สงสัย...

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 8:00 am

หลังจากที่พระเยซูตรัส "เอลี เอลี ลามาสะบักธานี" ก่อนสิ้นพระชนม์ ทำไมมีบางคนจึงพูดถึง การรอดูว่าประกาศกเอลียาห์จะมาช่วยพระองค์ไหม มันเกี่ยวกันใช่ไหม ???
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 8:45 am

เป็น คำไปพ้องเสียง แล้วคนฟังไม่ชัดหน่ะครับ

สัมพันธ์ไหม

ก็

ใน การกล่าวถึง ประกาศกเอลียาห์

พระเจ้า ได้ส่ง ราชรถ มาให้ และเดินทางไปจาก แผ่นดินโลก
ซึ่งยิวเชื่อกันว่า พาไปสวรรค์

ด้วยเหตุนี้ เค้าจึง คิดว่า การลั่นวาจาของพระคริสต์ คือก็ การร้องเรียก ให้ เอลียาห์มารับขึ้นสวรรค์ครับ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 1:03 pm

Q เขียน: หลังจากที่พระเยซูตรัส "เอลี เอลี ลามาสะบักธานี" ก่อนสิ้นพระชนม์ ทำไมมีบางคนจึงพูดถึง การรอดูว่าประกาศกเอลียาห์จะมาช่วยพระองค์ไหม มันเกี่ยวกันใช่ไหม ???
เอลี เอลี ลามาสะบักธานี แปลว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า เหตุใดพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 6:12 am

Q เขียน: หลังจากที่พระเยซูตรัส "เอลี เอลี ลามาสะบักธานี" ก่อนสิ้นพระชนม์ ทำไมมีบางคนจึงพูดถึง การรอดูว่าประกาศกเอลียาห์จะมาช่วยพระองค์ไหม มันเกี่ยวกันใช่ไหม ???
หนูคิดว่า ไม่มีใครเข้าใจ ความเป็นพระเจ้าของพระเยซู และไม่เข้าใจว่า การเสด็จเข้ามาในโลกนี้ของพระเยซูเจ้า มีเป้าหมาย เพื่อนำคนบาปไปหาพระบิดาเจ้า ???

อีกอย่าง หนึง เพราะ ความคิดของคนยิว ที่รอคอย พระเมสสิยาห์ ก็ไม่คิดว่า พระเยซูนี่แหละ คือพระเมสสิยาห์
ดังนั้นเมื่อถึงภาวะคับขัน พระเยซู คงเรียก ท่าน อิสยาห์ให้ช่วย มั้ง ??? ;D 8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 7:26 am

ขอบคุณทุกคนที่ออกมาช่วยให้ความเห็นนะ แต่ยังรอฟังความคิดเห็นของคนอื่นอยู่นะครับ ถ้าพอรู้... ช่วยกันเดาหน่อย แต่สามวันก่อนตอนผมกำลังสวด ก็เปิดอ่านพระคัมภีร์ไปโดนหน้าหนึ่งเข้า ใจหายหมดเลย เพราะดันมาเจอข้อความนี้พอดี แต่อยู่ในหนังสือบทสดุดี ที่ 22 ข้อแรกเลย
"พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย เหตุใด พระองค์ทรงเมินเฉยที่จะช่วยข้าพระองค์ และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์ "
My God, my God, why hast thou forsaken me? Why art thou so far from helping me ข้อความเดียวกัน แต่อยู่ในหนังสือพระธรรมเก่า แล้วดันมาปรากฎอยู่ในคำพูดของพระองค์ในวาระสุดท้าย เชื่อมโยงกันแน่ๆ ต้องหาดูๆๆ แต่ไปเกี่ยวอะไรกับเอลียาห์หว่า ???......ต้องหาคำตอบให้ได้....ไม่ยอม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 7:43 am

กรณี เรื่องท่านเอลียาห์ ผม กับเพื่อนก็อธิบายไปแล้วหนิครับ

ว่าคนที่นินทาพระองค์นั้น เค้าคิดกันไปเอง :P

การมาของพระเยซูมีการทำนายไว้แล้วครับ

ถ้าคุณอ่าน อิสยาห์จะยิ่งกว่านี้อีก :o
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 7:45 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 8:03 am

อ้า...ขอบคุณครับคุณโจชัว ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ เพราะเรื่องเอลียาห์ ที่พระเจ้า ได้ส่ง ราชรถม้าเพลิง มาให้ และรับขึ้นไปบนสวรรค์ แบบตัวเป็นๆ ผมว่าชาวยิวหลายคนในสมัยพระเยซูเจ้า คงจดจำเรื่องนี้กันได้ดีจากหนังสือพระธรรมเก่าอยู่แล้ว เพียงแต่ผมสงสัยว่ามันน่าจะมีอะไรลึกซึ้งกว่าที่พวกเค้าจะนึกได้แค่นั้น
แต่ก็ขอบคุณมากสำหรับคำตอบนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 12:42 pm

มีอยู่แน่ที่เดียวครับ อย่างเที่เรา เห็นจากการทำนาย

นับ แต่ ที่ อับราฮัม เจอ เมลเคเซเดค
ยาโคบกล่าวถึง ชิโลห์ ฯลฯ

พระมาซีฮา/เมสสิยาห์ จะมาอย่างไร ท่านอิสยาห์จะกล่าวชัดเจนมากๆ


เพียงแต่ เขา ไม่เชื่อเท่านั้นเองแหละครับ ::)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 10:46 pm

“พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ทำไมพระองค์ทอดทิ้งข้าพเจ้า?”

นักบุญมัธทิวเขียนว่า พระเยซูตรัสคำเหล่านี้ด้วยพระสุรเสียงดังกึกก้อง ทำไมพระองค์พูดเช่นนั้น? ยูไธมิอุสกล่าวว่า พระองค์ร้องตะโกนออกมาเพื่อแสดงให้เราเห็นพระฤทธานุภาพของพระองค์ ถึงแม้พระองค์กำลังจะหมดลมหายใจ พระองค์ยังสามารถร้องดัง ๆ คนกำลังจะตายทำไม่ได้เพราะอ่อนเพลียหมดเรี่ยวแรง พระองค์ต้องการแสดงให้เราเห็นด้วยว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยความตายอันเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส บางคนอาจคิดว่า เนื่องจากพระเยซูเป็นทั้งพระเป็นเจ้าและมนุษย์ โดยพระฤทธานุภาพแห่งพระเทวภาพของพระองค์ ๆ ได้ทำให้ความเจ็บปวดทรมานของพระองค์ลดน้อยลง และเพื่อไม่ให้คนคิดเช่นนั้น พระองค์คิดว่าเหมาะสมในการประกาศว่า ความตายของพระองค์ขมขื่นยิ่งกว่าความตายที่มนุษย์พอทนได้ พระองค์ยังประกาศอีกว่า ขณะมรณะสักขีได้รับความบรรเทาใจอันอ่อนหวานละมุนละไมจากพระเป็นเจ้า พระองค์ จอมราชันแห่งมรณะสักขี ทรงเลือกความตายปราศจากความบรรเทาใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อตอบสนองความยุติธรรมของพระเป็นเจ้าสำหรับบาปทั้งหมดของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น ซิลเวียราพูดว่า พระเยซูเรียกพระบิดาว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า เพราะพระองค์ให้เกียรติ พระบิดา ในฐานะ พระตุลาการ

นักบุญลีโอเขียนว่า เสียงร้องของพระเยซูไม่ใช่ ความเศร้าโศกเสียใจ แต่เป็น ข้อความเชื่อ เพราะพระองค์ปรารถนาสอนเราถึงความชั่วอันร้ายกาจของบาป พระเป็นเจ้าถูกบังคับให้ทอดทิ้งพระบุตรสุดที่รักของพระองค์โดยไม่มีความบรรเทาใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะพระบุตรยอมพลีพระชนม์ชีพเพื่อชดเชยบาปของเรา ในเวลาเดียวกัน พระเทวภาพ หรือพระสิริโรจนาไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์ ยังอยู่กับพระองค์เสมอตั้งแต่วันที่พระองค์บังเกิด พระองค์ไม่ได้รับความบรรเทาเหมือนอย่างที่พระเป็นเจ้าประทานแก่ผู้รับใช้อย่างซื่อสัตย์ของพระองค์ในยามทุกข์ยาก พระเยซูถูกปล่อยให้อยู่ในความมืดมน ความกลัว ความขมขื่น ความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส เราคนบาปสมควรได้รับสิ่งเหล่านี้ ในสวนเยธเซมานี พระองค์ถูกพระเป็นเจ้าทอดทิ้ง แต่พระมหาทรมานของพระองค์บนไม้กางเขนทุกข์ระทมขมขื่นยิ่งกว่านี้หลายเท่า

โอ้ พระบิดา ผู้สถิตชั่วนิรันดร์ พระบุตร ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง นบนอบอย่างที่สุด ได้ทำความผิดอะไร? พระองค์จึงได้ลงโทษพระบุตรด้วยความตายอันทุกข์ระทมขมขื่นยิ่งนัก โปรดทอดพระเนตรพระองค์แขวนอยู่บนไม้กางเขนด้วยตะปูสามตัว พระเศียรของพระองค์สวมด้วยมงกุฏหนามที่ทรมานพระองค์อย่างแสนสาหัส ทั่วพระกายของพระองค์เต็มไปด้วยบาดแผล ทุกคน รวมทั้งอัครสาวก ได้ทอดทิ้งพระองค์ ทุกคนดูหมิ่นพระองค์บนไม้กางเขนและสบประมาทพระองค์ ทำไมพระบิดา ผู้ทรงรักพระบุตรสุดพระหฤทัย จึงทอดทิ้งพระองค์? เราต้องเข้าใจ พระเยซูได้ยอมรับบาปของโลกเหมือนเป็นความผิดของพระองค์เอง แม้พระองค์เป็นมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด หรือเป็นองค์ความศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม พระองค์พลีพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อชดเชยบาปของเราทุกคน ดูเหมือน พระองค์เป็นคนบาปที่มีบาปหนาอย่างที่สุด ยอมรับผิดแทนมนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงถวายพระกายของพระองค์เพื่อชดเชยบาปของมนุษยโลก เนื่องจากเราสมควรถูกทิ้งชั่วนิรันดร์ในนรก หมดหวังความรอด พระองค์จึงทรงเลือกความตายปราศจากความบรรเทาใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อปลดปล่อยเราออกจากความตายชั่วนิรันดร์

มีคนสบประมาทว่า เพื่อระงับพระพิโรธของพระบิดา พระเยซูคริสตเจ้าต้องประสบการเคืองพระทัยของพระเป็นเจ้าต่อคนบาป และรู้สึกความสูญเสียของคนพินาศหายนะ โดยเฉพาะ คนหมดหวังความรอด โอ้ ความคิดนี้ ฟังแล้วสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวง! พระองค์ชดเชยบาปของเราโดยทำบาปเหมือนคนหมดหวังความรอด ได้อย่างไร? การหมดหวังความรอดนี้ขัดแย้งกับพระวาจาของพระเยซู: “พระบิดา ลูกขอถวายวิญญาณของลูกในพระหัตถ์ของพระองค์” นักบุญเจอร์โรมและองค์อื่นอธิบายว่า พระมหาไถ่ของเราคร่ำครวญอย่างเศร้าโศก พระองค์ไม่ได้แสดงการหมดหวังความรอด แต่แสดงความทุกข์ระทมขมขื่นในความตายปราศจากความบรรเทาใด ๆ ทั้งสิ้น พระเยซูหมดหวังความรอดถ้าพระองค์รู้ว่าพระเป็นเจ้าเกลียดพระองค์ แต่พระเป็นเจ้าจะเกลียดพระบุตร ผู้นบนอบพระองค์ ยอมพลีพระชนม์ชีพเพื่อชดเชยบาปของมนุษย์ทั้งมวล ได้อย่างไร? เพราะความนบนอบนี้ พระบิดาทรงทอดพระเนตรพระบุตร และประทานแก่พระองค์ความรอดของมนุษยชาติ อัครสาวกเขียนว่า “โดยเนื้อหนังของพระบุตร พระองค์ได้ถวาย ด้วยน้ำตาและเสียงร้องครวญคราง คำภาวนาและคำเร้าวิงวอนแด่พระเป็นเจ้า พระองค์ทรงฟังคำอ้อนวอนของพระบุตร เพราะพระเป็นเจ้าพระบิดาทรงรักพระองค์ยิ่งนัก”

การที่พระเยซูคริสตเจ้าถูกทอดทิ้งเป็นความทุกข์อันน่ากลัวที่สุดในพระมหาทรมานของพระองค์ เพราะเรารู้ว่าหลังจากที่พระองค์ต้องทนทุกข์การทรมานหลายอย่างโดยไม่บ่น พระองค์ร้องครวญครางในความทุกข์ระทมขมขื่นนี้ พระองค์ร้องเสียงดังกึกก้องด้วยน้ำตาและคำวิงวอนตามที่นักบุญเปาโลบอกเรา คำวิงวอนและน้ำตาที่ไหลออกมาก็เพื่อสอนเราว่า พระองค์ต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเพื่อขอพระเป็นเจ้าทรงเมตตาเรา และช่วยให้เราเข้าใจในเวลาเดียวกันว่า วิญญาณที่ทำผิดต่อพระเป็นเจ้าได้รับโทษถูกขับไล่ออกจากพระพักตร์ของพระองค์ และจะไม่ได้รับความรักจากพระองค์อีกต่อไปตามคำขู่ของพระองค์ว่า “เราจะขับไล่เขาออกจากบ้านเรา เราจะไม่รักเขาอีกต่อไป”

นักบุญออกัสตินกล่าวว่า พระเยซูเจ้าไม่สบายใจในยามเผชิญความตาย ที่เป็นเช่นนั้น เพื่อปลอบใจผู้รับใช้พระองค์ ถ้าผู้ใดพบตัวเองถูกรบกวนในเวลาใกล้ตาย ผู้นั้นจะต้องไม่คิดว่าตัวเองสูญเสียชีวิตนิรันดรหรือหมดหวังความรอดขณะเผชิญความตาย

ฉะนั้น ให้เราขอบพระคุณพระมหาไถ่ของเราที่พระองค์ได้ยอมรับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส โทษบาปของเรา และปลดปล่อยเราจากความตายชั่วนิรันดร์ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปให้เราซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์ อย่าให้อะไรที่ไม่สบพระทัยพระองค์เล็ดลอดเข้ามาในดวงใจของเรา เมื่อวิญญาณของเราทุกข์ระทมขมขื่น คล้ายกับว่าถูกพระเป็นเจ้าทอดทิ้ง ให้เรารวมความทุกข์ระทมขมขื่นของเราเข้ากับของพระเยซูคริสตเจ้าในพระมหาทรมานของพระองค์ บางเวลาพระเป็นเจ้าซ่อนพระองค์จากวิญญาณที่พระองค์รัก แต่พระองค์ไม่ได้ออกจากดวงใจของเขา พระองค์ช่วยเขาด้วยพระหรรษทานของพระองค์ ในเวลาแห่งการทอดทิ้งเราควรสวดเหมือนอย่างพระเยซูภาวนาในสวนเกธเซมานีว่า “พระบิดา ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยกาลิกผ่านพ้นไป” ในแวลาเดียวกันเราต้องสวดต่อว่า “อย่าเป็นไปตามปรารถนาของลูก ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์” ถ้าความรู้สึกโดนทอดทิ้งยังดำเนินต่อไป เราก็ต้องสวดต่อไป บทขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย เหมือนอย่างที่พระองค์สวดซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลา 3 ชั่วโมงขณะพระองค์ภาวนาอยู่ในสวน นักบุญฟรังซิสเดอร์เซลส์พูดว่า พระเยซูสมควรได้รับความรักเมื่อพระองค์ซ่อนตัว เท่า ๆ กับเมื่อพระองค์ปรากฎพระกายให้เห็น คนที่สมควรตกนรก แต่พ้นจากความหายนะชั่วนิรันดร์ ควรสวดว่า “ข้าพเจ้าขอถวายพรแด่พระเป็นเจ้าตลอดกาล” พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรได้รับความบรรเทาใจ โดยพระหรรษทานของพระองค์ โปรดให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ ข้าพเจ้ายินดีอยู่ในการไม่มีความบรรเทาใจจนกว่าพระองค์พอพระทัย ถ้าคนพินาศหายนะในความเจ็บปวดสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำพระทัยของพระองค์ นรกก็จะไม่เป็นนรกอีกต่อไป

http://www.geocities.com/prakobkit/new4/45.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 11:06 pm

ในอีกทาง นักวิชาการทางพระคัมภีร์จำนวนไม่น้อยทราบดีว่าคำนั้นเป็นต้นของบทสดุดีซึ่งแม้ตอนต้นจะเหมือนตัดพ้อ แต่จบลงด้วยว่าพระเจ้าทรงช่วยและชุบชู ดังนั้นหากจะถือว่าในเวลาวิกฤตพระองค์ทรงนึกถึงบทสดุดีดังกล่าวก็น่าสนใจว่าพระองค์ทรงยืนยันว่าพระองค์จะได้รับการชุบชูจากพระบิดาในท้ายที่สุด

แต่ในมุมมองของผม ผมมองเห็นความน่าสนใจอันนึงครับ

ผมคิดว่า ในสมัยนั้นการร้องเรียกคนที่เราแน่ใจว่าอยู่กับพระเจ้าให้ช่วยด้วยนั้น ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรของชาวยิว โดยเฉพาะท่านเอลิยาห์ที่พระคัมภีร์บันทึกว่ารถม้าไฟมารับท่านไปสวรรค์ สิ่งนี้ให้คำตอบที่น่าสนใจมากว่า ทำไมคริสตชนสมัยแรกจึงเรียกแม่พระให้ช่วยวิงวอน และโดยเฉพาะข้อเขียนเกี่ยวกับการได้รับการยกขึ้นสวรรค์ของแม่พระนั้นมีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่4-5และบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าที่กล่าวถึงการให้พระแม่มารีย์วิงวอนพระเจ้าให้เราได้ไปสววรค์แบบพระแม่นั้นมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่2

ดังนั้น ผมวิเคราะห์ตรงนี้ว่า การเรียกให้คนที่เราได้เชื่อว่าเขาไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะทูตสวรรค์หรือบรรดาประกาศก ให้ท่านช่วยเราในพระนามของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่มีปฏิบัติเป็นเรื่องธรรมดามาตั้งแต่สมัยก่อนพระเยซูเจ้าประสูติ จึงทำให้พวกยิวคิดว่าพระเยซูเรียกให้เอลียาห์ช่วยก่อนจะคิดว่าทรงอ่านบทสดุดี เป็นไปได้ว่าการเรียกให้บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ช่วยนั้นอาจเป็นเรื่องที่พวกเขาคุ้นเคยหรือเป็นเป็นเรื่องธรรมดายิ่งว่าการที่คนๆหนึ่งจะร้องเพลงสดุดีหนุนใจตัวเองซะอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

จันทร์ พ.ค. 30, 2005 2:00 am

ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมที่ให้มานะครับ คุณHoly ใช้ได้ทีเดียว ผมกำลังสนใจคำพูดประโยคที่ว่า "พระเยซูเจ้าต้องมาตายอันเนื่องมาจากพระพิโรธของพระเจ้า" (the wrath of God) อยู่พอดี ตอนนี้กำลังอ่านเล่มที่ น.อัลแซล์ม เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ทฤษฎี Satisfaction ของท่าน น่าสนใจมาก แถมยังมีการพูดถึงทฤษฎีเรียกค่าไถ่ (ransom) ด้วย โอ้ ช่างคิดกันจริงๆ น่าสนใจ คุณHoly เคยได้อ่านทฤษฎีพวกนี้มาบ้างยังครับ จะช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมให้อีก ก็จะยิ่งขอบคุณมากๆเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

จันทร์ พ.ค. 30, 2005 2:06 am

แต่ว่าใครใช้นามปากกา .สิริโรจนา. ครับ ใช่คุณ Holy ด้วยไหมครับ หรือเป็นท่านอื่น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

จันทร์ พ.ค. 30, 2005 5:12 pm

Q เขียน: แต่ว่าใครใช้นามปากกา .สิริโรจนา. ครับ ใช่คุณ Holy ด้วยไหมครับ หรือเป็นท่านอื่น
ไม่ใช่ผมครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

พุธ มิ.ย. 01, 2005 11:23 pm

มาใหม่แล้วครับ สำหรับเผื่อใครที่อาจยังติดใจกับคำตอบเรื่องนี้อยู่
พอดี ผมมีโอกาสได้ไปถกกับพระสงฆ์ท่านหนึ่งเข้า แล้วก็เอาข้อมูลของผมที่ไปค้นมา
รวมกับที่คุณHoly ช่วยวิเคราะห์ในนี้ด้วย เอาไปคุยกับพ่อองค์นี้
ที่สุด ผมก็ได้กระจ่างจนได้
คุณพ่อท่านแทบไม่ได้ใช้เวลานานในการตอบเลยครับ
คำตอบแทบจะหลุดออกจากปากท่านออกมาทันทีที่ผมพูดเรื่องที่คุณHolyวิเคราะห์เสร็จ
ท่านบอกว่า "ใกล้แล้ว" แถมยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้มาเกือบจะติดกัน
ในความหมายของการต้องการจะบอกว่า ผมขาดอะไรไปอีกนิดเดียวเอง
เรื่องรถม้าเพลิงที่มารับเอลียาห์ที่เราคุยกันนั้นน่ะ แน่นอนเป็นเรื่องที่ชาวยิวหลายคนจดจำกันได้ดี
เพราะมีบันทึกไว้ในพรธรรมเก่านานแล้ว
แต่เมื่อพระเยซูเจ้าพูดว่า "เอโลอี เอโลอี ลามาซาบัคทานี" พระองค์ก็หมายถึงพระเจ้า ( ELOI)
คนพวกนี้คงยืนห่างกางเขนพระเยซูเจ้าไปพอสมควร ไม่แปลกที่พวกเขาจะเข้าใจว่า พระองค์กำลังเรียกเอลียาห์อยู่ แต่คุณพ่อบอกว่า ที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้คิดถึงเอลียาห์ ไม่ใช่ประกาศกคนอื่นที่ไหนอีก มันไม่ใช่ด้วยเหตุผลจากชีวประวัติของท่านเอลียาห์ ที่มีรถม้าเพลิงมารับขึ้นสวรรค์แบบตัวเป็นๆหรอก แต่เพราะ มีบันทึกเอาไว้ว่า เอลียาห์จะเป็นผู้กลับมารับองค์พระผู้ไถ่ (Messiah) กลับสู่สวรรค์ ต่างหาก พวกเขาเลยรอดูว่าเอลียาห์จะกลับมารับพระเยซูเจ้าขึ้นไปจริงๆไหมอย่างที่พวกเขาเข้าใจ เพราะมันจะเป็นการพิสูจน์ได้อย่างทันทีตามที่พระองค์อ้างว่าทรงเป็นพระผู้ไถ่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 02, 2005 1:06 am

Q เขียน: มาใหม่แล้วครับ สำหรับเผื่อใครที่อาจยังติดใจกับคำตอบเรื่องนี้อยู่
พอดี ผมมีโอกาสได้ไปถกกับพระสงฆ์ท่านหนึ่งเข้า แล้วก็เอาข้อมูลของผมที่ไปค้นมา
รวมกับที่คุณHoly ช่วยวิเคราะห์ในนี้ด้วย เอาไปคุยกับพ่อองค์นี้
ที่สุด ผมก็ได้กระจ่างจนได้
คุณพ่อท่านแทบไม่ได้ใช้เวลานานในการตอบเลยครับ
คำตอบแทบจะหลุดออกจากปากท่านออกมาทันทีที่ผมพูดเรื่องที่คุณHolyวิเคราะห์เสร็จ
ท่านบอกว่า "ใกล้แล้ว" แถมยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้มาเกือบจะติดกัน
ในความหมายของการต้องการจะบอกว่า ผมขาดอะไรไปอีกนิดเดียวเอง
เรื่องรถม้าเพลิงที่มารับเอลียาห์ที่เราคุยกันนั้นน่ะ แน่นอนเป็นเรื่องที่ชาวยิวหลายคนจดจำกันได้ดี
เพราะมีบันทึกไว้ในพรธรรมเก่านานแล้ว
แต่เมื่อพระเยซูเจ้าพูดว่า "เอโลอี เอโลอี ลามาซาบัคทานี" พระองค์ก็หมายถึงพระเจ้า ( ELOI)
คนพวกนี้คงยืนห่างกางเขนพระเยซูเจ้าไปพอสมควร ไม่แปลกที่พวกเขาจะเข้าใจว่า พระองค์กำลังเรียกเอลียาห์อยู่ แต่คุณพ่อบอกว่า ที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้คิดถึงเอลียาห์ ไม่ใช่ประกาศกคนอื่นที่ไหนอีก มันไม่ใช่ด้วยเหตุผลจากชีวประวัติของท่านเอลียาห์ ที่มีรถม้าเพลิงมารับขึ้นสวรรค์แบบตัวเป็นๆหรอก แต่เพราะ มีบันทึกเอาไว้ว่า เอลียาห์จะเป็นผู้กลับมารับองค์พระผู้ไถ่ (Messiah) กลับสู่สวรรค์ ต่างหาก พวกเขาเลยรอดูว่าเอลียาห์จะกลับมารับพระเยซูเจ้าขึ้นไปจริงๆไหมอย่างที่พวกเขาเข้าใจ เพราะมันจะเป็นการพิสูจน์ได้อย่างทันทีตามที่พระองค์อ้างว่าทรงเป็นพระผู้ไถ่
ขอบคุณครับสำหรับความรู้ที่นำมาแบ่งปันและขอบคุณคุณพ่อด้วย :D
นางมารกลับใจ

พฤหัสฯ. มิ.ย. 02, 2005 9:52 am

ชอบจริง ๆเลย กระทู้แบบนี้ รู้สึกค่อยมีสติปัญญาแตกฉานหน่อย สงสัย บ่อย ๆมาถามบ่อย ๆนะคะ เป็นการแบ่งปันที่ดีทีเดียว
ตอบกลับโพส