สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา(ปี C,2010)

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

ศุกร์ ม.ค. 15, 2010 11:59 pm


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา
วันสันติภาพสากล


รูปภาพ

บทอ่านที่ 1 : บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์(อสย 62:1-5)

เพราะเห็นแก่ศิโยน ข้าพเจ้าจะไม่ระงับเสียง และเพราะเห็นแก่เยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจะไม่นิ่งเฉยอยู่
จนกว่าการช่วยกู้กรุงนี้จะออกไปด้วยความสุกใส และความรอดของกรุงนี้เสมือนคบเพลิงที่ลุกอยู่
บรรดาประชาชาติจะเห็นการช่วยกู้เจ้า และพระราชาทั้งหลายจะเห็นศักดิ์ศรีของเจ้า
และเขาจะเรียกเจ้าด้วยชื่อใหม่ ชื่อซึ่งพระโอษฐ์ของพระเจ้าประทานให้
เจ้าจะเป็นมงกุฎงามในพระหัตถ์พระเจ้า เป็นราชมงกุฎในพระหัตถ์แห่งพระเจ้าของเจ้า
เขาจะไม่ขนานนามเจ้าอีกว่า"ถูกทอดทิ้ง"เขาจะไม่เรียกแผ่นดินของเจ้าอีกว่า"ที่รกร้าง"
แต่เขาจะเรียกเจ้าว่า"ความปีติยินดีของเราอยู่ในเจ้า"และเรียกแผ่นดินของเจ้าว่า"สมรสแล้ว"
เพราะพระเจ้าของเจ้าจะทรงปีติยินดีในเจ้า และแผ่นดินของเจ้าจะแต่งงาน

ชายหนุ่มแต่งงานกับหญิงพรหมจารีฉันใด พระผู้สร้างของเจ้าจะแต่งงานกับเจ้าฉันนั้น
เจ้าบ่าวเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าสาวฉันใด พระเจ้าของเจ้าจะเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าฉันนั้น

บทอ่านที่ 2 : บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโครินทร์ ฉบับที่ 1(1 คร 12:4-11)

พี่น้องพระพรพิเศษมีหลายประการ แต่มีพระจิตเจ้าพระองค์เดียว
มีหน้าที่หลายอย่างต่างกัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว
กิจการมีหลายอย่าง แต่มีพระเจ้าพระองค์เดียว ผู้ทรงกระทำทุกอย่างในทุกคน
พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
พระจิตเจ้าประทานถ้อยคำที่ปรีชาแก่คนหนึ่ง พระจิตเจ้าประทานถ้อยคำที่รอบรู้แก่อีกคนหนึ่ง
พระจิตเจ้าองค์เดียวกัน ประทานความเชื่อแก่คนอีกคนหนึ่ง พระจิตเจ้าพระองค์เดียวกันประทานพระพรบำบัดรักษาโรค
ประทานอำนาจอัศจรรย์ให้อีกคนหนึ่ง ประทานให้อีกคนหนึ่งประกาศพระวาจา ให้อีกคนหนึ่งรู้จักจำแนกจิตต่างๆ
ให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจได้ และให้อีกคนหนึ่งตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นได้
พระพรพิเศษทั้งมวลเป็นผลงานจากพระจิตเจ้าพระองค์เดียว ผู้ทรงแจกจ่ายพระพรต่างๆให้แต่ละคนตามที่พอพระทัย

บทอ่านที่ 3 : บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น(ยน 2:1-12)

สามวันต่อมา มีงานสมรสที่หมู่บ้านกานาในแคว้นกาลิลี พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในงานนั้น
พระเยซูเจ้าทรงได้รับเชิญพร้อมกับบรรดาศิษย์มาในงานนั้นด้วย เมื่อเหล้าองุ่นหมด
พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงมาทูลพระองค์ว่า "เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว"
พระเยซูเจ้าตรัสว่า"แม่ครับ แม่ต้องการอะไรจากลูก เวลาของลูกยังมาไม่ถึง"
พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงกล่าวแก่บรรดาคนรับใช้ว่า"เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด"
ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่หกใบ เพื่อใช้ชำระตามธรรมเนียมของชาวยิว
แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณหนึ่งร้อยลิตร พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาผู้รับใช้ว่า"จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็ม"
เขาก็ตักน้ำใส่จนเต็มถึงขอบ แล้วพระองค์ทรงสั่งเขาอีกว่า"จงตักไปให้ผู้จัดงานเลี้ยงเถิด"
เขาก็ตักไปให้ ผู้จัดงานเลี้ยงได้ชิมน้ำที่เปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นแล้ว ไม่รู้ว่าเหล้านี้มาจากไหน
แต่คนรับใช้ที่ตักน้ำรู้ดี ผู้จัดงานเลี้ยงจึงเรียกเจ้าบ่าวมา พูดว่า
"ใครๆเขานำเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อบรรดาแขกดื่มมากแล้ว จึงนำเหล้าองุ่นอย่างรองมาให้ แต่ท่านเก็บเหล้าดีไว้จนถึงบัดนี้"

พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งนี้ที่หมู่บ้านกานา แคว้นกาลิลี พระองค์ทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์
และบรรดาศิษย์เชื่อในพระองค์ หลังจากนี้ พระเยซูเจ้าเสด็จไปเมืองกาเปอรนาอุม พร้อมกับพระมารดาญาติพี่น้องและบรรดาศิษย์
ทุกคนพำนักอยู่ที่นั่นเพียงสองวัน

การแบ่งปัน
*หมายเหตุ หมิงI AM NOT PERFECT BOY
เคยถามว่า"ทำไมต้องเจ้าสาวพระคริสต์"คิดว่ากระทู้นี้อาจมีแง่มุมที่ให้คำตอบ แง่หนึ่งที่น่าสนใจและน่าไตร่ตรอง

สวัสดีครับพี่น้อง,
อยากเชิญชวนให้พี่น้องอ่านทบทวนอีกสักหนึ่งรอบ และพิจารณาว่า"บทอ่านทั้ง 3 นี้เกี่ยวข้องกันอย่างแท้จริง"
เริ่มจากบทอ่านที่ 1 ประกาศกอิสยาห์บอกกับเราเป็นนัยถึงองค์พระเยซูคริสตเจ้า พระอาจารย์ของเรา
ผู้ทรงเป็นแบบอย่างทุกประการให้เราดำเนินวิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต นั่นคือ"การเป็นที่ประทับแห่งความชื่นชมยินดี"

การเริ่มต้นของทุกกิจการทั้งหลายได้ เราต้องเป็นที่ประทับแห่งความชื่นชมยินดีเสียก่อน และเหตุนี้มิใช่หรือ?เราจึงชื่นชมยินดี
ความชื่นชมยินดีนี้ มีรสหวานล้ำ เป็นรสแห่งความสุขเสมอ มันเอ่อล้นออกมาในรูปกิจการคือการปฏิบัติจริงจัง แน่วแน่ มั่นคง
กิจการที่ผลักดันเราให้กระทำทุกสิ่งอาศัยความรัก ให้เราเกิดความถ่อมตนอยู่เสมอ เหตุเพราะ"สำนึกในพระคุณฟ้าที่สัมผัสดิน"

ดูเป็นสิ่งที่จะทำให้เราต้องค้อมกายลงต่ำ เพราะพระองค์ทรงพระเมตตาเสด็จมาประทับกับเราแบบนี้,ในมโนธรรมของเราเสมอ
และทรงให้เกียรติข้ารับใช้นี้ ถึงกับเทิดทูนขึ้นในฐานะ"เจ้าสาวของพระองค์"
จะมีอะไรดีไปกว่า การที่พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าทรงหมายมนุษย์ทุกคนไว้ โดยมีองค์พระเยซูคริสตเจ้าเป็นพระเชษฐา
ยิ่งไปกว่านั้น พระเชษฐาที่รักของเรา,พระอาจารย์ของเรา ทรงดำรงด้วยพระธรรมล้ำลึก ทรงมีพระธรรมชาติพระเจ้า
และนั่น มันยิ่งกว่าความปีติยินดีใด ที่ในที่สุด เราจะอยู่ในฐานะ"เจ้าสาวพระคริสต์"ด้วย

นี่คือ"ความสนิทสัมพันธ์ที่พระเจ้าทรงมอบให้เรา ข้ารับใช้ของพระองค์ด้วยความรัก,รักคำเดียวเท่านั้น"

เพราะพระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนมีโอกาสเป็น"การเป็นที่ประทับแห่งความชื่นชมยินดี"
พระองค์ทรงทราบดีว่า"สิ่งสร้างที่พระองค์สร้างด้วยรักนั้น มีความหลากหลายซึ่งงดงามเพียงใด"
นั่นเป็นที่มาของคำพูดของนักบุญเปาโลที่อาศัยการดลใจจากพระจิตเจ้าว่า"พระจิตทรงแจกจ่ายปรีชาญาณตามที่พอพระทัย"
การแจกจ่ายปรีชาญาณนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการเป็นที่ประทับแห่งความชื่นชมยินดี

เมื่อเราเป็นที่ประทับแห่งความชื่นชมยินดีแล้ว เราย่อมมีความชื่นชมยินดีในความหลากหลายด้วย

เพราะพระสวามีเจ้าของเรา,ทรงเป็นผู้สร้าง และทรงเป็นผู้สร้างที่ล้ำเลิศที่สุดด้วย
คิดดังนี้ เราจึงนึกได้ว่า บางครั้งเรากลับไม่ให้เกียรติในความหลากหลายของสิ่งสร้างของพระองค์
เราไม่มองอย่างที่พระสวามีเจ้าของเรามอง คิดอย่างที่พระสวามีเจ้าคิด
แม้พระเชษฐาของเรา องค์พระเยซูคริสตเจ้า จะทรงเสด็จมาเป็นแบบอย่างให้เราแล้ว แต่เราก็ยังบกพร่องอยู่
จึงเราควรขอโทษพระองค์เสมอในความผิดบกพร่องของเรา ในแต่ละวินาที แต่ละนาที แต่ละวัน

เพื่อที่เราสมจะได้รับ พระคุณจากพระจิตเจ้า คือ ปรีชาญาณ ด้วยความชื่นชมยินดี อันจะทำให้งานสำเร็จไป

กลับดูบทอ่านจากพระวรสาร เมื่อพิจารณาดีดี เราจะพบว่า เหตุการณ์ในพระคัมภีร์บ่งบอกอะไรบางอย่างอยู่
อะไรบางอย่างที่จะทำให้เราสามารถเป็นที่ประทับแห่งความชื่นชมยินดีและได้รับพระคุณจากพระจิตเจ้า

เราค้นพบคนกลางที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้เรา คนกลางที่เป็นมนุษย์ผู้ต้อยต่ำเช่นเดียวกับเรา มนุษย์ผู้ตั้งครรภ์พระผู้ไถ่
นั่นคือ แม่พระ,แม่พระผู้ทรงเก็บงำความไม่เข้าใจไว้ในพระทัย แม่พระผู้ซึ่งดาบจะเสียบแทงดวงหทัยนาง

นักบุญยอห์นเล่าให้เราฟังว่า มีคนไปขอไปบอกแม่พระว่าเหล้าองุ่นหมด สิ่งแรกที่แม่พระทำคือ ปรึกษาลูก
พระเยซูเจ้าทรงทราบดีถึงความหมายของคำว่า"เหล้าองุ่นหมด จำเป็นต้องมีเหล้าองุ่นใหม่"จึงตรัสตอบแม่พระไปว่า
เวลาของลูกยังมาไม่ถึง นั่นคือ พระองค์ทราบดีถึงพันธกิจของพระองค์ว่า"พระองค์จะเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ที่ไม่มีวันหมด"
แต่แล้วแม่พระ ก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัส ตรงจุดนี้สำคัญมาก

"ท่าทีของแม่พระ,แม้ไม่เข้าใจ แต่แม่พระกล่าวกับผู้อื่นว่า เยซูสั่งอะไรก็ให้ทำตามเขาเถิด"

คำพูดนี้ มีรสหวานล้ำ,ภาพความทรงจำย้อนรำลึกไปถึงบทมักญีฟีกัต"ความถ่อมตน"
เป็นความถ่อมตนอย่างซื่อๆ แม่พระไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำอย่างไร และไม่ทราบอีกว่าพระเยซูเจ้าจะทรงทำอะไร
แต่สิ่งที่แม่พระทราบคือ บุตรที่นางทราบดีว่าเป็นใครนี้ จะกระทำสิ่งดีดีบางอย่างและนั่นดีอย่างไม่ต้องสงสัย!!!
ดังนั้นแม่พระจึงกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า "เขาสั่งอะไร ก็ทำเถอะ"

และที่เราสังเกตเห็นได้ตามมาคือ คนรับใช้ทำตามที่แม่พระแนะนำ คือ"เขาสั่งอะไร ก็ทำเถอะ"
และเป็นการทำอย่างซื่อๆจริงๆ พระเยซูเจ้าทรงให้ตักน้ำก็ตักไป และทรงให้ตักน้ำไปแจกแขกเหรื่อก็ทำตาม
สังเกตว่านักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารไม่ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ คนรับใช้เหล่านั้น ทั้งที่ท่านนักบุญเป็นคนละเอียด
นั่นอาจแปลได้ว่า คนรับใช้เหล่านั้น กระทำตามอย่างซื่อๆจริงๆ และคนซื่อเหล่านี้ จะไม่มีความชื่นชมยินดีได้อย่างไร?

ลองถามตัวเราเองว่า"เวลาเราทำอะไรอย่างซื่อๆเหมือนอย่างเด็กๆ เราไม่มีความชื่นชมยินดีหรอกหรือ??"
คงไม่มีการกระทำอย่างซื่อๆอะไรที่ขาดความชื่นชมยินดี ที่จริง สิ่งที่สังเกตได้อีกคือ คนรับใช้เหล่านั้นอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
"น้ำเปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นเวลาใด ช่วงใด และด้วยคำตรัสอะไร?"เขาก้มหน้าก้มตาทำไป ด้วยใจชื่นชมยินดี
แต่เป็นงานของพระเยซูคริสตเจ้าผ่านทางพระจิตเจ้าที่เปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น และเป็นเหล้าองุ่นคุณภาพดี

ทั้งหมดนี้น่าจะสอนใจเรา"ในแง่ของการเป็นผู้รับใช้"
ผู้รับใช้ควรมีความวางใจในคำแนะนำของผู้ที่พระเจ้าเลือกสรร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำแนะนำของพระมารดามารีย์
ซึ่งเนื้อหาของคำแนะนำนั้นคือ"พระเจ้า ทรงสั่งอะไร เราก็จงทำเถอะ"
มากไปกว่านั้น "เราก็จงทำอย่างซื่อๆ ด้วยความชื่นชมยินดี เพราะเราได้แต่งงานกับพระเจ้าแล้ว"
และ"พระสวามีเจ้าของเราทรงรักเรามาก ถึงกับสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเราและปล่อยเราให้อยู่คนเดียว"

แต่ที่เราควรพิจารณามากกว่านั้น ในวันนี้คือ

เราทำตามคำแนะนำของแม่พระบ้างหรือเปล่าหนอ พระแม่ผู้มอบแบบอย่างให้เราในเรื่อง"ความถ่อมตน"
เราทำตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าอย่างซื่อๆบ้างหรือเปล่า?คำสอนซื่อๆของชาวชนบทแห่งนาซาเร็ธ ที่แสนเรียบง่าย
เราเพิ่มพูนความวางใจเหมือนคนรับใช้เหล่านั้นหรือเปล่าหนอ?คนรับใช้ที่ทำตามพระองค์สั่ง แม้อาจจะไม่เข้าใจ
เราปล่อยให้พระจิตเจ้าทรงทำงานอันเร้นลับของพระองค์บ้างหรือเปล่าหนอ?งานที่เราไม่มีวันเข้าใจ เหมือนการเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้า

สุดท้าย ขมวดปมด้วยบทภาวนาแห่งสันติภาพ
ผมเชิญชวนให้รำพึงคำภาวนาของท่านนักบุญฟรังซิสอัสซีซีที่ว่า"ข้าแต่พระบิดาเจ้า,โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือนำสันติของพระองค์"
เราร้องขอต่อพระสวามีเจ้าเช่นนี้ได้ ก็ต่อเมื่อ เราเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดีซึ่งเอ่อล้นเสียจนเราอยากเป็นเครื่องมือนำสันติของพระองค์
เหตุนี้ จึงเป็นพระจิตเจ้าที่จะประทานพระคุณของพระองค์ ตามแต่ที่พระองค์พอพระทัย(แนะนำให้รำพึงในหนังสือปรีชาญาณ)
ดังนั้น เราจึงสมควร(แม้จะไม่สมควรอยู่ในทีด้วยบาปของเรา)ที่จะเป็น"เจ้าสาวของพระเจ้า,เจ้าสาวของพระคริสต์"
และเริ่มต้นงานของเราอย่างซื่อๆ ดังที่คนรับใช้ที่ทำตามคำแนะนำของแม่พระ และคำสั่งของพระเยซูเจ้า

ที่เหลือ"เป็นองค์พระจิตเจ้า"จะทรงกระทำเอง
"เขาสั่งอะไร ท่านก็จงทำเถอะ"

พระเจ้าอวยพร,
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ เสาร์ ม.ค. 16, 2010 12:05 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
เลย์
โพสต์: 1845
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 05, 2009 12:27 am
ที่อยู่: ในอ้อมพระหัตถ์พระเป็นเจ้า
ติดต่อ:

เสาร์ ม.ค. 16, 2010 1:36 am

Amen.ครับ  : xemo026 :
† † † Hiruma Ryuichi † † †
โพสต์: 605
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 05, 2009 3:19 pm
ที่อยู่: พเนจร
ติดต่อ:

เสาร์ ม.ค. 16, 2010 3:10 am

ชาโลม อะลัยเคม


อามีน  ::026::
ตอบกลับโพส