คิดยังไงกับคนที่ไม่นับถือศาสนา

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ทานตะวัน
โพสต์: 162
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 27, 2009 7:44 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 06, 2009 5:33 pm

Imagine. เขียน: อยากทราบความคิดเห็นของทุกๆท่านครับว่า คิดยังไงกับคนที่ไม่นับถือศาสนา
ท่านมีมุมมองต่อคนเหล่านี้อย่างไร และคิดว่าคนเราจำเป็นจะต้องมีศาสนาหรือไม่ อย่างไร
ทุกคนต้องมีศาสนาครับ ถ้าไม่มีศาสนาก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร แล้วเวลาทุกข์ใจก็ทำอะไรไม่ได้
และคิดยังไงกับจำนวนผู้ไม่นับถือศาสนาในปัจจุบัน ที่มีมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก
รองจากผู้ที่นับถือคริสต์และอิสลาม ซึ่งมีมากเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ
และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆในอนาคต ท่านมองในจุดนี้ยังไง
ศาสนาเชิงรุกสิครับ (Applied Religion) ในทุกสถานการณ์
และท่านรู้สึกยังไงหากพบผู้ไม่นับถือศาสนาหรือผู้ที่นับถือศาสนาอื่นที่ต่างจากท่าน
วิพากษ์วิจารณ์หรือนำเหตุผลต่างๆมาโจมตีศาสนา ศาสดา และคำสอนของศาสนาที่ท่านนับถืออย่างรุนแรง
ก็อธิบายเขา ถ้าเขาฟังก็ดีไป ถ้าเขาไม่ฟังก็ปล่อยไป เพราะมันสุดจะห้ามได้ โดยเฉพาะผู้ไม่นับถือศาสนาที่ไม่เอาศาสนาใดเลย หากฟังบ้างก็ยังมีลุ้นบ้าง หากไม่ฟังก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ปล่อยไปซะ
และเมื่อท่านได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์หรือสารเหล่านั้น ท่านจะเกิดการตั้งข้อสงสัยในศาสนาที่ท่านนับถือหรือไม่
กฎแห่งกรรมทำให้ผมวางใจโดยสนิท 100% (รู้)แล้วครับ
ทานตะวัน
โพสต์: 162
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 27, 2009 7:44 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 06, 2009 5:34 pm

Little Boy เขียน: บางคนเขาก็คิดว่าศาสนาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้สังคมสงบสุขอ่ะครับ
เขาก็เลยคิดว่าถ้าเราไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่นก็ใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา
(อันนี้คือความคิดผมเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนไม่มีศาสนาครับ)
ซึ่งคนอศาสนาที่เป็นคนดี (หมายถึง ไม่กินเหล้า ฯลฯ นะ) เห็นทีจะหายากในโลกนี้แล้วละครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

จันทร์ ธ.ค. 07, 2009 3:24 am

ประเด็นหนึ่งที่ชัดเจนมากของวง4เต่า คือสมาชิกในวงล้วนตกเป็นทาสยาเสพติดซึ่งใช้ในการสร้างแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง

คำพูดเกี่ยวกับยาเสพติดของวง4เต่า

“หลายปีมานี้ ผมต้องใช้มัน [LSD.] กว่าพันครั้ง ผมเคยต้องใช้มันตลอดเวลา....” [John Lennon,1970]

“มันเพิ่มขึ้นๆ มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมหมายถึงในที่สุดคุณจะสามารถเดินบนน้ำได้ นั้นคือจุดสุดยอดที่ผมไปถึง” [ George Harrison,circa1968]

“ผมคิดว่าแฟนๆ ควรจะคิดให้ดีๆก่อน ก่อนที่จะใช้มัน” [ Ringo Starr,1967]

“มันทำให้ตาของผมค้าง เราแค่ใช้มันกระตุ้นสมองของพวกเรา ค้นหาส่วนที่ซ้อนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง หากนักการเมืองลองใช้มัน [LSD.] อาจจะไม่มีสงครามหรือความยากจนแร้นแค้นก็ได้” [Paul McCartney,1967]

“เดี๋ยวนี้..ผมตระหนักแล้วว่า..การเสพยาหลายๆชนิด ก็เหมือนกับการกินยาแอสไพรินสักเม็ดให้หายปวดหัว” [Paul McCartney,1967]



พอลได้ออกมายอมรับในการสัมภาษณ์ไม่นานนี้ว่า ในสมัยวง4เต่าแต่งเพลงกัน ได้ใช้ยาเสพติดขนาดหนักในการแต่งเพลง ในทางกลับกันกัน การที่โยโกะ ภรรยาของจอห์น โดนกล่าวหาจากแฟนเพลงว่าเป็นต้นเหตุให้ จอห์น เลนนอน ถูกจับในข้อหายาเสพติด ในสมัยนั้น ช่างไม่เป็นธรรมกับเธอ เพราะประเด็นมันน่าจะอยู่ที่คนเสพว่าทำจริงหรือเปล่ามากกว่า


ดังที่ผมได้กล่าวไปในรีพลายที่น้องคนหนึ่งยกมา ที่คงสรุปความหมายได้ง่ายๆว่า "ไม่สำคัญว่าคนเราพูดอะไร เราไม่ควรตัดสินคนที่คำพูดของเขา แต่สำคัญที่การกระทำของคนๆนั้นที่จะพิสูจน์ตัวตนของเขามากกว่า"


ในขณะเดียวกัน มีสุภาษิตไทยที่ว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา ดังนั้นสำหรับคนที่เมายา ผมคงไม่ถือคำพูดหรือความคิดของเขาเป็นจริงเป็นจังมากนัก


ในความเป็นจริง เนื้อหาของโลกในเพลงอิมเมจิ้น คล้ายแนวคิดเรื่องยูโทเปียในปี ค.ศ.1516  หรือโลกสมมุติในอุดมคติ ของเซอร์ โธมัส มอร์ นักปรัชญาคนสำคัญของโลกชาวอังกฤษ คนบ้านเดียวกันจะคัดลอกความคิดกันไม่ใช่เรื่องแปลก โลกไร้พรหมแดนที่ใช้เวลาเดินหากันได้ใน1วัน การไม่ต้องกัังวลเรื่องอาหารการกินเพราะแชร์อาหารกัน ไม่ต้องกังวลถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะกินจะห่มอะไร   ทุกคนใช้ชุดเหมือนๆกันเพื่อไม่แตกต่างและเหลื่อมล้ำ การปกครองที่ผู้ปกครองเท่าเทียม ประชาชน ทุกคนทำงานแค่วันละ3ชั่วโมง ที่เหลือใช้เวลาจรรโลงจิตใจกัน เป็นโลกแห่งคุณธรรม และศีลธรรม ฯลฯ  ต่างกันตรงที่แนวคิดของจอห์น เลนนอน แพร่หลายในหมู่คนฟังเพลง โดยเฉพาะกลุ่มฮิปปี้ แต่แนวคิดของโธมัส มอร์ มีอิทธิผลต่อระบอบการเมืองระดับโลก มีการกล่าวถึงสิ่งที่เขาเขียนนี้หลายยุคหลายสมัยตีความหลายหลาก บางคนเปรียบกับแดนนิพพาน บางคนเปรียบกับรัฐในอุดมคติ และการเมืองคอมมูนิสต์ นำความคิดของมอร์ ไปดัดแปลงได้ทรงพลัง ในการสร้างฝันให้ผู้คนที่สุด โดยเฉพาะโดยคาร์ล มาร์ซ

ดังนั้นการที่จอห์น เลนนอน จะรับอิทธิพลแนวคิดเรื่องนี้มาแต่งเพลงก็ไม่ได้แปลกอะไร

แต่สิ่งหนึ่งที่ โธมัส มอร์ เป็นบุคคลสำคัญของโลก  ไม่ใช่แค่จากการขายความคิดหรือคำพูดให้คนไปฝัน แต่ ท่านคือ คนที่ลงมือทำ ท่านเป็นนักการเมืองที่มือสะอาดและมีคุณภาพ ท่านไม่ได้แค่ขายไอเดีย แต่ลงมือทำไอเดียให้เป็นจริง ท่านยังเป็นคนที่มีความศรัทธาในพระเจ้ามาก ท่าน คือคนที่ยอมตายเพื่อรักษาความเชื่อและความถูกต้อง คือยอมเป็นมรณสักขีในความเชื่อทางศาสนาของตน ในสมัยเบียดเบียนคาทอลิกในอังกฤษ นักปราชญ์ที่เก่งกาจและเป็นที่รักยอมโดนตัดหัว เพื่อยืนยันความถูกต้องในศาสนาที่เขาเชื่อถือและความเป็นธรรมในสังคม พระศาสนจักรคาทอลิกแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ และในแวดวงนักวิชาการ และนักสังคม ก็ยอมรับท่านในฐานะ นักปราชญ์ผู้มีวีรกรรมพิสูจน์ความกล้าหาญ ท่านจึงไม่ใช่คนที่มีแต่คำพูดชวนฝันมาขาย แต่มีการลงมือทำ และมีความห้าวหาญที่พิสูจน์ตนเองอยู่ด้วย

เมื่อครั้งที่ จอห์น เลนนอน พูดว่าตัวเองดังกว่าพระเยซู และโดนคนรุมต่อต้านไป จนต้องออกมาแก้ข่าวและขอโทษประชาชน(เพราะนักร้องอยู่ได้ด้วยความนิยมของคนฟัง) มีนักข่าวคนหนึ่งถาม จอห์น เลนนอน ว่า คุณจะรู้สึกอย่างไร หากคุณถูกตรึงกางเขนแบบพระเยซู เขาตอบได้เพียงว่า

“ไม่รู้ซิ..ผมไม่รู้จะพูดว่าไงดี”  [John Lennon,1966]
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ ธ.ค. 07, 2009 3:27 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Imagine.
โพสต์: 12
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 01, 2009 1:34 am

อังคาร ธ.ค. 08, 2009 1:41 am

ไหงไปๆมาๆกลายเป็นเรื่องวง the beatles ไปซะงั้น
เพราะผมใช้ sig เป็นท่อนหนึ่งในเพลงของ John Lennon ที่ผมชอบรึเปล่า? (ถ้าไม่เกี่ยวก็ขออภัย)

ผมว่าเรื่องยาเสพย์ติดเนี่ย มันก็คลุกคลีกับวงการเพลงร็อคมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ
ผมไม่ถือว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้วงดูน่ารังเกียจแต่อย่างใด (ผู้ที่ทำให้วงสนใจเสพยา คือ Bob Dylan)
ถ้าเป็นเรื่องผลงานเพลง ก็น่าจะพิจารณาที่ตัวงานเพลงมากกว่าชีวิตส่วนตัวในแง่ของปัจเจก
ยิ่งหากผลงานเพลงออกมาดี แม้มาจากผลของการเสพยา มันก็จะได้รับการยอมรับจากสังคมไปเอง
(ทุกวันนี้วง the beatles ยังได้รับการยอมรับจากคนฟังทั่วโลกว่าเป็นวงดนตรีที่ดีที่สุดในโลก)

ส่วนเรื่องที่ John Lennon ให้สัมภาษณ์ในเชิงหลงตัวเองและเอาวงของตนไปเปรียบเทียบความนิยมกับศาสนา
ผมว่าอันนี้แล้วแต่มุมมองนะ ซึ่งแน่นอนชาวคริสตชนย่อมไม่พอใจอยู่แล้ว ช่วงนั้นถือเป็นวิกฤตของวงก็ว่าได้
แต่สุดท้ายวง the beatles ก็กลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหลังจากเกิดปัญหานั้นแล้ววง(เกือบ)แตก
ด้วยอัลบั้มที่ถูก(นักวิจารณ์หลายท่าน)ยกย่องว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดอย่าง
อัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Heart Club Band

และหลังจากแยกวงจริงๆ John ก็ทำผลงานเดี่ยวของตัวเอง ซึ่งมีเนื้อหาและดนตรีที่เป็นตัวตนของตัวเองจริงๆ
บทเพลงของ John ได้รับการยอมรับอย่างมากจากคนฟังทั่วโลก แม้เขาจะได้เสียชีวิตไปแล้วก็ตาม
ส่วนตัวผมเอง ผมยกย่องและนับถือในแนวคิดและบทเพลงของ John Lennon มาก
และวันนี้เป็นวันครบรอบการจากไปของ John Lennon พอดี
ผมขอแสดงความไว้อาลัยให้กับศิลปินผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับมวลมนุษย์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร ธ.ค. 08, 2009 3:48 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

อังคาร ธ.ค. 08, 2009 4:43 am

ดนตรีเป็นเรื่องของยุคสมัยครับ ยุคใครยุคมัน ไม่มีคำว่าดีที่สุดตลอดกาลสำหรับวงการดนตรี ในความเป็นจริงนั้นคำว่าดีหรือไม่ดีก็จะขึ้นอยู่กับคนฟัง ว่าชอบหรือไม่ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ เพลงที่ถูกใจคนนึงอาจจะไม่ถูกใจอีกคนนึง 480ล้านcopiesของบีเทิ้ลส์บอกได้แค่ว่าเขาดังในยุคของเขามากแค่ไหน มีอิทธิผลส่งผลให้เพลงในปัจจุบันเป็นอย่างไร ดนตรีมันมีการพัฒนาอยู่ทุกวินาทีที่จนถึงปัจจุบัน ถ้ามนุษย์คนไหนคิดว่าสมัยหลายสิบปีแค่นั้นดีแล้วอย่างที่ดนตรีไหนๆในปัจจุบันก็สู้ไม่ได้ ก็หมายถึงว่ามนุษย์คนนั้นไม่พัฒนาทางด้านดนตรี เป็นนักดนตรีและนักฟังหัวแคบ


และอย่าลืม ไม่ได้มีแค่ JL เป็นไอคอนของสันติภาพเท่านั้น คนอื่นที่ดังกว่า JL อย่าง Michel Jackson ก็เป็นไอคอนของสันติภาพได้ดีเช่นกัน เพลงของเขาต่อต้านสงครามและการเหยียดผิว ตามความคิดของคนทั่วไป MJ ออกจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะเขาเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชนเพราะเขาไม่ใช้ยาเสพติด และยังมีนักดนตรีระดับโลกอื่นๆอีกมากมาย ที่ทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งยาเสพติด อย่าง Queen , The Eagle ฯลฯ


ปัญหาของฮิบปี้ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในอเมริกายุคนั้น นับเป็นปัญหาใหญ่ของ USA มาก เพราะยาเสพติดทำให้ประชากรเสื่อมคุณภาพ เม็ดเงินมากมายไหลออกนอกประเทศไปสู่คิวบา นักเรียนเรียนไม่รู้เรื่อง คนไม่ทำงานเพราะมัวแต่ไปเมายา ผู้คนที่ผันตัวเป็นฮิบปี้จำนวนมากสิ้นเนื้อประดาตัวจนถึงขั้นฆ่าตัวตาย เพราะได้เงินมาก็เอาไปเสพยา เมื่อคุณภาพประชากรลดลง เศรษฐกิจก็แย่ลง ยิ่งด้วยผลของสงครามเวียมนามในช่วงนั้น อะไรๆก็เลยยิ่งแย่ แทนที่จะช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองให้รอดพ้นช่วงวิกฤต ฮิบปี้พวกนี้กลับเอาแต่เรียกร้องสันติภาพแต่ปาก โดยที่ถ่วงความเจริญประเทศไปด้วยการเสพยา
ตอบกลับโพส