คำแถลงของสภาสังคายนา วาติกันที่2
เรื่อง ความสัมพันธ์แห่งพระศาสนจักร กับบรรดาศาสนาที่มิใช่คริสตศาสนา
Nortra Aetate
1.ในสมัยของเรานี้ มนุษยชาติสนิทใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น และชาติต่างๆ ยิ่งมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น พระศาสนจักรพิจารณา
ด้วยความสนใจยิ่งขึ้นว่า ตนมีความสัมพันธ์อย่างไร กับศาสนาที่มิใช่คริสตศาสนาเนื่องจากมีภาระหน้าที่
ที่ต้องส่งเสริมเอกภาพและความรักระหว่างมนุษย์ และแม้ระหว่างชาติต่างๆ พระศาสนจักรชอพิจารณาในที่นี้ก่อนว่า
มนุษย์มีอะไรร่วมกัน ?และมีอะไรชักจูงมนุษย์ ให้มาร่วมชีวิตเป็นมิตรกัน ?
ด้วยว่าชนทุกชาติเป็นประชาคมเดียวกัน ชนทุกชาติมีต้นกำเนิดอันเดียวกัน เพราะ....
" พระเป็นเจ้าให้มนุษยชาติ ทั้งมวลอาศัยอยู่บนพื้นพิภพ "(เทียบ กจ.17:26 )
" ชนทุกชาติ มีจุดหมายปลายทางอันเดียวกัน คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เอาพระทัยสอดส่อง แสดงพระทัยดี
และตั้งพระทัยช่วยมนุษย์ทุกคนให้เอาตัวรอด" (เทียบ ปชญ.8:1;กจ.14:17;รม.2:6-7;1ทธ.2:4)
" จนกว่าบรรดาผู้ได้รับเลือกสรรจะชุมนุมอยู่ร่วมกันในสันตินคร ซึ่งสุกใสด้วยสิริโรจนาการของพระเป็นเจ้า
และประชาชนทุกชาติจะเดินตามแสงโชติช่วงของพระองค์ (เทียบ วว.)
มนุษย์ทั้งหลายคอยให้มวลศาสนาตอบปัญหาต่างๆ ซึ่งยังคงซ่อนเร้นอยู่ เกี่ยวกับสภาพของมนุษย์ในอดีตก็เหมือนในปัจจุบัน
ที่ทำให้หัวใจมนุษย์ปั่นป่วนวุ่นวายอย่างหนักหน่วงอยู่ เช่น....
มนุษย์เป็นอะไร ?
ความหมายและจุดหมายของชีวิตคืออะไร ?
ความดีคืออะไร ?และบาปคืออะไร ?
ต้นกำเนิดและจุดหมายของทุกข์คืออะไร ?
อะไร?เป็นหนทางสำหรับบรรลุถึงความสุขแท้ ? ความตาย การพิพากษาและการรับรางวัล
และการรับรางวัลตอบแทนหรือรับโทษเมื่อตายแล้ว คืออะไร ?
ที่สุด อัตถ์ลึกลับประการสุดท้ายที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก เกี่ยวกับชีวิตของเรา ซึ่งเราถือกำเนิด
และกำลังเดินมุ่งไปหานั้น เป็นอะไร ?
2.ศาสนาต่างๆที่มิใช่คริสตศาสนา
ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ที่สุดจนถึงทุกวันนี้ เราเห็นว่าในชนชาติต่างๆ มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ถึงพลังอันเร้นลับ ซึ่งอยู่ในกระแส
สิ่งของ และเหตุการณ์ของชีวิตมนุษย์ บางครั้งก็มีกระทั่งการยอมรับนับถือพระเจ้าสูงสุด หรือพระบิดา ความรู้สึกและรับรู้เช่นนี้
ทำให้ชีวิตของเราซาบซ่านไปด้วยความสำนึกในเรื่องศาสนาอย่างลึกซึ้ง ส่วนบรรดาศาสนาที่กี่ยวโยงกับวัฒนธรรมเจริญขึ้น ก็พยายามจะ
ตอบปัญหาเห่านั้น ด้วยความรู้สึกที่ละเอียดกว่า และภาษาพูดที่กล่อมเกลาดีกว่า
ดังนั้นในศาสนาฮินดูมนุษย์พยายามไตร่ตรองช้อลึกลับเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า และอธิบายออกมาเป็นนิยายมากมายไม่รู้จบ
กับพยายามค้นคว้าทางปรัชญา เขาแสดงความรอดพ้นจากความกระวนกระวายแห่งสภาพมนุษย์ของเรา ด้วยการเจริญชีวิตอย่าง
เคร่งครัดแบบต่างๆบ้าง ด้วยการพิจารณารำพึงอย่างซาบซึ้งบ้าง ด้วยการหลบพักพิงในพระเจ้าโดยความรัก ความไว้ใจบ้าง
ในพุทธศาสนา ตามที่ยอมรับว่า โลกที่เปลี่ยนแปลงมานี้ไม่เที่ยงแท้เลย และสอนหนทางที่มนุษย์อาจเดินไปถึงสภาพที่หลุดพ้น
เป็นอิสระอย่างแท้จริงได้ด้วยจิตใจศรัทธาและไว้ใจ หรือบรรลุถึงความรู้แจ้งอย่างสูงสุดด้วยความพยายามของตน หรือด้วยความช่วยเหลือ
ที่มาจากเบื้องบน เช่นเดียวกันในศาสนาอื่นๆทั่วไปในโลก พยายามจะแก้ความกระวนกระวายใจของหัวใจมนุษย์ด้วยวิธีต่างๆ โดยเสนอ
" มรรค " หลาย "มรรค" ซึ่งได้แก่พระธรรม คำสอน กฎชีวิต และจารีตพิธีศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ปัดสิ่งใดที่จริงและศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาเหล่านี้ พระศาสนจักรพิจารณา
ด้วยความเคารพอย่างจริงใจ ซึ่งวิธีปฏิบัติและดำรงชีวิต ตลอดจนกฎและพระธรรมคำสอนเหล่านี้ ถึงแม้จะผิดกับที่ตนเองถือ
หรือสอนหลายประการ แต่บ่อยครั้ง ก็นำแสงจากองค์ความจริงมาให้ ซึ่งฉายส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน อย่างไรก็ตามพระศาสนจักรประกาศและมี
พันธะที่จะไม่หยุดยั้งประกาศองค์พระคริสตเจ้า ซึ่งทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ( เทียบ ยน.14:6 )
ในพระองค์นั้น มนุษย์ต้องพบชีวิตทางศาสนาอย่างเต็มเปี่ยม และในพระองค์นั้นพระเป็นเจ้าทรงได้รับทุกสิ่งกลับมาคืนดีกับพระองค์
(เทียบ 2 คร.5:18-19)
ฉะนั้น พระศาสนจักรจึงขอเตือนลูกๆให้รับรู้ ป้องกัน และทำให้คุณค่าทางจิตใจ
ทางศีลธรรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีอยู่ในตัวตนคนต่างศาสนาเหล่านี้ ให้ลูกๆทำเช่นนี้ โดยการติดต่อ เสวนา
ร่วมมือกับผู้ถือศาสนาอื่น ด้วยความรักและฉลาดรอบคอบ แสดงความเชื่อและเจริญชีวิตคริสตชน
(มีต่อ)
คำแถลงของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่อง
ศาสนาพุทธบอกว่า
มนุษย์เป็นเวไนยสัตว์ แปลว่า สัตว์ผู้ควรแก่การแนะนำสั่งสอน สัตว์ที่พึงแนะนำได้ สัตว์ที่พอดัดได้สอนได้
คริสต์บอกว่า
มนุษย์เป็นสิ่งสร้างตามพระฉายาของพระ
ฯลฯ
พลาโตบอกว่า
ความดีคือความรู้
Virtue is knowledge
ฯลฯ
น้องจ๋ากระทู้น้องนี้เรียนถึง
ป.เอกยังไม่จบเลยนะ
มนุษย์เป็นเวไนยสัตว์ แปลว่า สัตว์ผู้ควรแก่การแนะนำสั่งสอน สัตว์ที่พึงแนะนำได้ สัตว์ที่พอดัดได้สอนได้
คริสต์บอกว่า
มนุษย์เป็นสิ่งสร้างตามพระฉายาของพระ
ฯลฯ
พลาโตบอกว่า
ความดีคือความรู้
Virtue is knowledge
ฯลฯ
น้องจ๋ากระทู้น้องนี้เรียนถึง
ป.เอกยังไม่จบเลยนะ
ผไกร เขียน: ศาสนาพุทธบอกว่า
มนุษย์เป็นเวไนยสัตว์ แปลว่า สัตว์ผู้ควรแก่การแนะนำสั่งสอน สัตว์ที่พึงแนะนำได้ สัตว์ที่พอดัดได้สอนได้
คริสต์บอกว่า
มนุษย์เป็นสิ่งสร้างตามพระฉายาของพระ
ฯลฯ
พลาโตบอกว่า
ความดีคือความรู้
Virtue is knowledge
ฯลฯ
น้องจ๋ากระทู้น้องนี้เรียนถึง
ป.เอกยังไม่จบเลยนะ
งั้นต้องรีบต่อ เวลามีน้อย....เดี๋ยวไม่ถึง ป.เอก
ศาสนาอิสลาม
3.พระศาสนจักรยังเพ่งพินิจดูผู้ถือศาสนามุสลิมด้วยความนับถือ เขานมัสการพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงชีวิตและดำรงอยู่
มีพระทัยเมตตาและทรงฤทธิ์ทุกประการ เป็นผู้สร้างสวรรค์และแผ่นดินและได้ตรัสแก่มนุษย์ เขาพยายามด้วยสิ้นสุดจืตใจที่นอบน้อมต่อประกาศิต แม้ที่หยั่งรู้ไม่ถึงของพระเป็นเจ้าเหมือนดังที่ท่านอับราฮัม ตามความเชื่อของชาวมุสลิมและชอบอ้างอิง
ถึงว่าท่านได้อ่อนน้อมต่อพระเป็นเจ้ามาแล้ว แม้ว่าเขาไม่ยอมรับนับถือพระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้า แต่เขานับถือ
พระองค์เป็นประกาศก เขาเคารพพระนางมารีย์พระมารดาพรหมจารีของพระองค์ และบางครั้งยังวิงวอนขอพระนางด้วความ
เลื่อมใสศรัทธาอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นเขาคอยวันพิพากษาซึ่งในวันนั้นพระเป็นเจ้าจะทรงปูนบำเหน็จ หรือลงโทษมนุษย์ที่กลับฟื้นคืน
ชีวิตขึ้นมา เพราะฉะนั้นเขายกย่องการดำรงชีวิตอย่างมีศีลมีสัตย์ และถวายคารวกิจแด่พระเป็น เป็นต้นการภาวนา
ทำบุญให้ทาน และอดอาหาร
ถ้าหากว่าในศตวรรษก่อนๆนี้ ได้เกิดความบาดหมางและความเป็นศัตรูระหว่างคริสตศาสนิกชนกับชาวมุสลิมหลายครั้ง
หลายหนสภาสังคายนานี้ ขอเตือนทั้งสองฝ่าย ให้ลืมเรื่องในอดีตเสียและให้พยายามที่จะทำความ
เข้าใจอย่างจริงใจ ตลอดจนร่วมกันคุ้มครองและส่งเสริมความยุติธรรมในสังคม คุณค่าทางศีลธรรม และอิสรภาพ
เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทุกคน
( ศาสนายิว ")
แก้ไขล่าสุดโดย ignatius เมื่อ จันทร์ เม.ย. 21, 2008 8:08 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
รออ่านและรอเสริมทีเดียวครับ
หนุ่มคาทอลิกคนหนึ่งได้ลืมเรื่องในอดีตignatius เขียน: ถ้าหากว่าในศตวรรษก่อนๆนี้ ได้เกิดความบาดหมางและความเป็นศัตรูระหว่างคริสตศาสนิกชนกับชาวมุสลิมหลายครั้งหลายหน
สภาสังคายนานี้ ขอเตือนทั้งสองฝ่าย ให้ลืมเรื่องในอดีตเสียและให้พยายามที่จะทำความเข้าใจอย่างจริงใจ ตลอดจน
ร่วมกันคุ้มครองและส่งเสริมความยุติธรรมในสังคม คุณค่าทางศีลธรรม และอิสรภาพ เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทุกคน
ไปหลงรักสาวมุสลิมเข้า
เพราะมั่นใจในรัก จึงไปขอพบพ่อแม่สาวและอาจารย์สอนศาสนา (โต๊ะอิหม่าม)
แต่ถูกปฏิเสธ เขาก็อ้างคัมภีร์อัลกุลอานห์ ว่า
"เจ้าอย่ายกลูกสาวของเจ้าให้คนที่ไม่นับถือพระเจ้า"
ผมก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวกับท่าน ท่านควรจะยกลูกสาวให้ผม
เขาตอบว่าพระเจ้าเดียวกันแต่ต่างศาสนา ยกให้ไม่ได้
(อาจจะ ยังมีต่อ)
ศาสนายิว
4.เมื่อใคร่ครวญดูเหตุการณ์ลึกลำ้เรื่องพระศาสนจักร สภาสังคายนาระลึกถึงสายสัมพันธ์ฝ่ายจิตที่ผูกโยงประชากร
แห่งพันธสัญญาใหม่กับเชื้อสายของอับราฮัม
แท้จริง พระศาสนจักรของพระคริสตเจ้ารับว่า ตามแผนการลำ้ลึกของพระเป็นเจ้า เรื่อง
ความรอด ความเชื่อ และการได้รับเลือกสรรของพระสาสนจักรมีต้นเดิม มาจากบรรดาอัยกา โมเสสและบรรดาประกาศก
พระศาสนจักรขอรับว่า สัตบุรุษทุกคนของพระคริสตเจ้าซึ่งเป็นบุตรของอับราฮัม ตามความเชื่อนั้น ( เทียบ กท.3:7 ) ต้องนับ
รวมเข้าอยู่ในกระแสเรียกของท่านอัยกาผู้นี้ และความรอดของพระศาสนจักรก็มีรูปหมายถึงอย่างลึกซึ้งมาก่อน ด้วยการที่
ประชากรที่ได้รับเลือกสรรออกจากดินแดนที่ตนเป็นทาส
ด้วยเหตุนี้พระศาสนจักรลืมไม่ได้ว่า พระศาสนจักรได้รับการเปิดเผยในพันธสัญญาเดิมโดยอาศัยชนชาตินี้ ซึ่งพระเป็นเจ้า
ได้ทรงทำพันธสัญญาเดิมด้วย เพราะมีพระทัยเมตตาเหลือที่จะกล่าวได้ พระศาสนจักรลืมไม่ได้ว่า พระศาสนจักรเลี้ยงตัวด้วย
อาหารจากรากมะกอกที่ปลูกไว้ด้วยความทะนุถนอม มีกิ่งมะกอกป่ามาต่อซึ่งหมายถึงคนต่างศาสนา (เทียบ รม.11:17-24)
พระศาสนจักรถือว่า พระคริสตเจ้าซึ่งเป็นองค์สันติภาพของเรา ทรงใช้กางเขนของพระองค์
ทำให้พวกยิวและคนนอกศาสนากลับคืนดีกัน และทรงทำให้คนสองพวกนี้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระองค์ (เทียบ อฟ.
2:14-16)
พระศาสนจักรนึกอยู่เสมอถึงวาทะที่อัครธรรมฑูตเปาโลพุดถึงชนชาติเดียวกัน ซึ่ง" ได้รับเลือกสรรเป็นบุตรบุญธรรม ได้
รับเกียรติมงคล พันธสัญญาต่างๆ ธรรมบัญญัติ คารวกิจและพระสัญญาต่างๆ เขาสืบมาจากพระอัยกาและพระคริสตเจ้าทาง
ฝ่ายเนื้อหนัง ก็สืบมาจากพวกเขา"(รม.9:4-5)เป็นพระโอรสของพระนางพรหมจารีมารีย์
พระศาสนจักรยังขอเตือนให้สำเหนียกด้วยว่า บรรดาธรรมฑูตซึ่งเป็นรากฐานและหลักมั่นของ
พระศาสนจักร ตลอดจนศิษย์หมู่แรกเป็นจำนวนมากที่ประกาศข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้าแก่โลก ก็เกิดมาจากชนชาติยิว
ตามข้อความในพระคัมภีร์ กรุงเยรูซาเล็มไม่รู้เวลาที่พระเป็นเจ้าเสด็จมายังชาวกรุง (เทียบ ลก.19:45) พวกยิวเป็น
ส่วนมากไม่ยอมรับข่าวดี และคนยิวที่ขัดขวางมิให้ข่าวดีแพร่หลายก็มีอยู่ไม่น้อย(เทียบ รม.11:18)ถึงกระนั้นก็ดีตามความเห็น
ของอัครธรรมฑูตเปาโล เพราะเห็นแก่บรรพบุรุษของพวกยิว พวกยิวก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานยิ่งของพระเป็นเจ้า พระองค์
ประทานสิ่งใดหรือเรียกใครแล้วก็ไม่เคยนึกเสียพระทัยภายหลัง พร้อมกับบรรดาประกาศกและอัครธรรมฑูตองค์เดียวกันนี้
พระศาสนจักรคอยวันที่พระเป็นเจ้าแต่พระองค์เดียวทรงทราบ คือวันที่ทุกๆชาติ จะอ้อนวอน
เจ้าพระคุณเป็นเสียงเดียวกัน และ "จงรับใช้พระองค์ภายใต้แอกอันเดียวกัน" (เทียบ ปชญ.3:9;อสย.66:23;สดด.65:4;รม.
11:11-32) โดยที่พวกคริสตชนและพวกยิวมีมรดกฝ่ายจิตใจที่ประเสริฐยิ่งร่วมกันฉะนี้ พระสังคายนาใคร่ขอเตือนและกำชับให้
ทั้งสองฝ่ายทำความรู้จัก และมีความเข้าใจ นับถือกันและกัน ทั้งสองสิ่งนี้จะเกิดขึ้นด้วยการศึกษาพระคัมภีร์และเทวศาสตร์ กับ
ด้วยการเจรจา สังสรรค์กันอย่างฉันท์พี่น้อง เป็นต้น
แม้ผู้มีอำนาจของชาวยิวบางคนกับพรรคพวก ผู้ให้ประหารชีวิตพระคริสตเจ้าก็ดี (ดู ยน.19:6)แต่สิ่งที่เขาได้กระทำใน
ระหว่างการรับทรมานของพระองค์นั้น จะยกมาเอาผิดกับชาวยิวทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้นโดยไม่เลือก หรือชาวยิวในสมัยนี้
หาได้ไม่ ถ้าหากเป็นความจริงว่าพระศาสนจักรเป็นประชากรใหม่ของพระเป็นเจ้า ก็ไม่ควรจะถือว่าชาวยิวเป็นผู้ที่พระเป็นเจ้า
ประณามและสาปแช่งเหมือนกับว่าเป็นผลจากพระคัมภีร์
ฉะนั้น เวลาอธิบายคำสอนและเทศน์สอนพระวาจาของพระเป็นเจ้า ขอให้ทุกคนระวังอย่า
สอนอะไรที่ผิดต่อความจริงเรื่องข่าวดีและจิตตารมณ์ของพระคริสตเจ้า
นอกจากนี้ พระศาสนจักรไม่ชอบกับการเบียดเบียน รังแกมนุษย์ ทุกชาติชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็น
ใครก็ตาม เนื่องจากไม่สามารถจะลืมมรดกซึ่งมีร่วมกันกับชาวยิว กับทั้งกระตุ้นเตือนมิใช่ด้วยเหตุผลทางการเมือง
[uแต่ด้วยความรักตามแบบที่พระวรสารสอน[/u]
พระศาสนจักรขอประณามความเกลียดชัง การเบียดเบียนข่มเหงและการแสดงเป็น
ปฏิปักษ์ต่อชาติเสมิติก ซึ่งกระทำต่อชนชาติยิวทุกครั้ง ไม่ว่าจะกระทำในสมัยใดและใครเป็นผู้กระทำก็ตาม
อนึ่งตามที่พระศาสนจักรเคยเชื่อเสมอและยังเชื่ออยู่ว่า พระคริสตเจ้าเป็นความรักอัน
ใหญ่หลวงหาที่สุดมิได้ ทรงยอมรับทรมานและสิ้นพระชนม์ เพราะบาปของมนุษย์ทุกคน และเพื่อ
ให้มนุษย์ทุกคนบรรลุถึงความรอด ฉะนั้น หน้าที่ของพระศาสนจักรในการประกาศเทศน์ จึงต้องประกาศว่า
กางเขนของพระคริสตเจ้า เป็นเครื่องหมาย แสดง ความรักของพระเป็นเจ้าและบ่อเกิดแห่ง
พระคุณทั้งปวง
ภราดรภาพสากลไม่ยอมให้มีการแบ่งแยกใดๆทั้งสิ้น
5. เราวิงวอนขอพระเป็นเจ้า พระบิดาของมนุษย์ทุกคน ถ้าหากเราไม่ยอมประพฤติตนฉันท์
พี่น้องต่อเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าใคร เพราะพระเป็นเจ้าสร้างเขามาตามพระฉายาของพระองค์ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับ
พระเป็นเจ้าผู้เป็นพระบิดาและความสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยกันนั้น มีความเกี่ยวโยงถึงกันอย่างแน่นแฟ้น จนพระคัมภีร์กล่าวว่า
" ผู้ใดไม่รัก ก็ไม่รู้จักพระเป็นเจ้า " (1ยน.4:8)
ดังนี้ ก็เท่ากับเป็นการโค่นทำลายรากฐานของทฤษฎี หรือการปฏิบัติใดๆที่ถือ การแบ่งแยกระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และ
ระหว่างชาติกับชาติในเรื่องศักดิ์ศรีและสิทธิต่างๆที่เกิดจากศักดิ์ศรีนั้น ฉะนั้น พระศาสนจักร
ขอประณามว่า การแบ่งแยกหรือเบียดเบียนรังแกใดๆที่กระทำต่อมนุษย์เพราะเรื่องชาติ ผิว ชั้น และศาสนาของเขานั้น เป็นการ
ผิดต่อจิตตารมณ์ ของพระคริสตเจ้า
ด้วยเหตุนี้ ตามรอยของอัครธรรมฑูตเปโตรและเปาโล สภาสังคายนา ขอวิงวอน
บรรดาสัตบุรุษของพระคริสตเจ้าอย่างเร่าร้อน ให้ "ประพฤติตนให้เป็นที่น่าเคารพนับถือท่ามกลางชนชาติอื่น" (1ปต.2:12)
และถ้าเป็นไปได้ ขอให้อยู่เป็นปกติสุข กับเพื่อนมนุษย์ทุกคนเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะเป็นบุตรแท้ของพระบิดาผู้ทรงสถิตย์อยู่ใน
สวรรค์.
ข้อความแต่ละข้อทั้งสิ้รที่ประกาศไว้ในสังฆธรรมนูญฉบับนี้ บรรดาปิตาจารย์ได้เห็นชอบแล้วนั้น อาศัยอำนาจของ
ท่านอัครธรรมฑูตซึ่งเราได้รับมอบจากพระคริสตเจ้า เราพร้อมกับบรรดาปิตาจารย์ที่เคารพเหล่านี้ในพระจิตเจ้า จึงเห็นชอบ
กำหนดและตราไว้ และสิ่งใดที่สภาสังคายนา ได้ตราขึ้น เราสั่งให้ประกาศใช้เพื่อเป็นเกียรติแด่พระเป็นเจ้า
กรุงโรม ณ วิหารนักบุญเปโตร
วันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1965
เรา-เปาโล สังฆราชแห่งพระศาสนจักรคาทอลิก
4.เมื่อใคร่ครวญดูเหตุการณ์ลึกลำ้เรื่องพระศาสนจักร สภาสังคายนาระลึกถึงสายสัมพันธ์ฝ่ายจิตที่ผูกโยงประชากร
แห่งพันธสัญญาใหม่กับเชื้อสายของอับราฮัม
แท้จริง พระศาสนจักรของพระคริสตเจ้ารับว่า ตามแผนการลำ้ลึกของพระเป็นเจ้า เรื่อง
ความรอด ความเชื่อ และการได้รับเลือกสรรของพระสาสนจักรมีต้นเดิม มาจากบรรดาอัยกา โมเสสและบรรดาประกาศก
พระศาสนจักรขอรับว่า สัตบุรุษทุกคนของพระคริสตเจ้าซึ่งเป็นบุตรของอับราฮัม ตามความเชื่อนั้น ( เทียบ กท.3:7 ) ต้องนับ
รวมเข้าอยู่ในกระแสเรียกของท่านอัยกาผู้นี้ และความรอดของพระศาสนจักรก็มีรูปหมายถึงอย่างลึกซึ้งมาก่อน ด้วยการที่
ประชากรที่ได้รับเลือกสรรออกจากดินแดนที่ตนเป็นทาส
ด้วยเหตุนี้พระศาสนจักรลืมไม่ได้ว่า พระศาสนจักรได้รับการเปิดเผยในพันธสัญญาเดิมโดยอาศัยชนชาตินี้ ซึ่งพระเป็นเจ้า
ได้ทรงทำพันธสัญญาเดิมด้วย เพราะมีพระทัยเมตตาเหลือที่จะกล่าวได้ พระศาสนจักรลืมไม่ได้ว่า พระศาสนจักรเลี้ยงตัวด้วย
อาหารจากรากมะกอกที่ปลูกไว้ด้วยความทะนุถนอม มีกิ่งมะกอกป่ามาต่อซึ่งหมายถึงคนต่างศาสนา (เทียบ รม.11:17-24)
พระศาสนจักรถือว่า พระคริสตเจ้าซึ่งเป็นองค์สันติภาพของเรา ทรงใช้กางเขนของพระองค์
ทำให้พวกยิวและคนนอกศาสนากลับคืนดีกัน และทรงทำให้คนสองพวกนี้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระองค์ (เทียบ อฟ.
2:14-16)
พระศาสนจักรนึกอยู่เสมอถึงวาทะที่อัครธรรมฑูตเปาโลพุดถึงชนชาติเดียวกัน ซึ่ง" ได้รับเลือกสรรเป็นบุตรบุญธรรม ได้
รับเกียรติมงคล พันธสัญญาต่างๆ ธรรมบัญญัติ คารวกิจและพระสัญญาต่างๆ เขาสืบมาจากพระอัยกาและพระคริสตเจ้าทาง
ฝ่ายเนื้อหนัง ก็สืบมาจากพวกเขา"(รม.9:4-5)เป็นพระโอรสของพระนางพรหมจารีมารีย์
พระศาสนจักรยังขอเตือนให้สำเหนียกด้วยว่า บรรดาธรรมฑูตซึ่งเป็นรากฐานและหลักมั่นของ
พระศาสนจักร ตลอดจนศิษย์หมู่แรกเป็นจำนวนมากที่ประกาศข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้าแก่โลก ก็เกิดมาจากชนชาติยิว
ตามข้อความในพระคัมภีร์ กรุงเยรูซาเล็มไม่รู้เวลาที่พระเป็นเจ้าเสด็จมายังชาวกรุง (เทียบ ลก.19:45) พวกยิวเป็น
ส่วนมากไม่ยอมรับข่าวดี และคนยิวที่ขัดขวางมิให้ข่าวดีแพร่หลายก็มีอยู่ไม่น้อย(เทียบ รม.11:18)ถึงกระนั้นก็ดีตามความเห็น
ของอัครธรรมฑูตเปาโล เพราะเห็นแก่บรรพบุรุษของพวกยิว พวกยิวก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานยิ่งของพระเป็นเจ้า พระองค์
ประทานสิ่งใดหรือเรียกใครแล้วก็ไม่เคยนึกเสียพระทัยภายหลัง พร้อมกับบรรดาประกาศกและอัครธรรมฑูตองค์เดียวกันนี้
พระศาสนจักรคอยวันที่พระเป็นเจ้าแต่พระองค์เดียวทรงทราบ คือวันที่ทุกๆชาติ จะอ้อนวอน
เจ้าพระคุณเป็นเสียงเดียวกัน และ "จงรับใช้พระองค์ภายใต้แอกอันเดียวกัน" (เทียบ ปชญ.3:9;อสย.66:23;สดด.65:4;รม.
11:11-32) โดยที่พวกคริสตชนและพวกยิวมีมรดกฝ่ายจิตใจที่ประเสริฐยิ่งร่วมกันฉะนี้ พระสังคายนาใคร่ขอเตือนและกำชับให้
ทั้งสองฝ่ายทำความรู้จัก และมีความเข้าใจ นับถือกันและกัน ทั้งสองสิ่งนี้จะเกิดขึ้นด้วยการศึกษาพระคัมภีร์และเทวศาสตร์ กับ
ด้วยการเจรจา สังสรรค์กันอย่างฉันท์พี่น้อง เป็นต้น
แม้ผู้มีอำนาจของชาวยิวบางคนกับพรรคพวก ผู้ให้ประหารชีวิตพระคริสตเจ้าก็ดี (ดู ยน.19:6)แต่สิ่งที่เขาได้กระทำใน
ระหว่างการรับทรมานของพระองค์นั้น จะยกมาเอาผิดกับชาวยิวทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้นโดยไม่เลือก หรือชาวยิวในสมัยนี้
หาได้ไม่ ถ้าหากเป็นความจริงว่าพระศาสนจักรเป็นประชากรใหม่ของพระเป็นเจ้า ก็ไม่ควรจะถือว่าชาวยิวเป็นผู้ที่พระเป็นเจ้า
ประณามและสาปแช่งเหมือนกับว่าเป็นผลจากพระคัมภีร์
ฉะนั้น เวลาอธิบายคำสอนและเทศน์สอนพระวาจาของพระเป็นเจ้า ขอให้ทุกคนระวังอย่า
สอนอะไรที่ผิดต่อความจริงเรื่องข่าวดีและจิตตารมณ์ของพระคริสตเจ้า
นอกจากนี้ พระศาสนจักรไม่ชอบกับการเบียดเบียน รังแกมนุษย์ ทุกชาติชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็น
ใครก็ตาม เนื่องจากไม่สามารถจะลืมมรดกซึ่งมีร่วมกันกับชาวยิว กับทั้งกระตุ้นเตือนมิใช่ด้วยเหตุผลทางการเมือง
[uแต่ด้วยความรักตามแบบที่พระวรสารสอน[/u]
พระศาสนจักรขอประณามความเกลียดชัง การเบียดเบียนข่มเหงและการแสดงเป็น
ปฏิปักษ์ต่อชาติเสมิติก ซึ่งกระทำต่อชนชาติยิวทุกครั้ง ไม่ว่าจะกระทำในสมัยใดและใครเป็นผู้กระทำก็ตาม
อนึ่งตามที่พระศาสนจักรเคยเชื่อเสมอและยังเชื่ออยู่ว่า พระคริสตเจ้าเป็นความรักอัน
ใหญ่หลวงหาที่สุดมิได้ ทรงยอมรับทรมานและสิ้นพระชนม์ เพราะบาปของมนุษย์ทุกคน และเพื่อ
ให้มนุษย์ทุกคนบรรลุถึงความรอด ฉะนั้น หน้าที่ของพระศาสนจักรในการประกาศเทศน์ จึงต้องประกาศว่า
กางเขนของพระคริสตเจ้า เป็นเครื่องหมาย แสดง ความรักของพระเป็นเจ้าและบ่อเกิดแห่ง
พระคุณทั้งปวง
ภราดรภาพสากลไม่ยอมให้มีการแบ่งแยกใดๆทั้งสิ้น
5. เราวิงวอนขอพระเป็นเจ้า พระบิดาของมนุษย์ทุกคน ถ้าหากเราไม่ยอมประพฤติตนฉันท์
พี่น้องต่อเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าใคร เพราะพระเป็นเจ้าสร้างเขามาตามพระฉายาของพระองค์ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับ
พระเป็นเจ้าผู้เป็นพระบิดาและความสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยกันนั้น มีความเกี่ยวโยงถึงกันอย่างแน่นแฟ้น จนพระคัมภีร์กล่าวว่า
" ผู้ใดไม่รัก ก็ไม่รู้จักพระเป็นเจ้า " (1ยน.4:8)
ดังนี้ ก็เท่ากับเป็นการโค่นทำลายรากฐานของทฤษฎี หรือการปฏิบัติใดๆที่ถือ การแบ่งแยกระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และ
ระหว่างชาติกับชาติในเรื่องศักดิ์ศรีและสิทธิต่างๆที่เกิดจากศักดิ์ศรีนั้น ฉะนั้น พระศาสนจักร
ขอประณามว่า การแบ่งแยกหรือเบียดเบียนรังแกใดๆที่กระทำต่อมนุษย์เพราะเรื่องชาติ ผิว ชั้น และศาสนาของเขานั้น เป็นการ
ผิดต่อจิตตารมณ์ ของพระคริสตเจ้า
ด้วยเหตุนี้ ตามรอยของอัครธรรมฑูตเปโตรและเปาโล สภาสังคายนา ขอวิงวอน
บรรดาสัตบุรุษของพระคริสตเจ้าอย่างเร่าร้อน ให้ "ประพฤติตนให้เป็นที่น่าเคารพนับถือท่ามกลางชนชาติอื่น" (1ปต.2:12)
และถ้าเป็นไปได้ ขอให้อยู่เป็นปกติสุข กับเพื่อนมนุษย์ทุกคนเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะเป็นบุตรแท้ของพระบิดาผู้ทรงสถิตย์อยู่ใน
สวรรค์.
ข้อความแต่ละข้อทั้งสิ้รที่ประกาศไว้ในสังฆธรรมนูญฉบับนี้ บรรดาปิตาจารย์ได้เห็นชอบแล้วนั้น อาศัยอำนาจของ
ท่านอัครธรรมฑูตซึ่งเราได้รับมอบจากพระคริสตเจ้า เราพร้อมกับบรรดาปิตาจารย์ที่เคารพเหล่านี้ในพระจิตเจ้า จึงเห็นชอบ
กำหนดและตราไว้ และสิ่งใดที่สภาสังคายนา ได้ตราขึ้น เราสั่งให้ประกาศใช้เพื่อเป็นเกียรติแด่พระเป็นเจ้า
กรุงโรม ณ วิหารนักบุญเปโตร
วันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1965
เรา-เปาโล สังฆราชแห่งพระศาสนจักรคาทอลิก
แก้ไขล่าสุดโดย ignatius เมื่อ จันทร์ เม.ย. 21, 2008 11:36 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.