นี่แหละ.... ความรักของพ่อ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 24, 2009 7:10 pm
มีเรื่องสั้นดีๆ มาฝากครับ...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รักนั้นนิรันดร - Unconditional love
โดย มักดาเลนา
วันสิ้นพิภพและการพิพากษาครั้งสุดท้ายเพิ่งจะผ่านพ้นไป ทุกสรรพสิ่งถูกจัดวางไว้ในที่ที่เหมาะสม ผู้ได้รับการไถ่ให้รอดถูกนำขึ้นเข้าสู่สวรรค์ เพื่อชื่นชมกับความสุขตลอดนิรันดร์ ส่วนคนชั่วถูกทิ้งไว้ข้างนอกที่มีแต่ความมืดมิด มีแต่เสียงร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ผู้ตายถูกปลุกให้คืนชีพ กิจการทั้งสิ้นของพวกเขาได้รับการพิพากษาเรียบร้อยทุกประการ
แต่พระเป็นเจ้าของเราก็ยังไม่รู้สึกเป็นสุขนัก โดยเฉพาะพระบิดา พระองค์คิดถึงพวกลูก ๆ ที่มีน้ำใจอิสระในการเลือกทำดีทำชั่ว แต่กลับดื้อด้านไม่ยอมกลับใจ เลยต้องถูกโยนออกไปอยู่ในความมืดข้างนอกโน่น พระบุตรกับพระจิตก็ทุกข์ใจไม่แพ้กันเลย แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อทั้งสองได้ทำหน้าที่ในการไถ่กู้ของตนสำเร็จไปแล้ว ทั้งสองจึงทำได้แต่นั่งดูทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน แต่กับพระบิดาไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระองค์ยังทรงดำเนินตามแผนการของตนต่อไป เพื่อหาบทสรุปที่น่าพึงใจที่สุด วันหนึ่งพระองค์เกิดมีความคิดดี ๆ ขึ้นมา จึงเอาไปบอกต่อแก่พระบุตรและพระจิตในทันที เพราะทั้งสามพระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดกันมาก
"เราจะปล่อยให้ชาวสวรรค์ชื่นชมยินดีได้อย่างไร ในเมื่อลูก ๆ ของเราหลายคนยังตกอยู่ในสภาพที่ทุกข์ยากอย่างนั้น เราต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว"
"ตกลงครับ แต่เราจะทำออย่างไรกันดีละ?" พระบุตรถาม
"ใช่ เราจะทำอย่างไรกันดี?" พระจิตผู้เป็นเสมือนเสียงสะท้อนของพระบุตรถามขึ้นบ้าง
"เธอทั้งสองได้ทำการไถ่กู้พวกเขาด้วยการลงไปเกิดเป็นมนุษย์และการนำทางในศาสนจักรแล้ว คราวนี้ถึงคราวของฉันบ้างละ หลังจากนั่งคิดมาหลายเพลาฉันตัดสินใจแล้วว่าถึงคราวที่จะต้องออกโรงบ้าง"
ทั้งพระบุตรและพระจิตคอยฟังอย่างตั้งใจ
"ฉันจะออกไปหาพวกเขาข้างนอก และจะพยายามจูงใจพวกเขาให้เข้ามาอยู่กับพวกเราที่นี่ให้ได้" พระบิดาว่า
"ถ้าได้เห็นพระองค์ท่ามกลางสิริรุ่งโรจน์เช่นนี้แล้ว เขาจะต้องเข้ามาถึงสวรรค์ได้แน่นอน แต่พวกเขาจะไม่ได้ใช้เสรีภาพในการเลือกของตนเลยนะครับ" พระจิตท้วงขึ้น ท่านเป็นนักปฏิบัติที่ละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้เสมอ "เราเคยบอกกันไว้ตั้งนานมาแล้วว่า จะเคารพในเสรีภาพของพวกเขามากที่สุด พระองค์คงไม่คิดจะริบเอาเสรีภาพนั่นมาจากพวกเขากระมัง?"
"จริงอย่างเธอว่า" พระบิดาว่า "แต่ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องยากไม่น้อยเลย เอาอย่างนี้แล้วกันในเมื่อพระบุตรเคยซ่อนสภาพพระเจ้าในรูปกายของมนุษย์ พระจิตก็ซ่อนสภาพพระเจ้าในรูปของเปลวไฟ ฉันก็จะซ่อนสภาพพระเจ้าของฉันในรูปของชายแก่แล้วกัน"
ว่าแล้วชายชราท่าทางสูงสง่าและน่านับถือท่านนั้นก็เดินท่อม ๆ ออกจากสวรรค์ไปตามหาลูก ๆ ที่หลงทางของตน
คนบาปเหล่านั้นกระจัดกระจายอยู่ตามมุมมืดต่าง ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนสลดหดหู่ ส่วนใหญ่นั่งจับกลุ่มกันอยู่รอบกองไฟที่ส่งควันคลุ้ง (พระเป็นเจ้าไม่ปล่อยให้ตกให้พวกเขาตกอยู่ในความมืดเสียทีเดียว ยังทรงเมตตาประทานเชื้อไฟให้ได้ใช้กันบ้าง)
เมื่อชายชราท่าทางสูงสง่าและน่านับถือเดินเข้ามา พวกเขาก็จำได้ทันทีว่าเป็นพระบิดานั่นเอง ชายชราเดินเข้าไปหาคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งล้อมรอบกองไฟกันอยู่
"ว่าไง พระองค์เบื่อปาร์ตี้ในสวรรค์แล้วเรอะ ถึงได้ถ่อมาถึงที่นี่?" คนหนึ่งแดกเข้าให้
"ไม่ใช่อย่างนั้น" พระบิดาตอบ "ฉันจะมาชวนพวกเธอเข้าไปที่สวรรค์ด้วยกัน เธอก็รู้ไม่ใช่หรือว่า สำหรับฉันแล้วไม่มีคำว่าสายไปหรอก"
"ทำไมเราจะต้องเข้าไปด้วย?" คนหนึ่งสอดขึ้นอย่างอวดดี "เราไม่อยากไปยืนแหกปากร้องเพลงบ้า ๆ สรรเสริญพระองค์ตลอดกาลหรอก อย่ามาหลอกเสียให้ยากเลย"
"เอาเถอะ เธอไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ ถ้าเธอไม่อยากทำ" พระบิดาตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ที่ลูก ๆ ของฉันในสวรรค์ร้องเพลงสรรเสริญอย่างนั้น ก็เพราะพวกเขาอยากจะร้องเอง จำไว้เถิดว่า : ในสวรรค์นั้นมีงานเลี้ยง คนที่ไปงานเลี้ยงจะไม่ถูกบังคับให้ร้องเพลงหรือเต้นรำถ้าเขาไม่ต้องการ เขาร้องเพลงเพราะมันทำให้เขามีความสุขก็เท่านั้นเอง"
"ให้ตายเหอะ คนพวกนั้นจะมีความสุขได้ไง ถ้าพวกเขาต้องยืนกุมมือโค้งหลังอยู่ต่อหน้าพระองค์ไปตลอดนิรันดร?" อีกคนถามขึ้น
พระบิดายิ้มแย้มพลางตรัสว่า
"ต้องบอกพวกเธอไว้ก่อนนะว่า ลูก ๆ ของฉันในสวรรค์ร้องเพลงให้ฉัน เพราะเขารู้สึกสุขใจที่ได้ทำเช่นนั้น ฉันขอรับประกันว่า ที่นั่นจะไม่มีใครถูกบังคับให้ทำอะไรในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ ถ้าเธอจะเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างและเป็นเงื่อนไขเพื่อติดตามฉันไป ถึงจะต้องสละบัลลังก์จอมกษัตริย์แห่งสวรรค์ให้พวกเธอขึ้นไปนั่ง ฉันก็อนุญาต ถ้าพวกเธอต้องการเช่นนั้น"
ขณะที่พระองค์สนทนากับพวกเขาอยู่นั้น ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปรอบนอกเมื่อเหลือบเห็นชายชราท่าทางน่าเคารพเข้า ก็จำได้ว่าเป็นพระบิดา จึงเดินเข้ามาร่วมวงด้วย ไม่ช้านักกลุ่มคนแห่งความมืดก็รวมตัวกันจนกลายเป็นฝูงชนขนาดใหญ่
เมื่อได้ยินว่าพระบิดาจะยอมยกบัลลังก์กษัตริย์แห่งสวรรค์ให้ถ้าใครต้องการ คนโฉดคนหนึ่งก็ขว้างหินใส่พระองค์ทันที หินนั้นลอยผ่านหน้าพระองค์ไปไม่กี่นิ้วเท่านั้น
"เฮ้ย" หลายคนโห่ลั่น "นั่นเอ็งกำลังหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะโว้ย! ระวังตัวให้ดีเถอะ เดี๋ยวพระองค์ก็เล่นเอ็งให้หมอบซะหรอก"
"ฮะฮ่า ข้าก็ว่างั้นแหละ" คนที่ขว้างหินใส่หัวเราะเยาะ แล้วหันไปบอกพระบิดาว่า "เอาสิ เล่นงานข้าด้วยสายฟ้าฟาดของพระองค์ก็ได้ อย่างน้อยก็ทำให้มีอะไร ๆ น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นที่นี่บ้าง"
พระบิดามองหน้าเขา แล้วถอนใจใหญ่
"ฉันจะทำร้ายเธอได้อย่างไร ในเมื่อฉันรักเธอมากขนาดนั้น?" พระองค์กล่าวเสียงเศร้า
"เฮ่ย แต่ข้าขว้างหินใส่พระองค์นะ?" ชายคนนั้นร้องอย่างขุ่นเคือง
"แล้วไงเล่า" พระบิดาว่า
"พระองค์จะไม่ทำอะไรเพื่อรักษาเกียรติของพระองค์เลยเรอะ?" ชายหนุ่มเริ่มจริงจัง
"ไม่เห็นมีเกียรติอะไรให้ต้องรักษาเลย"
"ดีละ งั้นขอถามหน่อย ถ้าพระองค์รักพวกเราจริง ไหงโยนพวกเราให้ออกมาอยู่ข้างนอกนี้ล่ะ?"
พระบิดาถอนใจอีกครั้ง
"ฉันรักพวกเธอโดยมิได้หวังอะไรเลย เพราะนามของฉันคือความรัก"
พวกนั้นส่งเสียงฟิดฟัดเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อ
"พระองค์หมายความว่า พระองค์รักพวกเราต่อไปก็ได้ทั้ง ๆ ที่พวกเราไม่รักพระองค์เลยหรือ?" คนหนึ่งถามขึ้น
"ใช่" พระบิดาตอบ "ฉันจะยังคงรักพวกเธอเรื่อยไป แม้พวกเธอจะปฏิเสธความรักนิรันดรของฉันก็ตาม นี่แหละวิธีการแสดงความรักของฉัน"
"เราไม่เชื่อ" มีบางคนตะโกนขึ้นมาจากด้านหลัง แล้วพวกเขาก็เริ่มขว้างก้อนหินใส่พระองค์ คราวนี้มีหินก้อนหนึ่งถูกศีรษะของพระองค์เข้าอย่างจัง ทำเอาพระองค์ถึงกับเซไปตามแรงปะทะ พระโลหิตไหลออกมาจากบาดแผลรินอาบพระพักตร์ หลายคนเริ่มก้มหยิบก้อนหินขึ้นมาขว้างใส่พระองค์บ้าง เสียงร้องขับไล่ทำให้พระองค์ต้องล่าถอยออกมา พระบิดาในร่างของชายชราถูกทอดทิ้งไว้ที่มุมหนึ่ง ไม่มีใครสนใจพระองค์เลย ตามเนื้อตัวมีบาดแผลอยู่หลายแห่ง คนพวกนั้นตะโกนด่าทอให้พระองค์รีบออกไปจากดินแดนของพวกเขาโดยเร็วที่สุด
"ลูกรัก ลองใคร่ครวญอีกครั้งหนึ่งเถิด ฉันยังให้โอกาสพวกเธอเสมอ ครั้งนี้ฉันจำต้องไปจากพวกเธอ เพราะฉันเห็นว่าพวกเธอยังไม่พร้อมยอมรับความรักที่ฉันมีให้ แต่ฉันจะกลับมาอีกครั้ง เผื่อว่าบางทีพวกเธออาจจะเปลี่ยนใจไปกับฉัน และเราจะได้มีความสุขด้วยกัน"
ว่าแล้วพระบิดาในร่างของชายชราจึงเดินไปซ่อนตัวอยู่หลังเนินเขาแห่งหนึ่ง ขณะที่มีเสียงด่าทอเยาะเย้ยตามหลังมาเป็นระยะ คนพวกนี้ยังเย่อหยิ่งจองหองเหมือนเคย คนบาปใจดื้อด้านทั้งหลายยังคงปฏิเสธที่จะกลับไปหาพ่อที่รักของพวกเขาเหมือนที่เป็นมา
อย่างไรก็ดี มีหลายคนเริ่มใจอ่อนเมื่อเห็นว่า แม้แต่ในห้วงเหวน้ำตาเช่นนี้พระบิดาอุตส่าห์ออกมาตามพวกเขาไปอยู่ด้วยกัน บางคนถึงกับนิ่งอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก บางคนแอบเดินออกไปหาพระองค์ และพบว่าพระองค์ทรงพำนักอยู่หลังเนินเขาไม่ไกลจากสถานที่พวกเขานั่งชุมนุมกันนั่นเอง เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา พระองค์ก็รีบวิ่งออกไปสวมกอดพวกเขาด้วยดวงใจที่โลดเต้นยินดี
เวลานี้พระองค์ทราบแล้วว่า การที่พระองค์ออกมาจากสวรรค์ครั้งนี้ไม่ได้เปล่าประโยชน์เสียทีเดียว พระองค์ทรงหวังอยู่ลึก ๆ ว่า สักวันหนึ่งลูก ๆ ทุกคนจะกลับใจหันหน้ามาหาพระองค์
ต่อให้ใช้เวลาตลอดนิรันดรก็เถอะ พระองค์คอยได้.
credit : อิสระ.com
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รักนั้นนิรันดร - Unconditional love
โดย มักดาเลนา
วันสิ้นพิภพและการพิพากษาครั้งสุดท้ายเพิ่งจะผ่านพ้นไป ทุกสรรพสิ่งถูกจัดวางไว้ในที่ที่เหมาะสม ผู้ได้รับการไถ่ให้รอดถูกนำขึ้นเข้าสู่สวรรค์ เพื่อชื่นชมกับความสุขตลอดนิรันดร์ ส่วนคนชั่วถูกทิ้งไว้ข้างนอกที่มีแต่ความมืดมิด มีแต่เสียงร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ผู้ตายถูกปลุกให้คืนชีพ กิจการทั้งสิ้นของพวกเขาได้รับการพิพากษาเรียบร้อยทุกประการ
แต่พระเป็นเจ้าของเราก็ยังไม่รู้สึกเป็นสุขนัก โดยเฉพาะพระบิดา พระองค์คิดถึงพวกลูก ๆ ที่มีน้ำใจอิสระในการเลือกทำดีทำชั่ว แต่กลับดื้อด้านไม่ยอมกลับใจ เลยต้องถูกโยนออกไปอยู่ในความมืดข้างนอกโน่น พระบุตรกับพระจิตก็ทุกข์ใจไม่แพ้กันเลย แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อทั้งสองได้ทำหน้าที่ในการไถ่กู้ของตนสำเร็จไปแล้ว ทั้งสองจึงทำได้แต่นั่งดูทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน แต่กับพระบิดาไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระองค์ยังทรงดำเนินตามแผนการของตนต่อไป เพื่อหาบทสรุปที่น่าพึงใจที่สุด วันหนึ่งพระองค์เกิดมีความคิดดี ๆ ขึ้นมา จึงเอาไปบอกต่อแก่พระบุตรและพระจิตในทันที เพราะทั้งสามพระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดกันมาก
"เราจะปล่อยให้ชาวสวรรค์ชื่นชมยินดีได้อย่างไร ในเมื่อลูก ๆ ของเราหลายคนยังตกอยู่ในสภาพที่ทุกข์ยากอย่างนั้น เราต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว"
"ตกลงครับ แต่เราจะทำออย่างไรกันดีละ?" พระบุตรถาม
"ใช่ เราจะทำอย่างไรกันดี?" พระจิตผู้เป็นเสมือนเสียงสะท้อนของพระบุตรถามขึ้นบ้าง
"เธอทั้งสองได้ทำการไถ่กู้พวกเขาด้วยการลงไปเกิดเป็นมนุษย์และการนำทางในศาสนจักรแล้ว คราวนี้ถึงคราวของฉันบ้างละ หลังจากนั่งคิดมาหลายเพลาฉันตัดสินใจแล้วว่าถึงคราวที่จะต้องออกโรงบ้าง"
ทั้งพระบุตรและพระจิตคอยฟังอย่างตั้งใจ
"ฉันจะออกไปหาพวกเขาข้างนอก และจะพยายามจูงใจพวกเขาให้เข้ามาอยู่กับพวกเราที่นี่ให้ได้" พระบิดาว่า
"ถ้าได้เห็นพระองค์ท่ามกลางสิริรุ่งโรจน์เช่นนี้แล้ว เขาจะต้องเข้ามาถึงสวรรค์ได้แน่นอน แต่พวกเขาจะไม่ได้ใช้เสรีภาพในการเลือกของตนเลยนะครับ" พระจิตท้วงขึ้น ท่านเป็นนักปฏิบัติที่ละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้เสมอ "เราเคยบอกกันไว้ตั้งนานมาแล้วว่า จะเคารพในเสรีภาพของพวกเขามากที่สุด พระองค์คงไม่คิดจะริบเอาเสรีภาพนั่นมาจากพวกเขากระมัง?"
"จริงอย่างเธอว่า" พระบิดาว่า "แต่ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องยากไม่น้อยเลย เอาอย่างนี้แล้วกันในเมื่อพระบุตรเคยซ่อนสภาพพระเจ้าในรูปกายของมนุษย์ พระจิตก็ซ่อนสภาพพระเจ้าในรูปของเปลวไฟ ฉันก็จะซ่อนสภาพพระเจ้าของฉันในรูปของชายแก่แล้วกัน"
ว่าแล้วชายชราท่าทางสูงสง่าและน่านับถือท่านนั้นก็เดินท่อม ๆ ออกจากสวรรค์ไปตามหาลูก ๆ ที่หลงทางของตน
คนบาปเหล่านั้นกระจัดกระจายอยู่ตามมุมมืดต่าง ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนสลดหดหู่ ส่วนใหญ่นั่งจับกลุ่มกันอยู่รอบกองไฟที่ส่งควันคลุ้ง (พระเป็นเจ้าไม่ปล่อยให้ตกให้พวกเขาตกอยู่ในความมืดเสียทีเดียว ยังทรงเมตตาประทานเชื้อไฟให้ได้ใช้กันบ้าง)
เมื่อชายชราท่าทางสูงสง่าและน่านับถือเดินเข้ามา พวกเขาก็จำได้ทันทีว่าเป็นพระบิดานั่นเอง ชายชราเดินเข้าไปหาคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งล้อมรอบกองไฟกันอยู่
"ว่าไง พระองค์เบื่อปาร์ตี้ในสวรรค์แล้วเรอะ ถึงได้ถ่อมาถึงที่นี่?" คนหนึ่งแดกเข้าให้
"ไม่ใช่อย่างนั้น" พระบิดาตอบ "ฉันจะมาชวนพวกเธอเข้าไปที่สวรรค์ด้วยกัน เธอก็รู้ไม่ใช่หรือว่า สำหรับฉันแล้วไม่มีคำว่าสายไปหรอก"
"ทำไมเราจะต้องเข้าไปด้วย?" คนหนึ่งสอดขึ้นอย่างอวดดี "เราไม่อยากไปยืนแหกปากร้องเพลงบ้า ๆ สรรเสริญพระองค์ตลอดกาลหรอก อย่ามาหลอกเสียให้ยากเลย"
"เอาเถอะ เธอไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ ถ้าเธอไม่อยากทำ" พระบิดาตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ที่ลูก ๆ ของฉันในสวรรค์ร้องเพลงสรรเสริญอย่างนั้น ก็เพราะพวกเขาอยากจะร้องเอง จำไว้เถิดว่า : ในสวรรค์นั้นมีงานเลี้ยง คนที่ไปงานเลี้ยงจะไม่ถูกบังคับให้ร้องเพลงหรือเต้นรำถ้าเขาไม่ต้องการ เขาร้องเพลงเพราะมันทำให้เขามีความสุขก็เท่านั้นเอง"
"ให้ตายเหอะ คนพวกนั้นจะมีความสุขได้ไง ถ้าพวกเขาต้องยืนกุมมือโค้งหลังอยู่ต่อหน้าพระองค์ไปตลอดนิรันดร?" อีกคนถามขึ้น
พระบิดายิ้มแย้มพลางตรัสว่า
"ต้องบอกพวกเธอไว้ก่อนนะว่า ลูก ๆ ของฉันในสวรรค์ร้องเพลงให้ฉัน เพราะเขารู้สึกสุขใจที่ได้ทำเช่นนั้น ฉันขอรับประกันว่า ที่นั่นจะไม่มีใครถูกบังคับให้ทำอะไรในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ ถ้าเธอจะเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างและเป็นเงื่อนไขเพื่อติดตามฉันไป ถึงจะต้องสละบัลลังก์จอมกษัตริย์แห่งสวรรค์ให้พวกเธอขึ้นไปนั่ง ฉันก็อนุญาต ถ้าพวกเธอต้องการเช่นนั้น"
ขณะที่พระองค์สนทนากับพวกเขาอยู่นั้น ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปรอบนอกเมื่อเหลือบเห็นชายชราท่าทางน่าเคารพเข้า ก็จำได้ว่าเป็นพระบิดา จึงเดินเข้ามาร่วมวงด้วย ไม่ช้านักกลุ่มคนแห่งความมืดก็รวมตัวกันจนกลายเป็นฝูงชนขนาดใหญ่
เมื่อได้ยินว่าพระบิดาจะยอมยกบัลลังก์กษัตริย์แห่งสวรรค์ให้ถ้าใครต้องการ คนโฉดคนหนึ่งก็ขว้างหินใส่พระองค์ทันที หินนั้นลอยผ่านหน้าพระองค์ไปไม่กี่นิ้วเท่านั้น
"เฮ้ย" หลายคนโห่ลั่น "นั่นเอ็งกำลังหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะโว้ย! ระวังตัวให้ดีเถอะ เดี๋ยวพระองค์ก็เล่นเอ็งให้หมอบซะหรอก"
"ฮะฮ่า ข้าก็ว่างั้นแหละ" คนที่ขว้างหินใส่หัวเราะเยาะ แล้วหันไปบอกพระบิดาว่า "เอาสิ เล่นงานข้าด้วยสายฟ้าฟาดของพระองค์ก็ได้ อย่างน้อยก็ทำให้มีอะไร ๆ น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นที่นี่บ้าง"
พระบิดามองหน้าเขา แล้วถอนใจใหญ่
"ฉันจะทำร้ายเธอได้อย่างไร ในเมื่อฉันรักเธอมากขนาดนั้น?" พระองค์กล่าวเสียงเศร้า
"เฮ่ย แต่ข้าขว้างหินใส่พระองค์นะ?" ชายคนนั้นร้องอย่างขุ่นเคือง
"แล้วไงเล่า" พระบิดาว่า
"พระองค์จะไม่ทำอะไรเพื่อรักษาเกียรติของพระองค์เลยเรอะ?" ชายหนุ่มเริ่มจริงจัง
"ไม่เห็นมีเกียรติอะไรให้ต้องรักษาเลย"
"ดีละ งั้นขอถามหน่อย ถ้าพระองค์รักพวกเราจริง ไหงโยนพวกเราให้ออกมาอยู่ข้างนอกนี้ล่ะ?"
พระบิดาถอนใจอีกครั้ง
"ฉันรักพวกเธอโดยมิได้หวังอะไรเลย เพราะนามของฉันคือความรัก"
พวกนั้นส่งเสียงฟิดฟัดเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อ
"พระองค์หมายความว่า พระองค์รักพวกเราต่อไปก็ได้ทั้ง ๆ ที่พวกเราไม่รักพระองค์เลยหรือ?" คนหนึ่งถามขึ้น
"ใช่" พระบิดาตอบ "ฉันจะยังคงรักพวกเธอเรื่อยไป แม้พวกเธอจะปฏิเสธความรักนิรันดรของฉันก็ตาม นี่แหละวิธีการแสดงความรักของฉัน"
"เราไม่เชื่อ" มีบางคนตะโกนขึ้นมาจากด้านหลัง แล้วพวกเขาก็เริ่มขว้างก้อนหินใส่พระองค์ คราวนี้มีหินก้อนหนึ่งถูกศีรษะของพระองค์เข้าอย่างจัง ทำเอาพระองค์ถึงกับเซไปตามแรงปะทะ พระโลหิตไหลออกมาจากบาดแผลรินอาบพระพักตร์ หลายคนเริ่มก้มหยิบก้อนหินขึ้นมาขว้างใส่พระองค์บ้าง เสียงร้องขับไล่ทำให้พระองค์ต้องล่าถอยออกมา พระบิดาในร่างของชายชราถูกทอดทิ้งไว้ที่มุมหนึ่ง ไม่มีใครสนใจพระองค์เลย ตามเนื้อตัวมีบาดแผลอยู่หลายแห่ง คนพวกนั้นตะโกนด่าทอให้พระองค์รีบออกไปจากดินแดนของพวกเขาโดยเร็วที่สุด
"ลูกรัก ลองใคร่ครวญอีกครั้งหนึ่งเถิด ฉันยังให้โอกาสพวกเธอเสมอ ครั้งนี้ฉันจำต้องไปจากพวกเธอ เพราะฉันเห็นว่าพวกเธอยังไม่พร้อมยอมรับความรักที่ฉันมีให้ แต่ฉันจะกลับมาอีกครั้ง เผื่อว่าบางทีพวกเธออาจจะเปลี่ยนใจไปกับฉัน และเราจะได้มีความสุขด้วยกัน"
ว่าแล้วพระบิดาในร่างของชายชราจึงเดินไปซ่อนตัวอยู่หลังเนินเขาแห่งหนึ่ง ขณะที่มีเสียงด่าทอเยาะเย้ยตามหลังมาเป็นระยะ คนพวกนี้ยังเย่อหยิ่งจองหองเหมือนเคย คนบาปใจดื้อด้านทั้งหลายยังคงปฏิเสธที่จะกลับไปหาพ่อที่รักของพวกเขาเหมือนที่เป็นมา
อย่างไรก็ดี มีหลายคนเริ่มใจอ่อนเมื่อเห็นว่า แม้แต่ในห้วงเหวน้ำตาเช่นนี้พระบิดาอุตส่าห์ออกมาตามพวกเขาไปอยู่ด้วยกัน บางคนถึงกับนิ่งอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก บางคนแอบเดินออกไปหาพระองค์ และพบว่าพระองค์ทรงพำนักอยู่หลังเนินเขาไม่ไกลจากสถานที่พวกเขานั่งชุมนุมกันนั่นเอง เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา พระองค์ก็รีบวิ่งออกไปสวมกอดพวกเขาด้วยดวงใจที่โลดเต้นยินดี
เวลานี้พระองค์ทราบแล้วว่า การที่พระองค์ออกมาจากสวรรค์ครั้งนี้ไม่ได้เปล่าประโยชน์เสียทีเดียว พระองค์ทรงหวังอยู่ลึก ๆ ว่า สักวันหนึ่งลูก ๆ ทุกคนจะกลับใจหันหน้ามาหาพระองค์
ต่อให้ใช้เวลาตลอดนิรันดรก็เถอะ พระองค์คอยได้.
credit : อิสระ.com