@.การสมรสของคริสเตียน.@

คริสตสัมพันธ์ เอกภาพในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 2:13 pm

เรียนพี่-น้องคริสตชนที่นับถือ

กระทู้นี้มีจุดประสงค์ที่จะเสนอแนะ แนวทางในการเลือกคู่ครอง ของหนุ่มๆสาวๆ ดิฉันได้เขียนบทความขนาดยาวบทนี้เพื่อใช้อบรม เยาวชนคริสเตียน ซึ่งคิดว่า น่าจะเหมาะสมกับเยาวชน ของคาทอลิกที่พอจะเป็นแนวทางในการเลือกคู่ครองเช่นกัน
ดิฉันได้มีโอกาส เป็นวิทยากรค่าย เยาวชนคริสเตียน หลายครั้ง หัวข้อที่นำในสัมมนาเชิงปฏิบัติ (workshop )เรื่อง “การเลือกคู่ครองของคริสเตียน” จะเป็นหัวข้อที่มีเยาวชน เลือกมาก เคยมีผู้เข้าร่วมอายุน้อยที่สุด เด็กชายอายุ 9 ขวบ แกมีคำถาม เด็ดๆ มัน เฮฮา เป็นสีสันในการสัมมนามากมาก

ดิฉัน ขอนำคำถามที่เยาวชนชอบถามศิษยาภิบาลของเรา ดังต่อไปนี้ :

คำถาม: คริสเตียน แต่งงานกับศาสนิกอื่นได้ ไหม

ตอบ: ได้ ….แต่ศาสนาจารย์ /ศิษยาภิบาล หรือ ผู้อาวุโสของคริสตจักร ไม่สนับสนุน เพราะ สังเกตในระยะยาวแล้ว ส่วนใหญ่ทำให้ครอบครัว มีปัญหา หรือความยุ่งยากในการครองคู่อย่างมาก อีกอย่างหนึ่งต้องคิดถึงอนาคตของลูกที่จะเกิดมาด้วย เพราะเมื่อมีทายาท ก็ไม่สามารถแนะนำลูกๆได้ว่าควรจะนับถือศาสนาไหน และบ่อยครั้งที่คู่สามี ภรรยา นำเรื่องความเชื่อไปสู่ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง กันภายในครอบครัว และวงศาคณาญาติ แทนที่จะครองคู่กันอย่างมีความสุข แต่กลับเป็นความขมขื่นของชีวิต ชนิดที่เรียกว่า “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”

ดัง นั้น ถ้า หนุ่มๆสาวๆมาขอคำปรึกษา ศิษยาภิบาลท่าน มักจะแนะนำให้ คริสเตียน ช่วยประกาศ เป็นพยานให้คู่ของตนเชื่อพระเจ้าก่อน …..แต่ถ้า พวกเขายังยืนยัน ที่จะแต่ง ศิษยาภิบาล ก็ทำพิธีให้ และบอกฝ่ายที่เป็นคริสเตียนตรงๆ ว่า คุณต้องเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตประจำวัน ที่จะนำคู่ครองของคุณมารู้จักพระเจ้า…และบอกเขาตรงๆว่าเขาจะต้องเตรียมรับ ปัญหาอะไรบ้าง …ศิษยาภิบาลได้แต่หนุนใจอย่าให้พวกเขาทิ้งโบสถ์ อย่าทิ้งพระเจ้า และมีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า ทูลวิงวอนขอพระเจ้าเมตตาเสมอ
+++++++++++++++++++++

คำถาม: ถ้าคู่สมรสของคริสเตียน นับถือศาสนาอื่น เขามีสิทธิ์ทำพิธีสมรสในโบสถ์/คริสตจักรได้ไหม

ตอบ: ขึ้นอยู่กับธรรมนูญของคริสตจักรนั้นๆค่ะ อย่างคริสตจักรที่ดิฉันเป็นสมาชิก ไม่อนุญาต
และหลายๆคริสตจักรอนุญาต … ดังนั้นคู่สมรส ต้องไปขอใช้สถานที่คริสตจักรที่อนุญาต
ปัจจุบันนี้ คู่สมรสจำนวนมาก ใช้ ห้องประชุมของโรงแรม เพื่อประกอบพิธีสมรส และเลี้ยงรับรอง
การเลี้ยง รับรอง: ไม่จำเป็นถ้าคู่สมรส ที่ฐานะเศรษฐกิจไม่ดี เสร็จพิธีในโบสถ์แล้ว จะเลี้ยงรับรอง
ด้วยของว่าง ….พิธี มักจะทำตอนบ่ายๆ

หมายเหตุ: ทั้งคริสตจักรที่อนุญาต และไม่อนุญาต ต่างก็มีเหตุผลที่ดี
+++++++++++++++++++++++++++++

คำ ถาม: คริสเตียนควรเลือกวันแต่งงานอย่างไร เช่น ถือ กฤษ์-ยาม ข้างขึ้น ข้างแรมไหม ฯลฯ

ตอบ: ฤกษ์-ยาม: คริสเตียนไม่ถือฤกษ์-ยาม หรือเลือกยามสะดวก.... ส่วนมากจะเลือกวันศุกร์ บ่าย หรือเสาร์บ่าย หรือวันหยุดของราชการ….ถ้าต่างจังหวัดมักจะเลือกก่อนเที่ยง เพื่อจะได้รับประทานอาหารเที่ยงกัน

-ช่วงมหาพรต คริสตจักรในเครือสภาคริสตจักร ส่วนใหญ่ จะไม่อนุญาต ให้มีพิธีสมรส หรือ
บาง คริสตจักรอนุญาต แต่ศาสนาจารย์ บางท่านจะไม่ประกอบพิธีให้
++++++++++++++++++++++++++++++

.ถาม: ใครคือผู้ประกอบพิธีสมรส ของคริสเตียน

ตอบ: คริสเตียนสังกัดสภาคริสตจักรในประเทศไทย ผู้ประกอบพิธี คือศาสนาจารย์ หรือศิษยาภิบาล ที่ได้รับการสถาปนา ( การปรกมือ ) เป็นผู้ประกอบพิธีสมรสได้ ถึงแม้ว่าคริสเตียนมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ 2 พิธี คือ “บัพติสมา” ( ล้างบาป ) และ “มหาสนิท” ….แต่เราให้ความสำคัญกับการสมรสมากทีเดียวเพราะเชื่อว่า “ครอบครัว”คือสถาบันแรกที่พระเจ้าทรงสถาปนา และพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางของครอบครัว
++++++++++++++++++++++++++++++++

ถาม: ก่อนสมรส คู่สมรส ต้องเตรียมอะไรบ้าง

ตอบ: ต้องเรียน หลักคำสอน ก่อนสมรส ซึ่งผู้ประกอบพิธีเป็นคนสอน หรือให้คำแนะนำในลักษณะการให้คำปรึกษา
……: ผู้ประกอบพิธี หลายๆท่านจะแอบไม่สืบประวัติ หนุ่ม-สาวคู่นี้ ว่าเหมาะสมที่จะประกอบพิธีให้หรือไม่…เช่นไม่อยู่กินกันก่อนสมรส ไม่มีภรรยา หรือสามีมาก่อนสมรส ฯลฯ
------ ใกล้ๆวันประกอบพิธีสมรส คู่สมรสต้องไปจดทะเบียนสมรส เพื่อใช้ในวันประกอบพิธี ( แต่ยังอยู่กินฉันสามี-ภรรยาไม่ได้จนกว่าจะประกอบพิธี )
++++++++++++++++++++++++++++++++

ถาม: สินสอด จำเป็นไหม

ตอบ: แล้วแต่ธรรมเนียมประเพณี ของเชื้อชาติ ซึ่งเป็นเรื่องของการตกลง ระหว่างคู่สมรส และครอบครัวทั้งสอง …จะไม่เกี่ยวกับพิธีของโบสถ์ .... เพราะพิธีในโบสถ์จะใช้แหวน ทองคำ หรือ เงิน สองวง เท่านั้น
images7.jpg
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 2:16 pm

( ตอนที่ 1 )

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ชายและหญิง

พระ เจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้น ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและเป็นหญิง (ปฐมกาล 1.27) พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ในลักษณะสูงส่งมีศีลธรรมมีลักษณะชอบธรรมของพระองค์ และมีลักษณะเป็นสังคม คือมีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ชายและหญิง พระเจ้าทรงสร้างชายและหญิงให้มีลักษณะเป็นคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมต่อกันและ กัน (ปฐมกาล 2.20) พระเจ้าทรงสร้างหญิงและนำหญิงนั้นมาให้แก่ชายเป็นภรรยาของเขา ด้วยเหตุนี้เขาทั้งสองจึงผูกพันกัน และอยู่ร่วมกันเป็นเนื้อเดียวกันและทั้งสองเปลือยกายอยู่และไม่อายกัน (ปฐมกาล 2.25)

การเปลือยกายนั้นไม่เพียงแต่มีความหมายในทางกายภาพท่านั้น แต่ยังหมายถึงการรู้จักกันอย่างที่เขาเป็น อาดัมและเอวาเปลือยกายอยู่และไม่อายกัน หมายถึงอาดัมรู้จักเอวาภรรยาของเขา และการรู้จักนั้นไม่เหมือนการรู้จักในชีวิตนอกสมรส เมื่อพระเจ้าทรงสร้าง ชายและหญิง พระองค์ทรงเห็นว่าดี พระองค์ทรงพอพระทัยในเขาทั้งสอง พระองค์ให้เขามีความสัมพันธ์ทางเพศต่อกัน ให้เขาสืบพันธุ์ ทรงอวยพรแก่เขาให้เขามีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ชายและหญิงเป็นสิ่งที่ยอมรับในสายพระเนตร ของพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงสร้างอาดัมและเอวา
พระเจ้าทรงอวยพระพรโน อาห์และบุตรทั้งหลาย พระเจ้าตรัสแก่เขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน” (ปฐมกาล 9.1) ด้วยเหตุนี้ความต้องการทางเพศของมนุษย์จึงเป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้าทรงประทาน ให้มีในมนุษย์ชายและหญิง แต่เมื่ออาดัมและเอวาตกอยู่ในความบาปและความบาปในตัวมนุษย์ทำให้ลักษณะ บริสุทธิ์ของมนุษย์เสื่อมลง และเรื่องเพศของมนุษย์ก็เสื่อมลงด้วย มนุษย์สนองความต้องการของตนในเรื่องเพศในทางชั่วและน่าเกลียดน่าชังในสายพระ เนตรของพระเจ้า
“คนทั้งโลกเสื่อมทรามไปในสายพระเนตรของพระเจ้า และแผ่นดินก็เต็มไปด้วยความทารุณ พระเจ้าทอดพระเนตรแผ่นดินก็ทรงเห็นว่าเสื่อมทรามเพราะบรรดามนุษย์ประพฤติตน เสื่อมทรามบนแผ่นดิน” (ปฐมกาล 6.11-12)

มนุษย์ได้ทำชั่วในสายพระ เนตรของพระเจ้าในเรื่องเพศตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงปัจจุบัน มีการล่วงประเวณี มีการสมสู่กันในหมู่พวกเพศเดียวกัน พระเจ้าได้ทำลายคนที่กระทำเช่นนี้ ตัวอย่างเช่น ชาวเมืองโสโดมและโกโมราห์ที่ต้องการจะสมสู่กับทูตสวรรค์ของพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงทำลายเมืองนั้นเสีย (ปฐมกาล 19) การข่มขืน (ปฐมกาล 34.2,อพยพ 22.16) การร่วมประเวณีกับสัตว์ (อพยพ 22.19) การกระทำลามกอนาจารต่าง ๆ ตามที่มนุษย์จะคิดหาวิธีทำ การกระทำในทางเพศเหล่านี้ไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ภาพพจน์ความสัมพันธ์ทางเพศที่เคยมีในอาดัมและเอวาเสื่อมลง เมื่ออาดัมและเอวาได้ทำบาปต่อพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตามวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามในเรื่องเพศก็ยังมีอยู่ในสังคมที่มีแบบแผนที่ดี
images_2.jpg
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 2:22 pm

(ตอนที่ 2 )

การเลือกคู่ครอง

ก่อนการสมรส ก็มีขั้นตอนของการเลือกคู่ครอง วิธีเลือกคู่ครองของหลายวัฒนธรรม อาจจะมีประเพณีที่ต่างกัน เช่น ผู้ใหญ่เป็นผู้เลือกให้ หรือตัวเองมีเสรีภาพในการเลือกคู่ หนุ่มสาวจำนวนมาก สับสนในการเลือกคู่ และมักจะสงสัยว่า คนที่คบกันเป็นคนที่พระเจ้าประทานให้หรือไม่ หรือทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าคนที่เราคบกันอยู่คือเนื้อคู่ของเรา เป็นต้น

การเลือกคู่ครองที่ดี เข้าใจกันและไปกันได้ ก็จะไม่เป็นปัญหาภายหลัง การหย่าร้างจะไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีหนุ่มสาวคริสเตียนหลายคนเลือกคู่ครองโดยไม่พิจารณาให้รอบครอบ จึงก่อให้เกิดปัญหาครอบครัว เป็นผลเสียร้ายแรงต่อชีวิต เพราะจะไม่มีความสุขในชีวิตคู่ของเขา หญิงชายที่แต่งงานกันเรียกว่าเป็นคู่ อยู่กินด้วยกันเป็นการครองคู่ คือให้ความเป็นคู่ดำรงอยู่ การจะเลือกใครมาเป็นคู่ หรือจะใช้เกณฑ์ใดเลือก เขาจำเป็นต้องดูจากตัวเองเป็นปฐม มิฉะนั้นจะไม่รู้ว่าใครสมควรจะมาเป็นคู่

การที่บุคคลจะร่วมชีวิตกันแล้ว บุคลิกภาพของผู้ที่เลือกละของผู้ที่ได้รับเลือกย่อมมีความสำคัญต่อชีวิตสมรส บุคลิกภาพก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเข้าเป็นตัวบุคคล ดังนั้นเกณฑ์ในการเลือกคู่สมรสจึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบหลายอย่างรวมกัน เช่น

1.รูปร่างหน้าตา: การเลือกคู่ครองโดยดูจากรูปร่างหน้าตานั้น จะเห็นว่าความงามสำหรับคนหนึ่ง ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นความงามที่สังคมยอมรับโดยทั่วกัน แต่ควรเป็นความงามที่ผู้เลือกนิยม ผู้เลือกควรตระหนักว่าสังขารของมนุษย์นั้นไม่จีรัง ย่อมเปลี่ยนไปได้ตามกาลเวลาที่ผ่านไป ไม่ว่าชายหรือหญิง

2.ลักษณะนิสัย: ชีวิตสมรสที่ผาสุกและยั่งยืนเกิดจากบุคลิกภาพที่ผสมกลมกลืนกันได้ ไม่ควรจะเสี่ยงว่าหลังจากการสมรสกันเรียบร้อยแล้วคู่สมรสจะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะความประพฤติที่เคยปฏิบัติจนเป็นความเคยชินนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากที่สุด ฉะนั้นก่อนการสมรสจึงจำเป็นต้องสำรวจบุคลิกภาพของผู้ที่มาเป็นคู่ครองของตน และบุคลิกภาพของตนเองด้วย เพื่อที่จะดูว่าเข้ากันได้หรือไม่

3.วุฒิภาวะทางอารมณ์: อารมณ์ของตนเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในการดำเนินชีวิตสมรส ควรเลือกคนที่บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีความคิดมีเหตุผลรู้จักบังคับตน มีความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่เข้าข้างตนเอง เป็นต้น

4.ปรัชญาชีวิต: คนเรามักจะดำเนินชีวิตตามปรัชญาชีวิตของตน หรืออาจหมายถึงทัศนคติส่วนหนึ่งที่บุคคลมีต่อชีวิตและโลก ถ้าคนสองคนตกลงที่จะร่วมชีวิตกันแล้ว แต่ต่างคนต่างก็มุ่งไปคนละทิศทางตามทัศนคติของตน ตามความพอใจของตนนั้น ชีวิตสมรสก็มักจะต้องประสบความยากลำบากในที่สุด

5.ความสนใจและรสนิยม: ผู้ที่มีความสนใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมักจะเข้ากับบุคคลและสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าคนที่มีความสนใจแคบและจำกัด ความสนใจที่ตรงกันของคู่สมรส ทำให้คู่สมรสทำอะไรที่คล้ายกัน คู่สมรสที่มีรสนิยมและความสนใจที่ตรงกันนั้น เป็นรากฐานอันมั่นคงซึ่งจะช่วยให้ชีวิตมีความสุขยิ่งขี้น

6.วัยสมรสและความต่างวัยของคู่สมรส: สามีภรรยาที่อายุต่างกันเกิน 15 ปี โอกาสที่มีความสุขในชีวิตสมรสมีน้อย เพราะปัจจัยหลายอย่างต้องประกอบกันมาก สามีภรรยาที่มีอายุคราวเดียวกันจะพบว่าความเหมาะสมในการแต่งงานมีมาก ปัญหาก็น้อยกว่า สามีภรรยาที่มีความแตกต่างทางวัยมาก

7.การศึกษาและสติปัญญา: คู่สมรสที่มีระดับการศึกษาสูง มักจะมีความผาสุกในชีวิตสมรสมากกว่าผู้มีระดับการศึกษาต่ำ การมีความรู้ประสบการณ์ก็จะช่วยให้วุฒิภาวะทางอารมณ์มีมากขึ้น และการศึกษาสูงนำไปสู่อาชีพที่ดี ซึ่งเป็นเครื่องประกันฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว

8.เชื้อชาติ ศาสนาและสัญชาติ: คนที่มีวัฒนธรรมประเพณีคล้ายคลึงกันปัญหาการปรับตัวจึงมีน้อย และสามารถปรับตัวได้ง่ายกว่าคนที่มีวัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกัน แต่จะไม่เป็นปัญหาถ้าคู่สมรสมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เรื่องศาสนา และลัทธิความเชื่อ สามีภรรยาที่มีความเชื่อหรือศาสนาเดียวกันจะเข้ากันง่ายกว่าต่างคนต่างเชื่อ

9.สุขภาพทางกายและทางจิต: สุขภาพหมายถึงสวัสดิภาพทางกาย อารมณ์และสังคม

10.ภูมิหลังของครอบครัวของคู่สมรส เช่นฐานะของครอบครัว อาชีพของพ่อแม่

11.ฐานะทางสังคม สิ่งนี้ถือว่าเป็นตัวการอันหนึ่งที่จะมีผลต่อการเลือกคู่ครอง

12.ฐานะทางเศรษฐกิจ มีผู้กล่าวว่า “เมื่อความยากจนเข้ามาทางประตู ความรักก็ย่อมกระโจนออกทางหน้าต่างได้” แล้วสำนวนไทยที่ว่า "กัดก้อนเกลือกิน"ยังใช้ได้ไหมสำหรับการครองคู่ในปัจจุบัน

ถ้าชายหนุ่มหญิงสาวจะเลือกคู่ครองเขาจะดูที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบของบุคคล แต่ไม่ว่าจะเป็นบุคคลประเภทไหนก็ต้องมีเวลาดูกันให้นานพอที่จะรู้ว่าเป็นคู่สมรสที่ดีต่อกันได้หรือไม่ อาจจะดูที่ทัศนคติ ค่านิยมดูว่าไปกันได้หรือไม่ ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไปที่คนที่มีทัศนคติที่ตรงกัน จะถือว่าเป็นคู่สมรสที่เหมาะสมกันที่สุด ตัวอย่างเช่น ถ้าสามีมีค่านิยมในการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยภรรยาก็เป็นคนฟุ่มเฟือยด้วยก็อาจจทำให้ครอบครัวต้องมีหนี้สินก็ได้ เพราะว่าในความไม่เหมือนกันนั้นก็เป็นการอุปถัมภ์ซึ่งกันและกันในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามขาดอยู่ หรืออาจจะดูกันที่ฐานะและระดับการศึกษา หรืออาชีพการงาน หรือเบื้องหลังวัฒนธรรมประเพณี สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนประกอบในการเลือกคู่ครองก็ไม่ใช่เหมือนกันทุกอย่าง คู่สมรสจึงจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในชีวิตสมรสได้ นั่นขึ้นอยู่กับการปรับตัวของทั้งสองฝ่ายว่าสามารถปรับตัวเข้าหากันได้หรือไม่มากน้อยเท่าไหร่

สำหรับคริสเตียนมีอีกเรื่องหนึ่งเพิ่มขึ้น คือการเลือกคู่ครองที่ต่างศาสนา ถ้าหนุ่มสาวไม่มีชีวิตที่เกี่ยวกับศาสนา เรื่องศาสนาก็ไม่สำคัญสำหรับเขา เพราะเขาถือเอาความรักเท่านั้นเป็นบรรทัดฐาน แต่ในพระคัมภีร์ได้บอกไว้แล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างครอบครัวของมนุษย์ ดังนั้นถ้าเราจะเพิกเฉยต่อเรื่องศาสนา (ศาสนาเป็นเรื่องระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า) ก็เท่ากับเราเพิกเฉยต่อความสุขในครอบครัวของตนเอง ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อและเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต

ความรักอย่างที่ฝัน ไม่พอเพียงสำหรับชีวิตคู่ที่ยืนยาว รูปโฉมโนมพรรณทางร่างกาย หรือการชอบพอถูกอัธยาศัยกันชั่วขณะ ไม่ใช่เป็นสิ่งประกันสำหรับชีวิตแต่งงานได้เพราะไม่นานคู่สมรสมักจะพบว่าเขาได้อยู่ในความรักอย่างผิวเผินเสียแล้ว ฉะนั้นการแต่งงานต้องมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าความรักในเรือนร่างภายนอก และรักโดยอารมณ์ชั่วแล่น เพราะว่าความรักเป็นของประทานจากพระเจ้า เป็นรักที่มาจากสวรรค์ รักที่กว้างขวางและอมตะ รักที่ประมาณค่ามิได้ เป็นความรักเพียบพร้อมไปด้วยการเสียสละที่แท้จริง

การสมรสกับคนนับถือศาสนาเดียวกันนั้น ทั้งคู่จะมีทุกอย่างในแนวเดียวกัน เช่น ในด้านสังคม อาชีพ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการพักผ่อนหย่อนใจเป็นสิ่งแวดล้อม เป็นครอบครัว คริสเตียนที่เพียบพร้อมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเขาแต่งงานกับคนต่างศาสนาก่อให้เกิดการหย่าร้างทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย

อัครทูตเปาโล กล่าวว่า “ท่านผู้เป็นสามี ไฉนท่านจะรู้ว่าท่านจะช่วยภรรยาให้รอดได้หรือไม่ ท่านผู้เป็นภรรยา ไฉนท่านจะรู้ได้ว่าท่านจะช่วยสามีให้รอดได้หรือไม่” (1โครินธ์7.16)
images6.jpg
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 2:23 pm

( ตอนที่ 3 )

ด้านเศรษฐกิจและสังคม

การแต่งงานที่มีการเตรียมตัวพร้อม ทำให้ชีวิตครอบครัวมีฐานะที่มั่นคง ทั้งสามีภรรยาควรมีวุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่ มีอาชีพการงานที่มั่นคง เพื่อจะไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ คู่สมรสควรมีการเตรียมตัวทางเศรษฐกิจให้ดีก่อนแต่งงาน เพื่อจะไม่ลำบากภายหลังเมื่อมีบุตร เมื่อครอบครัวมีความยากลำบากก็มีผลกระทบต่อจิตใจและต่อชีวิตด้วย ครอบครัวที่ไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจมักจะพบกับความลำบากมากเมื่อมีบุตร หรือแม้แต่ขณะที่ยังไม่มีบุตร คติที่ว่า “กัดก้อนเกลือกิน” ปัจจุบันคงเป็นไปได้ยากเพราะสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันตกต่ำมาก ทุกคนต้องดิ้นรนมากขึ้น สังคมในปัจจุบันให้ความสำคัญแก่ความมั่นคงมาก อย่างไรก็ตามเงินจะอยู่แต่กับคนที่ใช้เงินเป็นและรู้จักหาเพิ่มเติมอยู่เสมอเท่านั้น ฐานะทางเศรษฐกิจเป็นของไม่แน่นอน คนที่ยากจนแต่มีวิชาความรู้มีความสามารถ รู้จักทำมาหากิน ก็อาจจะเลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจของตนให้สูงขึ้น

ในด้านสังคมหนุ่มสาวที่จะแต่งงานนั้น ควรมีอาชีพที่สุจริตเป็นที่ยอมรับทั่วไปของสังคมเพราะฐานะทางสังคมก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่สังคมยอมรับ หน้าที่การงานในสังคมก็เป็นส่วนเสริมสร้างความมั่นคงของชีวิตสมรสได้

และอีกประการหนึ่ง คือ สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ครอบครัว ญาติพี่น้อง บิดามารดา เพื่อนมิตรสหาย สามารถทำลายความสุขของสามีภรรยาได้ สังคมที่ครอบครัวจะเกี่ยวข้องที่จะต้องนำชีวิตเข้าไปคลุกคลีอยู่ด้วย ถ้าอยู่ในสังคมที่ดีก็จะนำความสุขมาสู่ครอบครัว แต่ถ้าสังคมไม่ดีก็นำความทุกข์มาสู่ครอบครัว

สามีภรรยาบางคนพยายามกระทำตัวให้เหมาะสมกับสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่ตนอยู่พยายามกระทำตัวให้เป็นที่รักของญาติ พี่น้อง บิดามารดา เพื่อนสนิทมิตรสหายของอีกฝ่ายหนึ่ง หากสังคมแวดล้อมดีก็เป็นสิ่งที่ดีต่อครอบครัว และทั้งสองฝ่ายปรับตัวเข้าหากันได้อย่างราบรื่น ก็มีความสุข แต่ถ้าเป็นการทำด้วยความฝืนใจ ก็ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมหรือสถานการณ์ของญาติ พี่น้อง บิดามารดา เพื่อนมิตรสหายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ประเพณีขนบธรรมเนียมอีกอย่างหนึ่งก็เป็นเครื่องกีดขวางความสุขของคู่แต่งงานได้

การหมั้นหมาย

เมื่อความรักถึงจุดทั้งสองเห็นว่าควรมีการหมั้นหมายเพื่อเป็นข้อผูกพันว่าทั้งสองฝ่ายปรารถนาจะแต่งงานเพื่ออยู่ร่วมกันในอนาคต และใช้ระยะเวลาหมั้นเป็นระยะเวลาที่ทำความรู้จักกัน รู้จักครอบครัวของกันและกันให้ดียิ่งขึ้น ปรับตัวเข้าหากันและเตรียมการสมรสและด้านอื่น ๆ

ในการหมั้นหมายฝ่ายชายจะนำของหมั้นไปมอบให้ฝ่ายหญิง ของหมั้นคือทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้ไว้กับฝ่ายหญิง เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะสมรสกับหญิงนั้น อย่างไรก็ตามการหมั้นหมายไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะได้แต่งงานกันเสมอไป เพราะบางคนอาจจะค้นพบคู่หมั้นหมายว่าเป็นเป็นบุคคลที่ไม่สมควรจะแต่งงานด้วย

อัครทูตเปาโลกล่าวเกี่ยวกับคู่หมั้นว่า “แต่ถ้าชายใดมีคู่หมั้นเป็นสาวพรหมจารีและรู้สึกว่าตนจะปฏิบัติต่อคู่หมั้นอย่างสมควรไม่ได้ มีความรักร้อนแรงและต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ให้เขาทำตามปรารถนาคือให้เขาแต่งงานเสีย ไม่มีความผิดอันใด แต่ถ้าชายใดตั้งใจแน่วแน่ และเห็นว่าไม่มีความจำเป็นและเขาบังคับใจตนเองได้ และตั้งใจว่าจะให้หญิงนั้นเป็นคู่หมั้นต่อไปเขาก็กระทำดีแล้ว” (1โครินธ์ .16-17,เฉลยธรรมบัญญัติ 2.23-29)

ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ก็มีการกล่าวถึงการหมั้นของชายหญิง แสดงว่าประเพณีการหมั้นหมายนี้มีมาเป็นเวลานานแล้ว
images4.jpg
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 2:25 pm

( ตอนที่ 4 )

การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน
ในบางสังคมเห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานไม่ใช่เรื่องผิดเป็นสิ่งดีที่จะทดลองอยู่ด้วยกันก่อน หรือบางคนคิดว่าจะมีเพศสัมพันธ์กับใครก็ได้ โดยไม่ต้องมีภาระผูกมัด ปัจจุบันหนุ่มสาวทั่วโลกมีแนวโน้มต่อการมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงานสูงขึ้นไม่ว่าจะด้วยกรณีใด บางครั้งก็นำไปสู่ปัญหาใหญ่ในชีวิต เช่นตั้งครรภ์นอกสมรส จนต้องทำบาปเพิ่มคือการทำแท้ง หรือบางคู่ หนุ่มทิ้งสาว หลังจากได้ เสียกันแล้ว ทำให้สาวบางคนแห้ปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย เป็นต้น

การมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนแต่งงานเป็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้นและมีอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสยิ่งมากขึ้นทุกๆวัน มุมมองของสังคมไทย ชายและหญิงมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนแต่งงาน ซึ่งผู้ชายในสังคมไทยถูกติเตียนน้อยกว่าผู้หญิง ซึ่งเราเรียกว่าเป็นมาตรฐาน 2 ชั้น ( Double Standard ) พ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยรุ่นโดยเฉพาะลูกสาวมักจะกลัวเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเพราะฝ่ายหญิงเป็นผู้เสียหายกว่าฝ่ายชาย เพราะค่านิยม “เสียตัวก่อนแต่งงาน” เป็นเรื่องที่ฝ่ายชายกำหนดขึ้น ในสังคมเราถือค่านิยมเช่นนี้ทำให้ผู้หญิงเสียเปรียบ ผู้ชายจะรังเกียจเจ้าสาวที่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศมาก่อน แต่ฝ่ายหญิงกลับตรงข้ามไม่รังเกียจชายที่เคยมีสัมพันธ์ทางเพศมาก่อน ความจริงแล้วผู้ชายไม่มีเหตุผลใดที่ชอบธรรมที่จะรังเกียจหญิงที่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศมาก่อน เพราะผู้หญิงไม่ได้รังเกียจเขา

การมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนแต่งงานจะเกิดขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจของบุคคลนั้นๆในเรื่องเพศด้วย คือ ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างไรบ้าง เช่นเด็กผู้ชายได้รับการอบรมไม่ให้เอาเปรียบเพศหญิง หรือไม่เห็นเพศหญิงเป็นเครื่องเล่น มีความรับผิดชอบต่อเพศตรงกันข้ามอย่างไร ส่วน เด็กผู้หญิงได้รับการสั่งสอนอย่างไรให้รู้จักรักตัว รู้จักป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเพศตรงกันข้ามที่ไม่ปรารถนาดี เพราะการไม่ระมัดระวังตัวของหนุ่มสาวจะนำไปสู่ปัญหากับตัวเองและปัญหาของสังคมได้

ในทัศนะของคริสเตียน การล่วงเกินทางเพศก่อนการสมรส หรือการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรสนั้นเป็นการไม่สมควร ทั้งพระศาสนจักรและคริสตจักรถือว่าการสมรสเป็นพิธีอันบริสุทธิ์ จึงมีความสำคัญมากสำหรับชีวิตสมรสของบุคคลทั้งสอง การล่วงเกินกันก่อนการสมรสยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่มีความเคารพต่อกันและกัน และยังแสดงถึงความอ่อนแอในการบังคับจิตใจของตนเองอีกด้วยสำหรับประเพณีของคริสเตียนแล้ว กล่าวได้ว่าไม่นิยมพฤติกรรมเช่นนี้ การสมรสกันโดยบริสุทธิ์นั้นย่อมถือว่าเป็นความดีงามหรือเป็นมงคลอันดีแก่ชีวิตครอบครัวต่อไป
การสมรสและทัศนคติเรื่องการสมรส

การสมรสคือการที่หนุ่มสาวมีความกระตือรือร้น และมีความหวังเพื่อการสมสู่ทั้งกายและใจ เพื่อเป็นคู่ครอง ดังหนึ่งหลอมร่าง วิญญาณและความรับผิดชอบทั้งปวง อันมีชีวิตทั้งสองฝ่ายให้กลมกลืนกันเป็นการรู้จักกันดังพระเจ้าตรัสแก่อาดัมเมื่อรับเจ้าสาวคือเอวาเป็นภรรยา “เพราะเหตุนั้นผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยาและเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” (ปฐมกาล 2.24)

แม้ว่าหนุ่มสาวจะสมรสกันแล้วก็ใช่ว่าปัญหาเรื่องเพศจะหมดไป กลับมีปัญหาเกิดขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง แม้จะมีอิสระในการแสดงออกมากกว่าคนโสด ในชีวิตจริงการมีคู่คือการเริ่มต้น การแต่งงานไม่ใช่การแก้ปัญหาทั้งปวง แต่เป็นการผละจากปัญหาหนึ่งไปสู่อีกหลายปัญหา ซึ่งหนักยิ่งกว่าปัญหาที่มีตอนเป็นโสด

เรื่องเพศนั้นไม่จำกัดอยู่เพียงการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่เกี่ยวถึงการเข้าใจในเพศตรงกันข้ามด้วย หากคู่สมรสมีความเข้าใจต่อความต้องการของฝ่ายตรงกันข้าม มีความรักความเข้าใจและเอาใจใส่ต่อคู่สมรสจะทำให้ชีวิตสมรสมีความสุข ไม่เพียงเท่านั้นสิ่งแวดล้อมต่างๆ ก็มีอิทธิพลที่จะส่งเสริมความสุขในชีวิตสมรสด้วยเช่นกัน

เป้าหมายของครอบครัว คือความปรารถนาที่จะให้ครอบครัวมีความสุข ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตครอบครัว ความสุขในชีวิตครอบครัวที่เกิดขึ้นจากความรักของหนุ่มสาว 2 คนที่ได้ก่อตัวขึ้นมาจนกลายเป็นรักแท้ เป็นความรักที่ปรารถนาจะให้คนรักมีความสุข ปรารถนาจะอยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นแรงปรารถนาแห่งกายและใจ เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง ครั้นเมื่ออยู่ใกล้ชิดกัน ความเอาใจใส่ห่วงใยซึ่งกันและกันเกิดความผูกพันทางใจ ดังนั้นจึงเกิดเป็นหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายที่จะทะนุถนอมน้ำใจกัน ดูแลเอาใจใส่ห่วงใยซึ่งกันและกัน จึงจะทำให้ชีวิตดูมีค่ายิ่งขึ้นเมื่อมีความรู้สึกว่ายังมีคนรักและต้องการเราอยู่ ทำให้ชีวิตมีความหมายยิ่งขึ้น
images9.jpg
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 2:28 pm

( ตอนที่ ๕ ) มีผู้ประมวลไว้ว่าคนตัดสินใจแต่งงานด้วยเหตุต่าง ๆ กัน เช่น



1.ความรัก เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวพบคนที่มีคุณลักษณะเหมือนกับที่ตนกำหนดไว้ในใจจึงเกิดความสนใจ และหาทางพบปะกันหรือให้อยู่ใกล้กัน เมื่อคบหากันไปแล้วก็พบว่ามีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง เช่น ความเชื่อ เจตนคติ รสนิยม ความสนใจ เหล่านี้จะช่วยกระชับความ
สัมพันธ์ให้เจริญเติบโตเป็นความรักซึ่งในที่สุดจะทำให้เกิดการผูกมัดกันอย่างถาวรด้วยการสมรส

2.ฐานะทางสังคม แต่งเพื่อจะเลื่อนฐานะทางสังคมของตนสูงขึ้นกว่าเดิม

3.ฐานะทางเศรษฐกิจ สังคมปัจจุบันให้ความสำคัญแก่ความมั่งคั่งมาก ฉะนั้นคนที่แต่ง-งานแล้วร่ำรวยขึ้นก็มีผู้เห็นว่าฉลาด พ่อแม่ส่วนใหญ่อยากให้ลูกมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้นหลังจากการสมรส ด้วยเหตุที่สังคมของเรานิยมวัตถุเป็นใหญ่ ฐานะทางเศรษฐกิจจึงมักจะช่วยเลื่อนฐานะทางสังคมด้วย

4.ความคาดหวังของสังคม สังคมมักจะมองคนที่ไม่สมรสด้วยความสงสัย บางคนแต่งงานก็เพื่อป้องกันตัวเองให้เห็นว่าเป็นคนปกติ บางคนแต่งเพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นสาวแก่ หรือสำหรับผู้ชาย ถ้าเป็นชายโสดอาจรู้สึกว่าตนผิดปกติ

5.ความเปล่าเปลี่ยว แต่งงานเพราะความเหงา ต้องการเพื่อนสนิท

6.การแต่งงานเพื่อหนี คนที่แต่งงานเพื่อหนีจากเหตุการณ์ต่าง ๆ มักจะผิดหวัง เพราะในชีวิตแต่งงานมีงานการเพิ่มขึ้น และต้องมีวินัยควบคุมตนเองมากยิ่งขึ้นด้วย ความไม่พอใจในสิ่งแวดล้อมเดิมก็เนื่องมาจากความผิดที่เกิดจากตนเอง ฉะนั้นถึงแต่งงานไปก็ไม่ช่วยให้เกิดความพอใจได้

7.การแต่งงานเพื่อสนองความต้องการจำเป็นของบุคลิกภาพ ความต้องการจะเป็นซึ่งชายหญิงจะได้รับความพอใจโดยการแต่งงาน เช่น ปรารถนาคนที่รักตน ช่วยตนตัดสินใจ ช่วยหนุนหลังให้ตนผจญความลำบากได้เมื่อมีความทุกข์ยากช่วยเร่งเร้าให้ตนเกิดความทะเยอทะยาน นับถืออุดมคติของตน ช่วยตนเกิดความมั่นใจในตนเอง เป็นต้น

การแต่งงานเป็นเรื่องของการมีเพื่อน การมีความรัก มีผู้สนับสนุนทางด้านอารมณ์และจิตใจ การมีความสุขในเพศรสระหว่างสามีภรรยา ทั้งสองฝ่ายต้องเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตน จากการกำหนดบทบาทของสังคม การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ การเป็นแบบอย่างจากพ่อแม่และความสนใจในเรื่องเพศ มีส่วนเกี่ยวข้องในการแสดงบทบาทและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย


การมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อชีวิตสมรสก็เป็นการวางรากฐานชีวิตครอบครัวที่ดี และมีความสุข สำหรับคริสเตียนการสมรสเป็นสถาบันบริสุทธิ์ เป็นพิธีบริสุทธิ์ “พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าได้ทรงอวยพระพรแก่มนุษย์นั้น” (ปฐมกาล 1.27-28)

จุดประสงค์ของการสมรสของคริสเตียน คือ

1.เป็นการสืบชาติพันธุ์
2.เป็นการสนองความต้องการทางเพศ
3.การที่จะเป็นมิตรร่วมกัน พระเจ้าให้คู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมแก่เขา
4.เป็นการแสดงถึงความรักของชายและหญิง
5.เป็นคู่รับมรดกพระคุณแห่งชีวิตด้วยกัน
ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตสมรส
ชีวิตสมรสจะดีและมั่นคงถ้าหนุ่มสาวเข้าใจในชีวิตสมรส และมีการตัดสินใจที่สุขุมรอบคอบก็จะนำไปสู่ชีวิตครอบครัวที่ประสบผลสำเร็จถ้าการแต่งงานและการสร้างครอบครัวนั้นเกิดขึ้นด้วยความพร้อม ด้วยการมีความรู้ในเรื่องเพศอย่างถูกต้อง มีทัศนคติที่ดีในเรื่องเพศ ซึ่งจะช่วยปรับบทบาทระหว่างสามีภรรยา และช่วยให้สามีภรรยาปรับตัวในชีวิตสมรสได้อย่างไม่เกิดความคับข้องใจ สามีภรรยาก็จะไปพร้อมกัน
ชีวิตสมรสที่ยั่งยืนผาสุกเริ่มต้นเมื่อคนทั้งสองที่เข้ามาเกี่ยวพันกันรู้ความต้องการของตนเอง รู้จักคู่สมรส และรู้ก่อนหน้าสมรสว่าเขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับความแตกต่างหรือความผิดของอีกฝ่ายหนึ่งได้ ชีวิตที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่คู่สมรสต้องพยายามช่วยกันสร้างขึ้นมา คู่ที่ไม่ใช้ความพยายามมักจะพบกับความล้มเหลว ฉะนั้นการศึกษาเรื่องที่คู่สมรสจะต้องปรับตัวไว้ล่วงหน้า คือ ก่อนการสมรสจะเป็นแนวทางให้ผู้ที่จะสมรส หรือคู่สมรสใหม่ร่วมกันวางแผนขจัดความแตกต่างที่อาจเกิดขึ้นอันจะเป็นผลให้ชีวิตสมรสของเขายั่งยืนผาสุก
วิธีช่วยให้การปรับตัวเข้ากับบทบาทและความคาดหวังของสามีและภรรยาง่ายขึ้น ได้แก่
1.ก่อนแต่งงานชายหญิงควรศึกษาบทบาทของสามีภรรยาวิเคราะห์วิจัยบทบาทที่ตนเห็นว่าควรปฏิบัติ และปรึกษากันให้มากที่สุดเท่าที่จะตกลงกันได้
2.บอกกล่าวความคาดหวังของตนให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ ไม่ควร “เหมา” ว่าอีกฝ่ายควรรู้เอง 3.เมื่ออยู่ด้วยกัน ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย มองข้ามความบกพร่องเล็กน้อยและให้อภัยกัน
4.อย่าคอยหรือเกี่ยงให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เปลี่ยนแปลง หรือปรับตัว เพราะการเปลี่ยนคนอื่นยุ่งยากกว่าเปลี่ยนตนเอง
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 2:29 pm

(ตอนที่ 6 )

การสมรส

เป็นวิธีการหนึ่งที่ประกาศให้สังคมรับรู้อย่างเป็นทางการว่าจะอยู่ร่วมกันฉันสามีและภรรยา ยิ่งไปกว่านั้นการสมรสคือการที่ชายหญิงมีความสัมพันธ์ทางเพศในรูปที่สังคมยอมรับสังคมจะมีกฏเกณฑ์ระเบียบแบบแผนสำหรับคู่สมรสเพื่อความถูกต้อง
ในการสมรสชายหญิงจะผ่านการเลือกบุคคลที่ตนพอใจ หรือไม่ก็แล้วแต่สภาพของแต่ละบุคคล
ทุกชาติในโลกมีพิธีแต่งงาน เป็นพิธีบอกให้ผู้เข้าพิธีรู้ว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปตนจะต้องเปลี่ยนสถานภาพ และจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างและตนยินดีจะรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นพิธีที่ทำกันมีพิธีทางศาสนา พิธีทางสังคม ตามประเพณีของกลุ่มชน หรือเชื้อชาติแต่สำคัญที่สุด คือพิธีทางกฎหมาย
ในพระคัมภีร์ปรากฏว่ามีคู่สมรสบางคู่ก็สมรสกันโดยตนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้ที่ตนรัก และชอบใจ บางคู่ก็แต่งโดยมารดาเป็นผู้จัดหาให้ เช่น อับราฮามหาภรรยาให้อิสฮัค (ปฐมกาล 24) ลาบันให้เลอาห์แต่งงานกับยาโคบ (ปฐมกาล 29.23) เป็นรูปแบบที่บิดามารดาเป็นผู้มีส่วนในการเลือกคู่ให้บุตร ในอิสราเอลไม่ใช่จะมีประเพณีแบบคลุมถุงชนเลยทีเดียว ซึ่งมีตัวอย่างว่าชายหนุ่มสามารถเลือกภรรยาตามที่ตนชอบได้ เช่น แซมสัน เอซาว เป็นต้น
การสมรสที่เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงประสิทธิ์ประสาทไว้ตั้งแต่ปฐมกาล ดังมีกล่าวในพระคัมภีร์ว่า “เพราะเหตุนี้ชายจึงจากบิดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยาและเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” (ปฐมกาล 2.24) “เหตุฉะนั้นพระเจ้าได้ทรงผูกพันเขาไว้ด้วยกันอย่าให้มนุษย์ทำให้เขาพรากจากกันเลย” (มัทธิว 19.6)
การสมรสมีจุดประสงค์เพื่อความสุขของมนุษย์ เพื่อเพิ่มเผ่าพันธุ์ให้มีเผ่าพันธุ์ที่รักนับถือพระเจ้า (มาลาคี 2.15) ป้องกันการล่วงประเวณีและเพื่อเป็นที่นับถือแก่คนทั้งหลาย การสมรสควรได้รับความยินยอมจากบิดามารดา บางทีบิดามารดาทำสัญญาแทนบุตร (ปฐมกาล 4.59-51,34,6,8) การสมรสควรได้รับความยินยอมจากคู่สมรส (ปฐมกาล 24.57)
ในการสมรสชายจะไปสู่ขอหญิง ชายจะเป็นผู้ให้ของขวัญแก่หญิง และเงินสินสอด ให้เสื้อผ้าที่งดงามแก่เจ้าสาว เจ้าสาวก็มีของขวัญให้แก่เจ้าบ่าวเช่นกัน
เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวได้สมรสกันแล้วทั้งสองจะต้องเรียนรู้หน้าที่ปฏิบัติต่อกันและกันเพื่อจะมีชีวิตสมรสที่มีความสุข ดังนั้นในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงหน้าที่ของทั้งสองไว้เพื่อเป็นหลักปฏิบัติกัน
1.หน้าที่ของสามีต่อภรรยา: ในพระคัมภีร์ให้เกียรติแก่สามีมากถือว่าสามีมีอำนาจเหนือภรรยา (ปฐมกาล 3.16, 1โครินธ์ 11.3,เอเฟซัส 5.23) แต่ก็สอนให้สามีประพฤติปฏิบัติกันในทางที่ถูกต้องต่อภรรยาเพื่อชีวิตสมรสจะมีความสุข และครอบครัวจะเป็นที่ถวายเกียรติแก่พระเป็นเจ้า ดังนั้นหน้าที่ของสามีที่ปรากฎในพระคัมภีร์ ดังนี้ คือ
1.1 จงรักภรรยา
1.2 อย่ามีใจขมขื่นต่อนาง โคโลสี 3.18-19
1.3 ควรมีภรรยาในทางบริสุทธิ์และในทางมีเกียรติ 1ทิโมธี 4.4
1.4 ให้ใช้สติสัมปชัญญะ
1.5 ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี
1.6 ใช้คำพูดอันมีหลัก
1.7 กินอยู่กับภรรยาด้วยความเข้าใจ
1.8 จงให้เกียรติแก่ภรรยา 1เปโตร 3.1-7
1.9 รักภรรยาของตนเหมือนรักตนเอง เอเฟซัส 5:25,28
1.10 ซื่อสัตย์ต่อภรรยา สุภาษิต 5.19,มาลาคี 2.14-15
1.11 อาศัยอยู่ด้วยตลอดชีวิต ปฐมกาล 2.24,มัทธิว 19:3-9
1.12 เล้าโลมใจ 1ซามูเอล 1.8
1.13 ปรึกษาหารือกับภรรยา ปฐมกาล 31.4-7
1.14 ห้ามละทิ้งแม้แต่ไม่เป็นผู้เชื่อ 1โครินธ์ 7.11-16
1.15 ควรมีภรรยาคนเดียวเท่านั้น มาระโก 10.6-8,1โครินธ์ 7.2-4

2.หน้าที่ของภรรยาที่มีต่อสามี: ภรรยาเป็นของประทานจากพระเจ้าแก่สามี เป็นพระพรแก่สามี ภรรยาที่ดีจะนำเกียรติมาสู่สามี (สุภาษิต 31.23) ภรรยาที่ดีควรทำให้สามีไว้วางใจได้และสามีสรรเสริญ ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงหน้าที่ของภรรยาไว้มาก สอนให้หญิงปฏิบัติต่อสามีของตนอย่างไรจึงจะดีงามและเหมาะสม หน้าที่ของภรรยามีดังนี้ คือ
2.1 รักสามี ติตัส 2.4
2.2 ยำเกรงสามี เอเฟซัส 5.23,24,33
2.3 จงรักภักดีต่อสามี 1โครินธ์ 7.3-5.10
2.4 อยู่ใต้บังคับของสามี ปฐมกาล 3.16
2.5 จงยอมฟังสามี โคโลสี 3.18-19
2.6 ขยันหมั่นเพียรและสุขุม สุภาษิต 31.13-27
2.7 ให้มีสติสัมปชัญญะ
2.8 เป็นคนบริสุทธิ์
2.9 เอาใจใส่บ้านเรือน
2.10 มีความเมตตาและเชื่อฟังสามีของตน ติตัส2.4-8
2.11 จงเชื่อฟังสามี แม้สามีจะไม่เชื่อพระวจนะของพระเจ้า แต่การกระทำของภรรยาอาจจะจูงใจเขาให้เชื่อฟังพระเจ้าได้
2.12 อย่าประดับกายภายนอกด้วยการถักผม ด้วยเครื่องทองคำและเสื้อผ้าสวยงามแต่จงประดับภายในจิตใจคือด้วยจิตใจที่สวยและสุภาพ 1เปโตร 3.1-7
2.13 ให้เกียรติแก่สามี เอสเธอร์ 1.20
2.14 จงมีใจกรุณาต่อคนยากจน สุภาษิต 31.20
2.15 อยู่กับเขาตลอดชีวิต โรม 7.2-3
บทสรุป
การสมรสของคริสเตียนนั้นวางอยู่บนพื้นฐานพระคัมภีร์ คู่สมรสควรมีการตรวจสอบชีวิตสมรสด้วยการเอาจริงเอาจัง อธิษฐานและใช้สติปัญญา สิ่งเหล่านี้จะช่วยรักษาชีวิตสมรสให้อยู่ในสภาพดีและมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
1.การสื่อสาร:
1) เราพอมีเวลาที่จะพูดคุยกันแบบสบาย ๆ ไหม
2) เราฟังกันและกันมากน้อยแค่ไหน และที่ได้ยินมาถูกต้องหรือเปล่า
3) เราโจมตีบุคลิกภาพของกันและกัน แทนที่จะหันมาขับเคี่ยวกับปัญหาบ่อยครั้งแค่ไหน
4) เราจะสร้างสรรค์การสื่อสารระหว่างกันให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร
2.ความรัก:
คริสเตียนได้เปรียบกว่าคนอื่น ๆ เพราะคริสเตียนมีสิทธิพิเศษได้รับความรักของพระเจ้าหลั่งเข้าสู่จิตใจซึ่งก่อให้เกิดความสามารถที่จะรักได้อย่างลึกซึ้งกว่า และความรักของพระเจ้าเป็นความรักที่ยินดีที่จะให้มากกว่ารับ
1) เราพอจะนึกออกไหมว่าเราพยายามทำอะไรเพื่อเอาอกเอาใจอีกฝ่ายหนึ่งบ้าง
2) ความรักของเราถึงขั้น “เสียสละ” ให้แก่กันและกันหรือไม่
3) ยามที่ฝ่ายหนึ่งมีความทุกข์เราทำอะไรเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเรารักและห่วงใยเขาอย่างแท้จริง
4)เราจะพัฒนาความรักที่มีต่อกันได้อย่างไร
3.การเงิน:
1) เราพอใจกับวิธีจัดการเรื่องเงินที่ทำอยู่หรือไม่
2) พระเจ้าทรงมีส่วนกำหนดการใช้จ่ายในแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือนไหม
3) การใช้จ่ายในครอบครัวอยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้หรือไม่
4) ถ้าเงินเดือนเราอยู่ในสภาพชักหน้าไม่ถึงหลัง เราสามารถปรับปรุงแก้ไขอย่างไร
4.อุปนิสัย:
1) เรายอมรับหรือไม่ว่าพระเจ้าสร้างเราให้มีนิสัยแตกต่างกัน
2) เราพยายามเปลี่ยนกันและกันแทนที่จะมุ่งพัฒนาปรับปรุงตัวเองหรือเปล่า
3)เราโตพอที่จะรับรู้ว่าชีวิตคู่นั้นแต่ละฝ่ายต้องปรับตัวเข้าหากัน และจะอลุ้มอล่วยให้กันหรือเปล่า
4) เราประหยัดคำวิจารณ์ ตำหนิ ติเตียน และฟุ่มเฟือยในการให้คำชมเชยแก่อีกฝ่ายหนึ่งหรือเปล่า
5.เพศสัมพันธ์:
1) เรารู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและได้รับความอิ่มเอิบใจหรือไม่
2) ขณะเล้าโลมให้ความรักแก่กัน เราหวังแต่จะได้มากกว่าจะให้หรือไม่
3) เราสังเกตหรือไม่ว่าแต่ละคนมีความต้องการทางเพศแตกต่างกัน
4)เรามองเห็นความแตกต่างระหว่างความรักกับความใคร่หรือตัณหาหรือยัง
6.วงศาคณาญาติ:
1) มีความขมขื่นต่อพ่อ แม่ ของอีกฝ่ายหนึ่งหรือเปล่า
2) มีการไปมาหาสู่กันฉันญาติพี่น้องดีหรือเปล่า
3) มีทางไหนที่เราพอจะช่วยหรือญาติพี่น้องของเราโดยเราไม่เสียความเป็นตัวของตัวเอง
7.ฝ่ายจิตวิญญาณ:
1) เราใช้เวลาอธิษฐานด้วยกันพอไหม
2) การอ่านพระคัมภีร์และการไปโบสถ์เป็นไปตามที่ควรจะเป็นหรือไม่
3) เราเปิดเผยและจริงใจต่อกันทุกเรื่องไหม และจิตสำนึกชอบหรือใจไม่ฟ้องร้องกันในทุกเรื่องหรือเปล่า
4)ในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า และระหว่างกันและกัน มีอะไรอีกที่เราสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่านี้ได้
8.ลูก:
1) เราวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของลูกหรือเปล่า
2) การอบรมสั่งสอนลูกของเราได้ผลหรือไม่ เราตีสอนลูกน้อยเกินไปมากเกินไป หรือไม่ทำเลยหรือเปล่า
3) เราแน่ใจว่าให้เวลากับลูกหรือให้ความรักอบอุ่นแก่ลูกอย่างดีหรือเปล่า
4) ทำอย่างไรจึงจะเป็นพ่อแม่ที่ดีกว่านี้
9.นโยบายของครอบครัว:
1) เราทำความเข้าใจบทบาทสามีภรรยาและถือปฏิบัติตามนั้นหรือเปล่า
2) เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงสำหรับครอบครัวของเราคืออะไร
3) เราจดจำวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน หรือวันพิเศษของครอบครัวได้หรือเปล่า
4) เราปรับปรุงความสัมพันธ์ทุก ๆ ด้านในครอบครัวเพื่อให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร เชื่อว่าท่านเป็นคู่สมรสที่มีความสุข ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

Note: ค่อยโพสต์ต่อ ตอนนี้ต้องประชุมแล้วจ้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Good Nanny
~@
โพสต์: 227
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 13, 2005 10:32 pm
ที่อยู่: BKK

พุธ ส.ค. 24, 2005 3:25 pm

โอ้ว~~~~ เป็นประโยชน์มากเลยค่ะพี่ พีพี
จะจำไว้เผื่อวันนึงมีโอกาสเลือกคู่ครองกะเค้าบ้าง อิ อิ อิ ;D
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 5:17 pm

( ตอนที่ 7 )

ขอให้ข้อมูลการประกอบพิธีสมรสในทัศนะคริสตชนนิกาย “โปรเตสแตนต์”
images10.jpg
กำเนิดสถาบันครอบครัว

พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ควรที่ชายคนนี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น ...แล้วพระเจ้าจึงทรงกระทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับสนิทอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูกอย่างเดิม ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น ชายจึงว่า "นี่แหละกระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะต้องเรียกว่าหญิง {ตรงนี้ฮีบรูเล่นคำ ถ้าจะให้คงรูปจะแปลเป็นอย่างนี้ก็ได้ "จะต้องเรียกว่า ชายา เพราะชายานี้ออกมาจากชาย"} เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย" เพราะเหตุนั้น ผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน หรือ “เพราะเหตุนั้น ผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” ( ปฐมกาล 2:18,21-24 )

ข้อพระคัมภีร์ที่ยกมานี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นมาของ “ครอบครัว หรือการสมรส” ที่เกิดขึ้นเป็นพระดำริของพระเจ้า ดังนั้นคริสตชนมีความเชื่อว่า ครอบครัวเป็นสถาบันที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา
ดังนั้นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่ถูกต้อง ของคริสตชน ต้องถูกต้องทั้งทางความเชื่อ และด้านกฏหมาย

โดยทั่วๆไปแล้วศาสนจารย์ ผู้ประกอบพิธีสมรสจะแนะนำคู่สมรส ก่อนเข้าสู่พิธีศักดิ์สิทธิ์ ให้เรียนรู้ ทำความเข้าใจเรื่องการใช้ชีวิตคู่ จึงต้องมีชั้นเรียน คำสอน หรือบางคน เรียกว่าการให้คำปรึกษาก่อนสมรส เพราะว่าความหมายการสมรสมีมากกว่า การที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศ แต่การสมรสของคริสตชนมีลักษณะดังนี้

1.ความเป็นหนึ่งเดียว หมายถึง สามี-ภรรยาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พูดให้ฟังง่าย ต้องรักเดียวใจเดียว เพราะว่า “.... ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น ชายจึงว่า "นี่แหละกระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะต้องเรียกว่าหญิง” ( ปฐมกาล 2:23-24 )

2. ความมั่นคง หมายถึงคู่สมรสต้องอยู่กินด้วยกันตลอดชีวิต “เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกันเหตุฉะนั้น ซึ่งพระเจ้าทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” ( มัทธิว 19:6 ) “ ถ้าผู้ใดหย่าภรรยาของตนแล้วไปมีภรรยาใหม่ ผู้นั้นก็ผิดประเวณีต่อภรรยาเดิม และถ้าหญิงเองจะหย่าสามีของตน แล้วไปมีสามีใหม่ หญิงนั้นก็ผิดประเวณีเหมือนกัน” ( มาระโก 10:11-12 )

ดังนั้นการสมรสของคริสตชน มีความหมายมากกว่าความสัมพันธ์ของคนสองคน พวกเขาต้องเกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์ ที่จะเป็นศูนย์กลางของครอบครัว พระองค์จะเป็นผู้ให้เข้าใจความหมายเรื่องความรัก และทรงชี้ทางในความสัมพันธ์นั้น ดังนั้นคริสตชนเองต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการสมรสของเขานั้นไม่ใช่เพื่อข้อตกลงกันทางสังคม หรือข้อบังคับของกฏหมาย แต่พวกเขาได้ทำสัญญากันต่อพระพักตร์พระเจ้า และต่อหน้าสุภาพชน ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานการสมรสของเขาในวันนั้น การทำสัญญากันวันนั้นเขาต้องเชื่อคำสัญญาศักดิ์สิทธิ์ ที่ผูกมัดเขามาก กว่าทะเบียนสมรส ด้านกฏหมาย หรือคำสัญญาต่อแขกที่ร่วมงาน พวกเขาต้องคำนึงว่าเขาได้สัญญาต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ...ส่วนญาติมิตรของสองฝ่ายนั้นคือสถานภาพทางสังคมที่เขาต้องระลึกถึงด้วย

หมายเหตุ: ถึงแม้ พิธีสมรสของโปรเตสแตนต์ ไม่ได้นับว่าเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 7 แบบโรมันคาทอลิก แต่ความสำคัญคงไม่น้อยกว่ากัน ....ส่วนคู่ที่สมรสของคริสตชนที่หย่าร้างกันไป นั้นก็ไม่ได้ทำให้พิธิศักดิ์สิทธิ์นี้ด้อยลงไป ...แต่เป็นความรับผิดชอบของคู่สมรส ที่เขาได้ฉีกพันธสัญญานั้นเอง เพราะทุกคู่ที่ได้ทำพิธีสมรสกัน โดยศิษยาภิบาล เขาได้เข้าพันธสัญญากันต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 5:23 pm

( ตอนที่ 8 )

ตัวอย่าง ระเบียบการสมรส

แขกผู้มีเกียรติ เข้าสู่พระวิหาร หรือสถานที่ประกอบพิธี

ดนตรีบรรเลงเพลงเตรียมใจ

ศาสนาจารย์ ผู้ประพิธี นำขบวนเจ้าบ่าว เข้าสู่สถานที่ประกอบพิธี ประกอบด้วยบุคคลต่อไปนี้
- บิดา มารดา เจ้าบ่าว
- มารดาเจ้าสาว
- เพื่อนเจ้าบ่าว
- เจ้าบ่าว

ผู้ประกอบพิธี จุดเทียนเล่มใหญ่ หมายถึงพระเยซูคริสต์เป็นแสงสว่างของโลก จุดเทียนประดับ หมายถึงเรารับแสงสว่างจากองค์พระเยซูคริสต์ เพื่อจะส่องสว่างต่อไปในชุมชน ดังที่พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” แล้วขบวนเจ้าสาวเข้าสู่พระวิหาร หรือสถานที่ประกอบพิธี ( ที่ประชุมยืนขึ้น ) ขบวนนี้ประกอบไปด้วย

- ผู้ถือพานแหวน ( จะใช้เด็กคนเดียว หรือสองคนก็ได้ )
- ผู้ถือพานทะเบียนสมรส
- เพื่อนเจ้าสาว
- ผู้โปรยดอกไม้
- ผู้มอบเจ้าสาว ( บิดา หรือมารดา หรือญาติ ผู้ใหญ่ของเจ้าสาว )
- เจ้าสาว

ประกอบพิธีสมรส ศาสนาจารย์ เป็นผู้ทำ

- อ่านพระวจนะ ( พระคัมภีร์ ) และอธิษฐาน
- อ่านหลักฐานการสมรสของบ้านเมือง
- เจ้าบ่าว –เจ้าสาวกล่าวคำปฏิญาณ และให้คำมั่นสัญญา
- มอบและสวมแหวนสมรสให้กัน
- คำกำชับจากพระคัมภีร์ ( หรือโอวาทจากผู้ใหญ่ ส่วนมากเป็นศาสนาจารย์ หรือศิษยาภิบาล ที่คู่บ่าวสาวนับถือ ไม่ใช่ผู้ประกอบพิธี หรือบางคู่ ผู้ประกอบพิธีเป็นผู้ให้โอวาท เอง )
- อธิษฐานเผื่อคู่สมรส
- จุดเทียนสมรส
- ลงนามใบสำคัญสมรสของคริสตจักร ( คือ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายลงนาม คุ๋บ่าวสาวลงนาม และผู้ประกอบพิธีลงนาม )
- คารวะ บุพการี ทั้งสองฝ่าย
- คารวะ แขกผู้มีเกียรติ
- ประกาศการเป็นสามีภรรยา โดยผู้ประกอบพิธี
- ที่ประชุมยืนขึ้น แสดงความยินดี และร้องเพลงอวยพรแก่คู่สมรส
- มีเพลง เช่นเพลงไทยนมัสการ “ความรักวิเศษเหนือรักอื่นใด” หรือเพลงอื่น
- เพลง “จิตใจเบิกบานในวันแต่งงาน “ หรือ “เพลงอวยพรคู่บ่าวสาว” หรือ “พระเจ้าอยู่ด้วยคู่บ่าวสาว”
- ผู้ประกอบพิธี ขอพร จากพระเจ้า
- คู่สมรสและขบวนเคลื่อนออกจากพระวิหาร ขณะนี้ที่ประชุมคือแขกผู้มีเกียรติยังยื่นอยู่ และขณะที่คู่บ่าวสาวเดินผ่าน แขก ก็จะหยิบกลีบดอกไม้ ( ส่วนใหญ่กลีบกุหลาบที่เจ้าภาพเตรียมไว้ให้” โปรยไปที่คู่บ่าวสาว เพื่อแสดงความยินดี และอวยพรพวกเขา

( หมายเหตุ: การดำเนินรายการส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะนี้ ส่วนความแตกต่างปลีกย่อยนั้น แล้วแต่ผู้ประกอบพิธีเห็นสมควร กับคู่นั้นๆ โดยไม่เปลี่ยนความหมายของพิธี แต่วิธีการ นั้นไม่เหมือนกัน )

ระเบียบนมัสการพระเจ้า

เนื่องในพิธีสมรส

ผู้ประกอบพิธี: ขอเชิญที่ประชุมยืนขึ้นต้อนรับขบวนเจ้าสาว

--------------- ( เมื่อบิดา/มารดาพาเจ้าสาวมาถึงสถานที่ประกอบพิธีแล้ว )

ผู้ประกอบพิธี: ใครเป็นผู้มอบเจ้าสาว
----------------: ผู้ที่เป็นผู้มอบเจ้าสาว ตอบว่า “ข้าพเจ้า นาย นาง………………..บิดา/มารดา/ญาติ เป็นผู้มอบเจ้าสาว”

ผู้ประกอบพิธี: ขอเชิญนั่งลง ( เจ้าบ่าวเดินไปรับตัวเจ้าสาว จากผู้ที่มอบ แล้วพาไปยังบริเวณที่ประกอบพิธี เพื่อเข้าสู่พิธีสมรส )

ผู้ประกอบพิธี: ท่านสุภาพชนทั้งหลาย พวกเราได้มาชุมนุมกันที่พระวิหารนี้ ต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นสักขีพยาน แก่ชาย หญิงคู่นี้ในพิธีมงคลสมรสอันบริสุทธิ์ พระเจ้าทรงตั้งการสมรสให้เป็นสิ่งบริสุทธิ์ เพื่อสวัสดิภาพ และความสุขสำราญแห่งมนุษยชาติ

พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า “เหตุฉะนั้นผู้ชายจึงละบิดา มารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยาและเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน” พระองค์ทรงสอนคู่สมรสให้ทะนุถนอมกันด้วยความรัก ให้ยกย่องนับถือกันอย่างสมควร ช่วยแบ่งเบาภาระของกันและกันในความมั่นคงและความอ่อนแอของชีวิต หนุนจิตชูใจกันในคราวเจ็บป่วย ทุกข์ยาก และเศร้าโศก อยู่กินด้วยกันด้วยความสัตย์ซื่อ ขยันหมั่นเพียรในการทำมาหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ เพื่อจะได้มาซึ่งสิ่งต่างๆ อันจำเป็นแก่การครองชีวิตสำหรับครอบครัวของตน ทั้งจะอธิษฐานและส่งเสริม ซึ่งกันและกันฝ่ายจิตวิญญาณ เพื่อชีวิตจะได้ครบบริบูรณ์ ด้วยพระคุณของพระองค์

ผู้ประกอบพิธีอธิษฐาน:

ข้าแด่พระเจ้าพระบิดาของมนุษยชาติ พระองค์ทรงตั้งการสมรสอันศักดิ์สิทธิ์ และมีระเบียบไว้สำหรับมนุษย์ โมทนาขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีชีวิตอยู่มาจนถึงบัดนี้ และได้มีโอกาสเข้ามาร่วมแสดงความชื่นชมยินดี กับชายหนุ่ม หญิงสาวคู่นี้ ในพิธีสมรสของพวกเขา
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงโปรดนำคู่สมรส ที่เขาได้ให้คำมั่นสัญญาและปฏิญาณต่อกันและกันด้วยความจริงใจ ถ่อมใจ และเคารพยำเกรงพระองค์ ผู้ทรงเป็นเจ้าของชีวิตของเขา
ขอพระองค์ทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทุกคนเป็นเครื่องมือของพระองค์ในการช่วยเหลือเสริมสร้างและสนับสนุนครอบครัวใหม่ ที่กำลังจะตั้งขึ้น ให้เขาทั้งสองได้ครองรัก ครองเรือน และมีความเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดชีวิตของเขา
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ได้รับเกียรติ และเป็นที่เคารพสักการะท่ามกลางพวกข้าพระองค์ทั้งหลายในพิธีมงคลสมรสนี้ด้วย อธิษฐานกราบทูลในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า …อาเมน

ผู้ประกอบพิธี: เจ้าบ่าวและเจ้าสาว ท่านมีหลักฐานอะไรที่แสดงว่าการสมรสของท่านไม่ขัดต่อกฏหมาย ขนบธรรมเนียมและประเพณีของบ้านเมือง ( ผู้ประกอบพิธี รับและอ่านทะเบียนสมรส )

ตัวอย่าง: คำปฏิญาณของคู่สมรส ที่คู่บ่าว-สาวต้องจำตลอดชีวิตคือ

ศาสนาจารย์ประกอบพิธี : เจ้าบ่าว เจ้าสาว ท่านทั้งสองตั้งใจที่จะร่วมชีวิตเป็นสามีภรรยา กันตามพระประสงค์ของพระเจ้า จงให้คำมั่นสัญญาและปฏิญาณต่อกันจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และต่อหน้าสุภาพชนในที่นี้ว่าท่านทั้งสองจะเอาใจใส่เลี้ยงดูกันจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันด้วยความอดทน และจะรักษาบัญญัติ แห่งชีวิตรมรส ที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ด้วยความเพียรพยายาม ถ้าท่านมีความตั้งใจเช่นนั้น จงให้คำสัญญาและปฏิญาณต่อกันด้วยความจริงใจ ( เจ้าบ่าว เจ้าสาวหันหน้าเข้าหากันจับมือกัน )

เจ้าบ่าวกล่าวคำสัญญาและปฏิญาณว่า:

ข้าพเจ้า นาย...........................ขอสัญญา และปฏิญาณต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อสุภาพชนในที่นี้ว่า ข้าพเจ้ายินดีและเต็มใจรับ นางสาว………….เป็นภรรยาของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะมั่งมี หรือยากจน ไม่ว่าทุกข์หรือสุข เจ็บป่วยหรือสุขสบาย ข้าพเจ้าจะเป็นสามีที่รักใคร่ และสัตย์ซื่อต่อผู้เป็นภรรยาตลอดไป

เจ้าสาวกล่าวคำสัญญา และปฏิญาณว่า:

ข้าพเจ้า นางสาว...........................ขอสัญญา และปฏิญาณต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อสุภาพชนในที่นี้ว่า ข้าพเจ้ายินดีและเต็มใจรับ นาย………….เป็นสามีของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะมั่งมี หรือยากจน ไม่ว่าทุกข์หรือสุข เจ็บป่วยหรือสุขสบาย ข้าพเจ้าจะเป็นภรรยาที่รักใคร่ และสัตย์ซื่อต่อผู้เป็นสามี
ตลอดไป

มอบแหวน และสวมแหวนแห่งความรักและคำมั่นสัญญา

ผู้ประกอบพิธี ( ถาม ): เจ้าบ่าว และเจ้าสาว ท่านจะมอบของสิ่งใดให้แก่กันเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความรัก และสัญญาของท่าน ( ผู้ประกอบพิธีรับแหวนจากเจ้าบ่าว และเจ้าสาว ) แล้วท่านชูแหวนขึ้น พร้อมกล่าวว่า:

แหวนทองคำบริสุทธิ์สองวงนี้ เป็นเครื่องหมายแห่งความรักและคำสัญญา แสดงว่าท่านจะช่วยกันรักษา และทะนุถนอมความรักที่มีต่อกันให้บริสุทธิ์ แหวนนี้เป็นวงกลมเชื่อมกันสนิท ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด จงมอบให้เป็นความรัก และเป็นเครื่องหมายตราประทับในดวงใจของท่านทั้งสอง ตั้งแต่บัดนี้ไปจนชั่วนิรันดร์

เจ้าบ่าวและเจ้าสาว สวมแหวนให้แก่กันและกัน

กล่าวกล่าวคำกับชับ:

ผู้ประกอบพิธี: ท่านที่รักทั้งสอง พระเจ้าทรงสร้างท่านให้เป็นคู่อปถัมภ์ของกันและกัน เป็นพระประสงค์ของพระองค์ ที่ทรงให้ท่านทั้งสองร่วมชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดชีวิต ท่านจงดูตัวอย่างสามีภรรยาที่ดีว่าเขาปฏิบัติต่อกันอย่างไร ขอให้ท่านปฏิบัติตาม ขอให้ท่านทั้งสองรักใคร่สัตย์ซื่อต่อกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน และมีความอดทน อดกลั้นต่อกันและกัน ขอให้ท่านทั้งสองจงรักกันให้มากยิ่งๆขึ้น

ขอให้แหวนซึ่งท่านได้สวมให้แก่กันและกันนั้น เป็นสัญลักษณ์ และเครื่องหมายแห่งความรักอันไม่มีที่สิ้นสุด อย่ารักกันด้วยคำพูด หรืออารมณ์เท่านั้นแต่ต้องรักกันด้วยการกระทำ และความจริงใจ จงรักกันและกัน เหมือนอย่างที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงรักท่าน จงให้ความรักนี้บริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าทรงสอนผ่านพระคัมภีร์อย่างชัดเจนว่า “ จงให้การสมรส เป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และให้เตียงสมรส ปราศจากความชั่วช้า เพราะคนมีชู้ และคนล่วงประเวณีนั้นพระเจ้าจะลงโทษเขา “ ( ฮีบรู 13: 4 ) และพระคัมภีรืได้กล่าวว่า “ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก“
images3.jpg
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 5:28 pm

( ตอนที่ 9)

จุดเทียนสมรส

ผู้ประกอบพิธี: เจ้าบ่าว เจ้าสาว พระเจ้าทรงสร้างท่านทั้งสองให้เป็นคู่อุปถัมภ์ เป็นสามีภรรยา ที่จะร่วม ชีวิตสมรสด้วยกัน ขอให้ท่านทั้งสอง รับเอาความสว่างจากองค์พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความสว่างของโลก เพื่อพระองค์จะได้เป็นศูนย์กลาง และเป็นแสงสว่างในชีวิตครอบครัวของท่านและขอองค์พระผู้เป็นเจ้าได้หล่อหลอมชีวิตของท่านทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป ขอให้ท่านได้จุดเทียนสมรส เพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตสมรสของท่าน

( เจ้าบ่าว เจ้าสาว จุดเทียนสมรส แล้วกลับไปยืนประจำที่ )

เจ้าบ่าวเจ้าสาวคารวะบุพการี

ผู้ประกอบพิธี: เจ้าบ่าว และเจ้าสาว บิดา มารดา เป็นผู้ให้กำเนิด และเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อชีวิต บิดา มารดาได้เอาใจใส่ เลี้ยงดูและทะนุถนอมชีวิตของท่าน บิดา มารดา ได้ให้การศึกษา ได้ทุ่มเท ทุกอย่างจนพวกท่านเติบใหญ่ และสามารถมีเหย้ามีเรือน ขอให้ท่านทั้งสอง ได้กราบขอบพระคุณ โดยสำนึกถึงพระคุณและความรัก ที่บิดา มารดา มีต่อชีวิตท่าน ขอให้ท่านได้เป็นลูกที่กตัญญูต่อบิดา มารดา เพื่อท่านจะได้มีความร่มเย็นเป็นสุข และมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต พระคัมภีร์กล่าวว่า “จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้ไปดีมาดีและมีอายุยืนนานบนแผ่นดินโลก” ( เอเฟซัส 6:2 ) ( แล้ว เจ้าบ่าว และเจ้าสาว คารวะต่อบุพการีทั้งสองฝ่าย โดยทั่วไป คารวะที่ฝ่ายเจ้าบ่าวก่อน )

ลงนามใบสำคัญของคริสตจักร

ผู้ประกอบพิธี: ขอเรียนเชิญผู้ปกครองของคริสตจักร 2 ท่าน เป็นผู้ลงนามในใบทะเบียนสมรส
ของคริสตจักร

ประกาศการเป็นสามี ภรรยา

ผู้ประกอบพิธี: ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า

ข้าพเจ้า ศาสนาจารย์ .............................................................
ผู้ประกอบพธี ขอประกาศว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าบ่าว นาย..........................
และเจ้าสาว นางสาว.....................................................เป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฏหมาย
ปะเพณี และพระบัญญัติของพระเจ้าแล้ว ( มาระโก 10:9 ) เหตุฉะนั้นอย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย ข้าพเจ้าขอแนะนำครอบครัวใหม่คือ นาย..............................และนาง................................
ขอให้ที่ประชุมยืนขึ้นปรบมือต้อนรับแสดงความยินดี


ร้องเพลงอวยพร: มีเพลงเกี่ยวข้องหลายเพลงเช่น จากเพลงไทยนมัสการ

- บทที่ 196 “ความรักวิเศษเหนือรักอื่นใด”

- บทที่ 322 “ จิตใจเบิกบานในวันแต่งงาน”

- บทที่ 323 “เพลงอวยพรคู่บ่าวสาว”

- บทที่ 324 “ พระเจ้าอยู่ด้วยกับคู่บ่าวสาว”
( ขณะที่ประชุมยืนขึ้นร้องเพลงอวยพร ให้คู่สมรสหันหน้าไปที่ประชุม )

ขอพระพร : ( ที่ประชุมยังยืนอยู่ ) ขอให้ พระคุณความรัก และสันติสุขที่มาจากพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับคู่บ่าว สาว และทุกๆท่านสืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน

( แล้วขบวนคู่สมรสเดินออกจากสถานที่ประกอบพิธี ที่ประชุมยืน และขณะที่คู่สมรสเดินผ่าน แขกผู้มีเกียรติจะหยิบกลีบดอกไม้ ที่เจ้าภาพเตรียมไว้ ปา โรยอวยพรแก่คู่บ่าวสาว )

หมายเหตุ:

**>>: เพื่อนๆสาวโสด มักจะรอเวลาที่เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้ ที่เธอถือเข้าพิธีโบสถ์ เพราะมีเรื่องเล่าสนุกๆ ว่าใครรับช่อดอกไม้ที่เจ้าสาวใช้วันนั้นได้ เธอคือคิวคนต่อไปที่จะเข้าพิธี ...ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องสนุกสนานมากกว่า ...เพราะเคยได้รับข่อดอกไม้มาสองครั้งแล้ว ก็ยังอยู่ยงคงกระพัน เหมือนเดิม 55555 ส่วนเจ้าเพื่อนที่แย่งช่อดอกไม้ไม่ได้ เข้าพิธีคนแล้ว คนเล่า -ฮา
images8.jpg
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 5:31 pm

ความรักวิเศษ เหนือรักอื่นใด(

Love Divine, All Love Excelling )
ผู้ประพันธ์: Charles Wesley ( 1707-1788 )
footprint.gif
1.ความรัก…วิ-เศษ เหนือรัก อื่นใด พร สวรรค์ไหลล้นลงมา
เชิญประทับนดวงใจของข้า คุ้มครองด้วยพระก-รุ-ณา
โอพระเย-ซู ผู้ทรงเมตตา บ-ริ-สุทธิ์ และทรงพระคุณ
ขอประทานความรอดมาค้ำจุน หนุนใจบรรดาผู้รอคอย

2.ฤทธิ์ พระเจ้า สา-มารถ ช่วยเราได้ ทรงนำเราจนทุกวันนี้
ข้าหวังว่าจะทรงนำต่อไปให้ถึงเมืองเก-ษมเปรม-ปรีดิ์
เมื่อข้าหลงทางห่าง พระองค์ไป พระองค์ นั้นสืบเสาะตามหา
ทรงช่วยพ้นความทุกข์ร้าย นา-นา ด้วยพระโลหิตทรงไถ่ข้า

3.ความรักของพระองค์มากนักหนายิ่งนานยิ่งเพิ่ททุกเว-ลา
ขอให้พระเมต-ตา พระคริสต-เจ้า ได้ผูกมัดใจข้าให้มั่น
ขอพระองค์อย่าให้ ข้ากลับ หัน แต่ไว้ใจ พระองค์สืบไป
บัดนี้ขอถวายใจ บู-ชา ขอประ-ทับตรา ตรึงดวงใจ อา-เมน
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ส.ค. 24, 2005 5:36 pm

( เพิ่มเติม )

Sacrament ศีลศักด์สิทธิ์: คือ พิธีกรรมที่เชื่อว่าพระเยซูทรงกำหนดขึ้น ให้มีการกระทำที่เห็นได้เพื่อเป็นเครื่องหมาย ถึงผลที่จะเกิดขึ้นภายในตัวผู้รับศีล ศักดิ์สิทธิ์ ศีลศักดิ์สิทธิ์จะต้องประกอบด้วย ผู้โปรดศีล ( conferer ) ผู้รับศีล (receiver ) การปฏิบัติต่อกัน ( external sign ) และความตั้งใจของทั้งสองฝ่าย ที่จะให้เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์

   คริสตชน คาทอลิก และออร์ทอดอกซ์ เชื่อว่า พระเยซูทรงตั้งศีลศักดิ์สิทธ์ ขึ้น ๗ ประการ เพื่อให้เกิดผลต่างๆในตัวผู้รับ อย่างไรก็ตามในการรับศีลทุกครั้ง ผู้รับศีลจะได้รับ พระหรรษทาน ( grace= พระคุณ )มากน้อยตามศรัทธาที่มีต่อศีลนั้น ศีลศักดิ์สิทธิ์ ๗ ประการคือ

๑.   ศีลล้างบาป หรือ พิธีบัพติสมา ( Baptism )
๒.   ศีลกำลัง ( Confirmatio )
๓.   ศีลอภัยบาป ( Saceament of Confession )
๔.   ศีลมหาสนิท หรือ พิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ ( Holy Communion, Holy Eucharist )
๕.    ศีลสมรส ( Sacrament of marriage )
๖.   ศีลอนุกรม ( Holy Orders )
๗.   ศีลเจิมคนไข้ ( Anointing of the sick; Sacrament for the Sick )

-   คริสตจักรโปรเตสแตนต์ เชื่อว่าพระเยซูทรงตั้ง พิธีศักดิ์สิทธิ์ ไว้เพียง ๒ ประการ เท่านั้น คือ พิธีบัพติสมา และพิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์

-   คำว่าศีล หมายถึงพิธีกรรมที่พระเยซูเป็นผู้กำหนดขึ้น เป็นคำบัญญัติภาษาไทยของคริสต์โรมันคาทอลิก ไม่ใช่ศีลในความหมายของ precept or morality ที่ใช้กันทั่วๆไป
T3000906-2.jpg
พิธีสมรส โปรเตสแตนต์ ใช้ คือ พิธีรับรู้คำมั่นสัญญา ต่อกันระหว่างชายกับหญิงว่าจะดำเนินชีวิตเป็นสามีภรรยากัน ด้วยคำที่มีความหมายว่า “ข้าพเจ้า...ยินดีรับ...เป็น สามี/ภรรยา ( จนตลอดชีวิต ) และจะซื่อสัตย์ ต่อกันไม่ว่าในยามสุขหรือทุกข์ ไม่ว่ายามเจ็บไข้ .......”

คำมั่นสัญญานี้คริสเตียนเชื่อว่า การสมรสนี้ทำกันต่อพระพักตร์พระเป็นเจ้า ซึ่งเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นประธานในพิธี และผู้ร่วมพิธี ถือว่าเป็นพยานรับรู้คำมั่นสัญญาดังกล่าว

( อ้างอิง:พจนานุกรม ศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ หน้า๒๕๖-๗ )
ภาพประจำตัวสมาชิก
-Rei-
โพสต์: 1015
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2005 8:31 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2005 3:11 pm

อยากแต่งงานมั่งจัง *kis
New lamb
~@
โพสต์: 656
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 7:21 am
ที่อยู่: Florida U.S.A

พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2005 7:05 pm

ขอบคุณค่ะคุณ พี พี ที่ให้ความรู้ อาทิตย์หน้าจะเข้ารับการอบรมเรื่องศีลสมรสพอดีเลยค่ะ :D
Mei

พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2005 8:13 pm

ดีใจกับคุณ New Lamb มาก ๆ ด้วยค่ะ อิจฉาจังเยยยยย :D
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2005 8:53 pm

Mei เขียน: ดีใจกับคุณ New Lamb มาก ๆ ด้วยค่ะ อิจฉาจังเยยยยย :D

ดีใจด้วยค่ะ พีพี เป็นผู้ช่วยทำพิธีสมรสทุกครั้ง รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ และการประทับอยู่ด้วยของพระเจ้าค่ะ ......คุณนิวแลมป์ โพสต์ รูปให้ ดูด้วยนะคะ :D

555 น้องเม่ย จ๋า อย่าไปอิจฉาเลย พี่กำลังคอยว่าเมื่อไหร่จะได้ไปร่วม งานสมรสของน้องเม่ยมั้ง ดิ :-*
New lamb
~@
โพสต์: 656
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 7:21 am
ที่อยู่: Florida U.S.A

พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2005 10:44 pm

Prod Pran เขียน:
Mei เขียน: ดีใจกับคุณ New Lamb มาก ๆ ด้วยค่ะ อิจฉาจังเยยยยย :D

ดีใจด้วยค่ะ พีพี เป็นผู้ช่วยทำพิธีสมรสทุกครั้ง รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ และการประทับอยู่ด้วยของพระเจ้าค่ะ ......คุณนิวแลมป์ โพสต์ รูปให้ ดูด้วยนะคะ :D

555 น้องเม่ย จ๋า อย่าไปอิจฉาเลย พี่กำลังคอยว่าเมื่อไหร่จะได้ไปร่วม งานสมรสของน้องเม่ยมั้ง ดิ :-*
ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยค่ะที่จะมีวันนี้ ซึ่งเมื่อก่อนพี่นับถือศาสนาอื่น แฟนพี่ต้องอดทนในการสวดภาวนาวอนขอมานับสิบๆปี และพี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาต้องทนทุกข์ขนาดไหน เพราะเขารู้ตัวดีว่าเขาทำผิดและตกอยู่ในบาป ต้องหมดสิทธิ์ในการรับศีลมหาสนิท ซึ่งจริงๆแล้วเขาไม่เคยบอกให้พี่รู้เลย เขาเพิ่งมาเปิดเผยความรู้สึกหลังจากพี่มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ตอนนี้ก็เลยคิดที่จะทำในสี่งที่ถูกต้องค่ะ แต่จะเป็นหลังจากที่พี่ล้างบาปแล้วค่ะ แต่งเมื่อไหร่แล้วจะนำรูปมาให้ดูค่ะ :D
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 11:29 am

น้องเม่ยอ่าน IM ของพี่พีพี ด้วยค่ะ โทรไปหา แล้วไม่รับสาย อิอิ ;D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Léon
โพสต์: 766
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 8:43 pm
ที่อยู่: แผ่นดินโลก
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 12:54 am

ความรู้ตัวแม่เลย สุดยอดมากครับ ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่สละเวลามาเพิ่มความรู้ให้พวกเรา
ได้รู้อะไรเพิ่มเยอะเลย
Jesus loves You
โพสต์: 740
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 12, 2009 11:36 pm

เสาร์ ส.ค. 15, 2009 11:51 pm

เอเมน ครับ
ตอบกลับโพส