Apocrypha ???

คริสตสัมพันธ์ เอกภาพในคริสตศาสนา
Johannes W. Pariwat

ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 4:30 pm

อยากเรียนถามว่า จริงๆแล้ว Apocrypha คืออะไรกันแน่ จริงๆแล้วผมก็ทราบนะครับว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ที่ยังปรากฎอยู่กับทางพระศาสนจักรโรมันคาธอลิค ผมเคยอ่าน Apocrypha เวอร์ชั่นที่เป็นภาษาไทยแล้วด้วย แต่ที่สงสัยคือ พระคัมภีร์บางฉบับก็มี Apocrypha ( Standard Revised Bible, New Jerusalem Bible ) บางฉบับก็ไม่มี Apocrypha ( New International Bible, King James Version, etc...+++ ) มันจะทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วมาตรฐานจริงๆของพระคัมภีร์อยู่ที่ใด ในเมื่อมนุษย์เองนั่นแหล่ะ เป็นคนกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นมา ( ตามใจชอบ??? ) จริงๆมันยังมีอีกหลายเล่มนะครับ ที่ผมยังไม่ได้พูดถึง แบบว่ามันเยอะมากๆ
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 4:44 pm

Johannes W. Pariwat เขียน: อยากเรียนถามว่า จริงๆแล้ว Apocrypha คืออะไรกันแน่ จริงๆแล้วผมก็ทราบนะครับว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ที่ยังปรากฎอยู่กับทางพระศาสนจักรโรมันคาธอลิค ผมเคยอ่าน Apocrypha เวอร์ชั่นที่เป็นภาษาไทยแล้วด้วย แต่ที่สงสัยคือ พระคัมภีร์บางฉบับก็มี Apocrypha ( Standard Revised Bible, New Jerusalem Bible ) บางฉบับก็ไม่มี Apocrypha ( New International Bible, King James Version, etc...+++ ) มันจะทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วมาตรฐานจริงๆของพระคัมภีร์อยู่ที่ใด ในเมื่อมนุษย์เองนั่นแหล่ะ เป็นคนกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นมา ( ตามใจชอบ??? ) จริงๆมันยังมีอีกหลายเล่มนะครับ ที่ผมยังไม่ได้พูดถึง แบบว่ามันเยอะมากๆ
What is the Apocrypha?

The term "apocrypha" was coined by the fifth-century biblical scholar St. Jerome and refers to the biblical books included as part of the Septuagint (the Greek version of the Old Testament), but not included in the Hebrew Bible.
Several works ranging from the fourth century B.C.E. to New Testament times are considered apocryphal--including Judith, the Wisdom of Solomon, Tobit, Sirach (or Ecclesiasticus), Baruch, First and Second Maccabees, the two Books of Esdras, various additions to the Book of Esther (10:4-10), the Book of Daniel (3:24-90;13;14), and the Prayer of Manasseh.
The apocrypha have been variously included and omitted from bibles over the course of the centuries. Protestant churches generally exclude the apocrypha (though the King James version of 1611 included them). The Roman Catholic and Orthodox churches include all of the apocrypha (except for the books of Esdras and the Prayer of Manasseh), but refer to them as "deuterocanonical" books. In this context, the term "apocrypha" generally refers to writings entirely outside of the biblical canon and not considered inspired (such as the Gospel of Thomas). These same books are referred to by Protestants as the "pseudoepigrapha."

http://etext.virginia.edu/apocrypha_exp.html
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 4:47 pm

Johannes W. Pariwat เขียน: ผมเคยอ่าน Apocrypha เวอร์ชั่นที่เป็นภาษาไทยแล้วด้วย แต่ที่สงสัยคือ พระคัมภีร์บางฉบับก็มี Apocrypha ( Standard Revised Bible, New Jerusalem Bible ) บางฉบับก็ไม่มี Apocrypha ( New International Bible, King James Version, etc...+++ )
พระคัมภีร์ ฉบับที่โปรเตสแตนต์ใช้จะไม่มี เพราะเราไม่ได้ใช้ สารบบปกติ แต่ใช้เป็นสารบบรอง
Johannes W. Pariwat เขียน: .....มันจะทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วมาตรฐานจริงๆของพระคัมภีร์อยู่ที่ใด ในเมื่อมนุษย์เองนั่นแหล่ะ เป็นคนกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นมา ( ตามใจชอบ??? ) จริงๆมันยังมีอีกหลายเล่มนะครับ ที่ผมยังไม่ได้พูดถึง แบบว่ามันเยอะมากๆ
มีมาตรฐานแน่นอน ถ้าเราได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งมันจะมีที่ไปที่มา....อย่าด่วนสรุปในขณะที่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง  ส่วน เวอร์ชั่นของพระคัมภีร์มีมากมาย
สาธยายไม่หมด เพราะเจี๊ยบจำไม่ได้ แต่ละเวอร์ชั่นมีเหตุและผล ของการอออกเวอร์ชั่นนั้นๆ ฮะ

ให้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง จากผู้รู้ก่อน แล้วค่อย ติ ฮะ  :grin:
แก้ไขล่าสุดโดย Jeab Agape เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 4:51 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Johannes W. Pariwat

ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 5:03 pm

จริงๆแล้ว ที่ผมอยากรู้จริงๆคือ อะไรคือมาตรฐานของการกำหนดว่าหนังสือเล่มใหนเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ได้ หนังสือเล่มใหนเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ไม่ได้ ในเมื่อเราเชื่อว่ามีผู้เดียว(พระเจ้า)เป็นผู้ดลจิตใจของผู้เขียนพระคัมภีร์ในการเขียนพระคัมภีร์เล่มต่างๆ ผมเชื่อในพระเจ้า แต่สงสัยในคริสตจักร(หรือพระศาสนจักรหรืออะไรก็ตาม ตามแต่จะเรียกกัน ) ขอออกตัวไว้ก่อนนะครับ ว่าผมไม่ใช่สาวกของอีตาแดนบราวน์ ผมแค่สงสัย จริงๆแล้ว ผมอยากได้คำตอบโดยตรงจากพระเจ้ามากกว่า แต่พระองค์ก็คงไม่ตอบผมตรงๆ พอจะถามจากคริสตจักร ( หรือพระศาสนจักรตามแต่จะเรียกกัน ) ก็ได้คำตอบไปกันคนแนว คนละทางสองทาง ( แต่พระเจ้าองค์เดียวกัน??? )
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 5:18 pm

ช่างมาถามได้เหมาะเวลาจริงๆ

สื้นเดือนนี้ เราจะฉลอง นักบุญเจอโรม ผู้จัดสารบบพระคัมภีร์ครับ


ซึ่งท่านได้ แบ่งเป็นพระคัมภีร์ คือ
-ในสารบบ (ก็คือที่เราใช้กันทุกวันนี้)
-นอกสารบบ (ก็คือ Apocryphaที่คุณถามนั่นละ)

________________________

ในเรื่องเหตุแบ่งแยกนิกายนั้น มาร์ติน ลูเธอร์ ได้อ้าง การแบ่งพระคัมภีร์ในสารบบ

ที่ได้แบ่ง สารบบที่1 (พันสัญญาเดิม39เล่ม ที่ โปรแตสแตนท์นับในปัจุบัน)
กับ สารบบที่2 (อีก7เล่ม ที่คาทอลิคนับ)
ซึ่งนักบุญเจอโรมได้แบ่งไว้ เพราะ สารบบที่2 ไม่พบต้นฉบับภาษาฮีบรู
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 8:36 pm

ถ้าจะตอบว่าเอาอะไรมาวัดว่าใช้เล่มไหน
ตามความเชื่อก็คือ นักบุญเจโรมผู้เป็นคนคัดเลือกพระคัมภีร์
อาศัยพระจิตเจ้าในการเลือกพระคัมภีร์


แต่ถ้าคุณไม่เชื่อว่าท่านได้รับพระจิตเจ้า  หรือ วิญญาณบริสุทธิ์
ในการคัดเลือกพระคัมภีร์  ก็จบข่าวค่ะ  ไม่ต้องอธิบายอะไรยืดยาวแล้ว


เชิญอ่านที่นี่ค่ะ

http://www.saranae.com/Apocrypha.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 10:50 pm

สรุปง่ายๆนะครับ คริสตชนแรกเริ่มยอมรับพระคัมภีร์สาระบบรองเหล่านั้น แต่ต่อมาสมัยมาร์ติน ลูเธอร์ แยกนิกาย มาร์ติน ลูเธอร์ตัดพระคัมภีร์เหล่านี้ออกไป เนื่องจากมีบางส่วนเช่นมัคคาบี ขัดกับแนวคิดของมาร์ติน ลูเธอร์ ในเรื่องแดนชำระ

ดังนั้น โปรแตสแตนท์ส่วนใหญ่ จึงไม่ยอมรับว่าพระคัมภีร์สาระบบรองนี้เป็นพระคัมภีร์ โดยแบ่งความรุนแรงออกเป็น 1.ยอมรับ ศึกษา แต่ไม่ให้ความสำคัญ 2.ไม่ยอมรับและห้ามอ่านถือเป็นคัมภีร์เท็จ และด้วยความที่คาทอลิคยอมรับ จึงทำให้โปรฯที่ต่อต้านคาทอลิคบางโบสถ์ ถึงขนาดกุเรื่องว่าพระสันตะปาปาแต่งเองบ้าง ถูกเพิ่มเข้ามาทีหลังบ้าง(อันนี้จะอ้างหลักฐานเท็จประกอบ) พระเยซูไม่ยอมรับบ้าง(อันนี้ไร้หลักฐานสุดๆ)

สาเหตุที่โปรแตสแตนท์จะไม่ยอมรับรุนแรง เพราะว่า โปรแตสแตนท์มีคอนเซป Bible alone คือคล้ายๆแนว อิงกฎ ดังนั้นกฎต้องเนี้ยบ ซึ่งต่างจากคาทอลิคที่ออกแนว อิงกฏ+อิงดุลยพินิจของพระศาสนจักร ทำให้ ไบเบิ้ล สำหรับ โปรแตสแตนท์ เป็นตัวตัดสินข้อความเชื่ออย่างยิ่ง จึงต้องเข้มงวดกับมันอย่างมาก สาระบบจึงต้องแคบลงตาม

แต่ความจริงก็คือ พระคัมภีร์ที่รวม Apocrypha 7 เล่ม  ถูกจัดสาระบบโดยมนุษย์ที่เราเชื่อว่าพระจิตเจ้าดลใจท่าน คือนักบุญเยโรมในปีค.ศ. 384 โดยกระทำตามคำสั่งของพระสันตะปาปา โดยก่อนหน้านั้นในปีค.ศ. 367 นักบุญ อเธนาเชียส บิชอปแห่งอเล็กซานเดรียจัดระบบรายชื่อหนังสือของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ทั้ง 27 เล่ม โดยระบุพาดพิงถึง Apocrypha ส่วนที่ถูกบรรจุอยู่ในสาระบบรอง(ที่ยังคงอยู่ในพระศาสนจักรคาทอลิคทั้ง7เล่ม)ว่า "เป็นหนังสือที่ดีและเหมาะให้คริสตชนเชื่อใหม่อ่านได้"

ส่วน Apocrypha อื่นๆนอกเหนือจาก7เล่มนี้ พระศาสนจักรคาทอลิค และนิกายอื่นไม่ได้รับรองว่ามันจริง ก็มีทั้งเล่มที่ไม่จริงเลย จริงบางส่วน และจริงหลายส่วน

ไว้ว่างๆผมจะมารวบรวมรายละเอียดเรื่อง Apocrypha แต่บอกใบ้สนุกๆว่า ในพระธรรมใหม่เอง อิง Apocrypha หลายบท แถมเป็น Apocrypha ที่อยู่นอกสาระบบเลยด้วย แล้วสรุปว่า Apocrypha เท็จไปหมดจริงหรือ? ใครเจอ Apocrypha ที่ซ่อนอยุ่ในพระธรรมใหม่ ลองทักมาได้ครับ มีเยอะด้วย
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 10:52 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Johannes W. Pariwat

ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 11:15 pm

ขอบคุณมากครับคุณ Holy สำหรับคำตอบ ผมจะรออ่านต่อนะครับ
Johannes W. Pariwat

เสาร์ ก.ย. 22, 2007 9:59 am

Roman Catholic and Orthodox Faith Examined and
The Apocrypha

"The Jewish canon, or the Hebrew Bible, was universally received, while the Apocrypha added to the Greek version of the Septuagint were only in a general way accounted as books suitable for church reading, and thus as a middle class between canonical and strictly apocryphal (pseudonymous) writings. And justly; for those books, while they have great historical value, and fill the gap between the Old Testament and the New, all originated after the cessation of prophecy, and they cannot therefore be regarded as inspired, nor are they ever cited by Christ or the apostles" (Philip Schaff, History of the Christian Church, book 3, chapter 9)

21 reasons why the Apocrypha is not inspired:

1. The Roman Catholic Church did not officially canonize the Apocrypha until the Council of Trent (1546 AD). This was in part because the Apocrypha contained material which supported certain Catholic doctrines, such as purgatory, praying for the dead, and the treasury of merit.

2. Not one of them is in the Hebrew language, which was alone used by the inspired historians and poets of the Old Testament.

3. Not one of the writers lays any claim to inspiration.

4. These books were never acknowledged as sacred Scriptures by the Jewish Church, and therefore were never sanctioned by our Lord.

5. They were not allowed a place among the sacred books, during the first four centuries of the Christian Church.

6. They contain fabulous statements, and statements which contradict not only the canonical Scriptures, but themselves; as when, in the two Books of Maccabees, Antiochus Epiphanes is made to die three different deaths in as many different places.

7. The Apocrypha inculcates doctrines at variance with the Bible, such as prayers for the dead and sinless perfection.

And the day following Judas came with his company, to take away the bodies of them that were slain, and to bury them with their kinsmen, in the sepulchers of their fathers. And they found under the coats of the slain some of the donaries of the idols of Jamnia, which the law forbiddeth to the Jews: so that all plainly saw, that for this cause they were slain. Then they all blessed the just judgment of the Lord, who had discovered the things that were hidden. And so betaking themselves to prayers, they besought him, that the sin which had been committed might be forgotten. But the most valiant Judas exhorted the people to keep themselves from sin, forasmuch as they saw before their eyes what had happened, because of the sins of those that were slain. And making a gathering, he sent twelve thousand drachmas of silver to Jerusalem for sacrifice to be offered for the sins of the dead, thinking well and religiously concerning the resurrection, (For if he had not hoped that they that were slain should rise again, it would have seemed superfluous and vain to pray for the dead,) And because he considered that they who had fallen asleep with godliness, had great grace laid up for them. It is therefore a holy and wholesome thought to pray for the dead, that they may be loosed from sins. (2 Maccabees 12:39-46)

8. The apocrypha contains offensive materials unbecoming of God
แก้ไขล่าสุดโดย Johannes W. Pariwat เมื่อ เสาร์ ก.ย. 22, 2007 10:08 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ก.ย. 22, 2007 10:45 am

มันก็เป็นธรรมดาครับที่โปรแตสแตนท์ต้องดิสเครดิตอธิกธรรม เพราะของเขาโดนมาร์ตินลูเธอร์ตัดออก

คิดง่ายๆแบบนี้นะครับ คาทอลิคและออธอดอกซ์เอง สมัยยังมีแค่2นิกาย ยาวนาน1500ปี มีอธิกธรรมอยู่ แล้วพอมาร์ติน ลูเธอร์แยกนิกายเมื่อ500ปีก่อน ก็ตัดอธิกธรรมออก ความจริงก็คือ7เล่มนั้น อยู่กับคริสตชนตั้งแต่สมัยแรกเริ่มมานาน2000กว่าปีแล้ว แต่ถูกคริสตชนกลุ่มหนึ่งตัดไปทีหลังเมื่อ500ปีก่อน ดังนั้นคาทอลคิและออธอดอกก็ยึดเลขาคนเดิมครับคือนักบุญเยโรม ท่านนักบุญเยโรมเรียกหนังสือ7เล่มนี้ว่า Apocrypha (ซ่อนเร้น) แต่ไม่ได้ประนามว่ามันเท็จเท่ากับที่โปรแตสแตนท์สมัยนี้ทำแน่นอน เพราะสมัยที่ท่านอยู่และสมัยต่อมา Apocrypha 7เล่มนั้นยังใช้อยู่ในพระศาสนจักรอย่างแพร่หลาย มีทั้งหลักฐานคัมภีร์และหลักฐานภาพวาด

เมื่อโปรแตสแตนท์มีเลขาใหม่เข้ามา คือมาร์ตินลูเธอร์ แล้วเขาไม่เอามัน เขาก็ต้องย้อนมาลดความน่าเชื่อถือมันเป็นธรรมดา

ผมไม่ทราบว่าคริสตจักรอื่นจะว่าอย่างไร แต่ความจริงคือ คาทอลิคและออธอดอค ใช้เลขากลุ่มเดิมและกลุ่มเดียวมาตลอดไม่เคยมีคนใหม่ครับ

-------------------------------------------------
ถ้างั้นผมจะลองเอาข้อความในพระธรรมใหม่ที่คุณจะไม่มีวันค้นข้อมูลจากพระธรรมเดิมได้ เพราะนอกจากมันจะไม่ได้อยู่พระธรรมสาระบบแล้ว มันยังไม่ได้อยู่ในแม้แต่Apocrypha7เล่มด้วย มันมาจากหนังสือนอกสาระบบเลยทีเดียว แล้วนี่จะหมายความว่าเหล่าอัครสาวกหรือยิวสมัยพระเยซูไม่เชื่อถือมันจริงหรือเปล่า

กจ 7:22
ดังนั้น โมเสสจึงได้เรียนรู้วิชาความรู้ทุกอย่างของชาวอียิปต์ และเป็นคนสำคัญเพราะคำพูดและการกระทำของเขา  เมื่อโมเสสอายุสี่สิบปี เขาต้องการไปเยี่ยมพี่น้องชาวอิสราเอลทั้งหลาย  เมื่อเห็นชาวอิสราเอลคนหนึ่งถูกทำร้าย เขาจึงเข้าไปป้องกันและฆ่าชาวอียิปต์ที่ข่มเหงเป็นการแก้แค้น 

---ประโยคนี้ สตีเฟนผู้มีพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมเป็นคนพูดนะครับ แต่ปรากฎว่ามีข้อมูลที่คุณจะไม่มีวันเจอในหนังสืออพยพ คือโมเสสมีอายุเท่าไหร่ตอนฆ่าคนอียิปต์ ออกมาจากปากของเขา คุณคิดว่าเขาเอาความรู้นี้มาจากไหนล่ะ


ยด 1:8
คนเพ้อฝันเหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน เขาทำให้ร่างกายของตนเป็นมลทิน ดูหมิ่นอำนาจของพระเจ้า กล่าวคำหยาบคายต่อบรรดาทูตสวรรค์  อัครทูตสวรรค์มีคาเอล เมื่อโต้เถียงกับปีศาจเรื่องศพของโมเสส ยังไม่กล้าพูดดูหมิ่นปีศาจ ท่านเพียงแต่พูดว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ เสาร์ ก.ย. 22, 2007 10:48 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ก.ย. 22, 2007 11:05 am

ยกตัวอย่างประโยคที่บทความนั้นโจมตีหนังสือบุตรสิรานะครับ

Ecclesiasticus 25:24
From a woman sin had its beginning. Because of her we all die.

มันต่างอะไรกับที่เปาโลเขียน

1ทธ 2:14
อาดัมไม่ได้ถูกลวงให้หลงผิด แต่ผู้ที่ถูกลวงให้หลงผิดและทำบาปคือภรรยาของเขา  ถึงกระนั้น สตรีจะรอดพ้นได้โดยการมีบุตร

---มันไอเดียเดียวๆกันนั่นแหละ

มันเป็นความจริงที่ว่า นอกจากพระจิตจะดลใจแล้ว อิทธิพลส่วนตัวของคนเขียนเองก็มีส่วนอยู่ในสิ่งที่เขาเขียนด้วยนะครับ คำว่าพระจิตดลใจไม่ใช่พระจิตลงมาจับปากกาเขียนเอง ดังนั้น มันจึงเหมือนดื่มน้ำสะอาดในแก้วที่รูปทรงและสีต่างกันครับ มองทะลุสิ่งที่เคลือบแล้วจะเจอพระจิตในนั้น



สุดท้ายนี้ ผมฝากให้คิดง่ายๆว่า ถ้าหนังสืออะไรไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์สาระบบหลักแปลว่าไม่จริง ก็เลิกอ่านหนังสือเรียนกันเถอะครับ เพราะมันไม่มีใครมารับรองว่าพระจิตดลใจ(แปลว่าไม่จริง)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ก.ย. 22, 2007 11:07 am

เครื่งหมายของคริสตจักรแท้คือการทำตามพระคัมภีร์หมดทุกข้อ??

มีคริสตจักรจำนวนมาก อ้างว่าตัวเองแท้กว่าที่อื่น เพราะตัวเองไม่ทำอะไรผิดพระคัมภีร์เลย แต่คริสตจักรอื่นทำผิด หรือบางทีก็อ้างว่า บางคริสตจักรเช่นคาทอลิค ถือพระคัมภีร์เท็จเกินขึ้นมา โดยยกประวัติศาสตร์ปลอม หรือพูดเรื่องโกหกว่าพระสันตะปาปาแต่งพระคัมภีร์นั้นๆเอง หรือแม้แต่กับโปรแตสแตนท์ด้วยกันที่ใช้พระคัมภีร์จำนวนเท่ากัน ก็ยังโจมตีกันเองเพราะพอตีความต่างกัน ก็จะอ้างว่าคนอื่นตีความผิดตัวเองตีถูก มิหนำซ้ำแค่เวอร์ชั่นการแปล ยังมีการถกเถียงเวอร์ชั่นไหนแปลถูกกว่ากัน หรือแม้แต่ประนามว่าบางเวอร์ชั่นแปลผิด มารสิงคนแปลเลยก็มี

ในความเป็นจริงแล้ว วิธีพิสูจน์ว่าอะไรแท้หรือมาจากพระเจ้า คือการเช็คความถูกต้องจากพระคัมภีร์จริงหรือ?

ในความเป็นจริงเคยเกิดเหตุการณ์เช็คพระคัมภีร์เพื่อพิสูจน์ว่าใครมาจากพระเจ้ามาแล้ว และมันถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร?


ยน 5:1-47  พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยที่สระเบเธสดา
หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็มาถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิวพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  ที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่า เบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน  ตามระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต  ที่นั่น มีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว  พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสแก่เขาว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ก.ย. 22, 2007 11:08 am

โปรดจำความจริงข้อนี้ไว้เสมอ

คริสตศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งหนังสือ แต่เป็นศาสนาแห่งความรักและความจริง

ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

เสาร์ ก.ย. 22, 2007 12:26 pm

เมื่อใดที่ท่านเอาพระคัมภีร์มาเป็นกรอบของชีวิต....ท่านจะได้ชื่อว่า เป็นศิษย์ของพระคริสต์เจ้า
แต่เมื่อใดที่ท่านกระทำสิ่งใดลงไปโดยปราศจากความรัก ความเมตตา และสันติ....ท่านก็เป็นเพียงฟาริสีปากกล้านั่นเอง

ไม่แปลกที่โรมันคาทอลิก และออร์โธดอกซ์จะถูกโจมตีในหลายเรื่องในปัจจุบัน
เช่น ชื่อของเทวดาทั้งหลายในสรวงสวรรค์ การขึ้นสวรรค์ของพระคริสตมารดา นิมิตของอัครสาวก ฯลฯ

การเมืองในยุคสมัยที่ทำให้โรมันคาทอลิกถูกโจมตีได้ง่าย ได้เปิดแผลฉกรรจ์ให้แก่พระศาสนจักรมานับร้อยปีแล้ว
ควรมีควรที่จะเยียวยารักษาแผลนี้ให้หาย ก่อนที่เชื้อโรคจะโจมตีเข้ามา

กระนั้นเถิด ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า
Pry-Kaew
โพสต์: 959
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ม.ค. 29, 2005 3:03 pm
ติดต่อ:

เสาร์ ก.ย. 22, 2007 3:22 pm

Holy เขียน: โปรดจำความจริงข้อนี้ไว้เสมอ

คริสตศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งหนังสือ แต่เป็นศาสนาแห่งความรักและความจริง

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

เห็นด้วยกับคุณโฮลีล้านเปอร์เซนต์ครับ ความรัก ความเมตตาต่อกัน และความเห็นอกเห็นใจต่อกัน โดยไร้ซึ่งอคติในความแตกต่าง ไม่เบียนเบียดซึ่งกันและกัน และดำเนินตามชีวิตของพระเยชู คือหัวใจหลักของคริสตชน คนของพระเยชูเจ้าครับ

Eventhough I know just a little bit about a lot of sentences in The Bible,I know how to forgive other people. I think God understand me.

Eventhough I do not have a lot of time to read The Bible, I always have time for help other people who need someone to help them. I think God understand me.

Eventhough I do not have time to go to the church everyday, I always have time to endure other people who always do not understand me same some people did not understand Jesus Christ.


The Lord be with you always....
poloplow
โพสต์: 402
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 11, 2006 11:01 pm

เสาร์ ก.ย. 22, 2007 8:58 pm

ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ๆ ครับคุณHoly :angel:
sakda88
โพสต์: 317
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 30, 2005 11:52 am
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ ก.ย. 23, 2007 6:38 pm

Holy เขียน: โปรดจำความจริงข้อนี้ไว้เสมอ

คริสตศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งหนังสือ แต่เป็นศาสนาแห่งความรักและความจริง

ขอพระเจ้าอวยพรครับ
และการให้อภัยด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 10:30 am

อยู่นิกายไหนก็อ่านของนิกายนั่นแหละ พระเจ้าจัดให้แบบนี้
อ่านแล้ว เชื่อแล้ว ทำตามแล้ว ก็ขึ้นสวรรค์เหมือนกัน อิอิ
Johannes W. Pariwat

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 10:59 am

บอกตรงๆ ผมไม่ชอบ(เกลียด)คำว่านิกายมากๆ ผมขอพระเจ้าองค์เดียวพอ ทุกวันนี้ผมเริ่มรู้สึกว่า คริสตจักร(หรือพระศาสนจักรหรืออะไรก็ตามที่เค้าเรียกกัน)เป็นต้นเหตุในความวุ่นวายทางพระคัมภีร์และปัญหาต่างๆในประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่ในปัจจุบัน ยิ่งศึกษายิ่งน่าเศร้า(ผมยิ่งเป็นพวกsensativeอยู่ด้วย) แต่ก็อย่างว่า พวกเราก็ยังเป็นคนธรรมดา ต่อให้ได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า เราก็ยังเป็นคนธรรมดาที่ยังวนเวียนอยู่ในความบาปในโลกนี้(ผมก็ด้วย) ถ้าคำสอนของพระเจ้าต้องมาขึ้นกับนิกายต่างๆ มันคงน่าเศร้า ฟังแล้วคล้ายๆกับว่า เรานั่นแหล่ะ เป็นผู้สร้างพระเจ้าขึ้นมา หรือเรานั่นแหล่ะ เป็นพระเจ้าซะเอง เพราะเรานึกอยากจะเปลี่ยนแปลงพระคำของพระเจ้ายังไงก็ได้ ตามใจเรา ให้เป็นประโยชญ์กับนิกายเรามากที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 11:07 am

ขออภัยนะครับที่ใช้คำว่า "นิกาย" อาจทำให้คุณ Johannes W. Pariwat ไม่รื่นหู
แต่จะให้ใช้คำว่าอารายอ่า
Johannes W. Pariwat

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 11:15 am

ผมไม่อยากให้มีคำนี้เลย มันเหมือนการแบ่งแยกและการกีดกัน ให้เราเป็นพี่น้องคริสตชนกันดีกว่า
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 12:48 pm

Johannes W. Pariwat เขียน: ผมไม่อยากให้มีคำนี้เลย มันเหมือนการแบ่งแยกและการกีดกัน ให้เราเป็นพี่น้องคริสตชนกันดีกว่า
เราไม่สามารถไปลบล้างอดีต ที่ทำอย่างนั้นกันมาแล้วได้ :cheesy: แต่รุ่นของเราคือรุ่นของการคืนดี
และรวมพระกายให้อยู่กันได้ในท่ามกลางหลากหลาย ยอมรับในส่วนที่เหมือน ให้เกียรติในส่วนที่แตกต่างกัน งับ :afro:
Johannes W. Pariwat

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 12:49 pm

ถุๆๆๆ...ถูกต้องแล้วคร้าบบบบบ...............
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 12:51 pm

Johannes W. Pariwat เขียน: ถุๆๆๆ...ถูกต้องแล้วคร้าบบบบบ...............
ขอบคุณคร้าบ :cheesy: ขออำลาเข้าห้องสอบก่อน งับ :tongue:
Johannes W. Pariwat

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 1:08 pm

แต่อันว่าในโลกแห่งเป็นจริงแล้ว(ที่ผมเจอมาจริงๆกับตัวเองนะ)ดูเหมือนไม่ค่อยเป็นแบบนั้นนะ ไม่รู้ว่าเป็นผมคนเดียวหรือเปล่า ครั้งแรกเลยที่ผมเริ่มมาสนใจศาสนาคริสต์(ตอนม.6)ผมไปวัดคาธอลิกแห่งหนึ่งย่านรังสิต ผมแฮปปี้กับที่นี่มากๆ ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนในชีวิต ข่าวประเสริฐจากพระเจ้า แต่พอผมเข้ามหาวิทยาลัย ผมไปร่วมกับโบสถ์โปรแตสแตนท์แห่งหนึ่งย่านรามคำแหง ไม่ใช่เพราะผมไม่ศรัทธาวัดคาธอลิกในตอนนั้น แต่บังเอิญเพราะตอนผมไปปฐมนิเทศน์ที่มหาลัย ผมโดนชักชวนให้ไปร่วมค่ายภาษาอังกฤษกับคริสตจักรนั้น ผมก็ไปด้วย แต่ระหว่างที่ผมร่วมค่ายอยู่นั้น ผมได้พบกับบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน การแบ่งแยกทางนิกายในศาสนาคริสต์ ผมบอกกับเพื่อนๆที่นั่นว่า ก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ผมเคยอยู่โบสถ์คาธอลิกมาก่อน นั่นทำให้ผมโดนค่อนแคะมาตลอดว่า(ด้วยคำพูดที่ผมรู้สึกว่ารุนแรงมาก เพราะตอนที่ผมเข้ามารู้จักศาสนาคริสต์ใหม่ ผมมองว่ามันสวยหรูไปซะทุกอย่าง แต่ที่ใหนได้ เฮ้อ... พูดไปแล้วเศร้า) พอบางครั้งผมกลับไปเยี่ยมวัดคาธอลิกที่ผมเคยไปตอนอยู่ม.ปลาย แล้วเล่าให้เพื่อนๆที่นั่นฟังว่าตอนนี้ผมทำงานเป็นสตาฟของคริสตจักรแห่งหนึ่งอยู่ ผมก็โดนพูดจาค่อนแคะอีก เหมือนกับว่า โปรแตสแตนท์ตราหน้าผมว่าเป็นพวกคาธอลิก คาธอลิกตราหน้าผมว่าเป็นพวกโปรแตสแตนท์ ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าบอกว่า " กรูไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ " (โทษทีที่พูดไม่ไพเราะเสนาะหู ผมเป็นคนหยาบคายแบบนี้แหล่ะ ตอนผมเรียนพระคัมภีร์ อาจารย์ตั้งฉายาผมว่า " ฮันการ์แห่งไทยแลนด์ ")
Johannes W. Pariwat

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 2:09 pm

sakda88 เขียน:
Holy เขียน: โปรดจำความจริงข้อนี้ไว้เสมอ

คริสตศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งหนังสือ แต่เป็นศาสนาแห่งความรักและความจริง

ขอพระเจ้าอวยพรครับ
และการให้อภัยด้วย

เหรอครับ ผมคิดว่าคริสตศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเชื่อในพระเจ้าพระบิดา พระบุตร(พระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซะอีก และถ้าคุณไม่ได้รู้สิ่งเหล่านี้มาจากหนังสือ(พระคัมภีร์ไบเบิ้ล) แล้วคุณรู้มาจากใหน จากบาทหลวง? จากวัด? แล้วเค้าเหล่านั้นไม่ได้เรียนสิ่งเหล่านี้จากพระคัมภีร์มาสอนพวกเราเหรอ ผมไม่ได้นับถือหนังสือเล่มนี้เป็นพระเจ้า(มันก็แค่กระดาษที่มีหมึกเปื้อนอยู่เป็นตัวหนังสือมากมาย) แต่มันเป็นเข็มทิศที่ชี้ทางเราไปยังทางที่ถูกต้อง พระศาสนจักรช่วงที่จมดิ่งสุดกู่ ก็มีเหตุมาจากคริสตชนขาดการอ่านพระคัมภีร์ให้เข้าใจด้วยตนเองนี่แหล่ะ พอพระสันตะปาปา(ในสมัยนั้น สมัยนี้คงไม่มีแบบนั้นแล้ว ขอบคุณพระเจ้า) บอกว่าไปทำสงครามกับพวกซาราเซ็นเป็นหนทางแห่งการไปสวรรค์ ผู้คนที่ไม่รู้อีดโหน่อีเหน่ ก็แห่กันไป อย่าว่าแต่ยอมหันแก้มอีกข้างให้โดนตบเลย นี่ไปทั้งฆ่า ข่มขืน เผาบ้านเผาเมือง และอีกสารพัดบรรยายไม่จบ แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว ผมมักจะคิดเสมอว่าพระเจ้าอนุญาติให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในอดีตเพื่อให้คนในยุคปัจจุบันอย่างเราได้เรียนรู้ เรียนรู้ไว้เถอะครับ ถ้าเราเพิกเฉยต่อนำหมึกที่เปอะเปลื้อนอยู่บนกระดาษที่เย็บรวมกันแล้ว เราเรียกว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ ผลมันจะเป็นยังไง หนังสือนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง(หรืออาจจะโดนเปลี่ยนมาแล้วมั่งหว่า สังคยานาบ่อยจัง) แต่คน(คริสตจักรหรือพระศาสนจักรตามแต่เค้าจะเรียกกัน)อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่ผมว่าชัวส์สุดๆ คือพระเจ้าเลยครับ (แต่มันแย่ตรงที่ พระองค์ไม่พูดกับเราตรงๆนี่สิ เราเลยยังต้องพึ่งหนังสือและครัสตจักรหรือพระศาสนจักรตามแต่เค้าจะเรียกกัน)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 2:21 pm

หากท่านอ่าน เพื่อจิตใจของท่านพากเพียรที่เพียงจะเข้าใจ...ท่านจะไม่มีสันติในวิญญาณ เหตุว่าพระเป็นเจ้าอยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ เว้นแต่ทรงโปรดให้เข้าใจเท่านั้น
หากท่านอ่าน เพื่อปากของท่านเพียงจะพูดว่ารู้จักพระเยซู...ท่านก็ไม่ต่างอะไรจากผีร้ายที่พระเยซูบังคับให้เงียบเสียงลง
หากท่านอ่าน เพื่อสมองของท่านจะประลองความรู้กับผู้อื่น...ท่านกฌไม่ต่างแรกับมารที่ประจญพระเยซูเลยแม้เพียงนิด

จงอ่านเพื่อจะได้เชื่อ และไว้ใจ ให้เรามั่นใจว่าเราสามารถมอบจิตวิญญาณเราไว้ในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า แล้วเราจะไม่พินาศ

อย่ากลัวเมื่อลิ้น และมือของมนุษย์ทำให้ท่านเจ็บช้ำทั้งกาย และใจ เหตุว่ามนุษย์ไม่อาจพรากวิญญาณผู้หนึ่งผู้ใดไปจากพระเจ้าได้ หากพระองค์ยังอยู่กับเขา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 4:51 pm

Johannes W. Pariwat เขียน:
sakda88 เขียน:
Holy เขียน: โปรดจำความจริงข้อนี้ไว้เสมอ

คริสตศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งหนังสือ แต่เป็นศาสนาแห่งความรักและความจริง

ขอพระเจ้าอวยพรครับ
และการให้อภัยด้วย

เหรอครับ ผมคิดว่าคริสตศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเชื่อในพระเจ้าพระบิดา พระบุตร(พระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซะอีก
" พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า "เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต
ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา "
ยน14:6

"ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก "
1ยน 4:8
sakda88
โพสต์: 317
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 30, 2005 11:52 am
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 7:40 pm

Johannes W. Pariwat เขียน: แต่อันว่าในโลกแห่งเป็นจริงแล้ว(ที่ผมเจอมาจริงๆกับตัวเองนะ)ดูเหมือนไม่ค่อยเป็นแบบนั้นนะ ไม่รู้ว่าเป็นผมคนเดียวหรือเปล่า ครั้งแรกเลยที่ผมเริ่มมาสนใจศาสนาคริสต์(ตอนม.6)ผมไปวัดคาธอลิกแห่งหนึ่งย่านรังสิต ผมแฮปปี้กับที่นี่มากๆ ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนในชีวิต ข่าวประเสริฐจากพระเจ้า แต่พอผมเข้ามหาวิทยาลัย ผมไปร่วมกับโบสถ์โปรแตสแตนท์แห่งหนึ่งย่านรามคำแหง ไม่ใช่เพราะผมไม่ศรัทธาวัดคาธอลิกในตอนนั้น แต่บังเอิญเพราะตอนผมไปปฐมนิเทศน์ที่มหาลัย ผมโดนชักชวนให้ไปร่วมค่ายภาษาอังกฤษกับคริสตจักรนั้น ผมก็ไปด้วย แต่ระหว่างที่ผมร่วมค่ายอยู่นั้น ผมได้พบกับบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน การแบ่งแยกทางนิกายในศาสนาคริสต์ ผมบอกกับเพื่อนๆที่นั่นว่า ก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ผมเคยอยู่โบสถ์คาธอลิกมาก่อน นั่นทำให้ผมโดนค่อนแคะมาตลอดว่า(ด้วยคำพูดที่ผมรู้สึกว่ารุนแรงมาก เพราะตอนที่ผมเข้ามารู้จักศาสนาคริสต์ใหม่ ผมมองว่ามันสวยหรูไปซะทุกอย่าง แต่ที่ใหนได้ เฮ้อ... พูดไปแล้วเศร้า) พอบางครั้งผมกลับไปเยี่ยมวัดคาธอลิกที่ผมเคยไปตอนอยู่ม.ปลาย แล้วเล่าให้เพื่อนๆที่นั่นฟังว่าตอนนี้ผมทำงานเป็นสตาฟของคริสตจักรแห่งหนึ่งอยู่ ผมก็โดนพูดจาค่อนแคะอีก เหมือนกับว่า โปรแตสแตนท์ตราหน้าผมว่าเป็นพวกคาธอลิก คาธอลิกตราหน้าผมว่าเป็นพวกโปรแตสแตนท์ ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าบอกว่า " กรูไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ " (โทษทีที่พูดไม่ไพเราะเสนาะหู ผมเป็นคนหยาบคายแบบนี้แหล่ะ ตอนผมเรียนพระคัมภีร์ อาจารย์ตั้งฉายาผมว่า " ฮันการ์แห่งไทยแลนด์ ")
ณ เวลานี้ เรามีเพียงสิ่งเดียวที่จะขอจากลูกก็คือ  จงเปิดใจของลูกและทำความเข้าใจกับความรักของเราให้ถ่องแท้เถิด  เพื่อว่าความรักนั้นจะได้เจริญเติบโตอยู่ในตัวลูก เราขอเพียงเท่านี้ลูกทั้งหลายจะทำให้เราได้หรือไม่?

หากทุกคนร่วมใจกัน ความรักอันแท้จริงนี้จะค่อยๆเบ่งบานออกไป จากตัวของลูกไปสู่พี่น้อง ญาติ มิตรสหาย และบุคคลรอบข้าง  จากบ้านหนึ่งจะแพร่ออกไปอีกบ้านหนึ่ง  และในที่สุดเมื่อทุกที่มีแต่ความรักให้แก่กัน  สันติสุขก็จะเป็นของลูกๆทุกคนตั้งแต่ในโลกนี้แล้ว

6 เมษายน 2007 เวลา 03.43-04.26น. สารแม่พระผู้เห็นอกเห็นใจฯ

ลูกรัก  เรา  บุตรแห่งพระเจ้าได้มาอยู่ต่อหน้าลูกแล้วในวันนี้  ลูกได้เข้าใจถึงความรักของเราดีแล้วหรือยัง?  ความรักที่มีแต่การให้อภัย  ผู้ที่ให้เท่านั้นจะมีแต่สันติสุข  เหตุว่าลูกจะมีแต่ความยินดีเบิกบานใจเมื่อได้เห็นผู้ที่ทุกข์ระทมกลับชุ่มชื่น  เสียงร้องไห้คร่ำครวญกลับกลายเป็นความยินดีปรีดา  ผู้ที่ได้รับการให้อภัยเท่านั้นจักเข้าใจถึงความรื่นเริงยินดีอันนี้

17 มิถุนายน 2007  เวลา 20.20-20.40 น.สารแม่พระผู้เห็นอกเห็นใจฯ

ลูกรัก  ในโลกนี้ยังีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ลูกมิอาจเข้าใจได้  ขอลูกจงอย่าได้กังวลไปเลย  หากลูกยอมเลือกที่จะไม่ทำตามน้ำใจของตนเอง  เสียสละและแบ่งปันความรักของลูกให้กับบุคคลรอบข้างแล้ว  ความดีอันนี้ก็จะกลับมาตอบแทนลูกเช่นกัน 

27พฤษภาคม 2007  เวลา 03.10-03.40 น.สารแม่พระผู้เห็นอกเห็นใจฯ

จะมีประโยชน์อันใดที่ต่อหน้าผู้คนนั้นลูกได้แสดงตนเป็นคนดีน่าสรรเสริญ  แต่ในดวงใจของลูกปราศจากความรักและการให้อภัย  จงอย่าให้ความหยิ่งจองหองมาบดบังความจริงอันมิอาจปฏิเสธได้เลย  เหตุว่า  เมื่อเวลาที่ลูกต้องมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของบิดาแห่งเรา  ลูกมิสามารถบิดเบือนความจริงใดๆได้เลย
 
17 มิถุนายน 2007  เวลา 20.20-20.40 น.สารแม่พระผู้เห็นอกเห็นใจฯ

ลูกที่รักทั้งหลาย  จงอย่าได้กลัวเลยกับเหตุการณ์ในภายหน้า  ด้วยความศรัทธาที่ลูกมี  พระบิดาเจ้าสวรรค์จะทรงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกเอง  จงวางใจเถิด

ขอให้ลูกจงจำไว้เถิดว่า  ไม่มีสิ่งใดที่จะมีอานุภาพมากไปกว่าความรักอันแท้จริงเท่านั้น  และด้วยความรักนี้จะก่อให้เกิดความสมานสามัคคี และมีสันติสุขได้ในที่สุด

24 มิถุนายน 2007  เวลา 03.10-03.35 น.
Johannes W. Pariwat

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 8:36 pm

ขอบคุณมากครับ สำหรับคำหนุนใจและความอดทนต่ออารมณ์เกรี้ยวกราดของผมในการตอบกระทู้ของผม แบบว่าผมโดนเหยียบหน้ามานาน แต่จริงๆแล้ว ผมไม่โกรธหรอก อย่างน้อยก็พยายามบอกตัวเองว่า จงอย่าโกรธ จริงๆแล้ว ผมเป็นคนไม่ชอบเถียงกับใครเรื่องศาสนศาสตร์อะไรทำนองนี้หรอก (แบบว่ารู้ตัวว่าตัวเองโง่น่ะ) ผมไม่อยากได้ความรู้อะไรที่วุ่นวายอยู่ในหัว ยิ่งรู้มากยิ่งทุกข์มาก บางครั้งไม่รู้อะไรเลยจะดีกว่า ผมเห็นอะไรมามาก(มากเกินไปแล้ว) จนตอนนี้มาคิดได้ว่า สู้ไม่มีตาได้เห็นตั้งแต่ตอนแรกจะยังดีซะกว่า ตอนนี้ผมต้องการแค่ความสงบและสันติสุขจากพระเจ้าเท่านั้น
ตอบกลับโพส