การรอคอยอย่างมีจุดหมาย
ในช่วงสิ้นปีของทุก ๆ ปี คริสตชนทั่วโลก ต่างแสดงความชื่นชมยินดี ในการระลึกถึงการเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสตเจ้า เมื่อกว่าสองพันปีมาแล้ว เหล่าคริสตชนจะประกอบพิธีตามขนบธรรมเนียมของ คณะหรือนิกายของตน จุดประสงค์เพื่อขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้า ที่ได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์
ลงมายังโลกเพื่อไถ่บาปให้แก่มนุษย์ทุกคน
การเสด็จมาในครั้งแรกของพระองค์นั้น เป็นการเสด็จมาตามพระสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อเหล่าประชากรชาวอิสราเอล ทำให้คำเผยพระวจนะที่ปรากฏในพระคัมภีร์เดิมเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นสำเร็จตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานหมายสำคัญผ่านทางผู้เผยพระวจนะ
อิสยาห์ 7: 14 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะประทานหมายสำคัญแก่ท่านคือ หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย บุตรนั้นจะได้ชื่อว่าอิมมานุเอล* (แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)
อิสยาห์ 9:6 ด้วยมีทารกผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อเรา ทรงโปรดประทานบุตรคนหนึ่งแก่เรา การปกครองจะอยู่ ณ บ่าของบุคคลนั้น และผู้นั้นจะได้รับการขนานนามว่า "องค์ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าทรงฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช"
พระราชกิจของพระองค์ในการเสด็จมาครั้งแรกนั้น พระองค์ลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อสั่งสอนทุกคนให้ปฏิบัติตามพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระราชกิจที่มีความสำคัญที่สุดในการเสด็จลงมาในครั้งแรกคือ พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปมนุษย์ พระองค์ทรงแสดงความสัตย์ซื่อของพระองค์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงถวายพระองค์เป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ต่อพระบิดาผู้ทรงสถิตย์ในสวรรค์
ในช่วงสุดท้ายก่อนที่พระองค์จะทรงถูกรับขึ้นสวรรค์นั้น พระองค์ได้ทรงสอนและสั่งเหล่าสานุศิษย์ของพระองค์ ว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีก แต่การกลับมาในครั้งที่สองนั้น พระองค์จะไม่ได้เสด็จมาเพื่อถูกพิพากษาเหมือนในครั้งแรก แต่พระองค์จะเสด็จมาเพื่อพิพากษาเหล่าประชากรของพระองค์
ในขณะนี้ ขณะที่เราทุกคนกำลังเฉลิมฉลองระลึกถึงการเสด็จมาในครั้งแรกขององค์พระคริสต์ กำหนดเวลาในการที่พระองค์จะเสด็จมาในครั้งที่สอง นั้นก็ใกล้เข้ามาทุกที พวกเราได้เฝ้ารอคอยการเสด็จกลับมาในครั้งที่สองของพระองค์ด้วยความถ่อมใจหรือไม่ เราเตรียมพร้อมต่อการถูกพิพากษาเพียงใด มิใช่แต่เพียงคนที่มีชีวิตเท่านั้นที่จะถูกพิพากษา แต่ผู้ที่หลับไหลอยู่ก็จะถูกปลุกขึ้นมารับการพิพากษาด้วย
กำหนดเวลาที่แน่นอนนั้น ก็มิมีผู้ใดทราบ มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นได้ทรงทราบ แม้แต่พระเยซูคริสต์เอง พระองค์ก็ไม่ทรงทราบ
มัทธิว 24:36 "ไม่มีใครรู้ว่าวันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ"
เพราะเมื่อถึงวันที่พระองค์เสด็จลงมาเพื่อพิพากษาแล้ว เราจะต้องถูกพิพากษาตามความดีและความบาปที่เราได้กระทำ
มัทธิว 25:31 "เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระสิริของพระองค์พร้อมด้วยทูตสวรรค์ทั้งหมด พระองค์จะประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ด้วยพระสิริแห่งสวรรค์"
มัทธิว 25:32 "มวลประชาชาติจะมาชุมนุมกันต่อเบื้องพระพักตร์ และพระองค์จะทรงแยกประชากรออกจากกัน เหมือนผู้เลี้ยงแยกแกะออกจากแพะ"
มัทธิว 25:33 "แกะนั้นจะทรงให้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย"
มัทธิว 25:34 "แล้วองค์ราชันจะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า 'ท่านผู้ได้รับพรจากพระบิดาของเรา มารับมรดกของท่านเถิด'"
มัทธิว 25:41 "แล้วพระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระองค์ว่า 'จงไปเสียจากเรา เจ้าทั้งหลายผู้ถูกแช่งสาป จงไปยังไฟนิรันดร์ที่เตรียมไว้สำหรับมารร้ายกับสมุนของมัน'"
พระองค์จึงทรงสั่งสอนพวกเรา ให้พวกเรารอคอยด้วยใจจดจ่อ ประพฤติตนให้ถึงพร้อมตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์
มัทธิว 24:42 "ฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะมาวันไหน"
มัทธิว 24:43 "แต่จงเข้าใจข้อนี้คือ หากเจ้าของบ้านล่วงรู้ว่าขโมยจะมาตอนกี่ทุ่มกี่ยาม เขาจะคอยเฝ้าระวังไม่ปล่อยให้ใครบุกเข้ามาในบ้านได้"
มัทธิว 24:44 "ดังนั้นท่านก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เช่นกัน เพราะบุตรมนุษย์จะมาในยามที่ท่านไม่คาดคิด"
โดยทรงสั่งสอนพระธรรมบัญญัติหลักและธรรมบัญญัติรอง ให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ประพฤติปฏิบัติ
มาระโก 22:30 "จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิดและสุดกำลังของท่าน"
มาระโก 22:31 "จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง"
นอกจากนี้ พระองค์ได้ทรงมอบพันธกิจอันยิ่งใหญ่คือ การประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งคริสตชนทุกคนควรถือเป็นหน้าที่ และประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
มัทธิว 28:18-20