necromancer เขียน:
((ต่อไปนี้เป็นการบ่นๆๆๆ คนเดียว...ถ้าได้คำตอบก็ดีนะครับ แต่มันสงสัยลึก ๆ ))
เกิดความสงสัยว่าทำไมต้องพูดภาษาแปลก ๆ ???
เป็นพระพรหรือ???
ถ้าจำไม่ผิด ภาษาอื่น ๆ ((หรือภาษาแปลกๆ ของโปรฯ)) ใช้เพื่อการเผยแพร่พระวาจา หรือประกาศข่าวดีนี่นา???
ก็เลยจำเป็นต้องให้พระธรรมฑูตพูดภาษาอื่น ๆ ได้ โดยอาศัยพระพรของพระจิต ((ใช่ป่ะฮะ???))
แล้วภาษาแปลก ๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจ.....จะพูดไปทำไมอ่ะ ???
แล้วมันภาษาแปลก ๆ จริง ๆ หรือว่าภาษามั่ว ๆ ???
คือ ในเมื่อพูดไปก็ไม่มีใครเข้าใจ มีตัวเองเข้าใจอยู่คนเดียว...มันก็ไม่ใช่ภาษาสิ???
เพราะภาษา หมายถึง เครื่องมือสื่อสาร ((รึเปล่า ???))
หรือไม่ก็เฉพาะคนในกลุ่มเดียวกัน....แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรอ่ะ ???
สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ไม่น่าจะเป็นพระพรของพระจิตเจ้า ???
ขอบคุณสำหรับคำถาม ???
ในคาทอลิคนั้น มีพระพรการพูดภาษาแปลกๆ แต่เราไม่เน้นให้พูดทั้งโบสถ์ เพราะไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์สอนว่าต้องพูดได้ทุกคน การพูดภาษาแปลกๆนั้นพระคัมภีร์สอนชัดเจนว่า ต้องพูดเมื่อมีผู้มีพระพรการแปล และหากไม่มีห้ามพูดในที่สาธารณะ
โปรดอ่านเนื้อหานี้ประกอบนะครับ
-------------------------------------------------------
พระพรภาษาแปลกๆนี้ มักถูกบางคริสตจักรสอนเน้น จนบางทีสอนผิดสอนถูก จนกลายเป็น
ภาษาแปลกๆฝึกได้
ภาษาแปลกๆต้องทำได้ทุกคน
และภาษาแปลกๆคือเครื่องหมายของคริสตจักร
ซึ่งที่จริงมันไม่ตรงกับที่พระคัมภีร์สอนซะหน่อย
ประเด็นหนึ่งที่ผมเคยเจอโบสถ์สายสุดโต่งเอามาเหมารวมกันคือเหตุการณ์เพนเตคอส และเหตุการณ์การพูดภาษาแปลกๆอื่นๆ
ในเหตุการณ์วันเพนเตคอส
กจ 2:1-13 วันเปนเตกอสเต
เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้าทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน
ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่น ๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด ขณะนั้นที่กรุงเยรูซาเล็มมีชาวยิวผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้ามาจากทุกชาติทั่วโลก เมื่อประชาชนได้ยินเสียงนี้ จึงมาชุมนุมกันจำนวนมาก รู้สึกฉงนสนเท่ห์เพราะแต่ละคนได้ยินคนเหล่านี้พูดภาษาของตน และประหลาดใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า
“ทุกคนที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ แล้วทำไมเราแต่ละคนจึงได้ยินเขาพูดภาษาท้องถิ่นของเราเล่า เราชาวปาร์เธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม บางคนอาศัยอยู่ในเขตเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย แคว้นฟรีเจียและแคว้นปัมฟีเลีย บางคนมาจากประเทศอียิปต์และเขตของประเทศลิเบีย รอบ ๆ เมืองไซรีน บางคนมาจากกรุงโรม ทั้งชาวยิวและผู้กลับใจเข้านับถือลัทธิยิวบางคนเป็นชาวเกาะครีตและชาวอาหรับ พวกเราได้ยินคนเหล่านี้ประกาศกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นภาษาของเรา” ทุกคนประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร” แต่บางคนหัวเราะเยาะ กล่าวว่า “พวกนี้ดื่มเหล้ามากเกินไป”
---ดังนั้นชี้ชัดนะครับ ว่านี่ไม่ใช่ภาษาแปลกๆ แต่เป็น
ภาษาอื่นๆ ที่สำคัญมีคนฟังรู้เรื่อง และเป็นภาษาในโลกนี้ ไม่ต้องมีคนที่มีพระพรการแปล คนชาตินั้นๆก็สามารถแปลได้ และดูเหมือนจะพูดกันทุกคนในที่นั้น
นี่คือจุดหนึ่งที่คริสตจักรสายสุดโต่งเอามามั่วรวมกับพระพรภาษาแปลกๆที่ในพระคัมภีร์ระบุชัดว่า ไม่ใช่พูดได้ทุกคน เลยกลายเป็นออกมาว่า
พระพรภาษาแปลกๆนั้นต้องพูดได้ทุกคนใครพูดไม่ได้แปลว่าไม่ได้รับพระวิญญาณ ซึ่งไม่ถูกต้องเลย
เพราะที่จิรงพระพรที่เกิดในวันเพนเตคอส คือ
พระพรในการพูดภาษาอื่น ไม่ใช่ภาษาแปลกๆ ดังนั้นจึงมีผลดีมากในการเสริมสร้างการประกาศ ต่างกับพระพรภาษาแปลกๆ ที่น.เปาโลพูดชัดเจนว่า ถ้าไม่มีคนแปลได้ ก็ไม่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างอะไรเลยนอกจากตัวคนพูดเอง แถมท่านแยกพระพรนี้ออกจากพระพรการประกาศ โดยสอนว่าพระพรการประกาศยังดีซะกว่า
1คร 12:27
ท่านทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสตเจ้า แต่ละคนต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น (28)พระเจ้าทรงแต่งตั้งบางคนให้
ทำหน้าที่ต่าง ๆ ในพระศาสนจักร คือ หนึ่งให้เป็นอัครสาวก สองให้เป็นประกาศก และสามให้เป็นครูอาจารย์ ต่อจากนั้น คือ
ผู้มีอำนาจทำอัศจรรย์ ผู้รักษาโรค ผู้ช่วยเหลือ ผู้ปกครอง และผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ (29)ทุกคนเป็นอัครสาวกหรือ ทุกคนเป็นประกาศกหรือ ทุกคนเป็นครูอาจารย์หรือ ทุกคนเป็นผู้ทำอัศจรรย์หรือ (30)ทุกคนบำบัดโรคได้หรือ ทุกคนพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจหรือ ทุกคนเป็นผู้ตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นหรือ
---ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการสอนว่า
ต้องพูดได้ทั้งคริสตจักร ก็ผิดพระคัมภีร์ข้อนี้ชัดเจน และการฝึกฝนให้พูด ก็เท่ากับเป็นกิจการมนุษย์ ไม่ใช่ผลจากพระวิญญาณ
1คร 14:1-25 พระพรของพระจิตเจ้าสำหรับหมู่คณะ
14 (1)จงแสวงหาความรักเถิด จงปรารถนาพระพรของพระจิตเจ้า โดยเฉพาะพระพรการประกาศพระวาจา (2)คนที่พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่พูดสำหรับมนุษย์เพราะไม่มีผู้ใดเข้าใจ แต่พูดสำหรับพระเจ้า พระจิตเจ้าทรงดลใจเขาให้พูดถึงเรื่องลึกล้ำ (3)ส่วนผู้ประกาศพระวาจานั้นพูดให้มนุษย์ฟัง เพื่อเสริมสร้าง ตักเตือนและให้กำลังใจ
(4)ผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเสริมสร้างตนเอง ส่วนผู้ประกาศพระวาจาเสริมสร้างพระศาสนจักร (5)ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกท่านพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจนี้ แต่ความต้องการที่มากกว่านั้นคือให้ท่านทั้งหลายประกาศพระวาจาได้ เพราะผู้ประกาศพระวาจามีความสำคัญมากกว่าผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ เว้นแต่ว่าผู้พูดภาษาดังกล่าวจะอธิบายข้อความที่เขาพูดได้ เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักร
(6)พี่น้องทั้งหลาย สมมติว่า ข้าพเจ้ามาพบท่านและพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าคำพูดของข้าพเจ้าไม่เป็นการเปิดเผยความจริง ไม่เป็นการให้ความรู้ ไม่เป็นการประกาศพระวาจา หรือไม่เป็นการสั่งสอนใด ๆ (7)แม้เครื่องดนตรีที่ไร้ชีวิต เช่น ขลุ่ยหรือพิณ ถ้าไม่ออกเสียงต่างกัน จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเสียงขลุ่ยหรือเสียงพิณ (8)ถ้าเสียงแตรรบไม่ชัดเจน ใครเล่าจะเตรียมตัวเข้าสู้รบ (9)ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ถ้าลิ้นของท่านพูดคำไม่ชัดเจน
ใครจะรู้ว่าท่านพูดอะไร ท่านก็เหมือนพูดกับลม (10)ในโลกนี้มีภาษาต่าง ๆ หลายภาษา ทุกภาษาต่างต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น (11)ถ้าข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายของเสียง ข้าพเจ้าก็เป็นคนต่างภาษา สำหรับผู้พูดและผู้พูดก็เป็นคนต่างภาษาสำหรับข้าพเจ้า (12)ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ท่านปรารถนาจะได้พระพรของพระจิตเจ้า จงแสวงหาให้ได้รับพระพรอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักรเถิด (13)ดังนั้น ใครพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จงอธิษฐานภาวนาขอพระพรให้อธิบายความหมายของภาษานั้นได้ด้วย (14)ถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จิตของข้าพเจ้ากำลังอธิษฐานภาวนาอยู่ก็จริง แต่สติปัญญาของข้าพเจ้าไม่ได้รับผลอะไรเลย (15)ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาอาศัยจิตและข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาอาศัยสติปัญญาด้วยเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะขับร้องสดุดีอาศัยจิตและจะขับร้องสดุดีอาศัยสติปัญญาด้วย (16)ไม่เช่นนั้น ถ้าท่านขอบพระคุณอาศัยจิตเท่านั้น ผู้ฟังที่ไม่เข้าใจ จะพูด “อาเมน” รับการพูดขอบพระคุณของท่านได้อย่างไร เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด (17)การอธิษฐานขอบพระคุณของท่านดีมาก แต่ผู้อื่นไม่ได้รับประโยชน์แม้แต่น้อย (18)ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจได้มากกว่าท่านทั้งหลาย (19)แต่เมื่ออยู่ในพระศาสนจักรที่กำลังชุมนุมกัน
ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะพูดห้าคำที่สติปัญญาเข้าใจเพื่อสอนผู้อื่น ดีกว่าจะพูดหมื่นคำเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ (20)พี่น้องทั้งหลาย อย่าคิดอย่างเด็ก ๆ จงเป็นเหมือนทารกไม่เดียงสาในความชั่ว แต่จงเป็นผู้ใหญ่ในความคิด (21)มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ “พระเจ้าตรัสว่า เราจะพูดกับชนชาตินี้โดยใช้ภาษาอื่น จากปากของคนต่างภาษา แต่พวกเขาจะไม่ยอมฟัง” (22)การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ใช่เครื่องหมายสำหรับผู้มีความเชื่อ ส่วนการประกาศพระวาจาเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้มีความเชื่อ ไม่ใช่เครื่องหมายสำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ
(23)สมมติว่า พระศาสนจักรมาชุมนุมกัน และทุกคนพูดเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ และมีบุคคลภายนอกหรือผู้ไม่มีความเชื่อเข้ามาในที่นั้นโดยบังเอิญ เขาคงจะพูดว่าท่านเป็นบ้ามิใช่หรือ (24)แต่สมมติว่าทุกคนประกาศพระวาจา และมีผู้ไม่มีความเชื่อหรือบุคคลภายนอกเข้ามาโดยบังเอิญ พระวาจาที่เขาได้ฟังนั้นจะทำให้เขารู้สึกว่าตนทำผิดและกำลังถูกตัดสิน (25)ความลับในใจของเขาจะถูกเปิดเผย เขาจะซบหน้านมัสการพระเจ้า ประกาศว่า พระเจ้าประทับอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายอย่างแท้จริง
1คร 14:26-40 ระเบียบการใช้พระพรของพระจิตเจ้า
(26)พี่น้องทั้งหลาย จะปฏิบัติอย่างไรดีเล่า เมื่อท่านมาชุมนุมกัน แต่ละคนอาจขับร้องสดุดี หรือสั่งสอน หรือเปิดเผยความจริง หรือพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ หรืออธิบายความหมายของภาษานั้น ท่านจงปฏิบัติทั้งหมดนี้เพื่อเสริมสร้างเถิด (27)ถ้าจะต้องพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจงพูดทีละคน และพูดเพียงสองหรือสามคนเป็นอย่างมาก โดยให้คนหนึ่งอธิบายความหมาย (28)ถ้าไม่มีใครอธิบายความหมายได้ ผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจงอย่าพูดในที่ชุมนุม จงพูดกับตนเองและกับพระเจ้า (29)ให้ผู้ประกาศพระวาจาสองหรือสามคนเท่านั้นพูด ขณะที่คนอื่นพิจารณาตัดสิน (30)แต่ถ้าคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ได้รับการเปิดเผยความจริงบางประการจากพระเจ้า ก็ให้ผู้พูดคนแรกหยุดพูด (31)ท่านทุกคนประกาศพระวาจาได้ แต่จงพูดทีละคน เพื่อทุกคนจะได้เรียนรู้และทุกคนจะได้รับกำลังใจ (32)ผู้ประกาศพระวาจาต้องควบคุมการใช้พระพรของตน (33)
เพราะพระเจ้ามิทรงปรารถนาความวุ่นวาย แต่ทรงปรารถนาสันติ ตามธรรมเนียมปฏิบัติในพระศาสนจักรทุกแห่ง (34)ให้บรรดาสตรีอยู่เงียบ ๆ ในที่ชุมนุม เพราะพวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ต้องอ่อนน้อมเชื่อฟังตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ (35)ถ้าพวกเธอต้องการคำอธิบาย ก็ให้ถามสามีขณะอยู่ที่บ้าน เพราะเป็นการไม่เหมาะสมที่สตรีจะพูดในที่ชุมนุม (36)[size=20pt]พระวาจาของพระเจ้ามาจากท่านหรือ พระวาจามาถึงท่านเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นหรือ [/size] (37)ถ้าใครคิดว่าตนเป็นประกาศก หรือได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า ก็ขอให้เขารับรู้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(38)[size=15pt]ถ้าผู้ใดไม่ย่อมรับรู้ พระเจ้าก็ไม่ทรงรับรู้เขาด้วย [/size](39)พี่น้องทั้งหลาย จงปรารถนาที่จะประกาศพระวาจา อย่าห้ามการพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ (40)และจงทำเช่นนี้อย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ
[hr]
สรุปจากพระคัมภีร์
1.ไม่ใช่ทุกคนต้องมีพระพรครบทุกอย่าง
2.ไม่ใช่ทั้งโบสถ์ต้องมีพระพรเดียวกันหมด เช่น พูดภาษาแปลกๆได้ทั้งโบสถ์
2.ไม่สนับสนุนให้มีการพูดภาษาแปลกๆ ถ้าแปลไม่ได้
3.ไม่สนับสนุนให้พูดภาษาแปลกๆเยอะๆทีละหลายๆคน แบบแย่งกันพูด
4.ไม่สนับสนุนให้พูดภาษาแปลกๆต่อหน้าผู้ที่ยังไม่ไดรับเชื่อ
5.อวัยวะต่างๆกันในศีรษะเดียวคือพระเยซูเจ้า ต้องไม่ด่าทอกันเอง
6.พระวาจามาถึงได้หลายคริสตจักร การอ้างว่ามีคริสตจักรตัวเองกลุ่มเดียวที่มีพระเจ้ามานั้น เป็นการบังอาจลดพระเกียรติพระเจ้า และโอ้อวดเกินพระคัมภีร์
8.หากไม่ปฏิบัติตามพระคัมภีร์ตรงนี้ ทำเป็นอ่านไม่เจอ หรืออ่านเจอแล้วไม่รับรู้ไปปฏิบัติ เกรงว่าพระเจ้าจะไม่รับรองคริสตจักร และไม่รับรู้พวกเขาตามที่พระคัมภีร์เขียนเตือนไว้
ดังนั้นการพูดภาษาแปลกๆที่กล่าวถึงในที่นี้ และนิยมพูดกันในบางคริสตจักรคือ
ภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจซึ่ง
จะพูดได้แค่บางคน และ
ไม่ควรพูดในที่สาธารณะหากไม่มีใครมีพระพรการแปล ซึ่งคนละเรื่องกับพระพรในวันเพนเตคอส ซึ่งเป็น
ภาษาต่างชาติ แต่
มีคนเข้าใจ และ
ไม่ต้องอาศัยพระพรการแปล และ
ไม่ห้ามที่จะทำในที่สาธารณะ
ดังนั้นหากมีการสอนเอา2อันนี้ไปปนกัน ถ้าไม่ใช่เจตนาบิดเบือน ก็แปลว่าบกพร่องโดยสุจริต คือ สับสน ไม่เข้าใจพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งถูกต้องเพียงพอ
ผมจะยกเหตุการณ์บางเหตุการณ์ของ
พระพรการพูดภาษาอื่นๆ อันเป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าในวันเพนเตคอส ซึ่งเกิดในพระศาสนจักรคาทอลิค ซึ่งไม่ใช่การพูดภาษาแปลกๆ
อันหนึ่งที่ค่อนข้างโด่งดังคือกรณีของนักบุญคุณพ่อปีโอ ซึ่งมีพระพรในการสารภาพบาป ปรกติท่านพูดได้แต่ภาษาอิตาลี และไม่รับฟังแก้บาปคนชาติอื่น แต่มีคนต่างชาติหลายคนที่เชื่อในความศักดิ์สิทธ์ของท่านว่ามาจากพระเจ้าจริง อยากให้ท่านเป็นคนฟังสารภาพบาป ดังต่อไปนี้
[hr]
โดยปรกติ เฉพาะผู้ที่ใช้ภาษาอิตาเลียนได้คล่องแคล่วเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้แก้บาปกับคุณพ่อปีโอ แม้จะเป็นที่รู้จักทั่วไปว่าคุณพ่อปีโอมี “พระพรด้านภาษา” สามารถเข้าใจสิ่งที่ชาวอเมริกันและรัสเซียซึ่งไม่พูดภาษาอิตาเลียนสื่อสารได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ บางครั้งจึงมีชาวอเมริกันและรัสเซียมาแก้บาปกับคุณพ่อปีโอด้วย
ปลายปี ค.ศ. ๑๙๒๐ มารีอา ไพล์ ได้รบเร้า เซเน ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ให้มาแก้บาปกับคุณพ่อปีโอ ครั้งแรกเธอไม่ยินยอมเพราะเกรงว่าจะสื่อความหมายไม่เข้าใจเธอแสดงความรู้สึกหลังจากได้แก้บาปกับคุณพ่อปีโอว่า “ดิฉันพูดภาษาอังกฤษและคุณพ่อพูดภาษาอิตาเลียน แต่เราต่างเข้าใจกันและกันได้ดี ดิฉันเดินออกจากห้องฟังแก้บาปด้วยความงงงวย” บางครั้งคุณพ่อปีโอยังพูดภาษาบางภาษาเป็นวลี ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนภาษานั้น ดังเช่นที่ได้ฟังแก้บาปพระสงฆ์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งใช้ภาละติน
อย่างไรก็ตามคุณพ่อปีโอมักจะฟังแก้บาปเฉพาะผู้ที่ใช้ภาษาอิตาเลียน หากมีผู้ที่ใช้ภาษาละตินมาขอแก้บาปคุณพ่อจะขอให้พวกเขาไปแก้บาปกับพระสงฆ์ผู้มีการศึกษาสูงกว่าตน
แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้าเป็นความตั้งใจจริงที่จะสารภาพบาป และเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า คุณพ่อปีโอก็ยินดีจะฟังแก้บาป อเดลเลียเด ไพล์ เป็นคริสตศาสนิกชนที่ไม่ใช่คาทอลิก เมื่ออเดลเลียเดได้เปรยกับลูกสาวว่า “แม่อยากจะคุกเข่าในที่ฟังแก้บาปเพื่อสารภาพความผิดจัง! แต่แม่พูดภาษาอิตาเลียนไม่เป็น!” เมื่อมารีอา ไพล์ ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อปีโอฟังคุณพ่ออุทานว่า “หากเธอประสงค์จะแก้บาป ภาษาไม่เป็นปัญหาพ่อช่วยดูแลเรื่องนี้ได้!”
อ่านแบบเต็มได้ที่นี่ครับ
http://www.newmana.com/Person/padre_pio01.htm
[hr]
อีกตัวอย่าง แม่พระประจักษ์ที่ระวันดา พระแม่มาในพระนาม มารดาแห่งพระวจนาถ(พระวจนะ=พระจิต)
ในฐานะมารดาแห่งพระจิตเจ้า แม่พระเคยอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังนางเอลิซาเบธอย่างเต็มเปี่ยม! ด้วยคำทักเพียงคำเดียวมาแล้ว และเมื่อแม่พระมาประจักษ์ที่ระวันดานี้ ผู้รับการประจักษ์ ก็ได้รับพระพรเหมือนวันเพนเตคอส คือสามารถพูดภาษาอื่นๆได้ทั้งที่เธอไม่เคยเรียน
[hr]
Alphonsine Mumureke เกิดเมื่อ 1965. มาจากครอบครัวคาทอลิกที่ยากจน . ตามหนังสือไดอารี่ของเธอ เธอเห็นแม่พระครั้งแรกเมื่อ 28 พฤศจิกายน 1981 :
"ฉัน กำลังอยู่ในโรงอาหารของโรงเรียน ก็ได้ยินเสียงมาจากข้างหลัง : 'ลูกสาวของแม่!'
ฉันก็ตอบว่า: 'ลูกอยู่นี่... ท่านเป็นใครคะ?'
'ฉันเป็นมารดาขององค์พระวจนาตถ์ '
แม่พระสวยงามจนสุดบรรยายได้ พระนางยืนเท้าเปล่า สวมเสื้อคลุมยาวไม่มีสายรัดและผ้าคลุมศีรษะสีขาว .
ในระหว่างการเข้าญาณนี้ (ตามที่เพื่อนร่วมชั้นของฉันบอก) -
ฉันพูดภาษาอื่นที่พวกเขาไม่รู้จักเช่น : ฝรั่งเศส , อังกฤษ , และภาษาท้องถิ่นที่ฉันพูดอยู่คือ kinyarwanda และอื่นๆ.
อ่านเรื่องเต็มๆได้ที่นี่
http://www.newmana.com/Mother/rwanda01.htm
--------------------------------------------------------
ดังนั้น ขอให้เรามีความรู้ที่ถูกต้องนะครับว่า
พระพรการพูดภาษาอื่นๆในวันเพนเตคอส เป็นคนละพระพร กับการพูดภาษาแปลกๆที่ไม่มีใครเข้าใจ ที่นักบุญเปาโลจัดระเบียบไว้ในจดหมายถึงชาวโครินธร์(แต่บางคริสตจักรไม่ทำตามระเบียบที่ว่า)
ที่สำคัญพระพรเหล่านี้เป้นพระพรพิเศษที่มาจากพระจิตเจ้า(หรือพระวิญญาณ)ไม่ใช่มาจากการฝึกฝนตามประสามนุษย์ครับ