ศาสนาคริสต์มีความสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์อย่างไรครับ

คริสตสัมพันธ์ เอกภาพในคริสตศาสนา
ball

อังคาร พ.ค. 17, 2005 3:47 pm

ในคัมภีไบเบิ้ลมีความเกี่ยวข้องสอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์อะไรบ้าง และมีนักวิทยาศาสตร์คนไหนบ้างทีศึกษาคัมภีไบเบิ้ลแล้วมายอมรับครับ
Wasu

อังคาร พ.ค. 17, 2005 5:21 pm

ความเชื่อไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์หรอกครับ :)ไสยศาสตร์มีมาก่อนวิทยาศาสตร์เป็นพันๆปีคนส่วนใหญ่ยังว่างมงายเลย บางทีสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ไม่จำเป็นว่าจะไม่มีหรือไม่เป็นความจริง ความรู้ความสามารถของมนุษย์อาจยังไปไม่ถึงตรงนั้ก็ได้ครับ ;D แค่เสนอแนะน่ะครับ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อังคาร พ.ค. 17, 2005 5:30 pm

ทำไมไบเบิ้ลต้องไปสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์หล่ะครับ
ไบเบิ้ลเป็นพระวาจาของพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้า อาศัยการดลใจจากพระจิตเจ้าให้เขียนขึ้น
แต่วิทยาศาสตร์เป็นวิทยาการที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์
แล้วทำไมถึงต้องสอดคล้องกันด้วยหล่ะครับ

นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในพระเจ้าก็หลายคนนะครับ
เช่น เจมส์ คาน ที่กล่าวไว้ว่า
"การที่จะพิสูจน์ว่าพระเป็นเจ้ามีนั้นเป็นเรื่องยาก แต่การที่จะพิสูจน์ว่าพระเป็นเจ้าไม่มีนั้นยากยิ่งกว่า"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร พ.ค. 17, 2005 6:12 pm

อ่านนี่ดูนะครับ

http://www.newmana.com/beyond.htm
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อังคาร พ.ค. 17, 2005 6:52 pm

Wasu เขียน: ความเชื่อไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์หรอกครับ :)ไสยศาสตร์มีมาก่อนวิทยาศาสตร์เป็นพันๆปีคนส่วนใหญ่ยังว่างมงายเลย บางทีสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ไม่จำเป็นว่าจะไม่มีหรือไม่เป็นความจริง ความรู้ความสามารถของมนุษย์อาจยังไปไม่ถึงตรงนั้ก็ได้ครับ ;D แค่เสนอแนะน่ะครับ
ใช่ เห็นด้วยกับคุณ Wasu ฝาก คุณ ball ( คนเดียวที่ชอบศึกษาอิสลามป่าวฮับ ) อ่าน พระคัมภีร์ บทนี้ฮะ

ฮีบรู บทที่ ๑๑ เป็นบทแห่งความเชื่อ งับ

11:1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
11:2 โดยความเชื่อนี้เองคนในสมัยก่อนก็ได้รับการรับรองจากพระเจ้า
11:3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
11:4 เพราะอาแบลมีความเชื่อ จึงได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า ซึ่งทำให้ท่านได้รับการรับรองว่าเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าก็ได้ทรงยืนยันโดยการทรงรับของถวายของท่าน แม้ว่าอาแบลตายไปแล้วก็จริง แต่เพราะท่านมีความเชื่อ ท่านจึงยังคงพูดอยู่
11:5 เพราะเอโนคมีความเชื่อ ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงรับท่านขึ้นไป เพื่อไม่ให้ท่านประสบกับความตาย ไม่มีผู้ใดพบท่าน เพราะพระเจ้าทรงรับท่านไปแล้ว ก่อนที่ทรงรับท่านขึ้นไปนั้น มีผู้เป็นพยานว่าท่านเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
11:6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
11:7 เพราะโนอาห์มีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเตือนให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่ปรากฏ ท่านจึงยำเกรงและต่อเรือใหญ่ เพื่อช่วยครอบครัวของตนให้รอดพ้นจากความตาย และด้วยเหตุนี้เองท่านจึงได้ติเตียนชาวโลก และได้เป็นทายาทแห่งความชอบธรรม ซึ่งบังเกิดมาจากความเชื่อ
11:8 เพราะอับราฮัมมีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านออกเดินทาง ไปยังที่ซึ่งท่านจะรับเป็นมรดก ท่านได้เชื่อฟังและได้เดินทางออกไปโดยหารู้ไม่ว่าจะไปทางไหน
11:9 เพราะความเชื่อของท่าน ท่านได้พำนักในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาไว้นั้น คือได้พำนักในเต็นท์เป็นคนต่างด้าว ดังอิสอัคและยาโคบซึ่งเป็นทายาทด้วยกัน ตามพระสัญญาอันเดียวกันนั้น
11:10 ท่านได้เฝ้ารอคอยนครที่ตั้งบนรากฐาน ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นนายช่างและทรงเป็นผู้สร้าง
11:11 เพราะนางซาราห์มีความเชื่อ นางจึงได้รับพลังตั้งครรภ์เมื่อชรามากแล้ว เพราะนางถือว่าพระองค์ผู้ได้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงเป็นผู้สัตย์ซื่อ
11:12 เหตุฉะนั้นจากชายคนเดียวซึ่งเกือบจะกล่าวได้ว่า เป็นเสมือนคนที่ตายแล้วนั้น ก็ได้ทำให้มีผู้สืบเชื้อสายเกิดมามากมายดังดวงดาวในท้องฟ้า และเป็นดังเม็ดทรายอันนับไม่ถ้วน ที่ฝั่งทะเล
11:13 คนเหล่านั้นได้ตายไปขณะที่มีความเชื่อเต็มที่ และไม่ได้รับสิ่งที่ได้ทรงสัญญาไว้ แต่เขาก็ได้เห็นและได้เตรียมรับไว้ตั้งแต่ไกล และรู้ดีว่าเขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก
11:14 เพราะคนที่พูดอย่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เขากำลังแสวงหาเมืองที่จะได้เป็นของเขา
11:15 ถ้าเขาคิดถึงบ้านเมืองที่เขาจากมานั้น เขาก็คงจะมีโอกาสกลับไปได้
11:16 แต่ความจริงเขาปรารถนาที่จะอยู่ในเมืองที่ประเสริฐกว่านั้น คือเมืองสวรรค์ เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงมิได้ทรงละอาย เมื่อเขาเรียกพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าของเขา เพราะพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับเขาแล้ว
11:17 เพราะอับราฮัมมีความเชื่อฉะนั้นเมื่อท่านถูกลองใจ ท่านจึงได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา และท่านซึ่งเป็นผู้ได้รับพระสัญญา ก็ได้พร้อมแล้วที่จะถวายบุตรคนเดียวของท่าน
11:18 คือบุตรที่มีพระดำรัสไว้ว่า เขาจะสืบเชื้อสายของเจ้าทางอิสอัค
11:19 ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถชุบคนตายให้ฟื้นได้ ฉะนั้นกล่าวโดยอุปมาได้ว่าท่านได้รับบุตรกลับคืนมา
11:20 เพราะอิสอัคมีความเชื่อ จึงได้ขอพรให้แก่ยาโคบและเอซาว สำหรับเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในภายหน้า
11:21 เพราะยาโคบมีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อจะตายจึงได้อวยพรแก่บุตรทั้งสองของโยเซฟ และ ได้นมัสการพระเจ้า เหนือหัวไม้เท้าของท่าน
11:22 เพราะโยเซฟมีความเชื่อเมื่อกำลังจะตาย จึงได้กล่าวถึงการอพยพของชาวอิสราเอล และสั่งเรื่องกระดูกของท่าน
11:23 เพราะความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อโมเสสเกิดมา บิดามารดาจึงได้ซ่อนท่านไว้ถึงสามเดือน เพราะเห็นว่าท่านเป็นเด็กรูปงาม และบิดามารดาของท่านไม่ได้กลัวคำสั่งของกษัตริย์เลย
11:24 เพราะความเชื่อ เมื่อโมเสสโตแล้วท่านไม่ยอมให้ใครเรียกท่านว่า เป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโรห์
11:25 ท่านเลือกการร่วมทุกข์กับชนชาติของพระเจ้าแทนการเริงสำราญในความชั่ว
11:26 ท่านถือว่าการอดทนต่อความอัปยศเพื่อพระคริสต์ ประเสริฐกว่าสมบัติของประเทศอียิปต์ เพราะท่านหวังบำเหน็จที่จะได้รับนั้น
11:27 เพราะความเชื่อ ท่านได้ออกจากประเทศอียิปต์ โดยมิได้เกรงกลัวความกริ้วของกษัตริย์ เพราะท่านมั่นใจประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา
11:28 เพราะความเชื่อ ท่านได้ถือเทศกาลปัสกาและพิธีประพรมเลือด เพื่อไม่ให้องค์เพชฌฆาตผู้ประหารบุตรหัวปีมาถูกต้องพวกอิสราเอลได้
11:29 เพราะความเชื่อ พวกอิสราเอลจึงเดินข้ามทะเลแดงเหมือนกับว่าเดินบนดินแห้ง แต่เมื่อพวกอียิปต์ได้ลองเดินข้ามดูบ้างก็จมน้ำตายหมด
11:30 เพราะความเชื่อ เมื่อพวกอิสราเอลล้อมกำแพงเมืองเยรีโคไว้ถึงเจ็ดวันแล้วกำแพงเมืองก็พังลง
11:31 เพราะความเชื่อ ราหับหญิงแพศยาจึงมิได้พินาศไปพร้อมกับคนเหล่านั้นที่มิได้เชื่อ เพราะนางได้ต้อนรับคนสอดแนมเป็นอย่างดี
11:32 และข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรต่อไปอีกเล่า เพราะไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึง กิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด และซามูเอล และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย
11:33 เพราะความเชื่อท่านเหล่านั้นจึงได้มีชัยเหนือดินแดนต่างๆได้ตั้งระบบความยุติธรรม ได้รับผลของพระสัญญา ได้ปิดปากสิงห์
11:34 ได้ดับไฟที่ไหม้อย่างรุนแรง ได้พ้นจากคมดาบ ความอ่อนแอของท่านก็กลับเป็นความเข้มแข็ง มีกำลังความสามารถในการทำสงคราม ได้ตีกองทัพประเทศอื่นๆแตกพ่ายไป
11:35 พวกผู้หญิงก็ได้รับคนพวกของนางที่กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีก บางคนก็ถูกทรมาน แต่ก็ไม่ยอมรับการปลดปล่อย เพื่อเขาจะได้กลับมีชีวิตที่ดีกว่านั้นอีก
11:36 บางคนต้องทนต่อคำเยาะเย้ยและการถูกโบยตี และยังถูกล่ามโซ่และถูกขังคุกด้วย
11:37 บางคนก็ถูกขว้างด้วยก้อนหิน บางคนก็ถูกเลื่อยเป็นท่อนๆ {สำเนาต้นฉบับบางฉบับเพิ่มว่า บางคนถูกทดลอง} บางคนก็ถูกฆ่าด้วยคมดาบ บางคนก็นุ่งห่มหนังแกะหนังแพะพเนจรไป สิ้นเนื้อประดาตัว ตกระกำลำบากและถูกเคี่ยวเข็ญ
11:38 (แผ่นดินโลกไม่สมกับคนเช่นนั้นเลย) เขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดาร และตามภูเขาและอยู่ตามถ้ำและตามโพรง
11:39 คนเหล่านั้นทุกคนมีชื่อเสียงดีเพราะความเชื่อของเขา แต่เขาก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้
11:40 เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งซึ่งประเสริฐยิ่งกว่านั้นไว้สำหรับเขา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความสมบูรณ์ด้วยกันกับเราเท่านั้น

>>>: อ่านบทนี้แล้ว ไม่ต้องสนใจวิทย์ เลยฮะ เราต้องเชื่อ พระเจ้า ไม่ใช่เชื่อวิทยาศาสตร์ เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างวิทยาศาสตร์ ฮับ 8)
claustrophobia

อังคาร พ.ค. 17, 2005 6:53 pm

น้ำท่วมโลกไงครับสมัยโนอาห์ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

อังคาร พ.ค. 17, 2005 10:39 pm

สิ่งเดียวที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหลังการพยายามจะใช้วิทยาศาสตร์อธิบายเรื่องพระเจ้าและปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่าง ๆ คือ "เขายิ่งชื่นชมกับความน่าอัศจรรย์ต่าง ๆ ของพระเจ้ามากขึ้น"
ยิ่งพวกเขาศึกษา พวกเขายิ่งพบพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเป็นเจ้าที่แฝงอยูในธรรมชาติ และ ระบบที่ถูกออกแบบมาอย่างสมบูรณ์แบบ วิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องที่ขัดกับศาสนา แต่วิทยาศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจความน่าอัศจรรย์ของพระเป็นเจ้าในธรรมชาติได้มากยิ่งขึ้น
B_U_D_D_Y

พุธ พ.ค. 18, 2005 1:16 am

I do agree with Nihil... :)

Well, do you know scientists like Pascal or Mendel? They are CATHOLIC priests... ;D If you read their stories, you'll find them very interesting. Do you know barometer? At first, the hydrostatic effect was a VACUUM and at that time 'VACUUM' is a big word because theologically, there is no vacuum. God fills up all the spaces. Vacuum is impossible. But now we all know that it was the hydrostatic effect and we have barometer and so on.

For Mendel, I think we all know that he's the Father of Genetics... :)

What I'd like to say is don't mix up science and religion. Don't let religion decelerate the growth of science and don't let science bother your faith. We can seek God in all things, even in science... :) For those who study and appreciate Biology very deeply, they all find God!! They all find and appreciate the beauty of God's creation... It's pretty much like when you read Psalm 146. Reading Bilogy book can be equivalent to reading Psalm 146. That's what I mean by you can seek God in all things... :)
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

พุธ พ.ค. 18, 2005 8:57 am

วิทยาศาสตร์ = การค้นพบพระปรีชาญาณ, พระฤทธานุภาพ ของพระเป็นเจ้า มากขึ้นๆ เรื่อยๆ ครับ แต่ไม่สามารถค้นพบได้หมดเพราะพระเป็นเจ้าของเรายิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะเข้าใจได้ครับ แต่ความรักของพระองค์เข้าใจได้ง่ายๆ เลยครับ ;D
B_U_D_D_Y

พุธ พ.ค. 18, 2005 11:14 pm

cho เขียน: วิทยาศาสตร์ = การค้นพบพระปรีชาญาณ, พระฤทธานุภาพ ของพระเป็นเจ้า มากขึ้นๆ เรื่อยๆ ครับ แต่ไม่สามารถค้นพบได้หมดเพราะพระเป็นเจ้าของเรายิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะเข้าใจได้ครับ แต่ความรักของพระองค์เข้าใจได้ง่ายๆ เลยครับ ;D
Are you sure that ความรักของพระองค์เข้าใจได้ง่ายๆ ? :) Some people spend all their lives to discover His love... :)
micha-micael

พฤหัสฯ. พ.ค. 19, 2005 8:48 am

มิฉะว่าน่ะค่ะ วิทยศาสตร์เป็นเหมือนเรื่องที่ผิดหลักในสายตาของชาวคริสเช่น การโคลนนิ่ง การเลือกดีเอ็นเอเฉพาะตัวที่ดีเพื่อให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อม การเลือกได้ว่าจะให้ลูกของตัวเองเป็นเพศอะไร คนจีนมักอยากได้ลูกผู้ชาย โลกนี้คงมีแต่ลูกผู้ชายเป็นแน่ เหล่านี้ทำให้โลกนี้ดูผิดแปลกไปจากพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นว่า"จะให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อมหรือมัวแต่เชื่อหลักคำสอนของพระเจ้า" นั่นก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้ดูเหมือนวิทยาศาสตร์กะคริสตศาสนาดูเกี่ยวข้องกัน แต่ที่จิงมิฉะคิดว่าเราอยู่ได้โดยวิทยการสมัยใหม่ ควบคู่ไปกับหลักคำสอนของพระเจ้า มิฉะว่าโลกเรายังมีสิ่งที่วิทยศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้เหมือนกัน หากว่าเราดำเนินชีวิตไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่างก็ไม่ได้จะเสียหายอะไรนิค่ะ แต่บางอย่างก็มีในข้อห้ามของคิสตศาสนา เช่น การทำแท้ง รัฐบาลก็อยากให้ควบคุมในขั้นแรก แต่ถ้ามันเลยเถิดจนท้องก็ไปทำแท้ง ในส่วนนี้เค้าอาจจะเห็นว่าการทำแท้งนั้นดีกว่าการเอาเด็กไปทิ้ง หรือฆ่าลูกตัวเองแบบนั้น บางทีก็เกิดกันขัดแย้งกันแบบนี้ เราจึงต้องพยายามดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า และระหว่างเดียวกันเราก็ก้าวเดินให้ทันตามโลก และนั่นก็ไม่ทำให้เราเป็นคนบาปหรอกค่ะ มิฉะว่าน่ะ
*** เอาเป็นว่าท่าทางมิฉะจะพูดมากไป ถ้าพูดผิดอย่างไงก็ขอโทษแล้วก็ช่วยแก้ให้ด้วยน่ะค่ะ ***
B_U_D_D_Y

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 12:59 am

Micha,

You're so young. It's good that you express what you think ja.. :)
การโคลนนิ่ง การเลือกดีเอ็นเอเฉพาะตัวที่ดีเพื่อให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อม การเลือกได้ว่าจะให้ลูกของตัวเองเป็นเพศอะไร คนจีนมักอยากได้ลูกผู้ชาย โลกนี้คงมีแต่ลูกผู้ชายเป็นแน่ เหล่านี้ทำให้โลกนี้ดูผิดแปลกไปจากพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นว่า"จะให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อมหรือมัวแต่เชื่อหลักคำสอนของพระเจ้า" นั่นก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้ดูเหมือนวิทยาศาสตร์กะคริสตศาสนาดูเกี่ยวข้องกัน


Well, in fact, this is the issue of morality. Science has to go well with morality.... For cloning, the reason why we can't do that is, basically, would you like yourself to be born by cloning or would you like yourself to be born naturally? :) The cloned child will be like an orphan, no parents. .. If you don't want yourself to be like that, you shouldn't do that to others too.. :)

For child selection, it's against Catholic morality in that .... we need to trust God in His creation... God created everything on purpose.... In the world, we need to have both minorities and superiorities... I myself pray to God that, if I'll have a baby, it's OK if my child will be autistic or down syndrome or anything you'd like to create. ..... There must be a reason from God .. the reason that we don't know that this child has to be born down syndrome... and we can't abort the child no matter what it is.... Human is the most perfect creation from God... That you said ... จะให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อมหรือมัวแต่เชื่อหลักคำสอนของพระเจ้า, in my opinion, there is no reason to develop human race..... What we are now is so perfect because we are created as the image of God.
แต่บางอย่างก็มีในข้อห้ามของคิสตศาสนา เช่น การทำแท้ง รัฐบาลก็อยากให้ควบคุมในขั้นแรก แต่ถ้ามันเลยเถิดจนท้องก็ไปทำแท้ง ในส่วนนี้เค้าอาจจะเห็นว่าการทำแท้งนั้นดีกว่าการเอาเด็กไปทิ้ง หรือฆ่าลูกตัวเองแบบนั้น บางทีก็เกิดกันขัดแย้งกันแบบนี้


This does not conform to any religion na ja... even Bhuddism... Abortion is KILLING..... If one can make an easy decision to abort, it's the first step to any other killing.....

So, it's not quite the issue of science and religion.. but it's rather the issue of morality...

Anyway, do you understand my English all right? Sorry na ja.. I just want to say something.. :)
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 9:26 am

I agree with Khun B_U_D_D_Y . I am the one who searching HIS LOVE and I still searching all my life .
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 2:56 pm

ไบเบิลและวิทยาศาสตร์

ในศต.ยุคแรกๆ เราเห็นความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยระหว่าง ไบเบิลและวิทยาศาสตร์ เป็นธรรมดาที่นักวิทยาศาสตร์ และนักบวชที่ดูเหมือนจะมีความเห็นว่าวิทยาศาสตร์และไบเบิล สอดคล้องลงรอยกัน แต่เมื่อใดที่เห็นความขัดแย้งกัน ไบเบิลจะได้รับความเชื่อถือมากกว่า แต่ทั้งสองเรื่อง ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางถึงความสอดคล้องกัน

แต่ความสอดคล้องกันที่ครั้งหนึ่งดูเหมือน เคยมีอยู่และยุติแล้ว ระหว่างผู้สนับสนุนไบเบิลและนักวิทยาศาสตร์ แต่โดยทั่วไปเนื่องจากการตีความไม่ถูกต้องและสมมติฐานที่เกี่ยวกับศาสนาที่เคยไม่ได้รับความเชื่อถือ,คนหันไปหาวิทยาศาสตร์และหาคำตอบตามเหตุผลของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น ผลก็คือ คนหันไปให้ความเชื่อถือและมั่นใจในวิทยาศาสตร์และเรื่องที่วิทยาศาสตร์บอก-ว่าถูกต้องเหนือกว่าคำของพระเจ้า
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 2:57 pm

ลองดูสิ่งต่างๆรอบตัวเราสักนิด จะเห็นว่าวิทยาศาสตร์ มีอำนาจอย่างแท้จริง หากเปรียบเทียบดู ศาสนาถูกถอดออกอย่างจงใจ. จากการศึกษาข้อมูลทางประชากรเมื่อไม่นานมานี้ สรุปว่า ในเวลา ๔๐ ชั่วโมงในหนึ่งสัปดาห์ ที่คนเรามีเวลาว่าง คนอเมริกันโดยเฉลี่ยใช้เวลา ๑๕ ชั่วโมงในการดูโทรทัศน์ และเพียงชั่วโมงเดียว ที่ให้เวลากับศาสนา ในจำนวนคนเหล่านี้ ผู้ชายอุทิศเวลาให้กับศาสนาน้อยกว่ามาก.ความเจริญทางเทคโนโลยี่และความบันเทิงต่างรวมตัวกันและตีศาสนาจนตกเวทีไป      

ในขณะที่เหตุการณ์ในอดีต ที่ไบเบิลอยู่ในตำแหน่งเหนือการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ตอนนี้สถานการณ์ตาลปัต" สิ่งนี้เป็นผลของการพัฒนาในศต.ที่๑๙ ที่เรียกว่า "ลักธิวิทยาศาสตร์" ลักธินี้ มีความเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เท่านั้น ที่เป็นกุญแจไขไปสู่ความจริงและไม่ว่าสิ่งใด หากไม่เป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งนั้น เป็น" เท็จ" ทุกวันนี้ ในแวดวงการศึกษาจะยกให้ตำราและทฤษฎีทางชีววิทยาเหนือกว่าไบเบิล
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 2:58 pm

จริงๆเรื่องนี้เป็นอะไรกันแน่

ความจริงที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือวิทยาศาสตร์ไม่มีมาตรฐานทางกฎหมายหรือศีลธรรม ที่จะบอกเราว่าควรดำเนินชีวิตอย่างไร วิทยาศาสตร์สอนว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่เหนือกว่าสัตว์อื่นทั้งปวง และการอยู่รอดของสิ่งใดๆ ก็เนื่องจากการปรับตัว สิ่งนี้เป็นกฎแห่งธรรมชาติ

เราพบเห็นโศกนาฎกรรมในอดีตคือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์,

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งในศต.นี้ ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ในยุคสมัยของเรา ตอนนี้ก่อให้เกิดการล้างเผ่าพันธุ์อย่างรุนแรง .การรวมกลุ่มกัน,อาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพ สามารถทำลายล้างประชากรได้เป็นจำนวนมาก
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 3:00 pm

เมื่อกลุ่มทางวิทยาศาสตร์แทนที่ศาสนจักรในเรื่องความนิยมยกย่องว่าเป็นพระเจ้าของมวลมนุษย์ วิทยาศาสตร์สัญญาจะสร้างโลกแห่งความสันติสุข (ที่เรียกว่ายูโทเปีย), ความมั่งคั่ง,และบอกว่าศาสนาล้มเหลวที่จะทำให้เกิดขึ้น,

แต่ น่าเศร้า วิทยาศาสตร์ทำให้เกิดความกลัวแทนภาพที่สวยงามที่มีความหวังของวิทยาศาสตร์แก่โลกที่สับสน ไม่เพียงแต่วิทยาศาสตร์ล้มเหลวกับการสร้างโลกที่มีสันติสุขเท่านั้น แต่มันทำให้เราฝันร้ายกับปัญหามลภาวะทางอุตสาหกรรม เคมีและนิวเคลียร์ ในปัญหาต่างๆที่มีมากมาย. เทคโนโลยี่ทางวิทยาศาสตร์ยังมีประโยชน์ต่อเราหลายทางแต่มันก็สร้างความหวาดกลัว ,ความกดดัน,ความเจ็บป่วยที่เราเผชิญในทุกวันนี้

การแก้ปัญหาเบื้องต้นของมนุษยชาติโดยพระคัมภีร์

ไบเบิลอธิบายความกลัวที่ไม่ถูกต้อง ไบเบิลยังเปิดเผยว่าเราสามารถหลุดพ้นจากความกลัวได้อย่างไร (ฮีบรู ๒ ข้อ๑๔-๑๕) ยังบอกเราว่าความรักไม่มีความกลัว (๑ยอห์น๔ ข้อ๑๘) หนังสือสดุดีเขียนพรรณนาถึงผู้รับใช้พระเจ้าที่หันไปหาพระองค์เพื่อให้ความกังวลใจบรรเทา"ในความกังวลใจ การเล้าโลมของพระองค์ก็หนุนจิตใจของข้าพระองค์ให้ชื่นบาน"(สดุดี ๙๔ ข้อ๑๙)กษัตริย์ดาวิด วางความกังวลใจไว้กับพระเจ้า(สดุดี๑๓๙ข้อ๒๓-๒๔)

ไบเบิลแบ่งปันตัวอย่างของผู้คนที่ได้รับการเล้าโลมระหว่างที่เกิดความกังวลเมื่อเผชิญกับความตายและความโศรกเศร้า เพราะว่าพวกเขาพบการแก้ปัญหานั้นในจารึก.ไบเบิลเป็นหนังสือที่ใช้ได้ผลและเยียวยาแก้ไขความต้องการและความอ่อนแอของเรา.
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 3:01 pm

พระคำของพระเจ้าให้คำตอบกับปัญหาใหญ่ๆ เราได้เห็นแล้วว่าไบเบิล เป็นบันทึกที่ยอดเยี่ยมและถูกต้องในทางประวัติศาสตร์ แต่ในเรื่องการสั่งสอนล่ะ ถ้าเราทำตามและมีผลต่อการดำเนินชีวิตในประจำวันของเราไหม. เราทราบได้อย่างไรว่าข้อความในไบเบิล เป็นความจริง หรือว่าเราต้องมีความเชื่อในไบเบิลเท่านั้น

แน่นอนไบเบิลสามารถเข้าใจและยอมรับได้ด้วยความเชื่อ . อย่างไรก็ตาม มันไม่มีเหตุผล ที่ความเชื่อนั้น ต้องเป็นความเชื่อที่งมงาย "เชื่อแบบคนตาบอด" ไม่มีที่ใดในไบเบิลที่ต้องการให้เราทำลายการใช้สติปัญญาเพื่อที่จะสามารถเชื่อในพระคำของพระเจ้าได้ เมื่อเราเข้าใจอย่างถูกต้อง จารึกนั้นก็มีความสมเหตุสมผล,ลงรอยกันและมีเหตุผล.

มีรายละเอียดในเรื่องต่างๆมากมาย ที่แสดงหลักฐานอย่างสมบูรณ์ ว่าไบเบิลเป็นจริงและหนังสือหลายเล่มก็เพิ่มเติมหลักฐานรายละเอียดมากยิ่งขึ้น.การเชื่อในพระคำของพระเจ้าไม่เพียงแต่มีความหวังเท่านั้น มันยังเป็นพื้นฐานเรื่องความจริงอย่างมั่นคงเมื่อพิจารณาจากหลักฐานต่างๆ
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 3:03 pm

แอนดริว ดิกสัน ไวน์ นักประวัติศาสตร์ในศต.ที่๑๙ ไม่เห็นด้วย กับผู้ที่ยืนยันว่าไบเบิลเป็นตำราทางวิทยาศาสตร์ . ไวน์ ถูกแล้ว ที่บอกว่าไบเบิลไม่ใช่หนังสือทางวิทยาศาสตร์ แต่ไบเบิลประกอบด้วยความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์. น่าเศร้า ที่ผู้คนมีความคิดว่าไบเบิลและวิทยาศาสตร์ขัดแย้งกัน แม้ว่าในเวลาที่พวกเขาแสดงความไม่เห็นด้วย เมื่อเราชั่งน้ำหนักเรื่องราวตามพระคัมภีร์ทั้งหมดก่อนมาสรุป ,การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ความถูกต้องของเรื่องราวในพระคัมภัร์ เราควรตระหนักว่า วิทยาศาสตร์เองก็ยังห่างไหลจากความสัมบูรณ์ ( perfect)มีการค้นพบใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอยู่เสมอ ในบางกรณีการค้นพบนั้นกลับสมมติฐานก่อนหน้า นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่านักวิทยาศาสตร์คนก่อนไม่ถูกต้อง

การพิเคราะห์หลักฐานแสดงว่า จารึกไบเบิลอธิบายและบอกถึงความรู้ ว่ามนุษย์ โดยผ่านการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ก็เพียงพึ่งค้นพบ ความรู้นี้คือสิ่งเบื้องต้น แต่มันอาจปรับปรุงเรื่องทั้งหมดของมนุษยชาติให้เข้าใจและนำไปใช้อย่างถูกต้อง

ลองพิจารณาความจริงบางอย่างที่บันทึกไว้ในไบเบิลแล้วเมื่อหลายพันปีก่อนแต่พึ่งได้รับการค้นพบเมื่อเร็วๆนี้และได้รับการยืนยันจากแหล่งข้อมูลอื่นว่า ช่วยสนับสนุนเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 3:04 pm

สุขภาพและการแพทย์

แม้ว่าไบเบิลจะประกอบด้วยเรื่องที่สัมพันธ์กับการแพทย์และสุขภาพเพียงเล็กน้อย ไบเบิลให้คำแนะนำเบื้องต้นที่คนส่วนใหญ่นำไปใช้ได้

พื้นฐานสุขภาพที่ดี เป็นเรื่องสุขอนามัย ไบเบิลเปิดเผยพื้นฐานของเรื่องนั้นในหนังสือเลวีนิติ หนังสือนี้ เกี่ยวข้องกับพลานามัยของชุมชน,การจัดหาน้ำใช้,น้ำเสีย การตรวจและเลือกอาหารและการควบคุมโรคติดต่อ(จากนิวไบเบิลดิกชันนารี บทที่สาม ปี๑๙๙๖ "สุขภาพ เชื้อโรคและการรักษา") แม้ว่าเราจะทราบเรื่องนี้กันแล้ว แต่หลักนี้นักวิทยาศาสตร์ก็พึ่งยอมรับและเข้าใจเพียงเมื่อไม่กี่ศต.

หลักการเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการคิดถึงในสมัยกลางของยุโรป ทำไมหรือ?, ตอบได้ง่ายๆ ว่า ในสมัยนั้นไบเบิล ยังไม่แพร่หลาย สิ่งที่ทำให้คนจำนวนไม่กี่คนที่มีความรู้เรื่องนี้ได้รับคือความหายนะ

ไข้ทรพิษเกิดขึ้นครั้งแรกในยุคกลาง เป็นผลจากสุขอนามันที่ไม่สะอาดของยุโรปสมัยกลาง . โรคระบาดปรากฎขึ้นเป็นครั้งแรกที่นี่ ในปี 1347
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 4:11 pm

B_U_D_D_Y เขียน: Micha,

You're so young. It's good that you express what you think ja.. :)
การโคลนนิ่ง การเลือกดีเอ็นเอเฉพาะตัวที่ดีเพื่อให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อม การเลือกได้ว่าจะให้ลูกของตัวเองเป็นเพศอะไร คนจีนมักอยากได้ลูกผู้ชาย โลกนี้คงมีแต่ลูกผู้ชายเป็นแน่ เหล่านี้ทำให้โลกนี้ดูผิดแปลกไปจากพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นว่า"จะให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อมหรือมัวแต่เชื่อหลักคำสอนของพระเจ้า" นั่นก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้ดูเหมือนวิทยาศาสตร์กะคริสตศาสนาดูเกี่ยวข้องกัน


Well, in fact, this is the issue of morality. Science has to go well with morality.... For cloning, the reason why we can't do that is, basically, would you like yourself to be born by cloning or would you like yourself to be born naturally? :) The cloned child will be like an orphan, no parents. .. If you don't want yourself to be like that, you shouldn't do that to others too.. :)

For child selection, it's against Catholic morality in that .... we need to trust God in His creation... God created everything on purpose.... In the world, we need to have both minorities and superiorities... I myself pray to God that, if I'll have a baby, it's OK if my child will be autistic or down syndrome or anything you'd like to create. ..... There must be a reason from God .. the reason that we don't know that this child has to be born down syndrome... and we can't abort the child no matter what it is.... Human is the most perfect creation from God... That you said ... จะให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อมหรือมัวแต่เชื่อหลักคำสอนของพระเจ้า, in my opinion, there is no reason to develop human race..... What we are now is so perfect because we are created as the image of God.
แต่บางอย่างก็มีในข้อห้ามของคิสตศาสนา เช่น การทำแท้ง รัฐบาลก็อยากให้ควบคุมในขั้นแรก แต่ถ้ามันเลยเถิดจนท้องก็ไปทำแท้ง ในส่วนนี้เค้าอาจจะเห็นว่าการทำแท้งนั้นดีกว่าการเอาเด็กไปทิ้ง หรือฆ่าลูกตัวเองแบบนั้น บางทีก็เกิดกันขัดแย้งกันแบบนี้


This does not conform to any religion na ja... even Bhuddism... Abortion is KILLING..... If one can make an easy decision to abort, it's the first step to any other killing.....

So, it's not quite the issue of science and religion.. but it's rather the issue of morality...

Anyway, do you understand my English all right? Sorry na ja.. I just want to say something.. :)


แปลให้มิช่าจัง

มิชาคุณยังอายุน้อยอยู่นะ เป็นเรื่องดีที่คุณได้ระบายสิ่งที่คุณคิดออกมานะ :)

การโคลนนิ่ง การเลือกดีเอ็นเอเฉพาะตัวที่ดีเพื่อให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อม การเลือกได้ว่าจะให้ลูกของตัวเองเป็นเพศอะไร คนจีนมักอยากได้ลูกผู้ชาย โลกนี้คงมีแต่ลูกผู้ชายเป็นแน่ เหล่านี้ทำให้โลกนี้ดูผิดแปลกไปจากพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นว่า"จะให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อมหรือมัวแต่เชื่อหลักคำสอนของพระเจ้า" นั่นก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้ดูเหมือนวิทยาศาสตร์กะคริสตศาสนาดูเกี่ยวข้องกัน


อืม ในความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นเรื่องของศีลธรรม วิทยาศาสตร์ต้องไปกับศีลธรรมด้วย
สำหรับเรื่องโคลนนิ่ง เหตุผลที่เราทำเรื่องนี้ไม่ได้ โดยพื้นฐานแล้ว คุณอยากให้ตัวขึ้นเกิดมาจากการโคลนนิ่งหรือ หรือ อยากเกิดมาโดยธรรมชาติมากกว่า? :) เด็กที่ถุกทำโคลนขึ้นมาจะเหมือนกับเด็กกกำพร้า คือกำพร้าพ่อแม่
ถ้าตัวคุณยังไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย คุณก็คงไม่อยากทำแบบนี้กับคนอื่นจริงไหมละ :)


ส่วนเรื่องการคดสรรค์บุตรธิดาตามความต้องการเรานั้นมันขัดต่อศีลธรรมคาทอลิกนะคะ
เราต้องวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าในการรังสรรค์ของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งอย่างมีจุดมุ่งหมาย
ในโลกนี้เราต้องการทั้งคนเก่งและไม่เก่ง
ตัวฉันเองก็สวดขอพระเจ้าไว้ว่า ถ้าฉันจะมีลูก ฉันรับได้ถ้าลูกของฉันจะเป็นออติสติค หรือ ดาวน์ ซินโดรม หรืออะไรก็ตามตามแต่พระเจ้าจะทรงรังสรรค์ พระเจ้าต้องทรงมีเหตุผลบางอย่าง เหตุผลที่เราไม่รู้ ว่าเด็กคนนี้จะเกิดมาเป็นดาวน์ ซินโดรม และเราไม่สามารถทำแทงค์เขาไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุดของพระเจ้า

ที่คุณว่า
จะให้เชื้อสายของตัวเองดีพร้อมหรือมัวแต่เชื่อหลักคำสอนของพระเจ้า,
ในความเห็นของฉันคิดว่าไม่มีดหตุผลใดที่จะพัฒนามนุษยชาติ ที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ก็สมบูรณ์แบบแล้ว เพราะเราเป็นพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า

แต่บางอย่างก็มีในข้อห้ามของคิสตศาสนา เช่น การทำแท้ง รัฐบาลก็อยากให้ควบคุมในขั้นแรก แต่ถ้ามันเลยเถิดจนท้องก็ไปทำแท้ง ในส่วนนี้เค้าอาจจะเห็นว่าการทำแท้งนั้นดีกว่าการเอาเด็กไปทิ้ง หรือฆ่าลูกตัวเองแบบนั้น บางทีก็เกิดกันขัดแย้งกันแบบนี้



ไม่มีศาสนาไหนผ่อนปรนเรื่องนี้จ้ะ แม้แต่ พุทธศาสนา ยังมองการทำแท้งว่าเป็น ฆาตกรรม !!!!!!
ถ้าใครคนหนึ่งสามารถตัดสินใจจะทำแทงค์ได้ง่ายๆ ก็เหมือนเป็นก้าวแรกสู่การฆาตกรรมผู้อื่นในอนาคต

ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องของศาสนาห รือ วิทยาศาสตร์ แต่เป็นเรื่องของศีลธรรมมากกว่าจ้ะ
แก้ไขล่าสุดโดย Nihil เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 11:55 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
micha-micael

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 5:02 pm

อีกรอบค่ะ :)
วิทยาศาสตร์ มีนักวิทยาศาสตร์บางคนศึกษาไบเบิ้ลแล้วบอกว่าในไบเบิ้ลมีรหัสลับที่ทำนายเหตุการณ์สำคัญต่างๆเช่น เหตุการณ์ตึกถล่มที่รู้จักดีในชื่อ 911 เหตุการณ์การลูกลอบยิงของประธานาธิบดี การตายของลินคอล สงคามโลกครั้งที่ 1 2 และ 3 เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่ารหัสลับในไบเบิ้ลเป็นเรื่องงมงาย เค้าบอกว่าเค้าสามารถทำนายเหตุการณ์ได้เหมือนกัน แต่.ไม่ใช่ในไบเบิ้ล.นักวิทยาศาสตร์คนนั้นสามารถค้นหารหัสลับที่ซ่อนในหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ไม่ใช่ไบเบิ้ลได้ 1 เหตุการณ์ เหตุการณ์การสิ้นพระชนของเจ้าหญิงไดอาน่า "แสดงว่าหนังสือเล่มนี้ พระเจ้าก็เขียนด้วยงั้นสิ" เค้าถาม ส่วนนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษารหัสลับไบเบิ้ลบอกว่า "เราไม่สามารถบอกได้ว่าไบเบิ้ลมาจากไหน ทำไมถึงมีรหัสลับอยู่ในไบเบิ้ล พระเจ้าคงเขียนขึ้นเองส่วนนึง แล้วให้คนอื่นเขียนต่อ แบบที่โนอาร์ได้บัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้า" (พระเจ้าบอกให้โนอาร์เขียน) ส่วนนักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า "เราไม่สามารถรู้อนาคตได้จนกว่ามันจะเป็นอดีตไปแล้ว" (อันนี้มิฉะเห็นด้วยน่ะ) ไบเบิ้ลจึงเป็นสิ่งที่นักวิทยศาสตร์หลายคนพยายามหารหัสในนั้นให้พบ เพื่อที่ว่าจะได้บอกอนาคตได้ :) นิแหล่ะทำให้วิทยศาสตร์กับศาสนาสัมพันกัน
* * * ถ้ามีตรงไหนที่ไม่ถูก มิฉะวานให้ช่วยแก้หน่อย * * *
micha-micael

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 5:10 pm

ใช่ๆมิฉะเห็นด้วย ถ้าเป็นมิฉะ มิฉะขอให้ลูกเป็นลูกเราดีกว่า อะไรจาเกิดก็ให้เกิด มิฉะไม่มานั่งหาข้อเสียของชีวิตมิฉะหรอก ลูกจะเป็นลูกของมิฉะอยู่ดีไม่ว่าจะเรียนไม่เก่งเท่าเด็กคนอื่น
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 9:01 pm

อืมม์ ยังอ่านไม่จบมึนหัว กั๊บ ??? :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 9:45 pm

หนูมิฉะ

โมเสสเป็นคนรับบัญญัติ 10 ประการจ๊ะ
ไม่ใช่โนอาร์ :-*
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 11:38 pm

Nihil,

Thank you so much for translation na ja.. :) Your translation is better than my English...

By the way, I guess 'abort' means Tam Tang na ja not 'เลี้ยงดูเขา' .... Could you correct that? :)

Thanks a lot ja.. :-*
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

ศุกร์ พ.ค. 20, 2005 11:58 pm

แก้แล้วครับ ขออภัยเบอลไปนิดเห็น abort เป็น adopt :P
micha-micael

เสาร์ พ.ค. 21, 2005 12:06 pm

มิฉะว่าแล้ว พิมพ์เองแล้วก็นึกอยู่ว่ามีอารายแปลกๆ แบบว่าตอนนั้นเพิ่งดูโคนันจบ ตอนโนอาร์อาร์ค จิงด้วย ;D ขอโทษค่ะ 555+
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ พ.ค. 21, 2005 3:41 pm

โรคระบาดได้เข้าไปในทวีปยุโรป เป็นระยะๆอีกหลายร้อยปี ในสมัยกลาง เป็นธรรมดาที่จะให้ผู้คนทิ้งขยะต่างๆและปล่อยน้ำเสียออกสะสมอยู่บนถนน ขยะและน้ำเสียเหล่านี้เป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ของเหล่าประชากรหนูที่กำลังเจริญเติบโต ที่ตัวหนู ยังเป็นที่อยู่ของตัวหมัด ที่ทำให้เกิดโรคระบาด

ผู้คนที่ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องความสะอาดในไบเบิล ได้รับผลกระทบที่รุนแรงน้อยกว่า ประชากรยิวซึ่งมีความคุ้นเคยกับคัมภีร์ดีกว่าในสมัยนั้น ได้รับผลร้ายน้อยกว่ามากเพราะการปฎิบัติตามหลักการเรื่องความสะอาดในคัมภีร์ การปฏิบัติเพื่อความรอดอย่างหนึ่งของคนยิวคือ"การกักกันผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อ"

ความจริง "เดิม คำว่า"กักกันไว้ตรวจเชื้อโรค" เป็นสิ่งที่ชาวยิวใช้แยกคนที่สงสัยออกจากคนป่วยที่ติดโรคแน่นอนแล้ว เป็นเวลา ๔๐ วัน ....ต่อมาชาวอิตาลี่ นำหลักการนี้ไปใช้ต่อในศต.ที่๑๔ เพราะความรอดพ้นที่คนยิวได้รับจากโรคระบาด...มุมมองตามคัมภีร์เรื่องคนป่วยและสุขภาพทั่วไป....บางทีทันสมัยกว่าที่รับรู้กันโดยทั่วไป

คนทั่วไปรู้และใช้หลักการเรื่องอนามัยของสาธารณะกันไหมเมื่อไข้ทรพิษระบาด โรคระบาดสามารถควบคุมหรือกำจัดได้ ไม่ต้องสงสัยว่าโรคระบาดอาจเกิดขึ้นเป็นส่วนๆเท่านั้น ยังมีชีวิตคนอีกหลายล้านคนที่รอดพ้น
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ พ.ค. 21, 2005 3:42 pm

ไบเบิลยังมี คำแนะนำการปฎิบัติทางสุขภาพอื่นๆ.ตัวอย่างเช่น ได้แสดงเป็นตัวอย่างว่า ควรกระทำกับบาดแผลและปิดแผลอย่างไร, เรื่องของชาวสาเมเรียใจดี บอกเราว่า การใช้น้ำองุ่นและน้ำมันมะกอกรักษาบาดแผลผู้บาดเจ็บ จากนั้นก็ปิดแผลไว้ในขณะที่รักษา (ลูกาบท ๑๐ ข้อ๓๔) เหล้าองุ่นนั้นทำให้บาดแผลไม่ติดเชื้อและน้ำมันมะกอกใช้บรรเทาความเจ็บปวดได้ดี .

ตามที่อินเตอร์เนชั่นแนล์ สแตนดาร์ด ไบเบิล เอ็นไซโครพีเดีย ให้ข้อสังเกตุว่า"น้ำมันมะกอกมีคุณภาพในการรักษาให้หายได้และยังคงใช้ในวงการแพทย์สมัยปัจจุบัน"การผสมน้ำมันมะกอกและน้ำองุ่น ก็เพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อ ตามที่ชาวสาเมเรียใช้กับผู้บาดเจ็บ กระบวนการเหล่านี้ ถูกลืมเป็นเวลาหลายร้อยปี จนกระทั่งมีการค้นพบใหม่ในเวลาไม่กี่สิบปีมานี้

ถ้าวิธีการที่คล้ายกันนี้ ได้เป็นที่รู้จักและถูกนำมาใช้ ได้ทันในสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา,อัตราการตายก็อาจลดต่ำลงกว่านี้มาก.ในสงครามครั้งนั้น คนส่วนมากที่ตายไม่ได้ตายเพราะถูกฆ่าตายในขณะสู้รบ พวกเขาตายเนื่องจากติดเชื้อ คือ เป็นไข้ไทฟอยด์, ปอดบวม,โรคบิดและติดเชื้อโรคในวัยเด็ก ดังเช่นโรคหัดและฝีดาษไก่"คนจำนวนหลายพันที่เป็นแผลจากการต่อสู้ในกันสงครามย่อยๆ กลายเป็นแผลติดเชื้อ "ในสมัยนั้น ไม่เป็นที่ทราบกันว่าทำไมบาดแผลถึงติดเชื้อและจะรักษาได้อย่างไร....จำนวนคนที่เจ็บป่วยและตายหรือที่แผลถลอกเล็กๆน้อยๆ หรือฉีกขาดและเมื่อไม่ทำอะไรเพื่อตรวจการติดเชื้อ"
ตอบกลับโพส