ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
โปรดปราน ( พีพี )
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันที่ 13 เมษายน เป็นวัน “ผู้สูงอายุ” 25ปีผ่านไป สภาพครอบครัวไทยก็เปลี่ยนไป ปีนี้ ( พ.ศ.2550 ) มีคนแก่ถูกทอดทิ้ง หรือคนแก่กำพร้า ประมาณ เกือบ ห้าแสนคน มีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และไม่แน่ใจว่าภาครัฐหรือเอกชน จะแก้ปัญหากันอย่างไร สำหรับคริสตชนฉันอยากนำมุมมองหนึ่งให้เป็นข้อคิด ถึงความสำคัญของผู้อาวุโส ...ความชรา หรือ อาวุโส ไม่ใช่สิ่งที่ควรรังเกียจ เพราะ ใครที่อยู่ได้จนกระทั่งได้ชื่อว่าผู้อาวุโสนี้ควรจะภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ท่านได้ต่อสู้ชีวิต เมื่ออยู่ถึง 60 ปีย่างเข้าวัยผู้สูงอายุ ถือว่ากำไร การดำรงชีวิตจนถึงจุดนี้ เพราะได้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มามากมาย ที่ทิ้งไว้ให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนคนรุ่นหลัง
ฉันขอนำเรื่องนักบุญทิโมธี ในพระคัมภีร์มาทำความเข้าใจกัน เพราะจะทำให้ตัวผู้อาวุโสและอนุชนคนหนุ่มสาวเห็นได้ชัดเจนว่า ท่านทิโมธีมี ยาย มี มารดา และ อัครทูตเปาโล อยู่เบื้องหลัง ในการเจริญเติบโตฝ่ายร่างกาย และฝ่ายวิญญาณจิต จนนำเขาถึงความรอด เช่นเดียวกันที่พวก เด็กๆ เยาวชนคนหนุ่มสาวได้เติบโตมีความเชื่อ ได้รับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะพวกผู้อาวุโสทั้งหลายที่มีส่วนในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ซึ่งอยากจะ แบ่งปัน 2 ประเด็นดังนี้
1.ผู้อาวุโสคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเด็ก
“ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออย่างจริงใจของท่านซึ่งเป็น ความเชื่อที่โลอิสยายของท่านมีเป็นคนแรก แล้วมีในยูนีสมารดาของท่าน และบัดนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อว่ามีอยู่ในตัวท่านด้วย” ( 2 ทิโมธี 1.5 )
จดหมายของอัครทูตเปาโลถึงทิโมธีฉบับนี้ ท่านเขียนตอนที่ท่านติดคุกที่โรม ราว ค.ศ. 66-67 ท่านเขียนเพื่อแนะนำในการทำพันธกิจของทิโมธี ในเมืองเอเฟซัส ซึ่งนับว่าเป็นจดหมายส่วนตัวที่เปาโลต้องการสอนแนะนำและหนุนใจทิโมธีในการทำงาน เป็นการตักเตือนในการต่อสู้ต่อความยากลำบากด้วยอาศัยความเชื่อเป็นพื้นฐาน ฝ่ายทิโมธีเองมีความสัมพันธ์กับท่านเปาโลคือเป็นลูกชายในความเชื่อ เช่น 2ทิโมธี บทที่ 1 ข้อ 5 เปาโลได้อ้างถึงความเชื่อของทิโมธี ซึ่งมีมาตั้งแต่อดีตที่อยู่ที่เมืองลิสตรา (กิจการ16:1) และทิโมธีอยู่ในครอบครัวที่มีความเชื่อดี ซึ่งเขามียายคือ โลอิส และยูนีสผู้เป็นมารดา เป็นหลักของครอบครัว
คุณยายโลอิส เป็นสตรียิวที่ถวายตัว และมีความเชื่อพระเยซูเจ้าที่เข้มแข็ง แล้วนางได้ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้แก่ลูกสาว (มารดาของทิโมธี) ซึ่งจากคำสอนของยาย ก็ตกทอดไปยังลูกสาว และต่อไปยังหลานทิโมธี (รุ่นที่ 3) ฉันมั่นใจว่าทั้งยาย และมารดาสอนให้ทิโมธีเดินในทางของพระเจ้าอย่างในสุภาษิต 22:6 “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไปและเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น”
ชีวิตของเด็กชายทิโมธี จึงไม่พรากจากทางของพระเจ้า หลังจากนั้นเขาได้กลับใจใหม่ยอมรับพระเยซูเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อโตขึ้นเขากลายเป็นผู้ร่วมงานรับใช้พระเจ้าที่เปาโลรักและไว้วางใจมาก สิ่งที่สำคัญที่อัครทูตเปาโลย้ำเตือนแก่ทิโมธีคือให้ยึดมั่นอยู่กับความจริงของพระเจ้า ซึ่งไม่มีข้อสงสัยเพราะสิ่งเหล่านั้นเขาได้เรียนมาตั้งแต่วัยทารกมาแล้วจากยาย และมารดา นี่คือความจริงที่พ่อแม่หรือผู้อาวุโสคริสตชน ผู้ซึ่งได้มีประสบการณ์กับพระเจ้าแล้ว ได้สอนลูกหลานให้รู้จักหลักคำสอนตั้งแต่วัยเยาว์ เพราะวัยที่เรียนรู้ง่ายที่สุดคือวัยเด็ก ช่างน่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คริสตชนจำนวนมากไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องนี้กลับปล่อยปละละเลยจนยากที่จะนำบุตรหลานกลับมาหาพระบิดาเจ้า จนกลายเป็นปัญหาของลูกหลานชาวคริสต์ไม่ได้ศรัทธาต่อพระเยซูเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดเลย หรือไม่ก็ไปรับนับถือผสมผสานกับความเชื่ออื่นๆที่ไม่มีความรอด หรือลูกหลานบางคนกลับไปรับเอาพระองค์อื่นผู้ไม่เที่ยงแท้แทนพระเจ้าและเป็นผู้นำในการลบหลู่พระเยซูเจ้าเป็นต้น อันที่จริงเรื่องสืบสานความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าเป็นหน้าที่ของ พ่อ แม่ และผู้อาวุโสของครอบครัว เราคงจำเรื่องโมเสสท่านได้รับคำสั่งจากพระเจ้าขณะที่กำลังนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์แดนทาสพระเจ้าทรงกำชับโมเสสให้ย้ำสอนคนอิสราเอลว่า
“จงให้ถ้อยคำที่ข้าพเจ้ามีบัญชาพวกท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน และพวกท่าน
จงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนั้น” (ฉธบ. 6:6-7)
ดังนั้นจะเห็นว่าผู้อาวุโส ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย พระเจ้าทรงมอบหมายให้ท่านสอนพระวจนะพระเจ้าแก่บุตรหลาน คุณสมบัติที่เหมาะสมคือท่านเองต้องมีพระวาจาอยู่ในจิตใจแล้ว ชีวิตของท่านจึงจะมีอิทธิพลเหนือลูกหลานไม่ว่าด้านความเชื่อหรือความประพฤติ
ความเชื่อที่ทิโมธีได้เรียนรู้มาตั้งแต่วัยเด็กนั้น จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเขาได้รับสิ่งที่ถูกต้อง จากยาย และมารดา ซึ่งโดยความเชื่อนี้ อัครทูตเปาโล รับประกันว่าเขาได้รับความรอด เพราะเขาได้มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด
ฉันมีเพื่อสนิทอยู่คนหนึ่ง ขณะนี้รับใช้พระเจ้าเป็นศิษยาภิบาล ฉันได้ฟังคำพยานว่า เธอได้ตอบรับกระแสเรียกถวายตัวรับใช้พระเจ้าเพราะการอธิษฐานภาวนาของยาย ตั้งแต่เธอจำความได้ ยายได้พาเธอไปโบสถ์ ยายสอนเธอให้อธิษฐานภาวนา และท่องพระคัมภีร์ เมื่อเธอจบชั้นมัธยมปลาย เธอได้ถวายตัวทั้งหมดแก่พระเจ้า วันนั้นเป็นวันที่ยายมีความชื่นชมยินดี เพราะยายบอกว่าท่านได้อธิษฐานมอบเธอให้พระเจ้าตั้งแต่เด็กๆ เพื่อให้เธอได้ทำพระราชกิจของพระเจ้าและอย่าให้หลานของท่านออกไปจากทางของพระเจ้า
ดังนั้นพวกเราลูกหลานหรือเด็กๆ ที่มีครอบครัวเป็นผู้ติดตามพระเยซูเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราต้องขอบคุณบิดา มารดา (ปู่ย่า ตายาย) ซึ่งมีส่วนในชีวิตของเรา พวกท่านได้สอนเราให้รู้จักพระเจ้า ท่านได้มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างในความเชื่อ ความรักต่อพระเจ้า อิทธิพลของท่านที่ได้รับจากพระเจ้า จึงทำให้เรามีโอกาสได้รู้จักพระเจ้า เราจึงไม่หลงไปจากทางของพระเจ้า
~ ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง~
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
2.พระเจ้าคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังคริสตชน
“แต่ท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ได้เรียนรู้แล้วและเชื่ออย่างมั่นคง และท่านก็รู้ว่าท่านเรียนมาจากใคร และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้เรียนรู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถให้ปัญญาแก่ท่านในเรื่องความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” ( 2 ทิโมธี 3.14-15 )
ถึงแม้เรารู้ว่าผู้อาวุโสอยู่เบื้องหลังเด็กๆ แต่มีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังทุกๆ คนคือองค์พระผู้เป็นเจ้า อัครทูตเปาโลได้เตือนสติ ท่านทิโมธีว่าสิ่งที่เขาได้เรียนเรื่องความจริงนั้นถูกต้องแล้ว และย้ำว่าเขาได้เรียนมาตั้งแต่วัยเด็ก ท่านเปาโลเตือนให้เขายึดสิ่งนั้นให้แน่น เพราะพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นพระคำของพระเจ้า
คริสตชนต้องยืนอยู่บนความจริงที่พระวาจาของพระเจ้าให้มั่น เหมือนกับหินใหญ่ที่ยืน เดินอยู่เหนือน้ำ ไม่ว่าคลื่นลม จะพัดพา อย่างไรก็จะไม่หวั่นไหว เพราะว่าสิ่งเหล่านี้สามารถต่อต้านคำสอนผิดได้ ท่านเปาโลให้ความมั่นใจแก่ทิโมธีว่าเขาได้รับความรอด เพราะเขามีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่ความผิดบาปของมนุษย์ทุกคนเช่นเดียวกันที่เราคริสตชนทุกคนเชื่อว่าเราได้รับความรอดในพระคริสต์องค์เดียวกับทิโมธี เพราะเราได้มีความเชื่อและไว้วางใจในพระองค์
“รับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่าพระเจ้าได้ทรงชุบ พระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอดด้วยว่าความเชื่อด้วยใจ ก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปาก ก็นำไปสู่ความรอด” (โรม 10:9-10)
ความรอดเป็นของประทานของพระเจ้า ที่เราจะได้รับโดยอาศัยความเชื่อ เรารอดโดยพระหรรษทานไม่ใช่ความดีของเราเอง พระเจ้าทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่ทรงประทานพระเยซูแก่โลกนี้ด้วยความรักของพระองค์ ซึ่งเป็นองค์แห่งความรัก เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย พระเจ้าทรงซื้อเรา (มนุษย์ )ไว้โดยชีวิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระเยซูจะได้ชีวิตนิรันดร์
รีส โฮเวลล์ ผู้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เขาเป็นนักอธิษฐานภาวนาที่เอาจริงเอาจัง ดังนั้นจนถึงความเชื่อของเขาว่าพระเจ้าทำงานอยู่เบื้องหลัง มีครั้งหนึ่งที่โฮเวลล์เตรียมตัวพร้อมจะเดินทางไปเป็นมิสชันนารีที่ทวีปอัฟริกา เขากับเพื่อนต้องนั่งรถไฟไปที่ลอนดอน แล้วต้องต่อเรือข้ามมหาสมุทร ซึ่งเป็นการเดินทางที่ไกลมาก แต่ทั้งสองคนมีเงินแค่ 10 ชิลลิง เงินจำนวนนั้นพอสำหรับค่ารถไฟแค่ระยะทาง 20 ไมล์ อย่างไรก็ตามเขามั่นใจว่าพระเจ้าจะให้เดินทางเป็นมิสชันนารีจึงไม่มีข้อสงสัย โฮเวลล์และเพื่อนจึงเดินทางโดยรถไฟซื้อตั๋วไกลที่สุดตามกำลังเงิน หลังจาก 20 ไมล์ทั้งสองต้องลงจากรถไฟเพื่อต่อรถขบวนอื่น เมื่อพวกเขาลงจากรถก็ได้พบเพื่อนๆ และได้รับเชิญไปรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน โฮเวลล์คิดในใจว่าพระเจ้าคงส่งเพื่อนๆ เหล่านี้มาช่วยค่าเดินทางของเขาแน่ แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาจะเดินทางต่อ ไม่มีเพื่อนคนไหนเอ่ยปากจะช่วยเหลือเลย แต่ขณะนั้น พระจิตเจ้าตรัสในใจของโฮเวลล์ว่า “ถ้าเจ้ามีเงินเจ้าจะทำอะไร” เขาตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ก็จะไปซื้อตั๋วนะสิ!” “อ้าว เจ้าไม่ใช่หรือที่เทศนาว่าพระสัญญาของเราเพียงพอต่อความต้องการเสมอ เจ้าไปเข้าแถวรอซื้อตั๋วเถอะ” แล้วโฮเวลล์จึงเข้าไปต่อคิว เมื่อคิวเข้าใกล้เข้ามาเหลือแค่ 2 คน ยืนหน้าเขา ก็มีชายคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนได้ก้าวออกมา แล้วพูดกับโฮเวลล์ว่า “ผมเสียใจที่ผมไม่มีเวลารอต่อไปอีก เพราะต้องรีบไปเปิดร้านก่อน” เขากล่าวอำลาพร้อมกับยัดเงิน 30 ชิลลิ่งใส่มือโฮเวลล์
แล้วท่านผู้อ่านล่ะ ได้ทบทวนประสบการณ์ของตัวเองที่รู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังในชีวิต ในการดำเนินชีวิตหลายๆ อย่าง ที่พระองค์ทรงเป็นผู้จัดเตรียมไว้ทันเวลาเสมอ แล้วเราพร้อมที่จะชื่นชมยินดีกับสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้า และรู้สึกขอบพระคุณพระองค์ผู้ทรงอยู่เบื้องหลังเรา
มีสำนวนจีนสอนแก่เด็กว่า
จงยกย่องผู้มีคุณธรรม แล้วเรียนรู้สิ่งที่มีคุณค่านั้นจากเขา
จงปฏิบัติต่อผู้มีอายุมาก เป็นสองเท่า เสมือนเป็นบิดาของเรา
จงปฏิบัติต่อผู้มีอายุมากกว่าเราสิบปี เสมือนเป็นพี่ชายของเรา
และจงให้เกียรติผู้มีอายุมากกว่าเราห้าปี
และอัครทูตเปาโลเองกำชับ ทิโมธีที่รับใช้อยู่ที่เอเฟซัสว่า
“ในการตักเตือนนั้น อย่าตำหนิชายผู้มีอาวุโส แต่จงขอร้องเขาเสมือนเป็นบิดา จงถือว่าคนหนุ่มๆ ทั้งหลายเสมือนพี่หรือน้อง และผู้หญิงที่มีอาวุโสเป็นเสมือนมารดา และส่วนหญิงสาวๆ ก็ให้เป็นเสมือนพี่สาวหรือน้องสาว มีใจบริสุทธิ์ต่อเขา” (1 ทิโมธี 5:1-2 )
( ตีพิมพ์ อิสระรายปักษ์ ฉบับที่ 85 ปักษ์หลังเดือน พฤษภาคม 2007 หน้า 4-8 )
“แต่ท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ได้เรียนรู้แล้วและเชื่ออย่างมั่นคง และท่านก็รู้ว่าท่านเรียนมาจากใคร และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้เรียนรู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถให้ปัญญาแก่ท่านในเรื่องความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” ( 2 ทิโมธี 3.14-15 )
ถึงแม้เรารู้ว่าผู้อาวุโสอยู่เบื้องหลังเด็กๆ แต่มีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังทุกๆ คนคือองค์พระผู้เป็นเจ้า อัครทูตเปาโลได้เตือนสติ ท่านทิโมธีว่าสิ่งที่เขาได้เรียนเรื่องความจริงนั้นถูกต้องแล้ว และย้ำว่าเขาได้เรียนมาตั้งแต่วัยเด็ก ท่านเปาโลเตือนให้เขายึดสิ่งนั้นให้แน่น เพราะพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นพระคำของพระเจ้า
คริสตชนต้องยืนอยู่บนความจริงที่พระวาจาของพระเจ้าให้มั่น เหมือนกับหินใหญ่ที่ยืน เดินอยู่เหนือน้ำ ไม่ว่าคลื่นลม จะพัดพา อย่างไรก็จะไม่หวั่นไหว เพราะว่าสิ่งเหล่านี้สามารถต่อต้านคำสอนผิดได้ ท่านเปาโลให้ความมั่นใจแก่ทิโมธีว่าเขาได้รับความรอด เพราะเขามีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่ความผิดบาปของมนุษย์ทุกคนเช่นเดียวกันที่เราคริสตชนทุกคนเชื่อว่าเราได้รับความรอดในพระคริสต์องค์เดียวกับทิโมธี เพราะเราได้มีความเชื่อและไว้วางใจในพระองค์
“รับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่าพระเจ้าได้ทรงชุบ พระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอดด้วยว่าความเชื่อด้วยใจ ก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปาก ก็นำไปสู่ความรอด” (โรม 10:9-10)
ความรอดเป็นของประทานของพระเจ้า ที่เราจะได้รับโดยอาศัยความเชื่อ เรารอดโดยพระหรรษทานไม่ใช่ความดีของเราเอง พระเจ้าทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่ทรงประทานพระเยซูแก่โลกนี้ด้วยความรักของพระองค์ ซึ่งเป็นองค์แห่งความรัก เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย พระเจ้าทรงซื้อเรา (มนุษย์ )ไว้โดยชีวิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระเยซูจะได้ชีวิตนิรันดร์
รีส โฮเวลล์ ผู้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เขาเป็นนักอธิษฐานภาวนาที่เอาจริงเอาจัง ดังนั้นจนถึงความเชื่อของเขาว่าพระเจ้าทำงานอยู่เบื้องหลัง มีครั้งหนึ่งที่โฮเวลล์เตรียมตัวพร้อมจะเดินทางไปเป็นมิสชันนารีที่ทวีปอัฟริกา เขากับเพื่อนต้องนั่งรถไฟไปที่ลอนดอน แล้วต้องต่อเรือข้ามมหาสมุทร ซึ่งเป็นการเดินทางที่ไกลมาก แต่ทั้งสองคนมีเงินแค่ 10 ชิลลิง เงินจำนวนนั้นพอสำหรับค่ารถไฟแค่ระยะทาง 20 ไมล์ อย่างไรก็ตามเขามั่นใจว่าพระเจ้าจะให้เดินทางเป็นมิสชันนารีจึงไม่มีข้อสงสัย โฮเวลล์และเพื่อนจึงเดินทางโดยรถไฟซื้อตั๋วไกลที่สุดตามกำลังเงิน หลังจาก 20 ไมล์ทั้งสองต้องลงจากรถไฟเพื่อต่อรถขบวนอื่น เมื่อพวกเขาลงจากรถก็ได้พบเพื่อนๆ และได้รับเชิญไปรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน โฮเวลล์คิดในใจว่าพระเจ้าคงส่งเพื่อนๆ เหล่านี้มาช่วยค่าเดินทางของเขาแน่ แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาจะเดินทางต่อ ไม่มีเพื่อนคนไหนเอ่ยปากจะช่วยเหลือเลย แต่ขณะนั้น พระจิตเจ้าตรัสในใจของโฮเวลล์ว่า “ถ้าเจ้ามีเงินเจ้าจะทำอะไร” เขาตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ก็จะไปซื้อตั๋วนะสิ!” “อ้าว เจ้าไม่ใช่หรือที่เทศนาว่าพระสัญญาของเราเพียงพอต่อความต้องการเสมอ เจ้าไปเข้าแถวรอซื้อตั๋วเถอะ” แล้วโฮเวลล์จึงเข้าไปต่อคิว เมื่อคิวเข้าใกล้เข้ามาเหลือแค่ 2 คน ยืนหน้าเขา ก็มีชายคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนได้ก้าวออกมา แล้วพูดกับโฮเวลล์ว่า “ผมเสียใจที่ผมไม่มีเวลารอต่อไปอีก เพราะต้องรีบไปเปิดร้านก่อน” เขากล่าวอำลาพร้อมกับยัดเงิน 30 ชิลลิ่งใส่มือโฮเวลล์
แล้วท่านผู้อ่านล่ะ ได้ทบทวนประสบการณ์ของตัวเองที่รู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังในชีวิต ในการดำเนินชีวิตหลายๆ อย่าง ที่พระองค์ทรงเป็นผู้จัดเตรียมไว้ทันเวลาเสมอ แล้วเราพร้อมที่จะชื่นชมยินดีกับสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้า และรู้สึกขอบพระคุณพระองค์ผู้ทรงอยู่เบื้องหลังเรา
มีสำนวนจีนสอนแก่เด็กว่า
จงยกย่องผู้มีคุณธรรม แล้วเรียนรู้สิ่งที่มีคุณค่านั้นจากเขา
จงปฏิบัติต่อผู้มีอายุมาก เป็นสองเท่า เสมือนเป็นบิดาของเรา
จงปฏิบัติต่อผู้มีอายุมากกว่าเราสิบปี เสมือนเป็นพี่ชายของเรา
และจงให้เกียรติผู้มีอายุมากกว่าเราห้าปี
และอัครทูตเปาโลเองกำชับ ทิโมธีที่รับใช้อยู่ที่เอเฟซัสว่า
“ในการตักเตือนนั้น อย่าตำหนิชายผู้มีอาวุโส แต่จงขอร้องเขาเสมือนเป็นบิดา จงถือว่าคนหนุ่มๆ ทั้งหลายเสมือนพี่หรือน้อง และผู้หญิงที่มีอาวุโสเป็นเสมือนมารดา และส่วนหญิงสาวๆ ก็ให้เป็นเสมือนพี่สาวหรือน้องสาว มีใจบริสุทธิ์ต่อเขา” (1 ทิโมธี 5:1-2 )
( ตีพิมพ์ อิสระรายปักษ์ ฉบับที่ 85 ปักษ์หลังเดือน พฤษภาคม 2007 หน้า 4-8 )
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ มิ.ย. 11, 2007 4:26 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
แต่เด็กเกรียน ๆ ในปัจจุบัน ทำอะไรไม่ค่อยเห็นหัวผู้อาวุโสกว่ากันเลย
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
แล้วพี่ลิงเห็นป่าวครับNihil เขียน: แต่เด็กเกรียน ๆ ในปัจจุบัน ทำอะไรไม่ค่อยเห็นหัวผู้อาวุโสกว่ากันเลย
ในทางเดียวกัน เราเคารพผู้อาวุโส(แม้กระทั่งรุ่นพี่)บ้างหรือเปล่า (หรือเราทำเพราะเลือกปฏิบัติ ลองคิดว่าถ้าเด็กพวกนั้นมาเลือกเคารพ เลยไม่เคารพเราบ้างหละ)Nihil เขียน: แต่เด็กเกรียน ๆ ในปัจจุบัน ทำอะไรไม่ค่อยเห็นหัวผู้อาวุโสกว่ากันเลย
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบคุณสำหรับบทความดีดีครับ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
taiyo เขียน: คุณProd Pranไปหาภาพมาจากไหนเนี่ย สวยมากๆครับ ขอก๊อปเก็บไว้ได้ปะ
ได้คับ แต่ต้องเลี้ยงข้างพี่พีพีมื้อนึง อิอิอิอิ
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
งิงิ ขอบคุณค่า...น่ารักจัง
หนูขอปริ๊นไปอ่านนะคะ
หนูขอปริ๊นไปอ่านนะคะ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อ่านแล้วต้องรักพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และผู้อาวุโส บอร์ดนี้ทุกๆคน นะครับMaew Martha (Grace) เขียน: งิงิ ขอบคุณค่า...น่ารักจัง
หนูขอปริ๊นไปอ่านนะคะ