอยากไปฟังงานนี้มากมาย -*- น่าเสียดาย
เห็นด้วยครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ม.ค. 18, 2010 4:34 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
sinner
โพสต์: 2246
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 1:24 pm

จันทร์ ม.ค. 18, 2010 8:19 am

Ministry Of Men เขียน:
Ecclēsia เขียน:
Prod Pran เขียน:
สำหรับพี่คิดว่าการย้อยรอยประวัติศาสตร์ ของศาสนา หรือการแตกแยกบนเว็บบอร์ด
ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรมากนักเรื่องลักษณะนี้จะเกิดประโยชน์ได้ ต้องมีการศึกษา และมีจุดประสงค์ของการศึกษา
สามารถสอบถามผู้รู้ที่เข้าใจอย่างแท้จริง  เพราะดีไม่ดีมันจะเป็นเรื่องบาดหมางกันเปล่าๆค่ะ


ถ้าน้องแจ็กกี้สนใจเรื่องแบบนี้จริงๆ น่าจะลงเรียน วิชาด้านเทววิทยา แล้วได้มีการถกเถียง กับอาจารย์ ผู้สอน
เพราะการค้นคว่าทางเน็ต เราไม่ได้รู้เบื้องหน้า เบื้องหลังของผู้เขียน ว่ามาจากสำนักไหน เป็นต้น

ถ้าสนใจเรื่องการจะได้เสวนา หรือฟัง หลักข้อเชื่อ ต่างนิกาย น้องสามารถ เข้าฟังเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ได้ค่ะ

เรามีการเข้าค่ายสัมมนาหลักข้อเชื่อ ระหว่างนิกาย ซึ่งเราจัดมา 7 ปีแล้ว ปีนี้เพิ่งเสร็จ วันนี้เอง (15-17 ม.ค.)

ปีหน้าจะเป็น 14-16 ม.ค. ค่ะ คาดว่าจะจัดที่บ้านผู้หว่าน อีกครั้ง ค่ะ (ถึงแม้น้องเณรแสงธรรมจะเบื่อแล้ว )
เห็นด้วย "อย่างยิ่ง" ค่ะ  คริสตศาสนจักรสัมพันธ์มีความละเอียดอ่อนมากกว่าที่หลายท่านคิด ให้เกียรติซึ่งกันเเละกันนะคะ


ปล. จริงๆอยากไปฟังงานนี้มากมาย -*- น่าเสียดาย
เห็นด้วยครับ

::031::ตามนั้นค่ะ จะวันอธิษฐานเพื่อเอกภาพคริสตชนแล้ว มาสวดกันดีกว่าค่ะ  ::022::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Léon
โพสต์: 766
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 8:43 pm
ที่อยู่: แผ่นดินโลก
ติดต่อ:

พุธ ม.ค. 27, 2010 2:19 am

อืมมมมม ผมก็คืดว่า แต่ละคนที่นำข้อมูลมาก็เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้นะครับ
ก็ไม่ได้มีบรรยากาศของความขัดแย้งระหว่างพี่น้องแต่อย่างใด

ผมว่ากลับสนุกครับ ที่ได้อ่านข้อมูลของทั้งสองฝ่าย
และใช้ความเป็นกลางในการศึกษาวาทกรรมดังกล่าว

ผมคิดว่า แต่ละคนคงไม่ได้เกิดความบาดหมางต่อกันหรอก ใช่มั้ยครับ
นี่ก็คือบรรยากาศความเข้มข้นของการแลกเปลี่ยนเชิงวิชาการ ที่พบบ่อยๆ

ผมชอบกระทู้นี้ครับ ดูไม่ออกทะเล ขอโหวตเป็นกระทู้ที่ผมสนใจในรอบเดือนนี้
ฮุๆๆๆๆๆ ขอบคุณสาว Jacky ที่เปิดประเด็น ทำให้ผมมีเวลาในการอ่านเพิ่มขึ้น
และรู้เกี่ยวกับออร์ทอดอกซ์ เพิ่มขึ้นเยอะเลย  : xemo026 : : xemo026 : : xemo026 : : xemo026 : : xemo026 : : xemo026 :

มันกระตุ้นให้เราแสวงหาข้อมูลเพิ่มขึ้น
เป็นสีสันของการเป็นคริสตชน ที่ต้องพบปะกับความคิดที่หลากหลาย
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ ม.ค. 27, 2010 2:25 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Bar_Blue
โพสต์: 92
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ค. 16, 2009 10:37 am

พฤหัสฯ. ม.ค. 28, 2010 7:43 pm

หากจดจ่ออยู่แต่อดีตแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่มีการพัฒนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
godlike
โพสต์: 472
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มิ.ย. 09, 2009 2:21 am

ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 12:27 pm

การที่จะดูแลคนจำนวนมาก ในที่นี้หมายถึง พระศาสนจักรทั้งโลก มีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำสูงสุด เพื่อเป็นประมุข จำเป็นต้องมีกฏเกณฑ์ เพื่ออยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว มีคำสอนหนึ่งเดียว ใช้ร่วมกัน  ถ้าเราไม่มีประมุขสูงสุดก็คงแตกยิบย่อยมากมาย เหมือนบางที่ที่ไม่มีประมุขก็แตกเป็นดอกเห็ด
แก้ไขล่าสุดโดย godlike เมื่อ เสาร์ ม.ค. 30, 2010 2:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 12:29 pm

godlike เขียน: การที่จะดูแลคนจำนวนมาก ในที่นี้หมายถึง พระศาสนจักรทั้งโลก มีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำสูงสุด เผื่อเป็นประมุข จำเป็นต้องมีกฏเกณฑ์ เผื่ออยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว มีคำสอนหนึ่งเดียว ใช้ร่วมกัน  ถ้าเราไม่มีประมุขสูงสุดก็คงแตกยิบย่อยมากมาย เหมือนบางที่ที่ไม่มีประมุขก็แตกเป็นดอกเห็ด
เห็นด้วยครับคุณน้อง  : emo038 :
Bar_Blue
โพสต์: 92
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ค. 16, 2009 10:37 am

เสาร์ ม.ค. 30, 2010 10:47 am

godlike เขียน: การที่จะดูแลคนจำนวนมาก ในที่นี้หมายถึง พระศาสนจักรทั้งโลก มีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำสูงสุด เผื่อเป็นประมุข จำเป็นต้องมีกฏเกณฑ์ เผื่ออยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว มีคำสอนหนึ่งเดียว ใช้ร่วมกัน  ถ้าเราไม่มีประมุขสูงสุดก็คงแตกยิบย่อยมากมาย เหมือนบางที่ที่ไม่มีประมุขก็แตกเป็นดอกเห็ด
เพิ่มเติมอีกนิดนะครับ  และอาจทำให้ความเชื่อผิดไปจากเดิมได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เจนจิรา
โพสต์: 1168
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ธ.ค. 21, 2008 12:13 am

เสาร์ ม.ค. 30, 2010 11:20 pm

พระศาสนจักร ตะวันออกก็ไม่เห็น จะมีแนวคิด ที่ แวกแนว ในเรื่องความเชื่อ และคำสอน ทั้งๆ ที่ ตำแหน่งทางพระศาสนจักร จะมี สูงสุด เพียง พระอัครสังฆราช เรายังเหมือนเดิม และยึดมั่นธรรมเนียมเดิม ทุกอย่าง โดยไม่ยอม รับ การพัฒนา ทาง  ศาสนศาตร์ ไม่ว่าเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น โดยถือว่า หาก ก้่าว ล่วงไปกว่า ที่ เรา มีมาแต่ก่อน สิ่ง นั้นเกรงว่า เป็น คำสอนที่ นอกรีต
โดย การประชุมการใช้คำสอนร่วมกัน นั้น ต้องยึดหมั่น ในคำสอนของ พระศาสนจักร ที่พระเยซู ทรงตั้ง ขึ้น เมื่อ 2000 ปี ทีแล้ว  โดยการประชุมร่วมกัน และ ร่วมกันลงประชามติ เอกฉันท์ จาก สังฆราชจาก ทุกประเทศ โดยไม่ต้อง มีตำแหน่ง ที่ สูงกว่า นี้ อนุมัติ เพราะ เรา ( orthodox และ Roman cathlic เคย  ทำแบบนี้มาก่อน )
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ ม.ค. 30, 2010 11:24 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ตอบกลับโพส