คำแถลงของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 19, 2008 3:52 pm
คำแถลงของสภาสังคายนา วาติกันที่2
เรื่อง ความสัมพันธ์แห่งพระศาสนจักร กับบรรดาศาสนาที่มิใช่คริสตศาสนา
Nortra Aetate
1.ในสมัยของเรานี้ มนุษยชาติสนิทใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น และชาติต่างๆ ยิ่งมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น พระศาสนจักรพิจารณา
ด้วยความสนใจยิ่งขึ้นว่า ตนมีความสัมพันธ์อย่างไร กับศาสนาที่มิใช่คริสตศาสนาเนื่องจากมีภาระหน้าที่
ที่ต้องส่งเสริมเอกภาพและความรักระหว่างมนุษย์ และแม้ระหว่างชาติต่างๆ พระศาสนจักรชอพิจารณาในที่นี้ก่อนว่า
มนุษย์มีอะไรร่วมกัน ?และมีอะไรชักจูงมนุษย์ ให้มาร่วมชีวิตเป็นมิตรกัน ?
ด้วยว่าชนทุกชาติเป็นประชาคมเดียวกัน ชนทุกชาติมีต้นกำเนิดอันเดียวกัน เพราะ....
" พระเป็นเจ้าให้มนุษยชาติ ทั้งมวลอาศัยอยู่บนพื้นพิภพ "(เทียบ กจ.17:26 )
" ชนทุกชาติ มีจุดหมายปลายทางอันเดียวกัน คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เอาพระทัยสอดส่อง แสดงพระทัยดี
และตั้งพระทัยช่วยมนุษย์ทุกคนให้เอาตัวรอด" (เทียบ ปชญ.8:1;กจ.14:17;รม.2:6-7;1ทธ.2:4)
" จนกว่าบรรดาผู้ได้รับเลือกสรรจะชุมนุมอยู่ร่วมกันในสันตินคร ซึ่งสุกใสด้วยสิริโรจนาการของพระเป็นเจ้า
และประชาชนทุกชาติจะเดินตามแสงโชติช่วงของพระองค์ (เทียบ วว.)
มนุษย์ทั้งหลายคอยให้มวลศาสนาตอบปัญหาต่างๆ ซึ่งยังคงซ่อนเร้นอยู่ เกี่ยวกับสภาพของมนุษย์ในอดีตก็เหมือนในปัจจุบัน
ที่ทำให้หัวใจมนุษย์ปั่นป่วนวุ่นวายอย่างหนักหน่วงอยู่ เช่น....
มนุษย์เป็นอะไร ?
ความหมายและจุดหมายของชีวิตคืออะไร ?
ความดีคืออะไร ?และบาปคืออะไร ?
ต้นกำเนิดและจุดหมายของทุกข์คืออะไร ?
อะไร?เป็นหนทางสำหรับบรรลุถึงความสุขแท้ ? ความตาย การพิพากษาและการรับรางวัล
และการรับรางวัลตอบแทนหรือรับโทษเมื่อตายแล้ว คืออะไร ?
ที่สุด อัตถ์ลึกลับประการสุดท้ายที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก เกี่ยวกับชีวิตของเรา ซึ่งเราถือกำเนิด
และกำลังเดินมุ่งไปหานั้น เป็นอะไร ?
2.ศาสนาต่างๆที่มิใช่คริสตศาสนา
ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ที่สุดจนถึงทุกวันนี้ เราเห็นว่าในชนชาติต่างๆ มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ถึงพลังอันเร้นลับ ซึ่งอยู่ในกระแส
สิ่งของ และเหตุการณ์ของชีวิตมนุษย์ บางครั้งก็มีกระทั่งการยอมรับนับถือพระเจ้าสูงสุด หรือพระบิดา ความรู้สึกและรับรู้เช่นนี้
ทำให้ชีวิตของเราซาบซ่านไปด้วยความสำนึกในเรื่องศาสนาอย่างลึกซึ้ง ส่วนบรรดาศาสนาที่กี่ยวโยงกับวัฒนธรรมเจริญขึ้น ก็พยายามจะ
ตอบปัญหาเห่านั้น ด้วยความรู้สึกที่ละเอียดกว่า และภาษาพูดที่กล่อมเกลาดีกว่า
ดังนั้นในศาสนาฮินดูมนุษย์พยายามไตร่ตรองช้อลึกลับเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า และอธิบายออกมาเป็นนิยายมากมายไม่รู้จบ
กับพยายามค้นคว้าทางปรัชญา เขาแสดงความรอดพ้นจากความกระวนกระวายแห่งสภาพมนุษย์ของเรา ด้วยการเจริญชีวิตอย่าง
เคร่งครัดแบบต่างๆบ้าง ด้วยการพิจารณารำพึงอย่างซาบซึ้งบ้าง ด้วยการหลบพักพิงในพระเจ้าโดยความรัก ความไว้ใจบ้าง
ในพุทธศาสนา ตามที่ยอมรับว่า โลกที่เปลี่ยนแปลงมานี้ไม่เที่ยงแท้เลย และสอนหนทางที่มนุษย์อาจเดินไปถึงสภาพที่หลุดพ้น
เป็นอิสระอย่างแท้จริงได้ด้วยจิตใจศรัทธาและไว้ใจ หรือบรรลุถึงความรู้แจ้งอย่างสูงสุดด้วยความพยายามของตน หรือด้วยความช่วยเหลือ
ที่มาจากเบื้องบน เช่นเดียวกันในศาสนาอื่นๆทั่วไปในโลก พยายามจะแก้ความกระวนกระวายใจของหัวใจมนุษย์ด้วยวิธีต่างๆ โดยเสนอ
" มรรค " หลาย "มรรค" ซึ่งได้แก่พระธรรม คำสอน กฎชีวิต และจารีตพิธีศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ปัดสิ่งใดที่จริงและศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาเหล่านี้ พระศาสนจักรพิจารณา
ด้วยความเคารพอย่างจริงใจ ซึ่งวิธีปฏิบัติและดำรงชีวิต ตลอดจนกฎและพระธรรมคำสอนเหล่านี้ ถึงแม้จะผิดกับที่ตนเองถือ
หรือสอนหลายประการ แต่บ่อยครั้ง ก็นำแสงจากองค์ความจริงมาให้ ซึ่งฉายส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน อย่างไรก็ตามพระศาสนจักรประกาศและมี
พันธะที่จะไม่หยุดยั้งประกาศองค์พระคริสตเจ้า ซึ่งทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ( เทียบ ยน.14:6 )
ในพระองค์นั้น มนุษย์ต้องพบชีวิตทางศาสนาอย่างเต็มเปี่ยม และในพระองค์นั้นพระเป็นเจ้าทรงได้รับทุกสิ่งกลับมาคืนดีกับพระองค์
(เทียบ 2 คร.5:18-19)
ฉะนั้น พระศาสนจักรจึงขอเตือนลูกๆให้รับรู้ ป้องกัน และทำให้คุณค่าทางจิตใจ
ทางศีลธรรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีอยู่ในตัวตนคนต่างศาสนาเหล่านี้ ให้ลูกๆทำเช่นนี้ โดยการติดต่อ เสวนา
ร่วมมือกับผู้ถือศาสนาอื่น ด้วยความรักและฉลาดรอบคอบ แสดงความเชื่อและเจริญชีวิตคริสตชน
(มีต่อ)
เรื่อง ความสัมพันธ์แห่งพระศาสนจักร กับบรรดาศาสนาที่มิใช่คริสตศาสนา
Nortra Aetate
1.ในสมัยของเรานี้ มนุษยชาติสนิทใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น และชาติต่างๆ ยิ่งมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น พระศาสนจักรพิจารณา
ด้วยความสนใจยิ่งขึ้นว่า ตนมีความสัมพันธ์อย่างไร กับศาสนาที่มิใช่คริสตศาสนาเนื่องจากมีภาระหน้าที่
ที่ต้องส่งเสริมเอกภาพและความรักระหว่างมนุษย์ และแม้ระหว่างชาติต่างๆ พระศาสนจักรชอพิจารณาในที่นี้ก่อนว่า
มนุษย์มีอะไรร่วมกัน ?และมีอะไรชักจูงมนุษย์ ให้มาร่วมชีวิตเป็นมิตรกัน ?
ด้วยว่าชนทุกชาติเป็นประชาคมเดียวกัน ชนทุกชาติมีต้นกำเนิดอันเดียวกัน เพราะ....
" พระเป็นเจ้าให้มนุษยชาติ ทั้งมวลอาศัยอยู่บนพื้นพิภพ "(เทียบ กจ.17:26 )
" ชนทุกชาติ มีจุดหมายปลายทางอันเดียวกัน คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เอาพระทัยสอดส่อง แสดงพระทัยดี
และตั้งพระทัยช่วยมนุษย์ทุกคนให้เอาตัวรอด" (เทียบ ปชญ.8:1;กจ.14:17;รม.2:6-7;1ทธ.2:4)
" จนกว่าบรรดาผู้ได้รับเลือกสรรจะชุมนุมอยู่ร่วมกันในสันตินคร ซึ่งสุกใสด้วยสิริโรจนาการของพระเป็นเจ้า
และประชาชนทุกชาติจะเดินตามแสงโชติช่วงของพระองค์ (เทียบ วว.)
มนุษย์ทั้งหลายคอยให้มวลศาสนาตอบปัญหาต่างๆ ซึ่งยังคงซ่อนเร้นอยู่ เกี่ยวกับสภาพของมนุษย์ในอดีตก็เหมือนในปัจจุบัน
ที่ทำให้หัวใจมนุษย์ปั่นป่วนวุ่นวายอย่างหนักหน่วงอยู่ เช่น....
มนุษย์เป็นอะไร ?
ความหมายและจุดหมายของชีวิตคืออะไร ?
ความดีคืออะไร ?และบาปคืออะไร ?
ต้นกำเนิดและจุดหมายของทุกข์คืออะไร ?
อะไร?เป็นหนทางสำหรับบรรลุถึงความสุขแท้ ? ความตาย การพิพากษาและการรับรางวัล
และการรับรางวัลตอบแทนหรือรับโทษเมื่อตายแล้ว คืออะไร ?
ที่สุด อัตถ์ลึกลับประการสุดท้ายที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก เกี่ยวกับชีวิตของเรา ซึ่งเราถือกำเนิด
และกำลังเดินมุ่งไปหานั้น เป็นอะไร ?
2.ศาสนาต่างๆที่มิใช่คริสตศาสนา
ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ที่สุดจนถึงทุกวันนี้ เราเห็นว่าในชนชาติต่างๆ มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ถึงพลังอันเร้นลับ ซึ่งอยู่ในกระแส
สิ่งของ และเหตุการณ์ของชีวิตมนุษย์ บางครั้งก็มีกระทั่งการยอมรับนับถือพระเจ้าสูงสุด หรือพระบิดา ความรู้สึกและรับรู้เช่นนี้
ทำให้ชีวิตของเราซาบซ่านไปด้วยความสำนึกในเรื่องศาสนาอย่างลึกซึ้ง ส่วนบรรดาศาสนาที่กี่ยวโยงกับวัฒนธรรมเจริญขึ้น ก็พยายามจะ
ตอบปัญหาเห่านั้น ด้วยความรู้สึกที่ละเอียดกว่า และภาษาพูดที่กล่อมเกลาดีกว่า
ดังนั้นในศาสนาฮินดูมนุษย์พยายามไตร่ตรองช้อลึกลับเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า และอธิบายออกมาเป็นนิยายมากมายไม่รู้จบ
กับพยายามค้นคว้าทางปรัชญา เขาแสดงความรอดพ้นจากความกระวนกระวายแห่งสภาพมนุษย์ของเรา ด้วยการเจริญชีวิตอย่าง
เคร่งครัดแบบต่างๆบ้าง ด้วยการพิจารณารำพึงอย่างซาบซึ้งบ้าง ด้วยการหลบพักพิงในพระเจ้าโดยความรัก ความไว้ใจบ้าง
ในพุทธศาสนา ตามที่ยอมรับว่า โลกที่เปลี่ยนแปลงมานี้ไม่เที่ยงแท้เลย และสอนหนทางที่มนุษย์อาจเดินไปถึงสภาพที่หลุดพ้น
เป็นอิสระอย่างแท้จริงได้ด้วยจิตใจศรัทธาและไว้ใจ หรือบรรลุถึงความรู้แจ้งอย่างสูงสุดด้วยความพยายามของตน หรือด้วยความช่วยเหลือ
ที่มาจากเบื้องบน เช่นเดียวกันในศาสนาอื่นๆทั่วไปในโลก พยายามจะแก้ความกระวนกระวายใจของหัวใจมนุษย์ด้วยวิธีต่างๆ โดยเสนอ
" มรรค " หลาย "มรรค" ซึ่งได้แก่พระธรรม คำสอน กฎชีวิต และจารีตพิธีศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ปัดสิ่งใดที่จริงและศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาเหล่านี้ พระศาสนจักรพิจารณา
ด้วยความเคารพอย่างจริงใจ ซึ่งวิธีปฏิบัติและดำรงชีวิต ตลอดจนกฎและพระธรรมคำสอนเหล่านี้ ถึงแม้จะผิดกับที่ตนเองถือ
หรือสอนหลายประการ แต่บ่อยครั้ง ก็นำแสงจากองค์ความจริงมาให้ ซึ่งฉายส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน อย่างไรก็ตามพระศาสนจักรประกาศและมี
พันธะที่จะไม่หยุดยั้งประกาศองค์พระคริสตเจ้า ซึ่งทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ( เทียบ ยน.14:6 )
ในพระองค์นั้น มนุษย์ต้องพบชีวิตทางศาสนาอย่างเต็มเปี่ยม และในพระองค์นั้นพระเป็นเจ้าทรงได้รับทุกสิ่งกลับมาคืนดีกับพระองค์
(เทียบ 2 คร.5:18-19)
ฉะนั้น พระศาสนจักรจึงขอเตือนลูกๆให้รับรู้ ป้องกัน และทำให้คุณค่าทางจิตใจ
ทางศีลธรรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีอยู่ในตัวตนคนต่างศาสนาเหล่านี้ ให้ลูกๆทำเช่นนี้ โดยการติดต่อ เสวนา
ร่วมมือกับผู้ถือศาสนาอื่น ด้วยความรักและฉลาดรอบคอบ แสดงความเชื่อและเจริญชีวิตคริสตชน
(มีต่อ)