มีอะไรในปฐมกาลบทที่ 27

คริสตสัมพันธ์ เอกภาพในคริสตศาสนา
Chay
โพสต์: 51
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 7:39 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 1:29 pm

แม้จบศาสนศาสตร์ปริญญาเอก แต่การที่จะเข้าใจพระคัมภีร์นั้น ความรู้ที่เขามี
ไม่สามารถที่จะตีพระคำอย่างลึกซึ้งได้เลย ทำได้เพียงใช้ความรู้ "ตามตัวอักษร" เท่านั้น
ถ้าทุกคนรู้ว่าทำไมพระเยซูต้องไปหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อทำพิธีบัพติสมา
เช่นกัน ยอห์นเองครั้งแรกก็ไม่เข้าใจ และไม่ยอมทำพิธีนั้น

ความรู้ ไม่สามารถทำให้มนุษย์ขึ้นสวรรค์ได้ เพราะว่าเรียนรู้มากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่เข้าใจใน
พระธรรมฮีบรูบทที่ 10:2 "...ถ้าผู้นมัสการนั้นได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ครั้งหนึ่งแล้ว
เขาคงจะไม่รู้สึกว่ามีบาปอีกต่อไป"
เพราะทุกคนก็ยังคงรู้สึกว่าเป็นคนบาปตลอดไป ทั้ง ๆ  ที่รู้ว่า ถ้าบาปอย่างนี้ พระเจ้าไม่ได้ยิน
คำอธิษฐาน และถ้าอยู่ต่อหน้าพระเยซูพร้อมกับความบาปนี้ จะเป็นอย่าไง
เขาก็เป็นเพียง "แพะ" ที่ดูคล้ายแกะ แต่กระดำกระด่าง

แม้ดูเหมือนเป็นคนที่เชื่อ แต่ในใจยังมีบาป นี่คือ "แพะ"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 3:51 pm

Chay เขียน: แม้จบศาสนศาสตร์ปริญญาเอก แต่การที่จะเข้าใจพระคัมภีร์นั้น ความรู้ที่เขามี
ไม่สามารถที่จะตีพระคำอย่างลึกซึ้งได้เลย ทำได้เพียงใช้ความรู้ "ตามตัวอักษร" เท่านั้น
ถ้าทุกคนรู้ว่าทำไมพระเยซูต้องไปหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อทำพิธีบัพติสมา
เช่นกัน ยอห์นเองครั้งแรกก็ไม่เข้าใจ และไม่ยอมทำพิธีนั้น

ความรู้ ไม่สามารถทำให้มนุษย์ขึ้นสวรรค์ได้ เพราะว่าเรียนรู้มากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่เข้าใจใน
พระธรรมฮีบรูบทที่ 10:2 "...ถ้าผู้นมัสการนั้นได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ครั้งหนึ่งแล้ว
เขาคงจะไม่รู้สึกว่ามีบาปอีกต่อไป"
เพราะทุกคนก็ยังคงรู้สึกว่าเป็นคนบาปตลอดไป ทั้ง ๆ  ที่รู้ว่า ถ้าบาปอย่างนี้ พระเจ้าไม่ได้ยิน
คำอธิษฐาน และถ้าอยู่ต่อหน้าพระเยซูพร้อมกับความบาปนี้ จะเป็นอย่าไง
เขาก็เป็นเพียง "แพะ" ที่ดูคล้ายแกะ แต่กระดำกระด่าง

แม้ดูเหมือนเป็นคนที่เชื่อ แต่ในใจยังมีบาป นี่คือ "แพะ"
บางคนไม่ได้จบศาสนศาสตร์ แถมใจมีแต่ความเย่อหยิ่งจองหอง เอาความคิดประสามนุษย์ของตัวเองมาบิดเบือนตีความพระคัมภีร์เข้าข้างอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็น อาจตความพระคัมภีร์ผิดขนาดไม่ใช่แค่แพะที่ดูคล้ายแกะ แต่เป็นหมาป่าในคราบลูกแกะเลยก็ได้นะครับ
Chay
โพสต์: 51
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 7:39 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 7:38 pm

"พระบัญญัติ" คือ กฏ หรือข้อบังคับที่พระเจ้าตั้งขึ้นไว้กับโมเสสบนภูเขาซีนายที่เรารู้จักกันดีว่า
"พระบัญญัติ 10 ประการ" แต่หลังจากนั้นพระเจ้าก็ใช่ให้เพียงแค่ 10 ข้อนี้ แต่ให้กฏบัญญัติแก่โมเสสเรื่อย ๆ
จนประมาณได้ 613 ข้อ

สิ่งที่น่าสนใจกับเรื่องนี้ก็เพราะว่า ใน 1 ทิโมธี บทที่ 1:8 - 9 ได้บอกอะไรบางอย่างกับเรา ในนั้นเขียนไว้ว่า
"เราทั้งหลายรู้อยู่ว่าธรรมบัญญัตินั้นดีถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก คือ โดยรู้ว่าธรรมบัญญัตินั้น
มิได้บัญญัติไว้สำหรับคนชอบธรรม แต่ทรงบัญญัติไว้สำหรับคนอธรรม และคนดื้อด้าน คนผิด และคนบาป
คนไม่นับถือพระเจ้า
..."
ถ้าหลักตามศาสนาทั่วไป ทุกคนเข้าใจว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ถ้าทำผิดศีล ก็บาป ถ้าไม่ทำบาปก็เป็นคนดี
แต่ของพระเยซูไม่ใช่แบบนั้น...
พระเจ้าตรัสว่า "มนุษย์ชั่วร้ายเสมอไป ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีผู้ใดเป็นคนดีได้โดยการถือบัญญัติ"
หลังจากที่มนุษย์ออกจากพระเจ้า ความชั่วร้ายก็เริ่มเต็มแผ่นดิน แต่พวกเขายังไม่รู้ว่าอะไรคือความบาป
แต่เมื่อ "พระบัญญัติ" มา ก็ทำให้รู้ว่าอะไรคือความบาป แต่สิ่งที่สำคัญคือ
....ไม่ใช่ว่าบัญญัติทำให้กลายเป็นคนบาป  แต่ทำให้บาปที่มีอยู่แล้วนั้นปรากฏให้เห็น......
.... บัญญัติ ไม่สามารถทำให้กลายเป็นคนชอบธรรมได้ แต่ทำให้มนุษย์อยู่ใต้การพิพากษา....
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าสมมติว่าหน้าของสาวคนหนึ่งเปื่อน มีคนหนึ่งมาบอก ด้วยเธอกลัวเสียฟอร์ม ก็เลยไม่เชื่อและแก้ตัว
แต่แล้วคน ๆ  นั้น ก็เอา "กระจก" สองหน้าให้เธอมอง  จากนั้นเธอก็พูดอะไรไม่ออก
จุดประสงค์ของ "กระจก" ไม่ได้มีไว้เพื่อประณามว่าสกปรก แต่มีไว้เพื่อบอกแล้วจะได้อยากจะไป "ชำระ"
"เรารู้แล้วว่าธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้พระบัญญัติ
เพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า...ธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้"
(โรม บทที่ 3:19 - 20)
เช่นกัน ถ้าไม่มีบัญญัติ มนุษย์ก็ยังกล้าพูดได้ว่า "ฉันทำได้ ฉันเป็นคนดี ฉันจะทำดีให้พระเจ้าดู ฯลฯ"

"กระจก" มีหน้าที่บอก  เพื่อไปหา "น้ำ"  เช่นกัน "พระบัญญัติ" มีหน้าที่บอกว่าบาปแค่ไหน เพื่อไปหา "พระโลหิต"
แต่เมื่อมาพบกับพระโลหิตแล้ว พระบัญญัติก็เป็นจุดจบเมื่อพระเยซูมาทำทุกอย่างแทนมนุษย์ (โรม 10:4)

เมื่อมนุษย์กินผลไม้ "สำนึกดีสำนึกชั่ว" ที่พระเจ้าห้ามกิน มนุษย์เริ่มที่จะมีสติปัญญาแยกแยะได้เหมือนกับพระเจ้า คือ รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ได้
เพราะฉะนั้น มนุษย์เริ่มเรียนรู้ที่จะ "ปกปิด" ความชั่ว และให้ปรากฏแต่สิ่งดี ๆ
ดังนั้น พระเจ้ามีแผนการณ์ที่จะส่งพระเยซูมาเพื่อที่จะไถ่ความบาป จึงต้องทำให้มนุษย์ทุกคนอยู่ในสภาพที่ "ยอมแพ้"
โดยการมอบ "พระบัญญัติ" มา เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่า "ทำไม่ได้" แล้ววิ่งไปหาพระเยซูได้

"ท่านที่ปรารถนาจะเป็นคนชอบธรรมด้วยพระบัญญัติ ก็ขาดจากพระคริสต์ และหล่นพ้นจากพระคุณไปเสียแล้ว"
(กาลาเทียบทที่ 5:4)

พระบัญญัติ มีไว้เพื่อให้ยอมแพ้ แต่คนที่ยังดื้อรั้น คนนั้นก็ทิ้งพระคุณ ทิ้งพระเยซูไป
เหมือนกับในเรื่องยาโคบ และ เอซาว ในปฐมกาลบทที่ 27  พ่อสั่งในสิ่งที่ลูกทำไม่ได้คือ "ทำอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ"
หมายความว่า "แม่" ย่อมรู้ดีกว่าลูกแน่นอน แต่ปัญหาก็คือว่า เอซาว มั่นใจ แล้ววิ่งไป "ทำตามในสิ่งที่พ่อสั่ง"
อย่างที่ผมเคยบอกก็คือ "บัญญัตินั้นดีถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก" หมายความว่า เอซาว ควรจะฟังคำสั่งดี ๆ ว่า อิสอัคต้องการให้ไปหาใคร

เช่นกัน พระเจ้าสั่งในสิ่งที่ทุกคนทำไม่ได้ คือพระบัญญัติ แต่มนุษย์ก็วิ่งไปทำกันอย่างทุ่มเท แต่ไม่รู้ว่าการทุ่มเทครั้งนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเขา

ที่ทุกคนยัง "สารภาพบาป" กันอยู่ทุกคน ก็เพราะว่าทุกคนยังอยู่ใต้บ้ญญัติ ยังพยายามทำได้ตามนั้น พอไม่ได้ก็กลายเป็นบาป แล้วก็สารภาพ
ทำอย่างนี้ไม่รู้จักจบ

ใน โรม บทที่ 7 พูดไว้สำหรับคนที่ยังอยู่กับบัญญัติ โดยยกตัวอย่างเรื่อง "กฏของสามีภรรยา" ว่า "ถ้าสามีเก่ายังไม่ตาย มีสามีใหม่ไม่ได้ ถ้ามี
ถือว่า ล่วงประเวณี"  เช่นเดียวกัน อาจารย์เปาโลอธิบายถึงคนที่ยังอยู่กับ พระเยซู แต่ยังทุ่มเทรักษาบัญญัติอยู่ว่า สามีเก่า (บัญญัติ)
ยังไม่ตายไปจากใจ แต่มีสามีใหม่ (พระคุณ,พระเยซู) อย่างนี้เรียกว่า "ล่วงประเวณี"

พวกเราสังเกตุดีกว่าว่า "บัญญัติ" นั้น พระเจ้ามีจุดประสงค์ที่บอกแบบนี้ ไม่ใช่เพื่อให้เราตะเกียกตะกาย

แล้ววันนี้ก็เปลี่ยนกฏใหม่ ในปฐมกาลบทที่ 28 เปลี่ยนใหม่แล้วจากที่เคยเรียก เอซาว มารับพระพรในบทที่ 27 กลายเป็นเรียนยาโคบแล้ว
บัญญัติใหม่นั้นก็คือ
"พระบัญญัติของพระองค์ คือ ให้เราทั้งหลายวางใจในพระนามของพระองค์..."
(1 ยอห์น บทที่ 3:21)

ผมไม่เถียงครับว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า "จงทำดี" แต่เราต้องรู้จุดประสงค์ด้วยนะครับว่าพระเจ้าให้มาเพื่ออะไร.."ดี ถ้า ใช้ถูก" นะครับ
เมื่อเราวางใจในพระเยซู แล้วพระองค์จะจูงนำเราตามพระวิญญาณเอง (ไม่ใช่ตามพระบัญญัติ)
Chay
โพสต์: 51
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 7:39 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 7:52 pm

ในข้อที่หนึ่งถึงเก้า กำลังพูดถึงเรื่อง "การรักษาโรคของพระเยซู" ซึ่งในเรื่องนี้น่าสนใจตรงที่ว่า
"ทำไมที่นั่นมีคนป่วยเป็นอันมาก แต่หายเพียงแค่ชายป่วยคนนั้น".....พระคำภีร์เริ่มต้นโดยการ
อธิบายเรื่องการหายโรคผ่านทาง "บ่อน้ำ" สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ข้อที่สี่ ซึ่งบางเล่มซ่อนอยู่ในเชิงอรรคข้างล่าง
ซึ่งอธิบายการหายโรคผ่านทางบ่อน้ำไว้อย่างชัดเจนว่า หนึ่ง "ต้องมองเห็นการที่ทูตสวรรค์กระเพื่อมน้ำ"
เพื่อที่จะทำอย่างที่ สอง คือ "ลงเป็นคนแรก" แต่ที่น่าสนใจคือในข้อที่สาม

ที่นั่นมี "คนตาบอด" ลองคิดดูว่าถ้าทูตสวรรค์ลงมาแตะน้ำแล้ว เขาจะมองเห็นไหมครับ? แน่นอนก็คงจะไม่เห็น
แต่แปลกที่ทำไมเขาถึงมารออยู่ที่นั่น อีกประเภทคือ "คนอัมพาต" แม้ว่าเขาเห็นการกระเพื่อมน้ำแต่เขาลงไปได้ไหม?
ก็ไม่ได้ แต่มารอทำไม?..... ใช่ครับ เขามารอ "พระเยซู" แต่ปัญหาคือว่า พระเยซูไปแล้วแต่ทำไมไม่หาย?...

เพราะว่ามัวแต่ "จ้อง" ...... พระคำกำลังอธิบายว่า คนที่กำลังจ้องอะไรบางอย่างที่ทำให้เขา "หันหลังให้กับพระเยซู"
นี่คือน่ากลัวที่สุด ..... เช่นเดียวกับที่มนุษย์กำลังจ้องไปในทางที่ "ลงด้วยตัวเองได้" ซึ่งทำให้เขาทิ้ง "พระเยซู"
อธิบายเพิ่มเติมในกาลาเทีย บทที่ห้า ข้อที่สี่ "ท่านที่ปรารถนาจะเป็นคนชอบธรรมโดยธรรมบัญญัติ
ก็ขาดจากพระคริสต์ และหล่นพ้นจากพระคุณไปเสียแล้ว" เช่นเดียวกันอะไรทำให้เราทิ้งพระคุณของพระเยซู?
ก็คือ "พระบัญญัติ" ใช่ครับ พระเจ้าให้พระบัญญัติกับเรามา แต่ในหนึ่งทิโมธีบทที่หนึ่งข้อที่แปดเขียนไว้ว่า

"...ธรรมบัญญัตินั้นดีถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก" หมายความว่าพระเจ้าให้บัญญัติมาอย่างมีจุดประสงค์ แต่ในกาลาเทียอธิบายว่า
ถ้าปรารถนาจะเป็นคนชอบธรรมผ่านบัญญัติ ทำให้ทิ้งพระคุณ เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า พระเจ้าไม่ได้ให้เรามา
เพื่อที่จะเป็นคนชอบธรรมผ่านทางพระบัญญัติ แต่ให้มาเพื่ออะไร? กลับไปในยอห์นบทที่ห้า บ่อน้ำใช่ พระเจ้าส่ง
"ทูตสวรรค์" มา แต่พระเจ้าเองก็ส่ง "พระเยซู" มาด้วย ใช่พระเจ้าส่ง "พระบัญญัติ" มา แต่พระเจ้าก็ส่ง "พระคุณ"
คือพระเยซูมาด้วย แต่ปัญญาคือมนุษย์จ้องอยู่ที่ไหน? ใช่ครับ มนุษย์ยังมัวแต่หวังว่าจะลงไปด้วยตัวเองผ่านทางบ่อน้ำ

มนุษย์อยากเป็นคนที่หายโรค หายความบาปเองผ่านทางการรักษาบัญญัติ แต่นั่นทำให้เขายังคงเป็น "คนบาป" อยู่จนถึงปัจจุบัน
และยังต้องมีการสารภาพบาปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่สารภาพมาแล้วหลายสิบปี แต่ก็ยังคงจบที่บอกว่า "เป็นคนบาป" อยู่เหมือนเดิม
สำคัญว่าทำไมเข้าโบสถ์แต่ยังมีความบาปอยู่ เช่นกัน แม้ว่าคนป่วยคนอื่น ๆ ได้ยินเสียงพระเยซูตรัสว่า "เจ้าปรารถนาจะหายโรคหรือ"
แต่แค่ได้ยินยังไม่พอ เขาต้อง "หัน" มาหาพระเยซูด้วย แล้วใครล่ะหันได้? อันนี้สำคัญ....

คนที่หันได้ก็คือคนที่เป็นแบบชายป่วยสามสิบแปดปีคนนั้น ที่ยอมรับแล้วว่าลงบ่อน้ำนั้นไม่ได้แล้ว แล้วก็ "หันหลัง" ให้กับบ่อน้ำ
แล้วหันหน้ามาหาพระเยซู พระบัญญัติมีหน้าที่ให้เรารู้สึกตัวว่า "ทำไม่ได้" ก็เท่านั้น พระเยซูไม่ได้ลงมาบนโลกนี้เพื่อที่จะ
ผลักคนป่วยนั้นลงบ่อน้ำ เช่นกัน พระเยซูไม่ได้ลงมาบนโลกเพื่อดันให้ทุกคนรักษาบัญญัติได้ ...... พวกเราครับ พระเยซูเรียกเราอยู่
แต่เรายังจ้องการประพฤติของเราอยู่หรือเปล่า ถ้าจ้องบ่อน้ำอยู่ นั่นหมายความว่า "หันหลังให้พระเยซูอยู่" ไม่ใช่หรือครับ
ลองสังเกตดูว่าทำไมยังมีบาปในใจ ทำไมยังป่วย นั่นหมายความว่าเราจ้องอะไรอยู่? พระเยซูเรียกแล้ว แต่ถ้าคนตาบอดยังหวังในขาที่แข็งแรง คนง่อยยังหวังในตาที่มองเห็น ก็ต้องทำให้เขาต้องจ้องสระน้ำตลอดไปแน่นอน แต่ถ้า "รู้จักตัวเอง" พระเยซูก็พร้อมที่จะบอกคุณว่า
"ลุกขึ้น" จงกลายเป็นคนที่หายโรคเถิด จงกลายเป็นคนชอบธรรมเถิด ถ้าเชื่อคำนี้ ก็ลุกได้ อย่ามองบ่อน้ำ อย่าหวังในตัวเองอีกนะครับ
เพราะคนที่ลงบ่อน้ำนั้นคือใคร "คนที่ตาดี" และ "ขาดี" หมายความว่า "คนที่สมบูรณ์" และคนนั้นก็มาแล้ว คือคนที่ทำให้บัญญัติจบ
ท่านผู้ที่ชื่อว่า "เยซู" (แปลว่าผู้ช่วยให้รอดจากความบาป)
ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 8:05 pm

คำว่า พระบัญญัติเขียนเพื่อคนอธรรมแปลว่าอะไร

1ทธ 1:8-11  จุดประสงค์ของธรรมบัญญัติ
เรารู้ว่าธรรมบัญญัติเป็นสิ่งที่ดีงามถ้าใช้ให้ถูกต้อง และเข้าใจว่าธรรมบัญญัติไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อคนชอบธรรม แต่เขียนไว้เพื่อผู้ฝ่าฝืน ผู้ดื้อรั้น ผู้ชั่วช้า ผู้ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า ผู้ไม่นับถือพระเจ้า คนบาป ผู้ไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และไม่นับถือศาสนา ผู้ฆ่าบิดา ผู้ฆ่ามารดา ผู้เป็นฆาตกร  ผู้ประพฤติผิดประเวณี ผู้ล่วงเกินผู้เยาว์ ผู้ลักพาผู้อื่นไปขายเป็นทาส ผู้กล่าวคำเท็จ ผู้เป็นพยานเท็จ ตลอดจนผู้ทำความผิดอื่น ๆ ซึ่งขัดกับหลักคำสอนที่ถูกต้อง คำสอนนี้สอดคล้องกับข่าวดีเกี่ยวกับพระสิริของพระเจ้าผู้ทรงเป็นความสุขแท้จริง ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ประกาศข่าวดีนี้

----อ่านดีๆเขาหมายถึงคนทั่วไปที่มีสภาพเป็นคนบาป หรือหมายถึงคนที่ไม่รู้จักทางแห่งความดีเลย หรืออีกนัยหนึ่งคือ หมายถึงคนเลวร้ายกว่าปรกติกันแน่
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อังคาร มี.ค. 13, 2007 8:08 pm

Chay เขียน: แม้จบศาสนศาสตร์ปริญญาเอก แต่การที่จะเข้าใจพระคัมภีร์นั้น ความรู้ที่เขามี
ไม่สามารถที่จะตีพระคำอย่างลึกซึ้งได้เลย ทำได้เพียงใช้ความรู้ "ตามตัวอักษร" เท่านั้น
ถ้าทุกคนรู้ว่าทำไมพระเยซูต้องไปหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อทำพิธีบัพติสมา
เช่นกัน ยอห์นเองครั้งแรกก็ไม่เข้าใจ และไม่ยอมทำพิธีนั้น

ความรู้ ไม่สามารถทำให้มนุษย์ขึ้นสวรรค์ได้ เพราะว่าเรียนรู้มากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่เข้าใจใน
พระธรรมฮีบรูบทที่ 10:2 "...ถ้าผู้นมัสการนั้นได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ครั้งหนึ่งแล้ว
เขาคงจะไม่รู้สึกว่ามีบาปอีกต่อไป"
เพราะทุกคนก็ยังคงรู้สึกว่าเป็นคนบาปตลอดไป ทั้ง ๆ  ที่รู้ว่า ถ้าบาปอย่างนี้ พระเจ้าไม่ได้ยิน
คำอธิษฐาน และถ้าอยู่ต่อหน้าพระเยซูพร้อมกับความบาปนี้ จะเป็นอย่าไง
เขาก็เป็นเพียง "แพะ" ที่ดูคล้ายแกะ แต่กระดำกระด่าง

แม้ดูเหมือนเป็นคนที่เชื่อ แต่ในใจยังมีบาป นี่คือ "แพะ"
โห .... รู้สึกกำลังสอนหนังสือให้สังฆราชนะฮะ :wink:

แต่ตามที่เจี๊ยบทราบ สาวก ของพระเยซูคริสต์ ต้องถ่อมใจ เหมือนกับพระองค์ ทั้งๆที่ทรงเป็นพระเจ้า แต่ไม่ถือว่ามีฐานะสูงส่ง
การบังเกิดในรางหญ้า เติบโตอย่างสามัญชน ถูกหยามเหยียด ใส่ร้ายป้ายสี และในที่สุดถูกตัดสินประหาร ต้องแบกกางเขน
ไปแดนประหารด้วยตัวเอง  พระเยซูคริสต์ ทรงถ่อมจนถึงที่สุด ด้วยการไถ่มนุษย์ทุกคนด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์

ดังนั้นคริสตชน สานุศิษย์ ของพระองค์ ขอให้ถ่อมใจ โดยเฉพาะเดือนนี้ เรารักษา Lent กัน ให้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยกาย วาจา และใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 8:23 pm

ยน 5:1-47  พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยที่สระเบเธสดา
หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็มาถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิวพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  ที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่า เบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน  ตามระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต  ที่นั่น มีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว  พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสแก่เขาว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อังคาร มี.ค. 13, 2007 9:09 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Chay
โพสต์: 51
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 7:39 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 8:30 pm

"มนุษย์" อยู่ในแผนการณ์ของพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่น
ผมเชื่อในแผนการณ์ครับ
แต่สังเกตุดูว่า "พงศ์พันธ์ของพระเยซู" แต่ละคนเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย เช่น นางทามาร์, นางราหับ, นางรูธ, นางบัชเชบา ฯ 
แต่ละคนเป็นคนที่ไม่มีค่าอะไรเลย แต่ได้รับ "พระคุณ" จากพระองค์ที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของ "พงศ์พันธ์"นี้

เหมือนกับที่มนุษย์เป็นเพียงคนที่ชั่วร้าย แต่พระองค์ยังทรงลงมาเกิดในจิตใจนี้

เหมือนตอนที่พิระองค์มาเกิดใน "รางหญ้า"

แต่เราไม่ได้กราบไหว้ "รางหญ้า" แต่เรานมัสการพระองค์เท่านั้น
Chay
โพสต์: 51
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 7:39 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 8:39 pm

จริง ๆ  ถ้าตีความแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ใน "คณะ" ไหน? เพราะพระเยซูเองก็ไม่ได้ตั้ง "คณะ"

แต่พระองค์ให้ตีความตาม "พระคัมภีร์" ทุกอย่างมีคำตอบทั้งหมดแล้ว แต่เมื่อเอาสมองช่วยด้วย
ก็ต้องแตกต่างจากพระคำแน่นอน

การตีความไม่ใช่ใครจะคิดอย่างไงก็ได้ แต่เพราะว่าทั้ง 66 เล่มทั้งหมดคือ "หนึ่งเดียว" คือ "พระเยซู" ที่พูด
ถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ "ความรอด" ถ้าตีความออกมาเป็น "มนุษย์" หรือ "การกระทำ" นี่จะเกิดอะไรขึ้น?
ใน 2 ทิโมธี 3:15 เขียนว่า "...ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักสิทธิ์ ซึ่งสามารถสอนท่านได้ถึงความรอดได้..."

ในวิวรณ์ บทที่ 22:18 ก็บอกแล้วว่าห้ามออกนอกเหนือ "พระคำ"

แต่หลายคณะก็มีหนังสือของตัวเองเพิ่มเข้ามาอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 8:42 pm

กรณีกาลาเทีย ที่ออกมาแบบนั้น ผมได้เคยเขียนไปแล้วครับว่าเพราะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น the Law ในที่นี้ หมายถึง เลวีนิติ ซึ่งเป็นกฏหมายยิวตั้งแต่สมัยโมเสส และในครั้งนั้น ชาวยิวที่มาเชื่อพระเยซู มีความเห็นว่า จำเป็นที่คนมาเชื่อพระเยซูต้องเข้าสถานภาพ Proselytes คือชาวต่างชาติที่มาเชื่อศาสนายิวและปฎิบัติตามบัญญัติทุกอย่างของศาสนายิวด้วย แต่นักบุญเปาโล เห็นว่านี่คือแอกที่ขวางคนต่างชาติที่จะมาเชื่อพระเยซูโดยใช่เหตุ ท่านจึงบอกว่าคนที่เชื่อพระเยซู รอดได้เพราะเชื่อพระเยซู ไม่ใช่เพราะเลวีนิติ จึงทำให้เกิดประโยคทำนองนี้ขึ้นมา แต่ไปๆมาๆ คำนี้ถูกตีความโดยคริสตจักรสมัยใหม่ว่า หมายถึงการทำความดี จนกลายเป็นว่าศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาที่ไม่สอนให้ทำดี แต่สอนให้เชื่ออย่างเดียว ซึ่งไม่จริงเลย

เราจำได้ไหมว่าพระเยซูตอบว่าอย่างไร ตอนที่มีคนถามเรื่องความรอด

มธ 19:16
ชายคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ทูลถามว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อังคาร มี.ค. 13, 2007 8:54 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Dis volentibus

อังคาร มี.ค. 13, 2007 8:47 pm

หวายๆ มาสเตอร์โฮลี่ตอบได้ถูกจุดประสงค์เดี๊ยเลย เรื่องกาลาเทียๆ :grin:
ขอบพระคุณมากค่า
แก้ไขล่าสุดโดย Ecclēsia เมื่อ อังคาร มี.ค. 13, 2007 9:06 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 8:49 pm

อ๊ะๆๆๆ ลืมประโยคนี้ไปซะละ
อ่านพระคัมภีร์ไม่ครบนี่ สตรีคนอื่นๆนั้นไม่มีใครมีบุญเท่าคนนี้ครับ

ลก 1:39-45  พระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธ
หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย  พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ  เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น  นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม  ร้องเสียงดังว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อังคาร มี.ค. 13, 2007 8:51 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 9:00 pm

Chay เขียน: จริง ๆ  ถ้าตีความแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ใน "คณะ" ไหน? เพราะพระเยซูเองก็ไม่ได้ตั้ง "คณะ"

แต่พระองค์ให้ตีความตาม "พระคัมภีร์" ทุกอย่างมีคำตอบทั้งหมดแล้ว แต่เมื่อเอาสมองช่วยด้วย
ก็ต้องแตกต่างจากพระคำแน่นอน

การตีความไม่ใช่ใครจะคิดอย่างไงก็ได้ แต่เพราะว่าทั้ง 66 เล่มทั้งหมดคือ "หนึ่งเดียว" คือ "พระเยซู" ที่พูด
ถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ "ความรอด" ถ้าตีความออกมาเป็น "มนุษย์" หรือ "การกระทำ" นี่จะเกิดอะไรขึ้น?
ใน 2 ทิโมธี 3:15 เขียนว่า "...ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักสิทธิ์ ซึ่งสามารถสอนท่านได้ถึงความรอดได้..."

ในวิวรณ์ บทที่ 22:18 ก็บอกแล้วว่าห้ามออกนอกเหนือ "พระคำ"

แต่หลายคณะก็มีหนังสือของตัวเองเพิ่มเข้ามาอีก
เอ๊ คุณนี่พูดไม่ฟัง สาระบบพระคัมภีร์เดิมมีเต็มเล่ม แต่โดนมาติน ลูเธอร์ ตัดทิ้งภายหลังจนเหลือ66 เมื่อ500กว่าปีมานี้เอง ส่วนกรณีคนที่เขียนอะไรใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาจริงๆนั่นก็ส่วนของศาสนาเขานะเราไม่เกี่ยว
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อังคาร มี.ค. 13, 2007 9:17 pm

ตกลงสนุกตรงไหนล่ะ :huh: :shocked:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 9:19 pm

Jeab Agape เขียน:
ตกลงสนุกตรงไหนล่ะ :huh: :shocked:
สนุกตรงที่ได้ตีความเข้าทางแบบที่ตัวเองอยากให้เป้นได้สำเร็จมั้ง
Chay
โพสต์: 51
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 7:39 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 9:30 pm

คุณอ่านดี ๆ  ตรงที่บอกว่า "...มิได้มีสำหรับ...แต่มีไว้สำหรับ..." หมายความว่า ...ยังมีผลสำหรับกลับคนบางกลุ่ม...คือใคร?
เช่น "เครื่องตรวจอาวุธ" จะมีผลกับคนที่มีปืน แต่ถ้าคนนั้นไม่มีก็ไม่กลัว,

บัญญัติไม่ได้มีไว้สำหรับคนบาป แต่มีไว้สำหรับคนที่ยังดื้อรั้นอยากจะทำดี (ทั้ง ๆ  ที่ทำไม่ได้) เพราะฉะนั้นเขาจึงยังอยู่ใต้
พระบัญญัติ ใต้การประพฤติต่อไป
คนที่อยู่กับบัญญัติ ก็ต้องอยู่กับความบาปเรื่อย ๆ  เพราะธรรมชาติของเราทำไม่ได้ แต่ยังสนใจกับมันก็เลยต้องอยู่ใต้บาปต่อไป

แต่ถ้า "เป็นคนชอบธรรม" ก็ไม่มีผลกับบัญญัติต่อไป เพราะอยู่กับ "พระคุณ" แล้ว

แต่ปัญหาคือคนเรายังอยู่กับบัญญัติเรื่อย ๆ  แต่ไม่รู้ว่าทำให้ "ไม่นับถือพระเจ้า" หรือเปล่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jack Sparrow
โพสต์: 353
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 26, 2007 3:06 am

อังคาร มี.ค. 13, 2007 9:31 pm

ความร้อนเมื่อเจอกับความเย็นก็ทำให้เกิดหมอกมองเส้นทางไม่เห็นก็อย่างนี้แหละต่างคนต่างไปกันคนละทิศละทาง ถ้าเรือไม่ชนกันเสียก่อน คุณ Chay ลองรับฟังเพื่อนๆ หลายคนบ้างนะครับ เพราะในนี้ก็มีทั้งคาทอลิกอย่างคุณโฮลี่ มีทั้งโปรแตสแตนท์อย่างคุณพีพีกันน้องเจี๊ยบ
Chay
โพสต์: 51
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 7:39 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 9:42 pm

เอาเป็นว่า "พระแม่มารีย์" จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ผมเชื่อว่า พระเยซูคือ "ทางนั้น" ทางเดียว....
แม้ว่าคนนั้นจะบอกว่า "ฉันเชื่อพระแม่" "ฉันเชื่อพระเยซู" แต่....... ยังมี"ความบาป" แล้วก็สารภาพบาป
มีความบาป แล้วสารภาพ ๆๆๆๆๆๆๆ จนวันนั้น พระองค์ตรัสว่า "เราไม่รู้จักเจ้าเลย" (มัทธิว 7:21-23)

มีพระคัมภีร์อีกมากมายที่มีขึ้น รวมทั้งของ "ยูดาส" แต่ทำไมมีเพียง 66 เล่มที่ถูกอนุญาต
หลายคนอาจจะบอกว่า "มาร์ติน ลูเธอร์" แต่ผมมองว่า "พระเจ้า" นี่คือแผนการณ์

"66" หมายความว่านี่คือเพื่อ "มนุษย์" (เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์วันที่ 6)
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อังคาร มี.ค. 13, 2007 9:51 pm

Chay เขียน: จริง ๆ  ถ้าตีความแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ใน "คณะ" ไหน? เพราะพระเยซูเองก็ไม่ได้ตั้ง "คณะ"
ที่ตอบนั่นถูกพระเยซูไม่ได้ตั้งคณะ หรือนิกาย ใดๆเลย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง ถือว่าเป็นการวิวัฒนาการ การจัดระบบของบ้าน ของชุมชนผู้เชื่อ ของสังกัด หรือเรียกว่ากรอบความเชื่อที่ทำให้
ผู้เชื่อ หรือสาวก ของพระเยซูเจ้า สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แล้วสามารถนมัสการพระเจ้า ตามแนวทางของกลุ่ม นิกาย คณะของตัวเอง

ข้อสังเกตของตัวเองที่เจอคริสตชน ที่บอกว่า ไม่มีนิกาย หรือคณะ ตัวเองขึ้นตรงกับพระเยซูคริสต์ แต่ในเวลาเดียวกัน เรียกร้องให้คริสตชนอื่นๆ
เชื่อ ศรัทธา นมัสการพระเจ้า ตามแนวทางของตัวเอง เท่านั้น  และนี่ก็นำไปสู่ความขัดแย้ง ในกลุ่มคริสตชนเอง :wink:
Dis volentibus

อังคาร มี.ค. 13, 2007 10:01 pm

"จงรักซึ่งกันเเละกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลเเบ่งปัน จงรักซึ่งกันเเละกัน ดังที่เรารักท่าน"  : xemo026 :
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อังคาร มี.ค. 13, 2007 10:05 pm

Chay เขียน: เอาเป็นว่า "พระแม่มารีย์" จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ผมเชื่อว่า พระเยซูคือ "ทางนั้น" ทางเดียว....
แม้ว่าคนนั้นจะบอกว่า "ฉันเชื่อพระแม่" "ฉันเชื่อพระเยซู" แต่....... ยังมี"ความบาป" แล้วก็สารภาพบาป
มีความบาป แล้วสารภาพ ๆๆๆๆๆๆๆ จนวันนั้น พระองค์ตรัสว่า "เราไม่รู้จักเจ้าเลย" (มัทธิว 7:21-23)
ตอนแรกกะจะอ่านอย่างเดียวนะครับ แต่เท่าที่อ่านดู เหมือนคุณเข้าข้างตัวเองมากไปป่าวครับ
เพราะว่าเท่าที่อ่านดู เหมือนว่าคุณถูกต้องทุกอย่าง ใครแสดงความเห็นยังไงก็ไม่ฟัง

แล้วข้อความข้างบนนี่ คิดก่อนตอบดีป่าวครับ
คนเราไปหาพระองค์ ไปขอสารภาพกับพระองค์
ขอโทษพระองค์ แต่กลายเป็นว่าพระองค์ไม่รู้จัก

ตลก
Chay
โพสต์: 51
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 7:39 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 10:13 pm

มีหลายคนที่เข้ามาหาพระเยซู....
"..อาจารย์เจ้าข้าข้าพเจ้าต้อง "ทำ" อะไรเพื่อได้ชีวิตนิรันดร์..."
"..ข้าพเจ้าจะต้อง "ทำ" ดีประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์.."

ทุกคนพูดแบบนี้...  แต่พระเยซูตรัสว่า
"..จงทิ้งสมบัติที่เจ้าสะสมมา แล้วตามเรา..." สมบัติหมายถึงสิ่งที่สะสมมาตลอดคือ "การประพฤติ"
แต่ยากที่จะทิ้ง

อีกคนหนึ่ง......ที่ทำไมพระเยซูสั่งให้ไปทำ?  เพราะว่าถ้าบอกว่า "อย่าทำ" ก็ยังทำอยู่ดีนั่นแหละ
สักพักหนึ่งพระเยซูเลย "อุปมา" เรื่อง "ชายผู้ถูกโจรปล้น" หมายความว่าอะไร
การ "อุปมา" หมายความว่าสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ.. เปรียบเทียบอะไร? แน่นอนก็ต้องเปรียบเทียบ
ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ในเรื่องนี้มีใครบ้าง?
..คนที่ถูกโจรปล้น..คนเลวีที่ไม่ช่วย..ปุโรหิตที่ไม่ช่วย..ชาวสะมาเรียใจดี..
แล้วใครเปรียบเป็นมนุษย์? ใครเปรียบเป็นพระเจ้า?
แน่นอนมนุษย์คือคนที่ถูกโจรปล้น และคนที่ช่วยย่อมเป็นพระเยซู
แต่!ปัญหาก็คือ ชายคนนั้นก็ยังยืนยันว่า "ฉันจะเป็นชาวสะมาเรียใจดีคนนั้น"
พระเยซูจึงตรัสว่า "ก็ลองไปทำดูเถิด แล้วจะได้ชีวิต" หมายความว่า ถ้าทำไม่ได้คือ "ตาย"...
เพราะฉะนั้น "บัญญัติ" จึงมีผลสำหรับเขาต่อไป

ถ้าคนนั้นยังรั้นที่จะทำต่อไป พระเยซูก็ต้องปล่อยให้ทำไปก่อน จนกว่าจะหมดแรงเหมือนกับชายที่ถูกโจรปล้นคนนั้น

"ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ไร้ผล"??
พี่ไม่ลองอ่านต่อล่ะครับ ในพระคำได้ยกตัวอย่างถึงใคร?...
"อับราฮัม" มีความเชื่อแบบไหน? ใช่ครับ เขากระทำ แต่กระทำแบบไหน?
"ฆ่าลูก" !!!!  ??? หมายความว่าอะไร?

หลายคนเข้าใจว่าการประพฤตินั้นคือ "ตามบัญญัติ" แล้วบัญญัติบอกว่า "อย่าฆ่าคน"
แต่ทำไม อับราฮัม มีความเชื่อ แต่ "ฆ่าคน" ล่ะครับ?

มีครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับอับราฮัมว่า "เจ้าจะเป็นชนชาติใหญ่" ... แต่แล้วพระเจ้าก็ให้ฆ่าลูกคนเดียวที่เขามี
แต่ทำไมเขาถึงยอมกระทำตาม? ก็เพราะว่าเขา "เชื่อ" ไงครับว่า อย่างไงพระเจ้าก็ให้มีลูกมากมายแน่นอน
ถ้าไม่มีความเชื่อก็ไม่ฆ่าแล้วก็บ่นพระเจ้าก็ได้

มีอีกครั้งหนึ่งที่ปรากฏกับ "เปโตร" ครั้งนั้นเขาเข้าใจว่า "ความเชื่อ คือการรักพระเจ้าสุดใจ" เขาจึงยืนยันว่ารักพระองค์
แต่พระองค์ตรัสว่า "ไม่ใช่ เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง" ความเชื่อคืออะไร คือการที่ได้เห็นว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้
ได้แต่ต้องเชื่อพระคำ (แต่ไม่ใช่พระบัญญัติ)

แต่ถ้าพี่ยังยืนยันว่าจะปฏิบัติ ผมก็บอกว่า "จงไปทำเถิดแล้วจะได้ชีวิต" แต่ถ้าทำไม่ได้ "คงไม่ดีแน่"
เพราะว่าในยากอบ บทที่ 2:10 ก็บอกเหมือนกันว่า ถ้าพี่จะทำก็ต้องทำให้ได้ครบด้วย ถ้าผิดข้อเดียวถือว่าผิดหมด
ในกาลาเทียบทที่ 3:10 ก็เลยบอกว่า คนที่ไม่ทำครบแต่ยังพึ่งบัญญัติอยู่ ก็ถูก "แช่งสาป"

ก็ถ้ามั่นใจไม่ว่ากันครับ ลองทำดู "ไม่ใช่แค่ภายนอกนะครับ ต้องภายในด้วย" อย่าแก้ปัญหาเพียง "สารภาพบาป"
นะครับ  ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jack Sparrow
โพสต์: 353
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 26, 2007 3:06 am

อังคาร มี.ค. 13, 2007 10:16 pm

ข้อความจริงที่ข้าพเจ้าเพิ่งกล่าวมานี้เกี่ยวกัยพระมารดา ลูกและบริวารของพระมารดานั้น องค์พระจิตก็ทรงจารึกไว้ในพระคัมภีร์ ในเรื่องยาก๊อบซึ่งรับพระจากอิซาอักท่านบิดาด้วย ความเอื้อเฟื้อและอุบายของเรเบกคาผู้มารดา เป็นสัญลักษณ์พาดพิงถึงพระมารดาจับใจยิ่งนัก ต่อไปนี้ จะเล่าเรื่องตามที่มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์และจะให้คำอธิบายกำกับไว้บ้างพอสมควร

เอเซา พี่ของยากอบได้ขายสิทธิ์ความเป็นพี่ให้แก่ยาก๊อบผู้น้อง แต่นางเรเบกกาคือมารดาของทั้งสองพี่น้อง รักยาก๊อบมาก ต่อมาอีกหลายปี นางจัดการให้ยาก๊อบได้รับสิทธิ์นั้นโดยสมบูรณ์จนสำเร็จ ด้วยอุบายอันเต็มด้วยปรีชาสามารถ คือ จำเพาะเวลานั้นอิซาอักกำลังรู้สึกตัวเหมือนไม้ใกล้ฝั้งอยู่ด้วย คิดจะอวยพรให้ลูกทั้งสองก่อนตนตาย จึงเรียกเอเซาซึ่งเป็นลูกคนโปรด มาสั่งให้ไปล่าสัตว์มาปรุงอาหารให้รับประทาน เมื่อรับประทานแล้วจึงให้พร ฝ่ายเรเบกกาทราบดังนั้น รับบอกให้ยาก๊อบรู้เรื่องและสั้งให้นำลูกแพะมาจากฝูงสักสองตัว เมื่อยาก๊อบนำมาให้แล้วนางเรเบกกาจึงปรุงอาหารชนิดที่ถูกปากอิซาอัก ให้ยาก๊อบสวมเสื้อของเอเซาที่นางแอบเก็บไว้และคลุมมือกับคอของยาก๊อบด้วยหนังลูกแพะ เพราะรู้อยู่ว่าท่านบิดาชราจนตาใช้การไม่ได้แล้ว ถึงหากได้ยินเป็นเสียงยาก๊ฮบถ้าให้คลำมือและคอก็จะหลังเข้าใจว่าเป็นตัวเอเซา ฝ่ายอิซาอักได้ยินเสียงของยากอบซึ่งนำอาหารมาให้ก็เรียกมาใกล้ๆ คลำมือของยาก๊อบ พบขนรุงรังของลูกแพะก็ประหลาดใจ ออกปากว่า เสียงเป็นของยากอบแต่มือเหมือนของเอเซา ครั้งรับประทานแล้วก็จูบลูก จึงได้กลิ่นที่ติดเสื้อของเอเซา นึกว่าเป็นเอเซาแน่แล้วจึงอวยพรมอบสิทธิ์ลูกหัวปีให้ ขอให้ได้รับน้ำค้างจากเบื้องบน พร้อมทั้งความบริบูรณ์พูนผลของแผ่นดิน และประกาศตั้งเป็นใหญ่เหนือญาติพี่น้อง และจบลงดังนี้ว่า "ใครสาปแช่งลูก จงให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง ใคราให้พรลูก ขอให้เขานั้นจงได้รับพรอย่างเหลือล้น"

แต่พออิซาอักพูดจบ ก็พอดีเอเซาโผล่เขามาเพื่อจะนำอาหารที่ทำจากสัตว์ที่เพิ่งล่าได้นั้นมาให้บิดารับประทานและรับพรจากบิดาต่อไป ตอนนี้ ท่านอิซาอักจึงเข้าใจความจริงว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรถึงแก่อ้ำอึ้ง แต่ครั้นแล้วแทนที่กลับคำ ก็เลยตกกระไดพลอยโจนเพราะเห็นชัดว่าสถานการณ์เป็นไปดังนั้นตามน้ำพระทัยพระเป็นเจ้า ฝ่ายเอเซาแผดเสียงลั่นบ้านด้วยความโทสะกล่าวโทษว่า น้องเล่นโกงขนาดหนัก แล้วขอบิดาให้พรตนบ้าง ตรงนี้บรรดาปีตาจารย์กล่าวว่าเอเซาเป็นลัญลักษณ์หมายถึงบรรดาคนที่อยากได้ความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า ฝ่ายอิซาอักได้ยินเสียงเอเซาร้องไห้เสียใจใหญ่ก็สงสารจึงให้พรบ้างเพียงให้มีข้าวของบนแผ่นดิน แต่ให้อยู่ในอำนาจน้อง นี่เองทำให้เอเซาเกลียดน้องเป็นที่สุดผูกใจเจ็บคิดว่าบิดาถึงแก่กรรมเมื่อไร ก็จะลงมือล้างผลาญได้เมื่อนั้น ฝ่ายยาก๊อบกลัวจะไม่พ้นภัย ถ้าไม่ได้เรเบกคาผู้มารดาชี้อุบายให้ ซึ่งยาก๊อบก็ปฎิบัติตาม

(ต่ออีกหน้า)
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อังคาร มี.ค. 13, 2007 10:17 pm

ใครกันที่มีหน้าที่ตัดสินว่าคนนั้นผิด คนนี้ถูก : emo031 :

น่าสงสาร
Dis volentibus

อังคาร มี.ค. 13, 2007 10:20 pm

Batholomew เขียน: ใครกันที่มีหน้าที่ตัดสินว่าคนนั้นผิด คนนี้ถูก : emo031 :

น่าสงสาร
อย่าตัดสินผู้อื่น เเล้วเจ้าจะไม่โดนตัดสิน เรามีสิทธิอะไรหนอ จึงจะมาเทียบเทียมพระเจ้า เเย่งหน้าที่พระองค์
โดยการตัดสินเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง?  :huh:
ป.ล. เราว่าพี่ Chay ลองอ่านนิวเทสเมนท์ให้มากกว่าโอลด์เทสเมนท์ดีกว่า จะได้ไม่งง นะคะ :smiley:
แก้ไขล่าสุดโดย Ecclēsia เมื่อ อังคาร มี.ค. 13, 2007 11:05 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jack Sparrow
โพสต์: 353
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 26, 2007 3:06 am

อังคาร มี.ค. 13, 2007 10:38 pm

อธิบายเรื่องยอก๊อบ
1. เอเซาพี่ชายของยากอบร่างกายกำยำล่ำสัน เป็นนายพรานขมังธนู ล่าสัตว์เก่ง
2. ไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน มั่นใจแต่กำลังวังชาและความเชี่ยวชาญของตนเอง ทำการแต่นอกบ้าน
3. ไม่ค่อยเอาใจและปรนนิบัตินางเรเบกกาผู้มารดาเลย
4. ละโมบโลบอาหาร ถึงกับขายสิทธิ์ความเป็นพี่ชายแลกเปลี่ยนกับถั่วหนึ่งชามเท่านั้น
5. เมื่อนกาอิน คือเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาต่อน้องชาย และรักแกข่มเหงร่ำไป

นิสัยคนบาปก็มักประพฤติตามดังนี้
1. มั่นใจในกำลังสติปัญญาของตนเองในการะทางโลกเรื่องเกี่ยวกับธุระทางโลกแล้วเขาช่ำชองแข็งขันชำนาญมีไหวพริบดี แต่เกี่ยวกับฝ่ายสวรรค์แล้ว อ่อนแอโง่เขลาเบาปัญญาใช้ไม่ได้
2. เพราะฉะนั้น คนบาปพวกนี้จึงไม่ค่อยอยู่ติดบ้านคือ ไม่ชอบพิจารณาสอดส่องใจอันเป็นที่พำนักภายใน ที่พระเจ้าทรงประทานให้ทุกคนนิยมอยู่ตามแบบอย่างของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ในพระองค์เองเป็นนิจกาล คนแบบนี้ไม่ชอบเข้าเงียบ ไม่ชอบสนใจต่อการบำรุงจิตใจ หรือความศรัทธาภายใน เห็นใครชอบเอาใจใส่ชีวิตภายใน ตีห่างจากโลกทำงานด้านจิตใจมากกว่าภายนอก เขาก็ประณามหาว่าเป็นคนบ้าศรัทธา ไม่ทันกินและไม่มีวันเจริญ
3. คนบาปพวกนี้ไม่แยแสกับความศรัทธาต่อพระนางมารีอาผู้เป็นแม่ของบรรดาผู้ได้รับเลือก จะว่าเขาเกลียดพระมารดาก็ไม่เชิง บางทีก็สรรเสริญพระมารดา อ้างว่าเขารักพระมารดาเหมือนกัน บางทีทำกิจการฉลองพระเกียรติก็มีอยู่บ้างแต่จะว่าเขารักพระมารดาก็พิกลอยู่ เพราะดูไม่ชอบให้ใครรักพระมารดามากๆ เขาไม่ชอบให้ยาก๊อบรักแม่ของเขา ใครปฎิบัติต่อพระมารดาอย่างลูกที่ดีและอย่างบริวารผู้ซื่อสัตย์ที่เอาอกเอาใจแม่หรือเจ้านาย เขาก็มักจะติเตียน เขามองไม่เห็นว่าความเลื่อมใส่แบบนี้เป็นของจำเป็นสำหรับวิญญาณรอด ถ้าไม่ถึงกับเกลียดพระมารดาหรือไม่ประมาทความเลื่อมใสต่อพระมารดาอย่างเปิดเผยเขาก็นึกว่าพวกเขาดีพอแล้ว นอกจากนี้ เขานึกว่าเขาเป็นบริวารของพระมารดา โดยเพียงสวดภาวนาถึงพระมารดาเท่านั้นเขาก็เป็นที่พอพระทัยพระมารดาแล้ว ความจริงเขายังขาดความรักฐานลูกกับแม่ ทั้งยังไม่พยายามแก้ไขนิสัยพบพร่องของตนเอง

(ยังมีต่อ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jack Sparrow
โพสต์: 353
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 26, 2007 3:06 am

อังคาร มี.ค. 13, 2007 10:49 pm

4. คนบาปพวกนี้ยอมขายสิทธิ์เป็นพี่ใหญ่คือเอาความสุขในสวรรค์มาแลกกับถั่วชามหนึ่งอันได้แก่ความสุขแห่งโลกนี้ เขาสร้าลเฮฮาร่าเริง กินเลี้ยง เที่ยวเล่นสนุกสนาน ร้องรำทำเพลง ฯลฯ ไม่นำพาในอันท่จะต้องบำเพ็ญต่อสมเป็นผู้คู่ควรแก่พระพรของพระบิดาเจ้า พูดสั้นๆ คือ มัวแต่หาความสนุกสนานฝ่ายโลกแล้วขายพระหรรษทานศีลล้างบาป เสื้อขาวบริสุทธิ์และมรดกสวรรค์แลกกับความสนุกชั่วแล่น ความโอ่อันอนิจจังคล้ายควัน หรือแลกกับทองหรือเงิน สักก่อนหนึ่งเท่านั้นเอง
5. ที่สุดความบาปพวกนี้เกลียดชังและเบียดเบียนขมแหงผู้ได้รับเลือกสรรทุกวันอย่างเปิดเผยหรืออย่างลับๆ เขากีดกันดูถูก เยอะเย้ย แกล้งป้ายสี ปล้น ฉ้อฉล หลอกลวงทำให้ล่มจมขับไล่ บดขยี้ให้เป็นฝุ่นละออง แต่ตัวเขาเองกลับมั่งมีศรีสุขเถลิงอำนาจ และเจริญชีวิตอย่างสุขสบาย

(ต่อ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 10:55 pm

Chay เขียน: มีหลายคนที่เข้ามาหาพระเยซู....
"..อาจารย์เจ้าข้าข้าพเจ้าต้อง "ทำ" อะไรเพื่อได้ชีวิตนิรันดร์..."
"..ข้าพเจ้าจะต้อง "ทำ" ดีประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์.."

ทุกคนพูดแบบนี้...  แต่พระเยซูตรัสว่า
"..จงทิ้งสมบัติที่เจ้าสะสมมา แล้วตามเรา..." สมบัติหมายถึงสิ่งที่สะสมมาตลอดคือ "การประพฤติ"
แต่ยากที่จะทิ้ง

อีกคนหนึ่ง......ที่ทำไมพระเยซูสั่งให้ไปทำ?  เพราะว่าถ้าบอกว่า "อย่าทำ" ก็ยังทำอยู่ดีนั่นแหละ
สักพักหนึ่งพระเยซูเลย "อุปมา" เรื่อง "ชายผู้ถูกโจรปล้น" หมายความว่าอะไร
การ "อุปมา" หมายความว่าสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ.. เปรียบเทียบอะไร? แน่นอนก็ต้องเปรียบเทียบ
ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ในเรื่องนี้มีใครบ้าง?
..คนที่ถูกโจรปล้น..คนเลวีที่ไม่ช่วย..ปุโรหิตที่ไม่ช่วย..ชาวสะมาเรียใจดี..
แล้วใครเปรียบเป็นมนุษย์? ใครเปรียบเป็นพระเจ้า?
แน่นอนมนุษย์คือคนที่ถูกโจรปล้น และคนที่ช่วยย่อมเป็นพระเยซู
แต่!ปัญหาก็คือ ชายคนนั้นก็ยังยืนยันว่า "ฉันจะเป็นชาวสะมาเรียใจดีคนนั้น"
พระเยซูจึงตรัสว่า "ก็ลองไปทำดูเถิด แล้วจะได้ชีวิต" หมายความว่า ถ้าทำไม่ได้คือ "ตาย"...
เพราะฉะนั้น "บัญญัติ" จึงมีผลสำหรับเขาต่อไป

ถ้าคนนั้นยังรั้นที่จะทำต่อไป พระเยซูก็ต้องปล่อยให้ทำไปก่อน จนกว่าจะหมดแรงเหมือนกับชายที่ถูกโจรปล้นคนนั้น

"ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ไร้ผล"??
พี่ไม่ลองอ่านต่อล่ะครับ ในพระคำได้ยกตัวอย่างถึงใคร?...
"อับราฮัม" มีความเชื่อแบบไหน? ใช่ครับ เขากระทำ แต่กระทำแบบไหน?
"ฆ่าลูก" !!!!  ??? หมายความว่าอะไร?

หลายคนเข้าใจว่าการประพฤตินั้นคือ "ตามบัญญัติ" แล้วบัญญัติบอกว่า "อย่าฆ่าคน"
แต่ทำไม อับราฮัม มีความเชื่อ แต่ "ฆ่าคน" ล่ะครับ?

มีครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับอับราฮัมว่า "เจ้าจะเป็นชนชาติใหญ่" ... แต่แล้วพระเจ้าก็ให้ฆ่าลูกคนเดียวที่เขามี
แต่ทำไมเขาถึงยอมกระทำตาม? ก็เพราะว่าเขา "เชื่อ" ไงครับว่า อย่างไงพระเจ้าก็ให้มีลูกมากมายแน่นอน
ถ้าไม่มีความเชื่อก็ไม่ฆ่าแล้วก็บ่นพระเจ้าก็ได้

มีอีกครั้งหนึ่งที่ปรากฏกับ "เปโตร" ครั้งนั้นเขาเข้าใจว่า "ความเชื่อ คือการรักพระเจ้าสุดใจ" เขาจึงยืนยันว่ารักพระองค์
แต่พระองค์ตรัสว่า "ไม่ใช่ เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง" ความเชื่อคืออะไร คือการที่ได้เห็นว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้
ได้แต่ต้องเชื่อพระคำ (แต่ไม่ใช่พระบัญญัติ)

แต่ถ้าพี่ยังยืนยันว่าจะปฏิบัติ ผมก็บอกว่า "จงไปทำเถิดแล้วจะได้ชีวิต" แต่ถ้าทำไม่ได้ "คงไม่ดีแน่"
เพราะว่าในยากอบ บทที่ 2:10 ก็บอกเหมือนกันว่า ถ้าพี่จะทำก็ต้องทำให้ได้ครบด้วย ถ้าผิดข้อเดียวถือว่าผิดหมด
ในกาลาเทียบทที่ 3:10 ก็เลยบอกว่า คนที่ไม่ทำครบแต่ยังพึ่งบัญญัติอยู่ ก็ถูก "แช่งสาป"

ก็ถ้ามั่นใจไม่ว่ากันครับ ลองทำดู "ไม่ใช่แค่ภายนอกนะครับ ต้องภายในด้วย" อย่าแก้ปัญหาเพียง "สารภาพบาป"
นะครับ   ขอบคุณครับ
ถึงตรงนี้ผมว่าเริ่มมีการตีความพระคัมภีร์ภาคพิศดารแล้วล่ะครับ เอาเป้นว่า ไม่อ่านแล้วกันนะ เพราะคุณน้องเล่นตีความตามใจตัวเอง เข้าขั้นบิดเบือนไปแล้วอ่ะนะ แถมไม่ยอมรับความจริงอีก ก็คงพอละ ความรักมีให้แค่นี้ ที่เหลือถ้ามีการตอบอีกคือตอบเพื่อคนอื่นละ กะน้องนั้น พี่ปล่อย

ว่าแต่เมื่อไหร่น้องจะกลับบ้าน พ่อรออยู่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jack Sparrow
โพสต์: 353
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 26, 2007 3:06 am

อังคาร มี.ค. 13, 2007 11:04 pm

ยอกอบผู้น้อยสุภาพอ่อนโยน ไม่พาดเกเรหาเรื่องกับใคร ตามปรกติอยู่บ้าน คอยเอาอกเอาใจนางเรเบกคาแม่ที่รัก ถ้าออกไปข้างนอกบ้าง ไม่ใช่เพราะของหรือไว้ใจตัวเอง แต่ไปตามคำสั่งของแม่

ยากอบรักและเคารพแม่ ฉะนั้น จึงชอบอยู่บ้านกับแม่ พอใจอยู่ใกล้ๆ แม่ไม่ทำสิ่งใดแสลงใจแม่ ทำทุกอย่างที่เห็นว่าแม่ชอบ ยิ่งเพิ่มความรักเรเบกคามีอยู่แล้วให้ทวียิ่งขึ้น

ยอกอบนบนอบแม่ที่รักทุกอย่าง เชื่อถ้อยฟังคำอย่างฉับพลันทุกอย่าง ไม่รีรอไม่บ่นไม่ว่า เพียงแต่แม่แสดงว่าอยากให้ทำอะไร แม้แต่เล็กน้อย ยากอบแม่สั่ง

แค่นี้ดีกว่าพิมพ์ไม่ไหว้แล้วครับ

คัดลอกมากจากหนังสือ "ความศรัทธาภัคดีต่อพระนางมารีอา" โดย นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต

นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ด แบ่งปันว่านางเรเบกคา หมายถึง พระนางมารีอา ยากอบหมายถึงพวกเราทั้งหลาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 13, 2007 11:06 pm

ท่านนักบุญเขียนน่ารักดีครับ ตีความคนละเรื่องกับเจ้าของกระทู้สินะครับ
ตอบกลับโพส