The Screwtape Letters (by C.S. Lewis)

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
P
.
.
โพสต์: 1383
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 10:10 pm
ที่อยู่: เมืองไทย

ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 11:09 am

ตอนนี้ผมเริ่มว่างขึ้นมาบ้างแล้ว จึงมีความคิดอยากจะแปลหนังสือโปรดของผมเล่มนี้มาลงที่บอร์ดนี้นะครับ หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า The Screwtape Letters โดย C.S. Lewis [1] เป็นหนังสือรวบรวมจดหมายที่ Screwtape เขียนถึงหลานของเขา เพื่อให้คำปรึกษาว่าจะทำอย่างไรให้คนออกห่างจากพระเจ้า ทุกครั้งที่อ่านแต่ละฉบับ จะทำให้ผมนึกถึงความเขลาของตัวเองเสมอว่า "เราโดนสกรูเทปหลอกอีกแล้ว!"

ผมไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่าจะมีเวลาแปลได้บ่อยแค่ไหน หรือจะแปลได้จนจบเล่มหรือไม่ ใจจริงอยากแปลให้จบ เผื่อได้ส่งสำนักพิมพ์ ;D (ทั้งเล่มมีจดหมายจากสกรูเทปทั้งหมด 31 ฉบับ) แต่ไม่ทราบว่าต่อไปงานจะยุ่งอีกหรือเปล่า อย่างไรก็ดี ผมจะนำมาลงเป็นระยะๆนะครับ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อย

อนึ่ง ผมไม่ได้เป็นนักแปลมืออาชีพ และความรู้ของผมก็เพียงน้อยนิด ดังนั้นหากผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ปล. มีใครทราบกฏหมายลิขสิทธิ์บ้างไหมครับ ว่า ผมสามารถแปลหนังสือของคนอื่นได้หรือไม่ หรือว่าต้องขออนุญาตจากสำนักพิมพ์ก่อน (หากการแปลมาลงที่นี่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ จะได้ไม่ทำครับ)



[1] C.S. Lewis เป็นนักเขียนชื่อดังของอังกฤษ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับคริสตศาสนาดีๆไว้มากมาย เพื่อนๆที่ไม่ได้สนใจหนังสือทางคริสตศาสนาอาจจะเคยได้ยินเรื่อง Chronicles of Narnia ซึ่งเป็นผลงานที่ดังมากของเขาอีกชิ้นหนึ่งด้วย

สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลสำคัญท่านนี้ กรุณาแวะชมได้ที่ http://www.cslewis.org/ นะครับ

ปล. C.S. Lewis นับถือศาสนาคริสต์นิกายแองกลิกันครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ ม.ค. 29, 2005 4:40 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
P
.
.
โพสต์: 1383
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 10:10 pm
ที่อยู่: เมืองไทย

ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 11:29 am

- 1 -

เวิร์มหวูด[1]หลานรัก

อาเข้าใจที่หลานเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการที่หลานพยายามชี้นำสิ่งที่คนไข้ของหลานอ่าน และพยายามให้เขาได้พบเจอกับเพื่อนนิสัยวัตถุนิยมของเขาบ่อยๆ แต่หลานไม่คิดว่าหลานอินโนเซ้นต์ไปหน่อยหรือ อาฟังแล้วรู้สึกว่าหลานหลงคิดไปว่าการโต้แย้งเป็นวิธีที่จะพาเขาออกมาจากศัตรูของเรา ก็โอเคนะ วิธีนี้อาจจะจริงถ้านี่เป็นสมัยแบบว่า สองสามร้อยปีก่อน คือสมัยนั้นชาวบ้านรู้ดีว่าอะไรพิสูจน์ได้ไม่ได้ และถ้าอะไรพิสูจน์ได้พวกเขาก็จะเชื่ออย่างปักใจ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากล้าทำในสิ่งที่เขาคิดและพร้อมที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตถ้าเรื่องราวที่เห็นมีเหตุผลเพียงพอ แต่ว่าสมัยนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เราใช้นิตยสารต่างๆและอื่นๆเป็นอาวุธจนสามารถเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตของพวกเขา คนไข้ของหลาน ตั้งแต่เด็กมา ก็มีความคุ้นเคยกับปรัชญาโน่นนี่ที่ขัดแย้งกันไปมา วิ่งวนอยู่ในหัวของเขา เขาไม่คิดถึงคำสอนแล้วว่า "ถูก" หรือ "ผิด" แต่เขาคิดในทำนองว่า อืม อันนี้ "เป็นแง่วิชาการ" หรือ "เป็นแง่ปฏิบัติ" ไม่อย่างนั้นก็คิดว่า ตกลงอันนี้ "ล้าสมัย" หรือ "ร่วมสมัย" หรือมองในแง่ว่า "ธรรมดา" หรือ "ดุเดือด" เห็นไหมหลาน ศัพท์เฉพาะให้เขาหลงประเด็นต่างหากที่จะเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของหลานที่จะทำให้เขาออกห่างจากพระศาสนจักร ไม่ใช่การใช้การโต้แย้งนะ หลานอย่ามัวเสียเวลาพยายามกล่อมให้เขาคิดว่าวัตถุนิยมเป็นอะไรที่ถูกต้องเลย หลานมาทำให้เขาคิดว่า ตกลงมัน แกร่ง หรือ แน่นอนตายตัว หรือ ท้าทาย ให้เขาคิดว่ามันเป็นปรัชญาสำหรับโลกอนาคต แบบนี้ดีกว่า เพราะนั่นต่างหากเป็นอะไรที่เขาสนใจ

คืออย่างนี้นะหลาน ปัญหาของการโต้แย้งกันก็คือ มันทำให้เรื่องทั้งหมดเนี่ย ง่ายขึ้นสำหรับศัตรูของเรา อย่าลืมนะว่าศัตรูเราเขาก็โต้แย้งเป็นเหมือนกัน แต่ว่า ถ้าเป็นเรื่องที่อาพูดข้างต้นแล้วละก้อ[2] ใครๆก็รู้มาตั้งกี่ศตวรรษแล้วว่าเขาสู้พ่อของเราที่อยู่เบื้องล่าง[3]ไม่ได้หรอก แบบนั้นดีกว่านะ คืออย่างนี้หลาน เมื่อไหร่ที่เราเริ่มให้เกิดการโต้แย้ง เราก็จะกลายเป็นปลุกความคิดหาเหตุผลของคนไข้ของเราขึ้นมา เมื่อนั้น ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้ว่าในที่สุดหลานจะบิดเบือนความคิดของเขาได้สำเร็จให้หันมามองอะไรๆเหมือนเรา แต่หลานก็จะเห็นว่า นี่กลับเป็นการช่วยทำให้เขาเริ่มชอบที่จะคิดนั่นคิดนี่หาเหตุผลทั่วไป แทนที่เขาจะมัวสนใจเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก แบบนี้ไม่ค่อยดีนะหลาน อย่าลืมนะหลานว่าหน้าที่ของหลานคือทำให้เขายึดติดกับตรงนี้ พยายามสอนเขาให้คิดตรงนี้ว่าเป็น "ชีวิตจริง" แต่อย่าให้เขาได้คิดว่า ที่เขาเรียกว่า "จริง"นั้น จริงๆเขาหมายความว่ายังไง

จำไว้นะหลาน ว่าเขาไม่เหมือนกับหลาน เขาไม่ได้เป็นวิญญาณทั้งแท่ง หลานเองก็ไม่เคยเป็นมนุษย์ (แย่ที่สุดเลย ฝ่ายศัตรูได้เปรียบเราสุดๆตรงนี้) หลานคงไม่เข้าใจว่าพวกมนุษย์เป็นทาสของเรื่อง"ธรรมดา" มากขนาดไหน อาเองก็เคยมีคนไข้เหมือนกัน คนนี้เป็นคนไร้ศาสนา ชอบอ่านหนังสือในพิพิธภัณฑ์บริติช[4] วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่นั้น อาเห็นว่ากระแสความคิดของเขาเริ่มไปผิดทางแล้ว ศัตรูของเรา แน่นอนที่สุด เป็นคนก่อให้เกิดเรื่อง กว่าอาจะรู้ตัว อาก็เห็นแล้วว่า ผลงานที่อาพยายามทำมาตลอดยี่สิบปีเริ่มที่จะง่อนแง่นเสียแล้ว ถ้าอาไม่ทันคิดและพยายามที่จะปกป้องด้วยการโต้เถียง อาก็คงจะเจ๊งไปแล้ว แต่อาไม่ได้โง่อย่างนั้น อาใช้วิธีโจมตีส่วนของมนุษย์ที่อาเก่ง คือ อาแอบแนะเขาว่า ได้เวลาทานอาหารกลางวันแล้วนะ ส่วนศัตรูของเราก็คงพยายามแนะนำในทางตรงข้าม (แต่หลานก็รู้ว่าชาวบ้านไม่ค่อยได้ยินเขาสักเท่าไหร่) ว่านี่สำคัญกว่าอาหารกลางวันนะ หรืออย่างน้อยอาก็คิดว่าเขาคงใช้คำพูดอะไรทำนองนี้แหละ เพราะพออาบอกว่า "เรื่องนี้สำคัญมากนะ จริงๆแล้วสำคัญมากเกินกว่าที่จะสามารถคิดออกก่อนเที่ยงด้วยซ้ำ" คนไข้ของอาก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และก่อนที่อาจะมีโอกาสแหย่เพิ่มอีกว่า "น่าจะดีกว่ามั้งถ้าเราจะกลับมาคิดเรื่องนี้หลังอาหารกลางวัน ด้วยสมองที่ปรอดโปร่งกว่านี้" คนไข้ของอาก็เดินไปจะออกประตูแล้วด้วยซ้ำ และเมื่อเขาไปถึงถนนข้างนอก สงครามคราวนี้อาก็ชนะขาด อาแสดงให้เขาเห็นเด็กขายหนังสือพิมพ์ตะโกนขายหนังสือโหวกเหวก ให้เขาเห็นรถเมล์สาย 73 วิ่งผ่านไป และกว่าที่เขาจะก้าวพ้นบันไดหน้าตึกขั้นสุดท้าย อาก็ทำให้เขามั่นใจว่า เฮ้อ ไม่รู้ความคิดประหลาดไร้สาระอะไรเข้ามาในหัวของเขาตอนที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆอยู่คนเดียว เห็นไหมหลาน ป้อน"ชีวิตจริง"ให้เขาเต็มที่ (อาหมายถึงรถเมล์กับเด็กขายหนังสือพิมพ์ไง) แค่นี้ก็พอแล้วที่จะทำให้เขาคิดว่า "เรื่องอะไรแบบนั้น" ไม่น่าจะเป็นจริงไปได้ เขารู้นะว่าเขาเกือบไปแล้ว และหลายปีต่อมาเขาก็มีความสุขที่จะพูดถึง "ความรู้สึกเล็กๆของความเป็นจริง ซึ่งเป็นเกราะกำบังสุดยอดของเราจากความเพี้ยนของการใช้แค่ตรรกะ" ตอนนี้นะ เขาก็อยู่อย่างปลอดภัยเรียบร้อยในบ้านของพ่อเราแล้วล่ะ

หลานเริ่มเห็นภาพหรือยัง ต้องขอบคุณกระบวนการที่เราใช้ในคนพวกนี้นับศตวรรษมาแล้วนะ พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชื่อในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยถ้าสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว หลานพยายามป้อนความคิดว่า นั่นก็ธรรมดา นี่ก็ธรรมดา ให้กับเขาบ่อยๆนะ และสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด อย่าพยายามใช้วิทยาศาสตร์ (อาหมายถึง วิทยาศาสตร์ของจริงนะ) ในการต่อสู้กับคริสตศาสนา เพราะวิธีนี้จะทำให้เขาสนใจที่จะคิดถึงความเป็นจริงที่เขามองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้มากขึ้นไปอีก เรื่องหน้าเศร้ามีให้เห็นมาก่อนนะกับพวกนักฟิสิกส์สมัยใหม่เนี่ย ถ้าเขาอยากจะละเลงกับวิทยาศาสตร์จริงๆ ก็พยายามชักนำให้เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์หรือสังคมวิทยา แบบนี้ อย่าให้เขาหนีพ้นจาก "ชีวิตจริง" อันล้ำค่า และจะให้ดีที่สุด อย่าให้เขาศึกษาวิทยาศาสตร์เลย แต่ว่า ให้เขามีความรู้สึกเบ้อเริ่มว่าเขารู้ทุกอย่างหมดแล้ว และอะไรก็ตามที่เขาบังเอิญได้ยินได้ฟังมาจากที่นั่นนิดที่นี่หน่อยเป็น "ผลมาจากการค้นคว้าสมัยใหม่" อย่าลืมนะหลาน หน้าที่ของหลานตรงนั้นคือเพื่อมอมเมาพวกเขา แต่ฟังจากที่ปีศาจหนุ่มๆสาวๆพูดจากันแล้ว ชาวบ้านเค้าจะเข้าใจผิดไปว่างานของเราคือการไปสอนคนอื่นนะ

จากอาผู้น่ารักของหลาน
สกรูเทป



[1] Wormwood

[2] สกรูเทปหมายถึง การใช้ศัพท์ที่ทำให้คนไขว้เขว - (ขออนุญาตอธิบายครับ เพราะผมนึกไม่ออกว่าจะแปลว่ายังไงและที่แปลไว้อาจจะทำให้ท่านผู้อ่านงง)

[3] Our Father Below หมายถึง ซาตาน

[4] British Musuem
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ ม.ค. 29, 2005 6:17 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 1:47 pm

บทความดีๆ ที่นำมาเขียนลงที่นี่ จะทำให้ ห้องศาลาธรรมแห่งนี้ น่าเข้ามาอ่าน ด้วยเนื้อหาที่มีสาระ


มาติดตามอ่านครับ
DokPeepHorm

เสาร์ ม.ค. 29, 2005 10:54 am

มารออ่านด้วยอีกคนค่ะ *thx
ภาพประจำตัวสมาชิก
fizzy vippie
โพสต์: 371
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ม.ค. 26, 2005 10:58 am

พุธ ก.พ. 09, 2005 1:54 pm

เพิ่มให้อีกนิดนึงว่า C.S. Lewis เป็นเพื่อนซี้กะ J.R.R. Tolkien ผู้เขียน The Lord Of The Ring
ทั้งคู่เป็นอาจารย์ทางด้านวรรณคดีอยู่ที่ Magdalen College ใน Oxford
งานเขียนที่เลื่องชื่อของ C.S. Lewis คือ The Chronicals Of Narnia
เป็นวรรณกรรมเยาวชนชื่อดังของอังกฤษที่กำลังจะถูกสร้างเป็นหนังอยู่
แบบว่าถ้าเด็กอังกฤษ(หรือฝรั่ง) รู้จัก Lord of the Ring ก็ต้องรู้จัก Narnia ด้วย

Narnia เป็นชุด เล่มเล็กๆ มี 7 เล่มจบ บ้านเราแปลถึงเล่ม 5 แล้วหายไปเลย (รอให้ออกวางแผงอยู่)
เนื้อเรื่องเป็นแบบเด็กในโลกยุคสงครามโลกหลงเข้าไปในต่างมิติที่เป็นโลกที่เกิดขึ้นมาใหม่
และได้ไปผจญภัยเพื่อปราบสิ่งชั่วร้ายต่างๆเพื่อให้แผ่นดินสงบสุข
ตัวละครทุกตัวเป็น symbolic เพื่อสอนเด็กๆในแง่ความเชื่อถึงสิ่งดีงามและพระเจ้า
ที่แน่ๆเลยตัวเอกของเรื่องเป็นสิงโตตัวใหญ่ชื่อ Aslan เนี่ยหมายถึงพระผู้เป็นเจ้าและพระเยซู

ใครสนใจลองไปหาอ่านดูได้ เป็นหนังสือดีที่น่าอ่านมากๆ และการเดินเรื่องก็ดีมากเลย
ถ้าให้พูดตรงๆก็เป็นแบบ Lord Of The Ring เวอร์ชั่นเด็กไง

อีกนิดนึง ชื่อเต็มๆของ C.S. Lewis คือ Clive Staple Lewis จ้า
แก้ไขล่าสุดโดย fizzy vippie เมื่อ พุธ ก.พ. 09, 2005 1:57 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
stars

อาทิตย์ ก.พ. 13, 2005 11:16 am

:Dน่าอ่านมากขอบคุณที่เอามาให้อ่านครับ :D
ตอบกลับโพส