+++เสียงร้องจากฝั่งโพ้นทะเลของบุรุษจากสวรรค์+++

คริสตสัมพันธ์ เอกภาพในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2006 1:03 am

รูปภาพ

การอัศจรรย์ครั้งแรกของครอบครัว

ผมอายุ 16 ปี ในปี 1974 การปฎิวัติวัฒนธรรมยังคงแพร่ระบาดไปทั่วทั้งแผ่นดินจีน เวลานั้น พ่อของผมกำลังป่วย ท่านทุกข์ทรมานจากโรคหอบหืดขั้นรุนแรง ซึ่งพัฒนาไปเป็นมะเร็งปอด แล้วมะเร็งนั้น ก็ลามเข้าสู่กระเพาะอาหาร แพทย์บอกผมว่า โรคของท่านไม่สามารถรักษาให้หายได้ และท่านคงต้องตายในไม่ช้า และบอกแม่ของผมว่า "สามีคุณหมดหวังแล้ว กลับไปบ้านและเตรียมรับการจากไปของเขาดีกว่า"

ทุกๆ คืน พ่อผมจะนอนอยู่บนเตียง แทบจะหายใจไม่ไหว ด้วยความที่ท่านเป็นคน เชื่ออะไรงมงายมาก ท่านจึงขอร้องเพื่อนบ้าน ให้ไปรับนักบวชลัทธิเต๋า มาขับไล่ผี ออกจากตัวท่าน เพราะท่านเชื่อว่า ความเจ็บป่วยนั้น เกิดจากการทำให้ผีไม่พอใจ ความเจ็บป่วยของพ่อ ดูดเอาเงินทอง ทรัพย์สมบัติ และเรี่ยวแรงของเรา ไปจนหมดเกลี้ยง เนื่องจากเรายากจน ผมจึงไม่สามารถไปโรงเรียนได้ จนกระทั่งอายุ 9 ขวบ แต่แล้วเมื่ออายุได้ 16 ปี ผมก็ต้องเลิกเรียน เพราะโรคมะเร็งของพ่อ ผมกับพี่น้องชายหญิง จำเป็นต้องขออาหาร จากเพื่อนบ้าน และเพื่อนฝูง เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด

เราหวังว่าอาการของพ่อจะดีขึ้น แต่มันกลับแย่ลง แม่ของผมต้องเผชิญความกดดันอย่างหนัก เพราะตกอยู่ ในความเสี่ยงที่จะต้องเลี้ยงลูก 5 คน ด้วยตัวคนเดียว ท่านไม่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา หากพ่อเสียชีวิตลง สิ่งต่างๆ ดูสิ้นหวัง จนแม่แทบถึงกับคิดฆ่าตัวตาย คืนหนึ่ง ขณะที่แม่นอน ครึ่งหลับครึ่งตื่น จู่ๆ ท่านก็ได้ยินเสียง อันอ่อนโยนและชัดเจน เสียงที่เต็มไปด้วยความปรานีนั้นกล่าวว่า "พระเยซูรักเธอ" ท่านจึงคุกเข่าลงบนพื้น กลับใจจากความผิดบาปของตน ด้วยน้ำตานองหน้า และกลับมาถวายชีวิต แด่พระเยซูคริสต์เจ้าอีกครั้ง เช่นเดียวกับ บุตรน้อยหลงหาย แม่ของผม ได้กลับบ้านมาหาพระเจ้าอีกครั้ง

แม่เรียกสมาชิกในครอบครัวมาอธิษฐานต่อพระเยซูทันที แม่บอกพวกเราว่า "พระเยซู เป็นความหวังเดียว ที่จะช่วยพ่อได้" พวกเราทุกคน จึงถวายชีวิตแด่พระเจ้า เมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วเราก็วางมือบนตัวพ่อ และตลอดคืนนั้น เราได้ร้องทูลขอ ด้วยคำอธิษฐานง่ายๆ ว่า "พระเยซู โปรดรักษาพ่อ พระเยซู โปรดรักษาพ่อ" เช้าวันต่อมา พ่อรู้สึกว่า อาการของท่านดีขึ้นมาก เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ที่พ่อรู้สึกอยากอาหาร ภายใน 1 สัปดาห์ ท่านก็หายสนิท และไม่มีร่องรอยของมะเร็ง หลงเหลืออยู่เลย นี่คือการอัศจรรย์ อันยิ่งใหญ่จากพระเจ้า

เกิดการฟื้นฟูในครอบครัวของเรา และชีวิตของเรา ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรงพลัง จนวันนี้ หลังจากเกือบ 30 ปี ที่พระเยซู ทรงรักษาพ่อของผม ลูกๆ ทั้ง 5 คนของพ่อ ก็ยังคงดำเนินชีวิต ติดตาม พระเจ้าตลอดมา พ่อแม่ของผม ต่างซาบซึ้งต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ จนท่านทั้งสอง ปรารถนาที่จะแบ่งปัน ข่าวประเสริฐ กับทุกๆ คนในหมู่บ้านทันที ในสมัยนั้น การชุมนุมหรือการรวมตัวกัน ในที่สาธารณะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่พ่อแม่ผม กลับมีแผนการ ท่านให้ลูกๆ ไปเชิญญาติๆ และเพื่อนฝูงมาที่บ้านของเรา

ผู้คนมาที่บ้านของเราโดยไม่ทราบเหตุผลที่พวกเขาถูกเรียกให้มา หลายคนเชื่อว่า พ่อเสียชีวิตแล้ว พวกเขาจึงแต่งชุดงานศพมา ทุกคนต่างประหลาดใจ เมื่อเห็นพ่อมาทักทายพวกเขา ที่หน้าประตู และเห็นได้ชัด ว่าท่านสุขภาพแข็งแรงดี เมื่อญาติและเพื่อนๆ ของเรา มากันครบทุกคนแล้ว พ่อกับแม่ก็เรียกพวกเขา เข้ามาในบ้าน พวกท่านปิดประตูและหน้าต่างลงกลอน และอธิบายถึงเรื่องที่พ่อได้รับการรักษา จนหายสนิทด้วยการอธิษฐาน ต่อพระเยซู ญาติและเพื่อนๆ ของเราทุกคน ต่างคุกเข่าลงบนพื้น และยอมรับพระเยซูให้เป็นพระเจ้า และเป็นเจ้านาย ด้วยความปลาบปลื้มใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2006 1:12 am

การต่อสู้กับโลกฝ่ายวิญญาณเพื่อให้ได้มาซึ่งพระวจนะ

ในตอนแรก ผมไม่รู้หรอกว่า จริงๆ แล้ว พระเยซูคือใคร แต่ผมได้เห็นพระองค์ ทรงรักษาพ่อของผม และปลดปล่อยครอบครัวของเรา ผมจึงถวายตัวแด่พระเจ้า ด้วยความมั่นใจ ในฐานะที่พระองค์ ทรงรักษาพ่อ และทรงช่วยเราให้รอด ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมมักจะถามแม่อยู่บ่อยครั้งว่า แท้ที่จริงแล้ว พระเยซูคือใคร แม่ตอบว่า "พระเยซู คือ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อพวกเรา เพื่อยก ความผิดบาป และความเจ็บป่วยของเราไป พระองค์ทรงบันทึกคำสอนทั้งหมด ไว้ในพระคัมภีร์" ผมถามต่อ ว่า ยังพอมีคำสอน ของพระเยซู หลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่ ที่ผมจะสามารถอ่านได้ด้วยตนเอง แม่ตอบว่า "ไม่มีแล้ว คำสอนของพระองค์ สูญไปหมดแล้ว" ในช่วงเวลานั้น มีการปฎิวัติวัฒนธรรม และไม่มีพระคัมภีร์ให้พบเห็นเลย

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะมีพระคัมภีร์เป็นของตนเอง ผมสอบถามแม่ และญาติพี่น้อง คริสเตียน ว่าพระคัมภีร์มีลักษณะอย่างไร แต่ไม่มีใครทราบเลย มีอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเคยเห็นบางส่วนของพระคัมภีร์ ที่คัดลอกด้วยมือ และเนื้อเพลงสรรเสริญ แต่ไม่เคยเห็นพระคัมภีร์ทั้งเล่ม มีเพียงผู้เชื่อสูงอายุ 2-3 คน ที่พอจะ นึกภาพพระคัมภีร์ ที่เขาเคยเห็น เมื่อหลายปีที่แล้ว พระวจนะของพระเจ้า ช่างขาดแคลนเหลือเกินในแผ่นดินนี้

ผมหิวกระหายพระคัมภีร์มาก และเมื่อแม่เห็นความทุรนทุรายของผม แม่ก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีชายชราคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในอีกหมู่บ้าน ชายชราคนนี้ เคยเป็นศิษยาภิบาล ก่อนที่จะเกิดการปฎิวัติขึ้น เราสองคนแม่ลูก จึงได้ออกเดินเท้า เป็นระยะทางไกล เพื่อไปที่บ้านชายชราคนนั้น เมื่อเราพบเขา เราก็บอกกับเขาว่า "เราปรารถนา ที่จะได้เห็นพระคัมภีร์ ท่านมีสักเล่มไหมครับ" ชายชราแสดงท่าทางหวาดกลัวทันที ชายคนนี้ เคยติดคุก เพราะความเชื่อ เป็นเวลาเกือบ 20 ปี เขามองผม และเห็นว่าผมยังเด็กและยากจน สวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ และไม่มีรองเท้า เขาจึงเกิดความสงสาร แต่ก็ยังไม่อยากให้ผมดูพระคัมภีร์ของตน

ผมไม่โทษเขาเลยสักนิด เพราะในช่วงนั้น มีพระคัมภีร์อยู่เพียงน้อยนิดในประเทศจีน ผู้คนไม่ได้รับอนุญาต ให้อ่านหนังสือใดๆ นอกจากหนังสือปกแดงเล่มเล็กของเหมา ถ้าใครถูกจับได้ พร้อมกับพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ก็ จะถูกเผา และเจ้าของพระคัมภีร์กับครอบครัว จะถูกเฆี่ยนตี อย่างหนักหน่วง ที่กลางหมู่บ้าน ศิษยาภิบาลชราผู้นี้ แค่บอกผมว่า "พระคัมภีร์ เป็นหนังสือจากสวรรค์ ถ้าเธออยากได้สักเล่ม เธอก็ต้องอธิษฐาน ต่อพระเจ้า แห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์เท่านั้น ที่จะทรงจัดเตรียม หนังสือจากสวรรค์ ให้เธอได้ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ตอบคำอธิษฐาน ของผู้ที่แสดงหาพระองค์ อย่างสุดจิตสุดใจเสมอ" ผมเชื่อคำตอบของศิษยาภิบาลผู้นี้ อย่างสุดใจ พอกลับมาถึงบ้าน ผมก็ยกก้อนหินเข้ามาในห้อง เอาไว้คุกเข่าลงอธิษฐาน ทุกๆ ค่ำ ผมอธิษฐาน อย่างง่ายๆ เพียงประโยคเดียว "ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานพระคัมภีร์แก่ข้าพระองค์ด้วย อาเมน" ในเวลานั้น ผมไม่รู้วิธีอธิษฐาน แต่ผมก็อธิษฐานแบบนั้น อยู่นานกว่าหนึ่งเดือน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระคัมภีร์ไม่ปรากฎ!!

ผมกลับไปที่บ้านศิษยาภิบาลชราอีกครั้ง คราวนี้ไปคนเดียว ผมบอกเขาว่า "ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า ตามที่ท่าน แนะนำแล้ว แต่ผมยังไม่ได้พระคัมภีร์ ที่ผมต้องการเหลือเกิน ได้โปรดให้ผมได้ดูพระคัมภีร์ของท่านเถอะ แค่ดู แวบเดียว ผมก็พอใจแล้วครับ ผมไม่แตะพระคัมภีร์ ของท่านก็ได้ ท่านถือเอาไว้และผมแค่ดูอย่างเดียว และถ้าผม ได้คัดลอกบางส่วน ของคำสอนนั้นด้วย ผมก็จะกลับบ้านอย่างมีความสุข" ศิษยาภิบาลชรา มองเห็น ความกระวน กระวายในใจผม เขาบอกผมอีกครั้งว่า "ถ้าเธอจริงจังเรื่องนี้ เธอแค่คุกเข่าอธิษฐานต่อพระเจ้า ก็ยัง ไม่พอ เธอควรจะอดอาหาร และร้องคร่ำครวญ ยิ่งเธอร้องคร่ำครวญมากเท่าไหร่ เธอก็จะได้พระคัมภีร์เร็วขึ้นเท่านั้น"

ผมกลับไปบ้าน และทุกๆ เช้าจนถึงบ่าย ผมจะไม่กินหรือดื่มอะไรเลย ทุกๆ เย็น ผมจะทานแค่ข้าวถ้วยเล็กๆ ผมร้องไห้เหมือนเด็กน้อย ที่หิวโหย ร้องเรียกพระบิดาในสวรรค์ เพราะปรารถนาจะได้รับ การเติมเต็มด้วยพระวจนะ ของพระองค์ ผมอธิษฐานขอพระคัมภีร์ต่อไปอีก 100 วัน จนกระทั่งผมทนต่อไปไม่ไหว พ่อกับแม่ต่างแน่ใจว่า ผมเสียสติไปแล้ว เมื่อมองย้อนกลับไป หลังผ่านมาหลายปี ผมคงจะกล่าวได้ว่า ประสบการณ์ทั้งหมด ในครั้งนั้น เป็นสิ่งที่ยากเข็ญที่สุด ที่ผมเคยประสบมา

และแล้วจู่ๆ ในเช้าวันหนึ่ง ประมาณตีสี่ หลังจากอ้อนวอนพระเจ้า ให้ตอบคำอธิษฐานอยู่หลายเดือน ผมก็ได้รับ นิมิต จากพระองค์ ขณะกำลังคุกเข่าอยู่ข้างเตียง ในนิมิตนั้น ผมกำลัง เดินขึ้นเนินเขาสูงชัน พยายามจะดันเกวียน ที่หนักอึ้ง ให้เคลื่อนไปข้างหน้า ผมกำลัง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน ซึ่งผมตั้งใจจะไป ขออาหารให้ครอบครัว ผมดิ้นรน อย่างหนัก เพราะในนิมิตนั้น ผมกำลังหิว และอ่อนเพลีย จากการอดอาหาร อธิษฐานยาวนาน และเกวียนเก่าเล่มนั้น ก็กำลังจะไหลกลับลงมาทับผม แล้วผมก็เห็นชาย 3 คน เดินสวนทางลงมาจากยอดเขา ชายชราใจดีที่มีเครายาว กำลังลากเกวียนเล่มใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยขนมปังใหม่ ชายอีก 2 คน เดินอยู่คนละฟากของเกวียน เมื่อชายชรา คนนั้นมองเห็นผม เขารู้สึกสงสารผมมาก และได้แสดงความเมตตา เขาถามว่า "เธอหิวไหม" ผมตอบว่า "หิวครับ ผมไม่มีอะไรจะกิน และกำลังเดินทาง ไปหาอาหารให้ครอบครัว" ผมร้องไห้โฮ เพราะครอบครัวของผมนั้น ยากจนเหลือเกิน ความเจ็บป่วยของพ่อ ทำให้เราต้องขายของ ที่มีค่าทุกอย่าง เพื่อซึ้อยารักษาโรค เรามีอาหาร กินน้อยมาก และเป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่เราจำต้องขออาหารจากเพื่อนบ้าน เมื่อชายชราถามว่า ผมหิวหรือเปล่า ผมจึงอดร้องไห้ออกมาไม่ได้ ผมไม่เคยได้สัมผัสความรักอันแท้จริง และความเมตตาเช่นนี้ จากผู้ใดมาก่อน

ในนิมิตนั้น ชายชราหยิบถุงสีแดง บรรจุขนมปังออกมาจากรถลาก และบอกให้คนใช้ 2 คนนั้น นำมาให้ผม ชายชรากล่าวว่า "เธอต้องกินทันทีนะ" ผมแกะห่อออก และเห็นขนมปังอบใหม่อยู่ในนั้น พอผมหยิบเข้าปาก ขนมปังนั้นก็กลายเป็นพระคัมภีร์ทันที ในนิมิตนั้น ผมคุกเข่าลง โดยมีพระคัมภีร์ในมือ และร้องขอบคุณพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า พระนามของพระองค์ สมควรแก่การสรรเสริญ พระองค์ไม่ได้เพิกเฉย ต่อคำอธิษฐานของข้า พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ ได้รับพระคัมภีร์เล่มนี้ ข้าพระองค์ อยากจะรับใช้พระองค์ ไปจนตลอดชีวิต"

ผมตื่นขึ้น และเริ่มค้นหาพระคัมภีร์ไปทั่วบ้าน คนอื่นๆ ในครอบครัวยังคงหลับอยู่ นิมิตนั้นดูสมจริงสมจัง สำหรับผมมาก ดังนั้น เมื่อผมตระหนักว่า มันเป็นเพียงความฝัน ผมจึงรู้สึกปวดร้าวลึกๆ ในใจ จนต้องร้องไห้เสียงดัง พ่อกับแม่รุดมาที่ห้องผม เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านทั้ง 2 คิดว่าผมเสียสติไปแล้ว เพราะการอดอาหารอธิษฐาน ผมบอกท่านเรื่องนิมิตที่ผมเห็น แต่ผมเล่ามากเท่าไหร่ พวกท่านก็ยิ่งรู้สึกว่า ผมบ้ามากขึ้นเท่านั้น แม่บอกว่า "นี่ไม่ทันจะเช้าเลย แล้วไม่มีใครมาบ้านของเราด้วย ประตูบ้านก็ยังปิดสนิท" พ่อกอดผมแน่น ท่านอธิษฐาน ต่อพระเจ้า ด้วยน้ำตานองหน้า "ข้าแต่พระเจ้าที่รัก โปรดเมตตาลูกชายข้าพระองค์ด้วย อย่าปล่อยให้เขา ต้องเสียสติเลย ข้าพระองค์เต็มใจจะยอมเจ็บป่วยอีกครั้ง ถ้ามันจะสามารถช่วยไม่ให้เขากลายเป็นบ้าได้ โปรดประทานพระคัมภีร์ แก่ลูกชายข้าพระองค์ด้วยเถิด" ทั้งพ่อ แม่ และผมคุกเข่าลง และจับมือร้องทูลขอด้วยกัน

ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ และมีเสียงอันอ่อนโยนเรียกชื่อผม ผมรีบไปที่ประตูและถามว่า "คุณเอาขนมปังมาให้ผมใช่ไหมครับ" เสียงที่อ่อนโยนนั้นตอบกลับมาว่า "ใช่ เรามีขนมปังจากงานเลี้ยงมาให้เธอ" ผมจำเสียงนั้นได้ทันที เป็นเสียงเดียวกัน กับที่ผมได้ยินในนิมิต ผมรีบเปิดประตู และที่นั่น มีชายหนุ่ม 2 คน ที่ผมเห็นในนิมิต ยืนอยู่ คนหนึ่งถือถุงสีแดงอยู่ในมือ หัวใจของผมเต้นแรง ขณะเปิดถุงใบนั้นออก และสิ่งที่ผม ได้ถือไว้ในมือทั้ง 2 ข้าง ก็คือพระคัมภีร์ของผมนั่นเอง!!

ชาย 2 คนนั้น จากไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ข้างนอกยังมืดอยู่ ผมกอดพระคัมภีร์ไว้แนบอก และทรุดตัวคุกเข่าลง นอกประตูบ้าน ผมขอบคุณพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ให้สัญญากับพระเยซูว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป ผมจะดื่มกิน พระวจนะของพระองค์ เหมือนกับเด็กที่หิวโหย ภายหลัง ผมได้ทราบชื่อชาย 2 คนนั้น คนหนึ่งชื่อพี่หวัง และ อีกคนชื่อพี่ซ่ง ทั้งคู่มาจากหมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไป พวกเขาเล่าให้ผมฟัง ถึงเรื่องผู้ประกาศพระกิตติคุณคนหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยพบมาก่อน ผู้ประกาศคนนี้ เคยถูกทรมานอย่างแสนสาหัส เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ในช่วงปฎิวัติ วัฒนธรรม และเกือบเสียชีวิตระหว่างถูกทรมาน

ก่อนที่ผมจะได้รับพระคัมภีร์ ประมาณ 3 เดือน ผู้ประกาศคนนี้ ได้รับนิมิตจากพระเจ้า พระองค์ทรงสำแดง ให้เห็นว่า มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งพระเจ้าจะประทานพระคัมภีร์ให้ ในนิมิตนั้น เขาได้เห็นบ้านของเรา รวมทั้งที่ตั้ง ของหมู่บ้าน เช่นเดียวกับคริสเตียนทั่วไปในเวลานั้น เขาได้ซ่อนพระคัมภีร์ของตนไว้ในกระป๋อง และฝังไว้ลึก ใต้พื้นดิน โดยหวังใจว่า สักวันหนึ่ง เขาคงจะได้ขุดกระป๋องใบนั้นขึ้นมา และสามารถอ่านพระคัมภีร์ ได้อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้เขาได้รับนิมิต แต่เขายังต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือน ทีเดียว ก่อนจะตัดสินใจ ทำสิ่งที่พระเจ้า ทรงบัญชา เขาขอร้องให้พี่น้องคริสเตียน 2 คนนี้ นำพระคัมภีร์มามอบให้ผม และพี่น้องทั้ง 2 ก็เดินเท้า มาตลอดทั้งคืน จนถึงบ้านของผม

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็อธิษฐานต่อพระเยซู ด้วยคำอธิษฐานที่เปี่ยมล้นด้วยความเชื่อ ผมเชื่ออย่างสุดใจ ว่าถ้อยคำในพระคัมภีร์ คือคำที่พระเจ้าตรัสแก่ผมโดยตรง ผมถือพระคัมภีร์ไว้ตลอดเวลา แม้แต่เวลานอน ผมก็จะวางพระคัมภีร์ไว้บนอก ผมดื่มกินคำสอนในพระคัมภีร์ ราวกับเด็กน้อยที่หิวโหย นี่คือของขวัญ ชิ้นแรก ที่ผมได้รับจากพระเจ้า ผ่านทางการอธิษฐาน

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2006 1:14 am

รูปภาพ

คุณหยุน ถูกเรียกว่าบุรุษจากสวรรค์ (The Heavenly Man) ตามชื่อหนังสือ เพราะว่าครั้งหนึ่ง ท่านแกล้งเสียสติ บอกว่าท่านเป็นคนของสวรรค์ ไม่ใช่คน ของโลกนี้ เพื่อส่งสัญญาณเตือนคริสเตียน คนอื่นในบริเวณใกล้เคียง ให้หลบหนี เจ้าหน้าที่ ซึ่งตามจับกุมคริสเตียนที่ประชุม ร้องเพลง สรรเสริญพระเจ้า นั่นเป็นช่วงเวลา ที่ท่านเผชิญ ความตาย และเข้าสู่เรือนจำ สุดจะโหดเหี้ยม ด้วยจิตใจเยี่ยงสัตว์ ของมนุษย์หลายคน

ในตอนหนึ่ง คุณหยุน ต้องอดอาหารอยู่ในคุกมากกว่า 74 วัน โดยไม่ดื่ม หรือกินอะไรเลย ท่านยอมทนทุกข์ ในจุดที่ต่ำและยากลำบากที่สุด เพื่อแลกกับ การเปิดเผยข้อมูล ของพี่น้องคริสเตียนท่านอื่น, ท่านบินไปเยอรมัน โดยการ ทรงนำของพระเจ้าตลอดทาง ท่านถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ รับไปอีกที่ อย่างรวดเร็ว เหมือนฟิลิป ในหนังสือ กิจการฯ ท่านถูกขัดขวางนิมิต เหมือนในหนังสือดาเนียล ... ขอให้เราช่วยกันอธิษฐานเผื่อประเทศจีน ที่พระกิตติคุณ กำลังแผ่ขยายอย่างไม่หยุดด้วย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศไทยของเรา


ยังมีนิมิตและการอัศจรรย์อีกมากมาย ที่เกิดขึ้นกับคุณหยุนในหนังสือเล่มนี้


อ่านเรื่องย่อทั้งเล่มได้ที่นี่ http://www.crossroad.to/


คัดลอกบางส่วน จากหนังสือ บุรุษจากสวรรค์
พอล แฮททาเวย์ เขียนจากปากของหยุน
พรเทพ คัดสุระ แปลและเรียบเรียง
สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 5:33 am

Thank you so much for a very good article... and book recommendation. It's a great conversion story...
"พระเยซู เป็นความหวังเดียว ที่จะช่วยพ่อได้"


I have said this too when I first decided to go to church... But I said " Only God could help" ... because at that time, I didn't know that Jesus is God.
ถึงแม้เขาได้รับนิมิต แต่เขายังต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือน ทีเดียว ก่อนจะตัดสินใจ ทำสิ่งที่พระเจ้า ทรงบัญชา


Sometimes we have to respond quickly to God's call.... because we never know how much hungry or painful the person is...

Or is it God's plan for that?
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ot@
~@
โพสต์: 989
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:44 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 6:54 am

Wow, this story is so heart-touching and inspirning...really wanna read his book.

This is kidda werid cuz I'm kidda feeling low at the moment and P'Por reccommend this to me and i realized what i hav to do and how beautiful life with god is :)

Thankyou so much krub :)
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 9:31 pm

หนังสือเล่มนี้ เมื่อ 3 ปีก่อน ป๊อบมากในแวดวงคริสเตียน

ปีที่แล้ว รู้สึกว่า ในอิสระรายปักกะเป้า คุณ ทานตะวันหรือแกะน้อย ได้สรุปเล่าเรื่อง

หนับหนุนให้รีบซื้อมาอ่านนะฮะ เพราะว่า หนุนใจมากทีเดียว :D
ตอบกลับโพส