ถามพี่ๆคาทอลิก

คริสตสัมพันธ์ เอกภาพในคริสตศาสนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 4:31 pm

ตอบจริงๆนะครับ อย่าเอาความคิดส่วนตัวนะ...
1.สามารถร่วมมหาสนิทของโปรฯได้หรือไม่ (โปรฯไม่มีการเสกแผ่นปังและเหล้าองุ่นเป็นพระกายและพระโลหิต แต่ทำเพื่อเป็นการระลึกถึงเท่านั้น และบอกก่อนพิธีว่า"ถ้าใครเชื่อก็สามารถรับได้" [ของคาฯจะบอกว่า "เฉพาะคริสชนคาทอลิกฯ" หรือเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจนะครับ])------{ตอนนี้ผมกำลังเข้าใจว่าคาฯรับของโปรฯได้ แต่โปรฯรับของคาไม่ได้}ประมาณนี้
2.สามารถร่วมนมัสการกับโปรฯได้หรือไม่(ในกรณีแบบว่ามีงานพิเศษแล้วเค้าเชิญ(จำเป็นต้องไป) ฯลฯ)
3.สามารถลิงโลดได้หรือไม่(ในกรณีเดียวกับข้อที่ 2 ..อันนี้อยากรู้จริงๆ)----ลิงโลดคือ..การนมัสการรูปแบบหนึ่งที่มีการร้องและเต้นด้วยสุดใจเพื่อนมัสการพระเจ้า[ต้องถามน้องๆจากความหวังอ่ะ พี่ไม่ค่อยเชี่ยว]
4.ถ้าเกิดพูดภาษาแปลกๆได้แล้วไปเป็นคาทอลิก จะสามารถใช้ภาษานั้นได้อีกหรือไม่ (เป็นสิ่งต้องห้ามหรือเปล่า) มีทัศนะอย่างไร
5.เราถือว่ารูปปั้นพระในโบสถ์มีความศักดิ์สิทธิ์มากน้อยเพียงใด เทียบได้กับพระพุทธรูปในวัดหรือเปล่า

คือ กำลังหารูปแบบการนมัสการ(นมัสการ-พี่น้องคาฯเรียกว่าอะไรอ่ะ)ที่เหมาะกับตัวเองอยู่อ่ะครับ อยากมีโอกาสเลือกคณะ-นิกายที่เหมาะกับตนที่สุดครับ  ตอนนี้ก็กำลังศึกษารูปแบบพิธีกรรมและความเชื่อปลีกย่อยที่ต่างกันของโปรฯกับคาฯอยู่อ่ะครับ และกำลังหาวัดเรียนคำสอนอยู่ครับ ใครอยู่ในเมืองเชียงใหม่ช่วยแนะนำที

ขอพระเจ้าทรงชี้นำด้วยว่าลูกเหมาะกับที่ไหน 
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 4:39 pm

ขออนุญาติตอบเท่าที่รู้นะครับ... ::012::

1. ร่วมได้ครับ
2. อันนี้ก็ได้ครับ ผมก็เคยไป
3. วัดที่เมืองนอกเค้าก็ทำกันนะครับ
4. ไม่มีข้อห้ามเกี่ยวกับภาษาครับ คุณพ่อหลายๆคนก็พูดได้หลายภาษานะครับ
5. ถือว่าเป็นสิ่งคล้ายศีลครับ เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึง

ขอพระองค์ทรงนำทาง... : xemo026 :
St.paul

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 4:59 pm

1.สามารถร่วมมหาสนิทของโปรฯได้หรือไม่ (โปรฯไม่มีการเสกแผ่นปังและเหล้าองุ่นเป็นพระกายและพระโลหิต แต่ทำเพื่อเป็นการระลึกถึงเท่านั้น และบอกก่อนพิธีว่า"ถ้าใครเชื่อก็สามารถรับได้" [ของคาฯจะบอกว่า "เฉพาะคริสชนคาทอลิกฯ" หรือเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจนะครับ])------{ตอนนี้ผมกำลังเข้าใจว่าคาฯรับของโปรฯได้ แต่โปรฯรับของคาไม่ได้}ประมาณนี้

ตอบ  ได้ครับแต่มันไม่มีคุณค่าอะไรเลยมันเป็นการรำลึกถึงเท่านั้นไม่มีความศักสิทธิ์ใดใดทั้งสิ้นครับแต่โปรไม่มีสิทธิ์รับของคาทอลิกครับเนื่องจากพิธีแบบเดียวกันแต่การเสกปังนั้นให้ความศักสิทธิ์เฉพาะตัวที่สงวนไว้สำหรับคาทอลิกเท่านั้น

2.สามารถร่วมนมัสการกับโปรฯได้หรือไม่(ในกรณีแบบว่ามีงานพิเศษแล้วเค้าเชิญ(จำเป็นต้องไป) ฯลฯ)

ตอบ ได้ครับตามสบายไม่มีปัญหา

3.สามารถลิงโลดได้หรือไม่(ในกรณีเดียวกับข้อที่ 2 ..อันนี้อยากรู้จริงๆ)----ลิงโลดคือ..การนมัสการรูปแบบหนึ่งที่มีการร้องและเต้นด้วยสุดใจเพื่อนมัสการพระเจ้า[ต้องถามน้องๆจากความหวังอ่ะ พี่ไม่ค่อยเชี่ยว]

ตอบ ไม่ได้ครับทำให้ดูไม่เรียบร้อยขัดต่อจารีตโรมันด้วยครับไม่ควรทำครับทำให้พิธีหมดความศักสิทไป

4.ถ้าเกิดพูดภาษาแปลกๆได้แล้วไปเป็นคาทอลิก จะสามารถใช้ภาษานั้นได้อีกหรือไม่ (เป็นสิ่งต้องห้ามหรือเปล่า) มีทัศนะอย่างไร

ตอบ ใช้ได้ไม่ห้ามครับ พรนี้ได้แค่บางคนเท่านั้นแล้วแต่พระเจ้าประทานให้ครับ

5.เราถือว่ารูปปั้นพระในโบสถ์มีความศักดิ์สิทธิ์มากน้อยเพียงใด เทียบได้กับพระพุทธรูปในวัดหรือเปล่า

ตอบ มันก็มีไว้ระลึกถึงบุคคลคนนั้นแหละครับมีไว้ระลึกถึงไม่ได้มีไว้บูชาครับดังนั้นไม่มีความศักสิทธิ์แบบเครื่องลางครับแต่ศักสิทในแง่จิตใจครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 5:08 pm

ครับ...ขอบคุณครับ..
แต่ในข้อที่ 3 ยังมีปัญหาอยู่บ้าง พี่ตอบไม่เหมือนกันอ่ะ จึงขอระบุสถานการณ์หน่อยนะครับ
คือประมาณว่าการลิงโลดนี้ทางวัดคาทอลิกคงไม่ได้จัดขึ้นอยู่แล้ว (เท่าที่ทราบนะ) แต่ในกรณีที่เราไปร่วมของทางโปรที่เค้าจัดอ่ะครับ (เพราะรู้สึกว่าโบสถ์ของทางโปร์ส่วนมากเค้าทำกันอ่ะ) ถ้าเราเกิดแบบว่าโอกาสมันชักพาให้ไปร่วม เห็นคนอื่นเค้ายกไม้ยกมือสรรเสริญ ร้องเพลง ลิงโลดหมด (อะไรประมาณนี้) เราก้สามารถทำได้ใช่มั้ยครับ ถ้าอยากทำ.... 
Phulasso
โพสต์: 1236
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 10:18 am
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 5:17 pm

มีคนตอบไปแล้ว พี่พิมพ์ช้า ไหนๆก็ไหนๆ ลองอ่านเล่นดูนะ คำตอบคล้ายๆกันแหละ
1. น้องเข้าใจถูกต้องแล้ว ที่คาทอลิกสามารถร่วมได้เพราะ พิธีกรรมของโปรเตสแตนท์
2. ได้จ้า ก็เรานมัสการพระเจ้าองค์เดียวกันนี่
3. ได้จ้า แต่พี่กระโดดสูงๆไม่ค่อยไหวน่ะ
4. ได้จ้า แต่น้องจะพูดกับใครถ้ามันแปลกมากและหาคนฟังไม่เข้าใจ เพราะภาษาคือการสื่อสารระหว่างเรากับผู้อื่น ถามทัศนคติ ก็ไม่แปลกถ้าน้องพูดและมีคนฟังรู้เรื่อง ถ้าพูดแล้วไม่มีคนฟังจะพูดไปทำไม ถึงภาษาไทยก็เถอะ
5. มีหลายคนอธิบายไปแล้วเรื่องรูปเคารพนี้ สมมติเราไม่มีรูปเคารพ เราจะทำอย่างไร ยกมือไหว้เงยหน้าขึ้นฟ้า
จะมีคนถามน้องไหมว่า ไหว้ฟ้าทำไม พระอยู่ที่ฟ้าหรือ ไหว้ก้มหน้าลงดิน ก็คงมีคนสงสัยอีก ไปยืนพนมมือข้างต้นไม้ เขาก็ว่า ลัทธินี้แปลกดีไหว้ต้นไม้ รูปปั้นเป็นเพียงรูปเคารพ พูดง่ายๆว่าเราคิดถึงพระก็ก้มลงเคารพกราบไหว้รูปพระเป็นสัญลักษณ์ว่าเรากำลังนมัสการพระองค์นะ
ถามว่าเทียบได้กับพระพุทธรูปในวัดได้ไหม อยากตอบว่าเมื่อพันกว่าปีก่อนคนพุทธก็ไหว้พระพุทธรูปในรูปสัญลักษณ์แบบคาทอลิกนี้แหละ ต่อๆมา ก็กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทรงอิทธิฤทธิ์ดังที่น้องเห็นอยู่ในปัจจุบัน
ลองหลังไมค์คุยกับพี่ดิ ใช้อีเมล์ก็ได้
lordtole
โพสต์: 131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.พ. 14, 2006 12:38 am
ที่อยู่: Bangkok , St.JoHn Church & Fatima

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 5:17 pm

ในฐานะที่ผมเคยเป็นสมาชิกของคริสตจักรความหวังมาก่อน แต่ตอนนี้รับศีลล้างบาปเป็นคาทอลิกแล้ว ผมจะตอบให้ทีละข้อนะครับ
1.อันนี้แล้วแต่นะครับ เพราะว่าของโปรฯไม่ได้มีการเสก มันก็เหมือนกับปังกับน้ำองุ่นธรรมดาๆ ที่ไครๆก็สามารถกินได้ แต่ถ้าเป็นผมๆขอไม่เลือกที่จะรับครับ
2.ไปได้ครับ เพราะการนมัสการของโปรก็มีการร้องเพลง และกิจกรรมต่างๆมากมายที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผมก็เคยไป
3.การนมัสการของโปรฯจะมีการลิงโลด เพลงจังหวะร็อก ผมเคยฟังแบบฮิปฮอปด้วย ซึ่งจะไม่ค่อยพบในคาทอลิก ในการนมัสการแบบนี้ก็ขอให้อยู่ในขอบเขตครับ เพราะว่าอาจจะทำให้ตนเองนั้นเกิดความสับสนได้ ว่า เอ๊ะเราเป็นคาทอลิกหรือว่าโปรฯ เพราะคาทอลิกมีมิสซา ของโปรฯเป็นแบบลิงโลด ถ้าเป็นผมๆก็จะเลือกที่จะไปนมัสการแบบโปรฯ แบบนานๆครั้ง ไม่ไปบ่อยแบบว่า เช้ามิสซา บ่ายไปลิงโลด ทุกๆอาทิตย์ แบบนี้อาจจะทำให้เราเกิดความสับสนได้ ว่าเราจะอยู่ทางไหนกันแน่
4.ภาษาแปลกๆในส่วนตัวผมเชื่อว่า เป็นพระพรพิเศษที่พระจิตเจ้าประทานให้ในแต่ละบุคคล ถ้าคุณพูดภาษาแปลกๆได้ก็พูดไปเถิดครับ ตอนที่ผมเป็นโปรฯ ผมก็พูดเหมือนกันภาษาแปลกๆอย่างที่ว่าเนี่ย แต่พอผมมาเป็นคาทอลิก ผมไม่พูดแล้วครับ ผมเลือกที่จะไม่พูดเพราะพูดไปก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าจะให้พูดก็พูดได้ แต่ในส่วนลึกๆของผมๆคิดว่า นั่นไม่ใช่ภาษาแปลกๆที่พระจิตเจ้าประทานให้ครับ (คัมภีร์ของโปรฯใช้คำว่าภาษาแปลกๆ แต่ของคาทอลิกเราเรียกว่าภาษาอื่นๆครับ)
5.เป็นสิ่งเตือนให้ระลึกถึงเท่านั้นครับ เหมือน คห.1

สรุปนะครับ  ถ้าจะไปนมัสการร่วมกับโปรฯหรือทำกิจกรรมกัน ก็ขอให้อยู่ในกรอบดีกว่าครับ ไม่ไปบ่อยจนเกินไป เรื่องที่เป็นพิธีกรรมของโปรฯ เราก็ไม่ต้องทำครับ
เช่นการรับบัพติศมา หรือแม้แต่พิธีมหาสนิท การเรียนพระคัมภีร์ เพราะเราก็มีข้อเชื่อที่ต่างกัน เช่นเรื่องแม่พระ แต่ถ้าไปร้องเพลงก็ไปเถอะครับ เพราะบางเพลงของคาทอลิกเราก็เอาของโปรฯมาเหมือนกัน ก็ขอให้ดูเอาละกันนะครับว่าอันไหนควรไม่ควร
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 5:30 pm

สืบเนี่องจากคำถามข้อ5 นะครับ

ถ้าเกิดผมทำรูปพระแตกหรือโดนขโมยไป ก็ไม่ต้องไปซีเรียสเหมือนคนพุทธทำใช่มั้ยครับ ซื้อใหม่ก้ได้ใช่เปล่าครับ คืออยากทราบเรื่องการปฏิบัติต่อรุปพระอ่ะครับ ว่าอยู่ในขอบเขตไหน
Phulasso
โพสต์: 1236
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 10:18 am
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 5:34 pm

Zaliaus เขียน: สืบเนี่องจากคำถามข้อ5 นะครับ

ถ้าเกิดผมทำรูปพระแตกหรือโดนขโมยไป ก็ไม่ต้องไปซีเรียสเหมือนคนพุทธทำใช่มั้ยครับ ซื้อใหม่ก้ได้ใช่เปล่าครับ คืออยากทราบเรื่องการปฏิบัติต่อรุปพระอ่ะครับ ว่าอยู่ในขอบเขตไหน
ตอบอย่างง่ายที่สุด
รูปบิดามารดาเราดูแลกราบไหว้อย่างไร
ทำทำนองเดียวกัน
แต่เราเคารพกราบไหว้รูปเคารพในฐานะที่พระองค์เป็นพระนะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 5:40 pm

ครับ
คือรูปถ่ายพ่อแม่ผม แค่ดูก็ชื่นใจแล้ว ตั้งไว้ในที่เห็นได้ง่าย แต่ผมไม่ได้ยกมือไหว้รูปถ่ายอ่ะครับ มันแปลกๆ
ทำนองเดียวกันนี้หรือเปล่า รูปพระดูแล้วชื่นใจ ไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้ก้ได้ใช่มั้ยครับ (ก็บอกว่าทำเหมือนรูปพ่อแม่)
Phulasso
โพสต์: 1236
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 10:18 am
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 5:49 pm

Zaliaus เขียน: ครับ
คือรูปถ่ายพ่อแม่ผม แค่ดูก็ชื่นใจแล้ว ตั้งไว้ในที่เห็นได้ง่าย แต่ผมไม่ได้ยกมือไหว้รูปถ่ายอ่ะครับ มันแปลกๆ
ทำนองเดียวกันนี้หรือเปล่า รูปพระดูแล้วชื่นใจ ไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้ก้ได้ใช่มั้ยครับ (ก็บอกว่าทำเหมือนรูปพ่อแม่)
แหม พอจะขอกะตังล่ะยกมือไหว้แต้เชียวนะ
ที่น้องยังไม่ไหว้เพราะ พ่อแม่น้องยังมัชีวิตอยู่ใช่ปะ
อยากไปหาไปกอดก็ทำได้
แต่สำหรับคนที่ไม่มีแล้ว เขาจะไหว้นะ
ถึงไม่ทุกครั้งที่เดินผ่านรูปก็เถอะ
ตอบคำถาม ถ้าจะไหว้ก็ดีนะพี่ว่า
แบบว่าเราเดินผ่านครูในโรงเรียน
เรายังทำความเคารพนี่
ถ้าจะทำความเคารพรูปพระก็น่าเป็นการดี
แต่ไม่ได้มีกฏบังคับให้ไหว้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 6:01 pm

อ่อครับ...(เครื่องค้าง)
Phulasso
โพสต์: 1236
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 10:18 am
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 6:04 pm

Zaliaus เขียน: อ่อครับ...(เครื่องค้าง)
ถามเบอร์โทรพี่จอมนางก็ได้
เขาไปเชียงใหม่บ่อย เหมือนกัน  :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 6:17 pm

Phulasso เขียน:
Zaliaus เขียน: อ่อครับ...(เครื่องค้าง)
ถามเบอร์โทรพี่จอมนางก็ได้
เขาไปเชียงใหม่บ่อย เหมือนกัน   :wink:
พี่จอมนาง เป็นครายอ่ะ ใช่คนที่แสดงมังกรหยกหรือเปล่า
Phulasso
โพสต์: 1236
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 10:18 am
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 6:30 pm

Zaliaus เขียน:
Phulasso เขียน:
Zaliaus เขียน: อ่อครับ...(เครื่องค้าง)
ถามเบอร์โทรพี่จอมนางก็ได้
เขาไปเชียงใหม่บ่อย เหมือนกัน   :wink:
พี่จอมนาง เป็นครายอ่ะ ใช่คนที่แสดงมังกรหยกหรือเปล่า
เป็นคนที่พลาดตำแหน่งคุณแม่อธิคาน
ตอนนี้กำลังนอนร้องไห้เสียดายตำแหน่งอยู่
ลองโพสต์ตามหาเดี๋ยวพี่เขาก็มา
Alphonse
โพสต์: 1792
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 10:45 pm
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 7:55 pm

((ต่อไปนี้เป็นการบ่นๆๆๆ คนเดียว...ถ้าได้คำตอบก็ดีนะครับ แต่มันสงสัยลึก ๆ ))
เกิดความสงสัยว่าทำไมต้องพูดภาษาแปลก ๆ ???
เป็นพระพรหรือ???
ถ้าจำไม่ผิด ภาษาอื่น ๆ ((หรือภาษาแปลกๆ ของโปรฯ)) ใช้เพื่อการเผยแพร่พระวาจา หรือประกาศข่าวดีนี่นา???
ก็เลยจำเป็นต้องให้พระธรรมฑูตพูดภาษาอื่น ๆ ได้ โดยอาศัยพระพรของพระจิต ((ใช่ป่ะฮะ???))

แล้วภาษาแปลก ๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจ.....จะพูดไปทำไมอ่ะ ???
แล้วมันภาษาแปลก ๆ จริง ๆ หรือว่าภาษามั่ว ๆ ???
คือ ในเมื่อพูดไปก็ไม่มีใครเข้าใจ มีตัวเองเข้าใจอยู่คนเดียว...มันก็ไม่ใช่ภาษาสิ???
เพราะภาษา หมายถึง เครื่องมือสื่อสาร ((รึเปล่า ???))
หรือไม่ก็เฉพาะคนในกลุ่มเดียวกัน....แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรอ่ะ ???
สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ไม่น่าจะเป็นพระพรของพระจิตเจ้า ???

ขอบคุณสำหรับคำถาม ???
แก้ไขล่าสุดโดย Alphonse เมื่อ อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 8:00 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
holy holy holy
โพสต์: 548
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 8:14 pm

ทำไมโปรรับศีลมหาสนิทไม่ได้ (ของโรมัน)
: emo107 : : emo107 : : emo107 :
แก้ไขล่าสุดโดย holy holy holy เมื่อ อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 8:16 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 8:23 pm

ทำไมโปรรับศีลมหาสนิทไม่ได้
: emo107 : : emo107 : : emo107 :

เพราะโปรฯบางคณะนิกาย ไม่เชื่อว่านี่คือการกลายเป็นเนื้อและพระโลหิตจริง แนวคิดนี้มาจากสายคาลวิน ที่ออกแนวตัดเรื่องศักดิ์สิทธิ์ๆออกไปหมด เหลือแต่เรื่องจิตวิญญาณอย่างเดียว ไม่ใช่สายลูเธอร์แท้ๆ คือลูเธอเรนท์ ซึ่งยังคงเชื่อในการเป็นกาย และโลหิตจริงอยู่

ดังนั้น พระศาสนจักรคาทอลิคจึงกำหนดกฎอณุญาติเฉพาะกลุ่มที่เชื่อว่านี่คือกายและโลหิตจริงเหมือนเราเท่านั้น มิฉะนั้นก็จะเท่ากับเป็นการยอมให้คนที่ไม่เชื่อลบหลู่พระกายพระเยซู ดังนั้นกฎของพระศาสนจักรที่ออกมาคือ ลูเธอเรนท์ แองกลีกัน และออโธดอก รับของเราได้ครับ ส่วนโปรฯอื่นๆ จะต้องเป็นคนที่เชื่อว่านี่คือพระกายและพระโลหิตจริงเท่านั้น ซึ่งบาทหลวงที่ประกอบพิธีจะพิจารณาเป็นรายๆไป


อ่านพระคัมภีร์บทนี้ประกอบครับ

1คร 11:23
ข้าพเจ้าได้รับสิ่งใดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้มอบสิ่งนั้นต่อให้ท่าน คือในคืนที่ทรงถูกทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า “นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” เช่นเดียวกัน หลังอาหารค่ำ ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ทุกครั้งที่ท่านกินปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการสิ้นพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา ดังนั้น ผู้ใดที่กินปังหรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ก็ผิดต่อพระกายและผิดต่อพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ละคนจงพิจารณาตนเอง แล้วจึงกินปังและดื่มจากถ้วย เพราะผู้ใดที่กินและดื่ม โดยไม่ยอมรับรู้พระกายก็กินและดื่มการตัดสินลงโทษตนเอง เพราะเหตุนี้ ในหมู่ท่านทั้งหลายจึงมีหลายคนอ่อนแอ เจ็บป่วย และบางคนก็ตายไปแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
TheOffspring
โพสต์: 102
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 26, 2006 6:54 pm
ที่อยู่: Hope of Chiang Mai
ติดต่อ:

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 8:27 pm

ตามความคิดผมนะ
ความสำคัญของพิธีมหาสนิท -
1. เป็น 1 ใน 2 พิธีที่พระเยซูกำชับให้ปฏิบัติ
2. ทำให้เราละลึกถึงพระคุณของพระเจ้า
3. ประกาศการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
4. เตือนใจให้มีความหวังว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา
I Corinthians 11:23 - 26
23เพราะว่าเรื่องซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับท่านแล้วนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง
24ครั้นขอบพระคุณแล้ว จึงทรงหักแล้วตรัสว่า "จงรับไปกินเถิด นี่เป็นกายของเรา ซึ่งหักออกเพื่อท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา"
25เมื่อรับประทานแล้ว พระองค์จึงทรงหยิบถ้วยด้วยอาการอย่างเดียวกัน ตรัสว่า "ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเรา เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด จงดื่มให้เป็นที่ระลึกถึงเรา"
26เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
ผู้ที่จะกระทำพิธีนี้ได้ต้องสำรวจตัวเองก่อน ว่าพร้อมหรือไม่ ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่สมควรรับครับ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะรับได้ เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ หากรับอย่างไม่สมควรจะเป็นการทำผิดต่อพระเจ้าโดยตรง
I Corinthians 11:28 - 29
28ขอให้ทุกคนพิจารณาตนเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้
29เพราะว่าคนที่กินและดื่มอย่างไม่สมควร ก็กินและดื่มเพื่อนำพระอาชญามาสู่ตนเอง เพราะมิได้พินิจดูพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ผลจากการรับพิธีมหาสนิท
- ทำให้เรามีชีวิตที่ใกล้พระเจ้ามากขึ้น
- ทำให้ผูกพันกับพระเจ้ามากขึ้น
- ทำบ่อยที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

การพูดภาษาแปลกๆ ในพระคัมภีร์
โปรเตสแตนท์ - ภาษาพระวิญญาณบริสุทธิ์ (แต่คริสตจักรในสภาแทบจะไม่เห็นคนพูดเลย)
พระคัมภีร์ฉบับ Thai King James - ภาษาต่างๆ
พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับ 1971 - ภาษาแปลกๆ
English Standard Version -  speaks in tongues
American Standard Version - speaketh with tongues
เป็นของประทานจากพระเจ้า
I Corinthians 14:2
เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พูดภาษาแปลกๆได้ ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจได้ แต่เขาพูดเป็นความลึกล้ำฝ่ายจิตวิญญาณ
ทำให้เราจำเริญในฝ่ายจิตวิญญาณ เติมเต็มความเชื่อให้กับเรา
I Corinthians 14:4
ฝ่ายคนที่พูดภาษาแปลกๆนั้นก็ทำให้ตนเองเจริญฝ่ายเดียว แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นย่อมทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น
ควรจะพูดได้
I Corinthians 14:5
ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลายพูดภาษาแปลกๆได้ แต่ยิ่งกว่านั้นอีกข้าพเจ้าปรารถนาจะให้ท่านทั้งหลายเผยพระวจนะได้ เพราะว่าผู้ที่เผยพระวจนะได้ นั้นก็ใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆได้ เว้นแต่เขาสามารถแปลภาษานั้นๆออก เพื่อคริสตจักรจะได้รับความจำเริญขึ้น
necromancer เขียน: ถ้าจำไม่ผิด ภาษาอื่น ๆ ((หรือภาษาแปลกๆ ของโปรฯ)) ใช้เพื่อการเผยแพร่พระวาจา หรือประกาศข่าวดีนี่นา???
I Corinthians 14:22
เหตุฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆจึงไม่เป็นหมายสำคัญแก่คนที่เชื่อ แต่เป็นหมายสำคัญแก่คนที่ไม่เชื่อ แต่การเผยพระวจนะนั้นไม่ใช่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ แต่สำหรับคนที่เชื่อแล้ว
necromancer เขียน: ก็เลยจำเป็นต้องให้พระธรรมฑูตพูดภาษาอื่น ๆ ได้ โดยอาศัยพระพรของพระจิต ((ใช่ป่ะฮะ???))
ไม่มีผู้ใดเข้าใจภาษานี้ เพราะว่าเราไม่ได้พูดเอง แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะพูดแทนเราครับ การพูดสามารถพูดเมื่อไหร่ก็ได้ หยุดเมื่อไหร่ก็ได้
ถ้าพูดแล้วหยุดไม่ได้แสดงว่าไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
I Corinthians 14:13
เหตุฉะนั้นให้คนที่พูดภาษาแปลกๆควรจะอธิษฐานให้เขาแปลได้ด้วย
ที่เรียนมามีอีกเยอะครับ แต่พิมพ์ไม่ไหว  :grin:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 8:28 pm

necromancer เขียน: ((ต่อไปนี้เป็นการบ่นๆๆๆ คนเดียว...ถ้าได้คำตอบก็ดีนะครับ แต่มันสงสัยลึก ๆ ))
เกิดความสงสัยว่าทำไมต้องพูดภาษาแปลก ๆ ???
เป็นพระพรหรือ???
ถ้าจำไม่ผิด ภาษาอื่น ๆ ((หรือภาษาแปลกๆ ของโปรฯ)) ใช้เพื่อการเผยแพร่พระวาจา หรือประกาศข่าวดีนี่นา???
ก็เลยจำเป็นต้องให้พระธรรมฑูตพูดภาษาอื่น ๆ ได้ โดยอาศัยพระพรของพระจิต ((ใช่ป่ะฮะ???))

แล้วภาษาแปลก ๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจ.....จะพูดไปทำไมอ่ะ ???
แล้วมันภาษาแปลก ๆ จริง ๆ หรือว่าภาษามั่ว ๆ ???
คือ ในเมื่อพูดไปก็ไม่มีใครเข้าใจ มีตัวเองเข้าใจอยู่คนเดียว...มันก็ไม่ใช่ภาษาสิ???
เพราะภาษา หมายถึง เครื่องมือสื่อสาร ((รึเปล่า ???))
หรือไม่ก็เฉพาะคนในกลุ่มเดียวกัน....แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรอ่ะ ???
สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ไม่น่าจะเป็นพระพรของพระจิตเจ้า ???

ขอบคุณสำหรับคำถาม ???
ในคาทอลิคนั้น มีพระพรการพูดภาษาแปลกๆ แต่เราไม่เน้นให้พูดทั้งโบสถ์ เพราะไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์สอนว่าต้องพูดได้ทุกคน การพูดภาษาแปลกๆนั้นพระคัมภีร์สอนชัดเจนว่า ต้องพูดเมื่อมีผู้มีพระพรการแปล และหากไม่มีห้ามพูดในที่สาธารณะ

โปรดอ่านเนื้อหานี้ประกอบนะครับ

-------------------------------------------------------

พระพรภาษาแปลกๆนี้ มักถูกบางคริสตจักรสอนเน้น จนบางทีสอนผิดสอนถูก จนกลายเป็น

ภาษาแปลกๆฝึกได้
ภาษาแปลกๆต้องทำได้ทุกคน
และภาษาแปลกๆคือเครื่องหมายของคริสตจักร

ซึ่งที่จริงมันไม่ตรงกับที่พระคัมภีร์สอนซะหน่อย

ประเด็นหนึ่งที่ผมเคยเจอโบสถ์สายสุดโต่งเอามาเหมารวมกันคือเหตุการณ์เพนเตคอส และเหตุการณ์การพูดภาษาแปลกๆอื่นๆ

ในเหตุการณ์วันเพนเตคอส

รูปภาพ

กจ 2:1-13 วันเปนเตกอสเต
เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้าทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่น ๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด ขณะนั้นที่กรุงเยรูซาเล็มมีชาวยิวผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้ามาจากทุกชาติทั่วโลก เมื่อประชาชนได้ยินเสียงนี้ จึงมาชุมนุมกันจำนวนมาก รู้สึกฉงนสนเท่ห์เพราะแต่ละคนได้ยินคนเหล่านี้พูดภาษาของตน และประหลาดใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ทุกคนที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ แล้วทำไมเราแต่ละคนจึงได้ยินเขาพูดภาษาท้องถิ่นของเราเล่า เราชาวปาร์เธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม บางคนอาศัยอยู่ในเขตเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย แคว้นฟรีเจียและแคว้นปัมฟีเลีย บางคนมาจากประเทศอียิปต์และเขตของประเทศลิเบีย รอบ ๆ เมืองไซรีน บางคนมาจากกรุงโรม ทั้งชาวยิวและผู้กลับใจเข้านับถือลัทธิยิวบางคนเป็นชาวเกาะครีตและชาวอาหรับ พวกเราได้ยินคนเหล่านี้ประกาศกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นภาษาของเรา” ทุกคนประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร” แต่บางคนหัวเราะเยาะ กล่าวว่า “พวกนี้ดื่มเหล้ามากเกินไป”

---ดังนั้นชี้ชัดนะครับ ว่านี่ไม่ใช่ภาษาแปลกๆ แต่เป็นภาษาอื่นๆ ที่สำคัญมีคนฟังรู้เรื่อง และเป็นภาษาในโลกนี้ ไม่ต้องมีคนที่มีพระพรการแปล คนชาตินั้นๆก็สามารถแปลได้ และดูเหมือนจะพูดกันทุกคนในที่นั้น

นี่คือจุดหนึ่งที่คริสตจักรสายสุดโต่งเอามามั่วรวมกับพระพรภาษาแปลกๆที่ในพระคัมภีร์ระบุชัดว่า ไม่ใช่พูดได้ทุกคน เลยกลายเป็นออกมาว่า

พระพรภาษาแปลกๆนั้นต้องพูดได้ทุกคนใครพูดไม่ได้แปลว่าไม่ได้รับพระวิญญาณ ซึ่งไม่ถูกต้องเลย

เพราะที่จิรงพระพรที่เกิดในวันเพนเตคอส คือพระพรในการพูดภาษาอื่น ไม่ใช่ภาษาแปลกๆ ดังนั้นจึงมีผลดีมากในการเสริมสร้างการประกาศ ต่างกับพระพรภาษาแปลกๆ ที่น.เปาโลพูดชัดเจนว่า ถ้าไม่มีคนแปลได้ ก็ไม่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างอะไรเลยนอกจากตัวคนพูดเอง แถมท่านแยกพระพรนี้ออกจากพระพรการประกาศ โดยสอนว่าพระพรการประกาศยังดีซะกว่า

1คร 12:27
ท่านทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสตเจ้า แต่ละคนต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น (28)พระเจ้าทรงแต่งตั้งบางคนให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ ในพระศาสนจักร คือ หนึ่งให้เป็นอัครสาวก สองให้เป็นประกาศก และสามให้เป็นครูอาจารย์ ต่อจากนั้น คือผู้มีอำนาจทำอัศจรรย์ ผู้รักษาโรค ผู้ช่วยเหลือ ผู้ปกครอง และผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ (29)ทุกคนเป็นอัครสาวกหรือ ทุกคนเป็นประกาศกหรือ ทุกคนเป็นครูอาจารย์หรือ ทุกคนเป็นผู้ทำอัศจรรย์หรือ (30)ทุกคนบำบัดโรคได้หรือ ทุกคนพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจหรือ ทุกคนเป็นผู้ตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นหรือ

---ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการสอนว่า ต้องพูดได้ทั้งคริสตจักร ก็ผิดพระคัมภีร์ข้อนี้ชัดเจน และการฝึกฝนให้พูด ก็เท่ากับเป็นกิจการมนุษย์ ไม่ใช่ผลจากพระวิญญาณ

1คร 14:1-25 พระพรของพระจิตเจ้าสำหรับหมู่คณะ
14 (1)จงแสวงหาความรักเถิด จงปรารถนาพระพรของพระจิตเจ้า โดยเฉพาะพระพรการประกาศพระวาจา (2)คนที่พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่พูดสำหรับมนุษย์เพราะไม่มีผู้ใดเข้าใจ แต่พูดสำหรับพระเจ้า พระจิตเจ้าทรงดลใจเขาให้พูดถึงเรื่องลึกล้ำ (3)ส่วนผู้ประกาศพระวาจานั้นพูดให้มนุษย์ฟัง เพื่อเสริมสร้าง ตักเตือนและให้กำลังใจ (4)ผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเสริมสร้างตนเอง ส่วนผู้ประกาศพระวาจาเสริมสร้างพระศาสนจักร (5)ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกท่านพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจนี้ แต่ความต้องการที่มากกว่านั้นคือให้ท่านทั้งหลายประกาศพระวาจาได้ เพราะผู้ประกาศพระวาจามีความสำคัญมากกว่าผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ เว้นแต่ว่าผู้พูดภาษาดังกล่าวจะอธิบายข้อความที่เขาพูดได้ เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักร (6)พี่น้องทั้งหลาย สมมติว่า ข้าพเจ้ามาพบท่านและพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าคำพูดของข้าพเจ้าไม่เป็นการเปิดเผยความจริง ไม่เป็นการให้ความรู้ ไม่เป็นการประกาศพระวาจา หรือไม่เป็นการสั่งสอนใด ๆ (7)แม้เครื่องดนตรีที่ไร้ชีวิต เช่น ขลุ่ยหรือพิณ ถ้าไม่ออกเสียงต่างกัน จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเสียงขลุ่ยหรือเสียงพิณ (8)ถ้าเสียงแตรรบไม่ชัดเจน ใครเล่าจะเตรียมตัวเข้าสู้รบ (9)ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ถ้าลิ้นของท่านพูดคำไม่ชัดเจน ใครจะรู้ว่าท่านพูดอะไร ท่านก็เหมือนพูดกับลม (10)ในโลกนี้มีภาษาต่าง ๆ หลายภาษา ทุกภาษาต่างต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น (11)ถ้าข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายของเสียง ข้าพเจ้าก็เป็นคนต่างภาษา สำหรับผู้พูดและผู้พูดก็เป็นคนต่างภาษาสำหรับข้าพเจ้า (12)ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ท่านปรารถนาจะได้พระพรของพระจิตเจ้า จงแสวงหาให้ได้รับพระพรอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักรเถิด (13)ดังนั้น ใครพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จงอธิษฐานภาวนาขอพระพรให้อธิบายความหมายของภาษานั้นได้ด้วย (14)ถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จิตของข้าพเจ้ากำลังอธิษฐานภาวนาอยู่ก็จริง แต่สติปัญญาของข้าพเจ้าไม่ได้รับผลอะไรเลย (15)ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาอาศัยจิตและข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาอาศัยสติปัญญาด้วยเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะขับร้องสดุดีอาศัยจิตและจะขับร้องสดุดีอาศัยสติปัญญาด้วย (16)ไม่เช่นนั้น ถ้าท่านขอบพระคุณอาศัยจิตเท่านั้น ผู้ฟังที่ไม่เข้าใจ จะพูด “อาเมน” รับการพูดขอบพระคุณของท่านได้อย่างไร เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด (17)การอธิษฐานขอบพระคุณของท่านดีมาก แต่ผู้อื่นไม่ได้รับประโยชน์แม้แต่น้อย (18)ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจได้มากกว่าท่านทั้งหลาย (19)แต่เมื่ออยู่ในพระศาสนจักรที่กำลังชุมนุมกัน ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะพูดห้าคำที่สติปัญญาเข้าใจเพื่อสอนผู้อื่น ดีกว่าจะพูดหมื่นคำเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ (20)พี่น้องทั้งหลาย อย่าคิดอย่างเด็ก ๆ จงเป็นเหมือนทารกไม่เดียงสาในความชั่ว แต่จงเป็นผู้ใหญ่ในความคิด (21)มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ “พระเจ้าตรัสว่า เราจะพูดกับชนชาตินี้โดยใช้ภาษาอื่น จากปากของคนต่างภาษา แต่พวกเขาจะไม่ยอมฟัง” (22)การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ใช่เครื่องหมายสำหรับผู้มีความเชื่อ ส่วนการประกาศพระวาจาเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้มีความเชื่อ ไม่ใช่เครื่องหมายสำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ (23)สมมติว่า พระศาสนจักรมาชุมนุมกัน และทุกคนพูดเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ และมีบุคคลภายนอกหรือผู้ไม่มีความเชื่อเข้ามาในที่นั้นโดยบังเอิญ เขาคงจะพูดว่าท่านเป็นบ้ามิใช่หรือ (24)แต่สมมติว่าทุกคนประกาศพระวาจา และมีผู้ไม่มีความเชื่อหรือบุคคลภายนอกเข้ามาโดยบังเอิญ พระวาจาที่เขาได้ฟังนั้นจะทำให้เขารู้สึกว่าตนทำผิดและกำลังถูกตัดสิน (25)ความลับในใจของเขาจะถูกเปิดเผย เขาจะซบหน้านมัสการพระเจ้า ประกาศว่า พระเจ้าประทับอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายอย่างแท้จริง

1คร 14:26-40 ระเบียบการใช้พระพรของพระจิตเจ้า
(26)พี่น้องทั้งหลาย จะปฏิบัติอย่างไรดีเล่า เมื่อท่านมาชุมนุมกัน แต่ละคนอาจขับร้องสดุดี หรือสั่งสอน หรือเปิดเผยความจริง หรือพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ หรืออธิบายความหมายของภาษานั้น ท่านจงปฏิบัติทั้งหมดนี้เพื่อเสริมสร้างเถิด (27)ถ้าจะต้องพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจงพูดทีละคน และพูดเพียงสองหรือสามคนเป็นอย่างมาก โดยให้คนหนึ่งอธิบายความหมาย (28)ถ้าไม่มีใครอธิบายความหมายได้ ผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจงอย่าพูดในที่ชุมนุม จงพูดกับตนเองและกับพระเจ้า (29)ให้ผู้ประกาศพระวาจาสองหรือสามคนเท่านั้นพูด ขณะที่คนอื่นพิจารณาตัดสิน (30)แต่ถ้าคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ได้รับการเปิดเผยความจริงบางประการจากพระเจ้า ก็ให้ผู้พูดคนแรกหยุดพูด (31)ท่านทุกคนประกาศพระวาจาได้ แต่จงพูดทีละคน เพื่อทุกคนจะได้เรียนรู้และทุกคนจะได้รับกำลังใจ (32)ผู้ประกาศพระวาจาต้องควบคุมการใช้พระพรของตน (33)เพราะพระเจ้ามิทรงปรารถนาความวุ่นวาย แต่ทรงปรารถนาสันติ ตามธรรมเนียมปฏิบัติในพระศาสนจักรทุกแห่ง (34)ให้บรรดาสตรีอยู่เงียบ ๆ ในที่ชุมนุม เพราะพวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ต้องอ่อนน้อมเชื่อฟังตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ (35)ถ้าพวกเธอต้องการคำอธิบาย ก็ให้ถามสามีขณะอยู่ที่บ้าน เพราะเป็นการไม่เหมาะสมที่สตรีจะพูดในที่ชุมนุม (36)[size=20pt]พระวาจาของพระเจ้ามาจากท่านหรือ พระวาจามาถึงท่านเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นหรือ [/size] (37)ถ้าใครคิดว่าตนเป็นประกาศก หรือได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า ก็ขอให้เขารับรู้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า (38)[size=15pt]ถ้าผู้ใดไม่ย่อมรับรู้ พระเจ้าก็ไม่ทรงรับรู้เขาด้วย [/size](39)พี่น้องทั้งหลาย จงปรารถนาที่จะประกาศพระวาจา อย่าห้ามการพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ (40)และจงทำเช่นนี้อย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ


[hr]

รูปภาพ

สรุปจากพระคัมภีร์

1.ไม่ใช่ทุกคนต้องมีพระพรครบทุกอย่าง
2.ไม่ใช่ทั้งโบสถ์ต้องมีพระพรเดียวกันหมด เช่น พูดภาษาแปลกๆได้ทั้งโบสถ์
2.ไม่สนับสนุนให้มีการพูดภาษาแปลกๆ ถ้าแปลไม่ได้
3.ไม่สนับสนุนให้พูดภาษาแปลกๆเยอะๆทีละหลายๆคน แบบแย่งกันพูด
4.ไม่สนับสนุนให้พูดภาษาแปลกๆต่อหน้าผู้ที่ยังไม่ไดรับเชื่อ
5.อวัยวะต่างๆกันในศีรษะเดียวคือพระเยซูเจ้า ต้องไม่ด่าทอกันเอง
6.พระวาจามาถึงได้หลายคริสตจักร การอ้างว่ามีคริสตจักรตัวเองกลุ่มเดียวที่มีพระเจ้ามานั้น เป็นการบังอาจลดพระเกียรติพระเจ้า และโอ้อวดเกินพระคัมภีร์
8.หากไม่ปฏิบัติตามพระคัมภีร์ตรงนี้ ทำเป็นอ่านไม่เจอ หรืออ่านเจอแล้วไม่รับรู้ไปปฏิบัติ เกรงว่าพระเจ้าจะไม่รับรองคริสตจักร และไม่รับรู้พวกเขาตามที่พระคัมภีร์เขียนเตือนไว้


ดังนั้นการพูดภาษาแปลกๆที่กล่าวถึงในที่นี้ และนิยมพูดกันในบางคริสตจักรคือภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจซึ่ง จะพูดได้แค่บางคน และ ไม่ควรพูดในที่สาธารณะหากไม่มีใครมีพระพรการแปล ซึ่งคนละเรื่องกับพระพรในวันเพนเตคอส ซึ่งเป็น ภาษาต่างชาติ แต่ มีคนเข้าใจ และ ไม่ต้องอาศัยพระพรการแปล และ ไม่ห้ามที่จะทำในที่สาธารณะ

ดังนั้นหากมีการสอนเอา2อันนี้ไปปนกัน ถ้าไม่ใช่เจตนาบิดเบือน ก็แปลว่าบกพร่องโดยสุจริต คือ สับสน ไม่เข้าใจพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งถูกต้องเพียงพอ

ผมจะยกเหตุการณ์บางเหตุการณ์ของ พระพรการพูดภาษาอื่นๆ อันเป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าในวันเพนเตคอส ซึ่งเกิดในพระศาสนจักรคาทอลิค ซึ่งไม่ใช่การพูดภาษาแปลกๆ

อันหนึ่งที่ค่อนข้างโด่งดังคือกรณีของนักบุญคุณพ่อปีโอ ซึ่งมีพระพรในการสารภาพบาป ปรกติท่านพูดได้แต่ภาษาอิตาลี และไม่รับฟังแก้บาปคนชาติอื่น แต่มีคนต่างชาติหลายคนที่เชื่อในความศักดิ์สิทธ์ของท่านว่ามาจากพระเจ้าจริง อยากให้ท่านเป็นคนฟังสารภาพบาป ดังต่อไปนี้

[hr]

โดยปรกติ เฉพาะผู้ที่ใช้ภาษาอิตาเลียนได้คล่องแคล่วเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้แก้บาปกับคุณพ่อปีโอ แม้จะเป็นที่รู้จักทั่วไปว่าคุณพ่อปีโอมี “พระพรด้านภาษา” สามารถเข้าใจสิ่งที่ชาวอเมริกันและรัสเซียซึ่งไม่พูดภาษาอิตาเลียนสื่อสารได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ บางครั้งจึงมีชาวอเมริกันและรัสเซียมาแก้บาปกับคุณพ่อปีโอด้วย

ปลายปี ค.ศ. ๑๙๒๐ มารีอา ไพล์ ได้รบเร้า เซเน ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ให้มาแก้บาปกับคุณพ่อปีโอ ครั้งแรกเธอไม่ยินยอมเพราะเกรงว่าจะสื่อความหมายไม่เข้าใจเธอแสดงความรู้สึกหลังจากได้แก้บาปกับคุณพ่อปีโอว่า “ดิฉันพูดภาษาอังกฤษและคุณพ่อพูดภาษาอิตาเลียน แต่เราต่างเข้าใจกันและกันได้ดี ดิฉันเดินออกจากห้องฟังแก้บาปด้วยความงงงวย” บางครั้งคุณพ่อปีโอยังพูดภาษาบางภาษาเป็นวลี ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนภาษานั้น ดังเช่นที่ได้ฟังแก้บาปพระสงฆ์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งใช้ภาละติน

อย่างไรก็ตามคุณพ่อปีโอมักจะฟังแก้บาปเฉพาะผู้ที่ใช้ภาษาอิตาเลียน หากมีผู้ที่ใช้ภาษาละตินมาขอแก้บาปคุณพ่อจะขอให้พวกเขาไปแก้บาปกับพระสงฆ์ผู้มีการศึกษาสูงกว่าตน

แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้าเป็นความตั้งใจจริงที่จะสารภาพบาป และเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า คุณพ่อปีโอก็ยินดีจะฟังแก้บาป อเดลเลียเด ไพล์ เป็นคริสตศาสนิกชนที่ไม่ใช่คาทอลิก เมื่ออเดลเลียเดได้เปรยกับลูกสาวว่า “แม่อยากจะคุกเข่าในที่ฟังแก้บาปเพื่อสารภาพความผิดจัง! แต่แม่พูดภาษาอิตาเลียนไม่เป็น!” เมื่อมารีอา ไพล์ ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อปีโอฟังคุณพ่ออุทานว่า “หากเธอประสงค์จะแก้บาป ภาษาไม่เป็นปัญหาพ่อช่วยดูแลเรื่องนี้ได้!”

อ่านแบบเต็มได้ที่นี่ครับ
http://www.newmana.com/Person/padre_pio01.htm

[hr]

อีกตัวอย่าง แม่พระประจักษ์ที่ระวันดา พระแม่มาในพระนาม มารดาแห่งพระวจนาถ(พระวจนะ=พระจิต)

ในฐานะมารดาแห่งพระจิตเจ้า แม่พระเคยอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังนางเอลิซาเบธอย่างเต็มเปี่ยม! ด้วยคำทักเพียงคำเดียวมาแล้ว และเมื่อแม่พระมาประจักษ์ที่ระวันดานี้ ผู้รับการประจักษ์ ก็ได้รับพระพรเหมือนวันเพนเตคอส คือสามารถพูดภาษาอื่นๆได้ทั้งที่เธอไม่เคยเรียน

[hr]

Alphonsine Mumureke เกิดเมื่อ 1965. มาจากครอบครัวคาทอลิกที่ยากจน . ตามหนังสือไดอารี่ของเธอ เธอเห็นแม่พระครั้งแรกเมื่อ 28 พฤศจิกายน 1981 :

"ฉัน กำลังอยู่ในโรงอาหารของโรงเรียน ก็ได้ยินเสียงมาจากข้างหลัง : 'ลูกสาวของแม่!'

ฉันก็ตอบว่า: 'ลูกอยู่นี่... ท่านเป็นใครคะ?'

'ฉันเป็นมารดาขององค์พระวจนาตถ์ '

แม่พระสวยงามจนสุดบรรยายได้ พระนางยืนเท้าเปล่า สวมเสื้อคลุมยาวไม่มีสายรัดและผ้าคลุมศีรษะสีขาว .

ในระหว่างการเข้าญาณนี้ (ตามที่เพื่อนร่วมชั้นของฉันบอก) - ฉันพูดภาษาอื่นที่พวกเขาไม่รู้จักเช่น : ฝรั่งเศส , อังกฤษ , และภาษาท้องถิ่นที่ฉันพูดอยู่คือ kinyarwanda และอื่นๆ.


อ่านเรื่องเต็มๆได้ที่นี่
http://www.newmana.com/Mother/rwanda01.htm

--------------------------------------------------------

ดังนั้น ขอให้เรามีความรู้ที่ถูกต้องนะครับว่า พระพรการพูดภาษาอื่นๆในวันเพนเตคอส เป็นคนละพระพร กับการพูดภาษาแปลกๆที่ไม่มีใครเข้าใจ ที่นักบุญเปาโลจัดระเบียบไว้ในจดหมายถึงชาวโครินธร์(แต่บางคริสตจักรไม่ทำตามระเบียบที่ว่า)

ที่สำคัญพระพรเหล่านี้เป้นพระพรพิเศษที่มาจากพระจิตเจ้า(หรือพระวิญญาณ)ไม่ใช่มาจากการฝึกฝนตามประสามนุษย์ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:33 pm

ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ แน่นจิงๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:37 pm

เอาเรื่องรูปพระในพระศาสนจักรคาทอลิคนะครับ

รูปภาพ

ความจริงเรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจร่วมกันในสิ่งที่เราเรียกว่า

บัญญัติ10ประการ

กันก่อน

ว่าที่จริงแล้ว มันไม่ได้บอกว่ามี10ข้อ และไม่ได้บอกด้วยว่ามันชื่อบัญญัติ10ประการ แต่เรามาแบ่งกันทีหลังเอง ที่จริงพระบัญญัติประทานมาเป็นข้อความยาวเหยียด มีทั้งส่วนสำคัญและส่วนขยาย ดังนี้

มาดูบทพระคัมภีร์บทดังกล่าวกัน

เฉลยธรรมบัญญัติ5:5

ครั้งนั้นข้าพเจ้ายืนอยู่ระหว่างพระเจ้ากับท่านทั้งหลาย เพื่อจะประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย เพราะท่านทั้งหลายกลัวเพลิง จึงมิได้ขึ้นไปบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า
6“ 'เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ออกจากแดนทาส
7“ 'อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากเรา
8“ 'อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน
9อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่า นั้นด้วยเราคือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าหวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เรากระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุ
10แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเราและปฏิบัติ ตามบัญญัติของเรากระทั่งพันชั่ว อายุ
11“ 'อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า อย่างไม่สมควร ด้วยผู้ที่กล่าวพระนามของพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษหามิได้
12“ 'จงถือวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชา ไว้แก่เจ้า
13จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน
14แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโต(แปลว่า หยุด หยุดพัก (งาน)) แห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำงานสิ่ง ใดๆ คือเจ้าเอง หรือบุตราบุตรีของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือโคของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้ใดๆของเจ้า หรือแขกที่อยู่ในเมืองของเจ้า เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า
15จงระลึกว่าเจ้าเคยเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้พาเจ้าออกมาจากที่นั่น ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และด้วยพระกรที่เหยียดออก เหตุฉะนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้ทรงบัญชาให้เจ้ารักษาวันสะบาโต
16“ 'จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของ เจ้า ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนาน และเจ้าจะไปดีมาดีในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของเจ้าประทานให้แก่เจ้า
17“ 'อย่าฆ่าคน
18“ 'อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
19“ 'อย่าลัก ทรัพย์
20“ 'อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
21“ 'อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน และอย่าอยากได้บ้านของเพื่อนคือไร่นา ทาส ทาสี วัว ลา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน'

22“พระวจนะเหล่านี้พระเจ้า ได้ตรัสแก่ชุมนุมชนทั้งปวงของท่านที่ภูเขา ออกมาจากท่ามกลางเพลิงเมฆ และความมืดคลุ้มหนาทึบ ด้วยพระสุรเสียงอันดัง และมิได้ทรงเพิ่มเติมสิ่งใดอีก

[hr]
ส่วนที่ทำสีไว้ คือส่วนของบัญญัติทั้งหมด ซึ่งเอาเข้าจริง จะเรียกว่าบัญญัติหลายสิบประการเลยก็ได้นะครับ




ทีนี้เรามาดูบัญญัติแต่ละส่วน ผมขอเน้นส่วนของพระเจ้า ซึ่งแยกได้3คอนเซปหลักๆคือ

1-เรื่องการนับถือพระเจ้าองค์เดียวตั้งแต่ข้อ7-10
2-เรื่องการระวังการออกพระนามพระเจ้าในข้อ11
3-เรื่องถือวันสะบาโตตั้งแต่ข้อ12-15

ผมขออ้างอิงกรณีวันสะบาโตก่อน เพราะเราคงจำได้ว่าพะรเยซูเจ้าพิพาทกับฟาริสีเรื่องนี้โดดเด่นหลายหนที่สุด เราจำได้ไหมครับว่าฟาริสีถืออเคร่งมากว่า ห้ามทำอะไรเลยที่จัดว่าเป็นงานในวันสะบาโตโดยเน้นอ้างที่ข้อ13-14 แต่หัวข้อของประเด็นนี้อยู่ที่ข้อ12 คือ"'จงถือวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์" ทีนี้ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ยังไง ก็ด้วยตามที่บอกไว้ในข้อ13-14ว่าห้ามทำงานโน่นนี่ ส่วนข้อ15เป็นการบอกเหตุผลว่าทำไมควรถือวันนี้

นี่คือโครงสร้างของบทบัญญัติข้อนี้นะครับ คือมีหัวข้อ มีการอธิบายวิธีการ และมีเหตุผล

แต่ฟาริสีเน้นการปฎิบัติตามตัวอักษรจนเขาลืมเหตุผลแท้จริงว่าพระเจ้ากำหนดวันนี้ทำไม ซึ่งเราตอบได้เลยว่า

ไม่ใช่ว่าพระเจ้าต้องการให้ว่างงานวันนั้น แต่ที่จริงต้องการให้เราสละ1วันไปนมัสการพระเจ้าในวิหารหรือศาลาธรรม เจตนาที่ห้ามทำงานเพื่อให้ว่าง ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่อยากเห็นใครทำงาน ที่ขนาดแบกแคร่กลับบ้าน หรือรักษาคน ไล่ผีวันนั้นก็ไม่ได้

พระเยซูเจ้าที่น่ารักตอบพวกนั้นชัดเจน2เรื่องคือ 1วันสะบาโตควรทำดีหรือทำชั่ว และ2พระบิดาทำงานทุกวันแหละ (ไม่งั้นพืชคงไม่งอกวันสะบาโต ดวงอาทิตย์คงงดฉายแสงวันนั้น และฝนคงไม่ตกวันนั้นจริงไม๊)

นี่คือสาระสำคัญของบทบัญญัติข้อนี้ และนี่คือวิธีที่พระเยซูสอนให้เราตีความพระคัมภีร์ นั่นคือ ที่จริงพระเจ้าต้องการอะไรกันแน่ ไม่ใช่แค่ทำตามตัวอักษรแล้วพระเจ้าจะพอพระทัย

จำคำพูดของพระองค์ได้ไม๊ที่ว่า (ลก 13:15)องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า ‘เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า พาไปกินน้ำในวันสับบาโตดอกหรือ หญิงผู้นี้เป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึ่งซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว ไม่สมควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ’

เห็นไม๊ครับ ว่าพระเยซูตีความพระคัมภีร์ด้วยเหตุผลของความรัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:37 pm

เรากลับมาดูข้อแรก อันเป็นข้อที่พิพาทกันระหว่างนิกายเสมอมา

7“ 'อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากเรา
8“ 'อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน
9อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่า นั้นด้วยเราคือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าหวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เรากระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุ
10แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเราและปฏิบัติ ตามบัญญัติของเรากระทั่งพันชั่ว อายุ


เห็นไม๊ครับว่า โครงสร้างข้อนี้คือ

1-มีพระเจ้าสูงสุดแต่ผู้เดียวในข้อ7
2-โดยอย่านมัสการรูปเคารพในข้อ8-9
3-เพราะเหตุผลคือพระเจ้าหวงแหนเราไม่อยากให้เราไปนมัสการพระอื่นเป็นพระเจ้าในข้อ9 และยังพ่วงบทลงโทษและอวยพรไว้ในข้อ9-10

---ดังนั้นหลักใหญ่ใจความไม่ใช่เรื่องการมีรูปหรือไม่มีรูป แต่เป็นเรื่องการนมัสการพระเจ้าสูงสุดแต่ผุ้เดียว

---เราคงจำได้ว่าหินบัญญัติแผ่นแรกถูกทุ่มแตกตั้งแต่ตอนโมเสสเห็นอิสราเอลนมัสการรูปวัวทอง ดังนั้น แน่ใจได้เลยว่าการห้ามทำรูปเคารพในที่นี้ พระเจ้าหมายถึงรูปเคารพในศาสนาอื่นหรือรูปเคารพของพระเจ้าที่ไม่มีจริงเช่นในกรณีวัวทองคำนั้น และหมายถึงรูปที่เอามานมัสการเทียบเท่าพระเจ้า เหมือนในศาสนาโบราณสมัยก่อนที่มีการบูชายัญต่อเทวรูปไม่ได้หมายถึงรูปของพระองค์หรือเหล่าช่าวสวรรค์เลย เพราะพระเจ้าเองทรงสั่งให้สร้างหีบพันธสัญญาที่มีรูปเครูป(เทวดาชั้นหนึ่งในสวรรค์)กางปีกอย่างชัดเจน

Exodus 25:18
พระโอวาทที่เราจะให้แก่เจ้าจงเก็บไว้ในหีบนั้น แล้วจงทำพระที่นั่งกรุณา(หรือ ฝา (หีบ)) ด้วยทองคำบริสุทธิ์ยาวสองศอกคืบ กว้างศอกคืบ จงทำเครูบทองคำสองรูป โดยใช้ฝีค้อนทำตั้งไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง ทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป ทำเครูบนั้น และให้ตอนปลายทั้งสองข้างติดเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา ให้เครูบกางปีกออกไว้เบื้องบนปกพระที่นั่งกรุณา ไว้ด้วยปีก และให้หันหน้าเข้าหากัน ให้เครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา แล้วจงตั้งพระที่นั่งกรุณานั้นไว้บนหีบ จงบรรจุพระโอวาทซึ่งเราจะให้ไว้แก่เจ้าไว้ในหีบนั้น ณ ที่นั้น เราจะอยู่ให้เจ้าเข้าเฝ้า และจะสนทนากับเจ้า จากเหนือพระที่นั่งกรุณาระหว่างกลางเครูบ ซึ่งตั้งอยู่บน หีบพระโอวาท เราจะสนทนากับเจ้าทุกเรื่อง

รูปภาพ

---นั่นชัดเจนว่า ทั้งโมเสส อาโรน รวมทั้งอิสราเอลทั้งหมด ก็ต้องก้มหน้านมัสการไปที่หีบที่มีรูปปั้นเทวดาทำด้วยทอง

แล้วถามว่า มันต่างกับวัวทองตรงไหน ต่างกันก็ตรงที่

1.การนมัสการวัวทองนั้นชัดแจ้งว่า นมัสการพระเท็จเทียม เป็นพระเจ้าอื่นที่สร้างขึ้นเอง จิตนาการขึ้นเองไม่มีจริง แล้วยกขึ้นแทนที่พระเจ้า
2.แต่การนมัสการพระเจ้าในจุดที่มีรูปปั้นเครูปนั้น แม้จะมีรูปปั้นเครูปกางปีกทนโท่เราก็รู้อยู่ดีวว่าเรากำลังคุยกับใคร และพระเจ้าของเราคือใคร พระเจ้าคือพระจิตที่ลงมาตรงจุดนั้นไม่ใช่ตัวรูปปั้นหรือตัวหีบนั้น เรารู้ดีว่าเครูบคือชาวสวรรค์ที่รับใช้พระเจ้า

รูปภาพ
(อิสราเอลเดินแห่หีบ แถมถวายกำยานให้ด้วย ทั้งที่หีบ เครูบ หรือแผ่นบัญญัติ โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่พระเจ้าซะหน่อย)

---ดังนั้น แปลง่ายๆว่า ถ้าเราไหว้กางเขน หรือไหว้ไปทางรูปพระเยซู เราไม่ได้ไหว้วัสดุนั้น เรารู้ตัวว่าเราไหว้พระเยซูเจ้าผู้มีตัวตนจริงและเป็นพระเจ้า เหล่าเทวดานักบุญก็เช่นกัน ต่อให้เรายกมือไหว้รูปพวกท่าน ถามว่า"เราคิดว่าท่านเป็นพระเจ้าหรือเปล่า" ถ้าเรารู้แก่ใจว่าเราไหว้ท่านในฐานะไหนแล้วมันจะเป็นการผิดบัญญัติข้อ1นี้ได้ยังไง

ในเมื่อมันชัดเจนในเหตุผลว่า ที่พระเจ้าห้ามในสมัยนั้นเพราะไม่อยากให้เราไหว้พระเท็จเทียม(ซึ่งในสมัยนั้นคือลัทธิบูชาเทวรูปต่างๆที่สร้างจินตนาการเป็นเทวนิยายเอาเองไม่มีจริง) เพราะพระองค์หวงแหนเรา ไม่ใช่เพราะพระองค์เกลียดงานศิลปะ จิตกรรม และปะติมากรรม

ดังนั้นการสร้างเทวรูปบูชาสมัยโบราณ คมันคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง กับการวาดรูปไอคอนในออโธอดอค หรือการมีรูปศักดิ์สิทธิ์ในคาทอลิค

ดังนั้น ถ้าต้องการเส้นแบ่งที่"รูปแบบการกระทำ" คุณจะหลงทางทันทีเหมือนกรณีไม่ทำงานอะไรเลยในวันสะบาโตในสมัยพระเยซู

แต่การแยกแยะนั้นอยู่ที่ว่า

-คนที่ไหว้นั้นรู้หรือไม่ว่ารูปเป็นเพียงรูป และตัวจริงท่านเหล่านั้นอยู่ในสวรรค์แล้ว
-คนที่ไหว้นั้นรู้หรือไม่ว่าท่านเหล่านั้นอธิษฐานวอนขอพระเจ้าให้เราไม่ได้เป็นความขลังของรูปที่ส่งอำนาจออกมา แต่สิ่งที่ได้มาจากพระเจ้า ที่สดับฟังการอธิษฐานเผื่อเราของท่าน


ถ้าเขารู้สิ่งเหล่านี้ ต่อให้ถวายช่อดอกไม้แก่รูปพระ ก็ไม่ต่างอะไรกับการวางพวงมาลาตามอนุสาวรีย์วีรบุรุษ หรือการวางดอกไม้บนหลุมศพ ที่เราก็รู้อยู่แล้วว่าคนตายไม่ดม และนั่นเป็นเพียงศพไม่ใช่ว่าวิญญาณจะอยู่ตรงนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความรักและความเคารพที่มองเห็นได้ เราแยกแยะได้ว่านี่ไม่ใช่การนมัสการพระเจ้า แต่พอเราทำสิ่งเดียวกันกับวีรบุรุษและวีรสตรีทางศาสนาเราเอง เรากลับแยกแยะไม่ออกขึ้นมา มองว่าเป็นการนมัสการรูปเคารพได้อย่างไร

ดังนั้นถ้าเขาจะยกมือไหว้รูปนักบุญ ในฐานะที่ท่านเป็นบรรพบุรุษทางความเชื่อของเรา ที่เรายกย่อง เป็นวีรบุรุษวีรสตรีทางศาสนาของเรา สมมุติว่าท่านมีชีวิตอยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ ถามตัวเองว่าเราจะแสดงความเคารพท่านไหม แล้วมันเป็นการนมัสการพระเจ้าอื่นตรงไหน ถึงพูดว่า "เหมือนการนมัสการรูปเคารพ" นั่นอาจแปลว่าคนทำแยกแยะได้ว่าไหว้คนนี้ในฐานะไหน แต่คนที่มายืนมองกลับแยกแยะไม่ออก

ดังนั้น เราจงเข้าใจบทบัญญัติข้อนี้เหมือนกรณีบทบัญญัติวันสะบาโต

ว่าพระเจ้าตั้งมันขึ้นมาเหตุผลคืออะไร เพื่อให้เรานมัสการพระเจ้าแต่ผู้เดียว เพราะพระเจ้าหวงแหนเราใช่หรือไม่

ในกาลเวลาสมัยนั้นไม่เคยมีใครเห็นพระเจ้า เชื่อกันว่าใครมองพระเจ้าจะต้องตาย

ปฐก32-30
ยาโคบจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เปนีเอล(แปลว่า พระพักตร์พระเจ้า) กล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระพักตร์พระเจ้า แล้วยังมีชีวิตอยู่”


อพยพ 3:6:
แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” โมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า


---ดังนั้นการปั้นรูปหรือวาดรูปพระเจ้าจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครเคยเห็นพระองค์

แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมาทรงกลายเป็นพระเจ้าที่มองเห็นได้

ยน 14:7
ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย
บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา และเห็นพระองค์แล้ว
ฟิลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่า
นี้ก็พอแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า ”ฟิลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ”
ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า “โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด”

รูปภาพ

---ดังนั้นพระเยซูเจ้าทำลายกำแพงที่กั้นเราให้เหินห่างจากพระเจ้าทั้งหมดไป และนี่คือทำไมชาวยิวจึงรับไม่ได้ เพราะเขาคิดว่ามันขัดกับพระธรรมเก่าว่าพระเจ้าต้องมองไม่เห็น มาเกิดเป็นลูกมนุษย์ก็ไม่ได้ ดังนั้นในสมัยก่อนเราไม่มีทางทำรูปหรือปั้นรูปของพระเจ้า แต่สมัยนี้เราวาดรูป และปั้นรูปของพระเยซูได้ และเราทำรูปผู้รับใช้ของพระองค์เหมือนสมัยก่อนที่ทำรูปพระเจ้าไม่ได้แต่ก็ยังทำรูปเทวดาเครูบได้

ดังนั้นคำว่าห้ามทำงานในบัญญัติเรื่องสะบาโต กลับถูกอธิบายโดยพระเยซูว่าทำความดีในวันนั้นไม่ได้ผิดบทบัญญัติข้อว่าจงรักษาวันสะบาดตให้บริสุทธิ์ เช่นกันการมีพระรูปศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในพระศาสนจักรรวมถึงการแสดงออกถึงความรักและการให้เกียรติโดยอาศัยรูปเป็นสื่อก็เป้นการกระทำเพื่อให้คนเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น ไม่ใช่ห่างเหินพระเจ้าออกไป ก็ไม่ได้ผิดบทบัญญติที่ว่าจงนมัสการพระเจ้าผู้เดียวของเจ้า แต่อย่างใดเลย

การสร้างรูปพระเทียมเท็จไว้นมัสการทำให้เราห่างออกจากพระเจ้า ซึ่งตรงข้ามกับการมีรูปเทวดานักบุญ แม่พระ พระเยซู ซึ่งมีแต่จะทำให้ชาวบ้านทั้งหลายได้ใกล้ชิดและเข้าถึงพระเจ้าได้ง่ายขึ้น เหมือนการรักษาโรคหรือไล่ผีของพระเยซูในวันสะบาโต ที่ไม่ใช่ทำให้ห่างเหินพระเจ้า เหมือนการทำงานหาเงินเพลินจนลืมไปนมัสการ แต่ตรงข้ามเป็นสิ่งที่แสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ที่พระเจ้าพอพระทัยมากและกลับกลายเป็นการนำพระวาจาที่สอนในวันนั้นไปปฎิบัติ ยอดเยี่ยมกว่าฟังและนมัสการเสร็จแล้วกลับไปนอนที่บ้านเพื่อรักษวันสะบาโตซะอีก

ถึงตรงนี้แล้วเชื่อว่าคงเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนะครับ

แล้วเชื่อว่าพระจิตเจ้า จะทำให้เราได้เข้าใจทุกอย่างตามที่พระเจ้าทรงต้องการ

ขอพระนามพระเจ้าได้รับการสรรเสริญ

อาแมน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:38 pm

รูปปั้นทองอีกรูปที่พระเจ้าสั่งให้ทำ

กันดารวิถี27-4
เขาทั้งหลายออกเดินจากภูเขาโฮร์ตามทางที่ไปทะเลแดง เพื่อจะอ้อมแผ่นดินเอโดม ประชาชนท้อถอยเพราะเหตุหนทาง และประชาชนก็บ่นว่าพระเจ้าและว่าโมเสสว่า “ทำไมพาเราออกจากอียิปต์มาตายในถิ่นทุรกันดาร เพราะไม่มีอาหารและไม่มีน้ำ เราเบื่ออาหารอันไร้ค่านี้” และพระเจ้าก็ทรงให้งูแมวเซามาในหมู่ประชาชน งูก็กัดประชาชน และคนอิสราเอลตายมาก และประชาชนมาหาโมเสสกล่าวว่า “เราทั้งหลายได้กระทำบาปเพราะเราทั้งหลายได้บ่น ว่าพระเจ้าและบ่นว่าท่าน ขอทูลแด่พระเจ้าขอพระองค์ทรงนำงูไปจากเราเสีย” ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานเพื่อประชาชน และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูแมวเซาตัวหนึ่งติดไว้ที่เสา ทุกคนที่ถูกงูกัด เมื่อเขามองดู เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้” ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่ง และติดไว้ที่เสา แล้วถ้างูกัดคนใด ถ้าเขามองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็มีชีวิตอยู่ได้

รูปภาพ

แปลกนะครับ ทำไมต้องให้ทำรูปงูทองติดเสาด้วย แถมสั่งด้วยว่าต้องอาศัยรูปนี้ถึงจะหาย ต้องเข้ามาพึ่งพาหารูปนี้กันทำไมพระเจ้าเสกให้หายเองเลยไม่ได้หรืออย่างไร สิ่งนี้คืออะไรกันแน่ ทำไมพระเจ้าจึงต้องสั่งให้มนุษย์ปั้นรูปสัตว์ทองนี้ขึ้นมาด้วย แล้วมันต่างกับรูปวัวทองคำตรงไหน ก็ต่างแน่ๆตรงที่ว่า

รูปวัวทองน่ะถูกเอามานมัสการเป็นพระเจ้า แทนที่พระยะโฮวาห์ รูปนี้ทำให้อิสราเอลหันออกจากพระเจ้า และลืมพระองค์ ไปหลงกับพระเทียมเท็จที่ไม่มีจริง

แต่รูปงูนี้เป็นสื่อและเป็นสิ่งที่พระยะโฮวาห์สั่งให้ทำ เป็นสิ่งที่มาจากพระองค์เองเหมือนกรณีเครูปมีปีก สิ่งเหล่านี้มีขึ้นมาคนที่เห็นก็ยังคงสื่อถึงพระองค์เอง คนรู้ว่ารูปปั้นนี่เป็นของพระองค์ ไม่ใช่พระศาสนาอื่นหรือพระที่ไม่มีจริง ดังนั้น ต่อให้มีรูปเหล่านี้ ประชาชนอิสราเอลก็ไม่ได้หันเหออกจากพระองค์ตรงข้ามยิ่งสำนึกถึงพระองค์ทุกครั้งที่เห็น


กรณีนี้พระเยซูเจ้าเองยังบอกว่า เป็นภาพที่สะท้อนตัวพระองค์เองเลยด้วยซ้ำ

ยน 3:14
โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร


รูปภาพ

ดังนั้นรูปที่ปั้นขึ้นเพื่อสื่อถึงพระเยซูเอง หรือพระเจ้าเอง แม้จะไม่ใช่รูปพระองค์ตรงๆ เป็นสัญลักษณ์(ที่อาจเป็นสัตว์ด้วยซ้ำ) หรือเป็นรูปผู้รับใช้ของพระองค์(จะนักบุญหรือทูตสวรรค์) ถ้าสื่อไปถึงพระบิดาเจ้าสวรรค์ได้ ก็ย่อมเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิงกับกรณีนมัสการรูปเคารพ ที่เล็งถึงพระเทียมเท็จในสมัยโบราณ ที่สื่อไปถึงพระที่ไม่มีจริง และทำให้คนหันเหและลืมพระเจ้าเที่ยงแท้

ขอพระนามของพระบิดาเจ้าทรงได้รับการสรรเสริญ

อาแมน



++++++++++++++++++++++++++++

หลายครั้งเราสับสนเหลือเกิน ระหว่างการแสดงความเคารพ กับการนมัสการ

มาดูกรณียาโคบกราบขอโทษพี่ชายตัวเอง

ปฐก33-1
ยาโคบเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นเอซาว กำลังมาพร้อมกับพวกสี่ร้อยคน ยาโคบจึงแบ่งเด็กๆให้นางเลอาห์ นางราเชลและสาวใช้ทั้งสอง เขาให้สาวใช้กับลูกอยู่ข้างหน้า ถัดมาเลอาห์กับลูก ส่วนราเชลกับโยเซฟอยู่ท้ายสุด ตัวเขาเองเดินออกหน้าไปก่อน กราบลงถึงดินเจ็ดหน จนเข้ามาใกล้พี่ชายของเขา
แต่เอซาววิ่งออกไปต้อนรับ กอดและซบหน้าลงที่คอจูบเขา ต่างก็ร้องไห้ เมื่อเอซาวเงยหน้าขึ้นแลเห็นพวกผู้หญิงกับลูกๆ จึงถามว่า “คนที่อยู่กับเจ้านี้คือใคร” ยาโคบตอบว่า “คือลูกๆ ที่พระเจ้าโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน” แล้วสาวใช้ทั้งสองคนกับลูกๆ ก็เข้ามาใกล้และกราบลง เลอาห์กับลูกของเขาก็เข้ามาใกล้และกราบลงด้วย ที่สุดโยเซฟและราเชลก็เข้ามาใกล้และกราบลง

---กราบกันสนั่นทั้งครองครัว แปลกมากนะครับ ปรกติกราบลงถึงดินน่าจะใช้กับพระเจ้าคนเดียว แต่นี่กราบพี่ตัวเองไม่ใช่พระเจ้าซะหน่อย

เรามาดูโลทกันบ้าง

ปฐก19-1
ฝ่ายทูตสวรรค์สององค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไป ต้อนรับและกราบลงถึงดิน กล่าวว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ขอท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านค้างสักคืนหนึ่ง ล้างเท้าของท่าน แล้วค่อยลุกขึ้นแต่เช้าเดินทางต่อไป

---กราบแล้วยังปรนนิบัติด้วย

ยังไม่จบครับลองดูท่าทีของโยชูวาต่อทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมา

โยชูวา 5:13
เมื่อโยชูวาอยู่ข้างเมืองเยรีโคท่านก็เงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายคนหนึ่งชักดาบออกมาถือยืนอยู่ตรงหน้าท่าน โยชูวาเข้าไปหาชายนั้น กล่าวแก่เขาว่า “ท่านอยู่ฝ่ายเราหรืออยู่ฝ่ายศัตรู” ผู้นั้นจึงตอบว่า “มิใช่ ที่เรามานี้ก็มาเป็นจอมพลโยธาของพระเจ้า” ฝ่ายโยชูวาก็กราบลงถึงดินนมัสการแล้วถามว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าท่านจะให้ผู้รับใช้ของท่านกระทำอะไร” และจอมพลโยธาของพระเจ้าจึงสั่งโยชูวาว่า “จงถอดรองเท้าออกจากเท้าของเจ้าเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” โยชูวาก็กระทำตาม

---อันนี้เป็นHeaven Knightนะครับ ไม่ใช่พระเจ้าเอง เป็นทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมาช่วย ดังนั้นถ้าเขากราบทูตสวรรค์เป็นการขอบคุณที่ท่านมาช่วยแม้จะรู้ว่าพระเจ้าต่างหากที่สั่งท่านมา ถามง่ายๆถ้ากษัตริย์สั่งนายพลท่านหนึ่งมาช่วยชาวบ้าน เราจะไม่กราบขอบพระคุณท่านนายพลเลยเหรอ แม้ท่านจะแค่ทำตามคำสั่งก็เถอะ ถามว่านี่คือการนมัสการพระเจ้าอื่นหรือเปล่า การกราบทูตสวรรค์ของพระเจ้าคือการนมัสการพระเทียมเท็จหรือเปล่า

นักบุญเปาโลบอกเราชัดว่าชาวสวรรค์เขามีศักดิ์ศรีเหนือกว่ามนุษย์เราอยู่แล้ว

ฮบ 2:9
แต่เราก็เห็นว่า พระเยซูเจ้าผู้ทรงถูกลดฐานะลงต่ำกว่าทูตสวรรค์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทรงได้รับสิริรุ่งโรจน์และเกียรติยศเป็นมงกุฎ เพราะทรงยอมรับความตาย


ท่านบอกไว้ว่าพระเยซูตอนมาเกิดเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ก็มีศักดิ์ศรีน้อยกว่าทูตสวรรค์

ดังนั้นการที่เราเคารพชาวสวรรค์ตามฐานะที่ท่านเป็นสิ่งสร้างที่มีศักดิ์สูงกว่าเรามันก็สมควร และแน่นอน เรามนุษย์อยู่ในโลกก็เหมือนคนบาปที่ยังอยู่ในแดนเนรเทศ ส่วนมนุษย์ที่ไปสวรรค์ก็มีฐานะสูงกว่าเราแล้ว ดังนั้น ถ้าเราไหว้(ยังไม่ถึงขั้นกราบลงดินแบบโยชูวา) ท่านตามฐานะที่สูงกว่าเราแต่ยังต่ำกว่าพระเจ้ามาก แล้วมันจะผิดต่อพระเจ้าได้อย่างไร ให้เรามาดูประโยคนี้ในพระคัมภีร์

วว 19:10
ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงแทบเท้าของทูตสวรรค์เพื่อจะกราบนมัสการ แต่เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่าทำเช่นนั้นเลย ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนผู้รับใช้เหมือนกับท่านและเหมือนกับพี่น้องทั้งหลายของท่านที่ยึดมั่นในคำพยานของพระเยซูเจ้า จงกราบนมัสการพระเจ้าเถิด เพราะคำพยานของพระเยซูเจ้าคือพลังแห่งการประกาศพระวาจา”


แปลกไม๊ ทำไมคราวนี้ทูตสวรรค์ไม่ให้ยอห์นกราบท่านแบบโลทหรือโยชูวาทำ อย่าสับสนนะครับว่าบทนี้จะบอกว่าการแสดงความเคารพชาวสวรรค์เป็นสิ่งผิด บอกได้เลยครับว่า ไม่ใช่เพราะมันผิด แต่เพราะทูตสวรรค์องค์นี้ แม้เป็นทูตสวรรค์ท่านก็แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเราควรจะมองเห็นแบบอย่างที่ดีอันนี้ จากคำพูดของท่านมันชัดเจนนะครับว่าการกราบนมัสการสงวนใช้กับพระเจ้า แต่จากบทอื่นๆที่ผ่านมา การไหว้แสดงความเคารพท่านตามฐานะที่ไม่ใช่ขนาดนมัสการ ไม่ผิด และจะว่าไปในบทนี้ ท่านก็ไม่ได้ด่าว่ายอห์นผิดข้อนมัสการพระเจ้าอื่น แต่การพูดของท่านเป็นการพูดจาเชิงถ่อมตน ดังนั้นสิ่งที่มนุษย์สมควรจะคิดให้ได้ก็คือไม่ใช่ท่านถ่อมตนแล้ว เราไปจองหองใส่ท่าน เพราะถ้าเราก้มลงล้างเท้าให้มนุษย์ได้ ถ้าเราเคารพให้เกียรติมนุษย์ได้ การที่เราจะให้เกียรติชาวสวรรค์มันจะผิดได้ยังไง การพูดของท่าน เหมือนกับว่า เรามีเพื่อนคนนึงทำดีให้เราในพระนามพระเจ้า พอเราของคุณเขา เขาก็บอกว่าขอบคุณพระเจ้าเถอะ ไม่ใช่ว่าการขอบคุณของคุณเป็นสิ่งผิดห้ามทำ แต่เพราะเขาน่ารักและถ่อมตนต่างหาก ยังไงขอบคุณพระเจ้าแล้วก็ต้องขอบคุณเขาอยู่ดี จริงไหม

ดังนั้นถ้าใครก็ตาม ให้เกียรติแม่พระ หรือนักบุญ หรือทูตสวรรค์ หรือรักท่านเหล่านั้นมาก โดยไม่เคยยกท่านขึ้นไปเป็นพระเจ้า ก็จงสบายใจเถอะครับว่า ต่อให้คนอื่นแยกแยะไม่ออก พระเจ้าก็แยกแยะออกครับ ขนาดยาโคบกราบลงดินขอโทษพี่ตั้ง7ที พระเจ้ายังพอพระทัยเห็นสมควรด้วย ไม่เห็นสับสนว่ายาโคบยกพี่เป็นพระเจ้า

พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าที่หวงแหน แต่ไม่ได้ทรงเป็นพระเจ้าเด็กเอาแต่ใจที่ขี้อิจฉาสะเปะสะปะนะครับ ทรงเป็นพระจิตเจ้าผู้ประทานปรีชาญาณให้เราเชียว และขนาดความฉลาดของเรา ยังเทียบเท่าแค่ความเขลาในสายพระเนตรพระองค์ ทรงหยั่งรู้ทุกอย่าง ต่อให้มนุษย์แกล้งแสดงทีท่าเคารพพระองค์มาก แต่ในใจคิดแต่เรื่องโลภหาเงินทอง คิดแต่เรื่องเพศตรงข้าม คิดแต่เรื่องความสนุกสนาน พระองค์ก็หยั่งเห็นครับว่าที่จริงมนุษย์คนนั้นมีรูปเคารพเป็นเงินทอง เป็นอบายมุข ฯลฯ ที่ให้ความสำคัญยิ่งกว่าพระองค์ซะอีก

ขอพระนามของพระเจ้าสูงสุดทรงได้รับการสรรเสริญสดุดี ทั้งจากสวรรค์และแผ่นดิน ตลอดนิรันดร์

อาแมน
Dis volentibus

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:39 pm

เเต่สงสัยนิ๊ดนึงจ่ะ ไมไม่ถามน้องๆคาทอลิกบ้างอ่ะคะ :grin:

555 ไปดีกว่า เดี๋ยวโดนเตะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:45 pm

อยากทำตัวเด็กครับ..อิอิ
Dis volentibus

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:47 pm

Zaliaus เขียน: อยากทำตัวเด็กครับ..อิอิ
เดี๋ยวซักพักอายุจะไปค้างอยู่ที่21 เเล้วก็จะ21ตลอดกาลเหมือนพี่ๆหลายท่านในบอร์ดเจ้าค่ะ
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:49 pm

Ecclesia เขียน:
Zaliaus เขียน: อยากทำตัวเด็กครับ..อิอิ
เดี๋ยวซักพักอายุจะไปค้างอยู่ที่21 เเล้วก็จะ21ตลอดกาลเหมือนพี่ๆหลายท่านในบอร์ดเจ้าค่ะ

::011:: 21 เฉพาะผู้หญิงเจ้าคะ สวยเสมอ สาวตลอดกาล
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:50 pm

ทำไมพูดคับ แต่ระบุเพศหญิงจ๊ะ  ::017::

ปล.
น้อง ๆ คาทอลิก  ถ้ามั่นใจว่าตอบได้  ก็ตอบเลย
ไม่ห้ามจ๊ะ
Dis volentibus

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:52 pm

~@Little lamb@~ เขียน: ทำไมพูดคับ แต่ระบุเพศหญิงจ๊ะ  ::017::
เอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ น่านสิคะ เพิ่งสังเกตเหมือนกันค่ะ 55555555 : xemo033 :
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2007 9:54 pm

Ecclesia เขียน:
~@Little lamb@~ เขียน: ทำไมพูดคับ แต่ระบุเพศหญิงจ๊ะ  ::017::
เอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ น่านสิคะ เพิ่งสังเกตเหมือนกันค่ะ 55555555 : xemo033 :
::011:: น้องสาวคงอยากแมนอ่ะคับ เฮ้ย...คะ
ตอบกลับโพส