พระคริสต์ กับพระพุทธขัดแย้งกันหรือเปล่าคะ

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
เลย์
โพสต์: 1845
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 05, 2009 12:27 am
ที่อยู่: ในอ้อมพระหัตถ์พระเป็นเจ้า
ติดต่อ:

จันทร์ ม.ค. 25, 2010 3:30 am

st.dominic savio เขียน: ทั้ง 2 ศาสนาสอนเหมือนกันคือ มีความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ แตกต่างกันบ้างในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ชาวคริสต์และชาวพุทธเราเป็นพี่น้องกัน  หลักธรรมดีๆของพุทธศาสนา ชาวคริสต์ก็สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ หลักธรรมดีๆของคริสตศาสนา ชาวพุทธก็สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน โดยไม่เสียความเป็นศาสนิกชนในศาสนาของตนเอง
เลย์ชอบความคิดเห็นนี้นะครับ
† † † Hiruma Ryuichi † † †
โพสต์: 605
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 05, 2009 3:19 pm
ที่อยู่: พเนจร
ติดต่อ:

จันทร์ ม.ค. 25, 2010 8:17 am

กรอกสมบูรณ์ เขียน: พระคริสต์ กับพระพุทธขัดแย้งกันหรือเปล่าคะ

อ่านหัวข้อกระทู้แล้ว แหม๋ ... อยากตอบ   ::026::

พระคริสต์ กับ พระพุทธ ท่านไม่เคยขัดแย้งกันหรอกค่ะ มีแต่ลูกศิษย์ของท่านแหละค่ะ ชอบขัดกันไปแย้งกันมาจนวุ่นไปหมด

ตอนนี้ พระคริสต์ กับ พระพุทธ ท่านทั้ง 2 อยู่ในสวรรค์ คงกำลังนั่งหัวเราะคุยกันถึงเราอยู่แน่ๆ ค่ะ
น่ารักดีฮะ > <
buddhasavaga
โพสต์: 5
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ส.ค. 10, 2010 9:40 am

อังคาร ส.ค. 10, 2010 1:40 pm

ในฐานะชาวพุทธผมขอแสดงความเห็นเพื่อเป็นความรู้ซึ่งกันและกันครับ (ขออนุญาติตอบเป็นข้อๆ) ซึ่งขอคทำความเข้าใจนึดหนึ่งก่อน พุทธผ่านมาสองพันกว่าปี ผ่านหลายชั่วอายุคน มีการเสริมเติมแต่งโดยสาวกชั้นหลังๆ เข้าไปมากมาย เช่นพิธีกรรมต่างๆ จนชาวพุทธบางคนในปัจจุบันมองไม่เห็นแก่นแท้ที่พระพุทธเจ้าสอนเลย เห็นแต่พิธีกรรมต่างๆ จึงไม่แปลกที่ผู้ที่อยู่ในศาสนาอื่นจะไม่รู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง


1.พระคริสต์ กับพระพุทธขัดแย้งกันหรือเปล่าคะ
ตอบ : คำถามนี้จะเป็นลักษณะของการเปรียบเทียบครับ เช่น เหมือนกันใหม ต่างกันใหม ขัดแย้งกันใหม เมื่อเราจะเปรีบเทียบของ 2 อย่าง เราควรต้องรู้จักของ 2 อย่างนั้นให้ถ่องแท้(เหมือนกับเราเลือกซื้อบ้านหรือซื้อรถเราคงต้องศึกษารายละเอียดเยอะๆครับ)
ซึ่งผมศึกษาพุทธมาพอสมควร ส่วนคริสต์นั้นผมเพียงได้ยินมาบ้าง ดั้งนั้นผมจึงไม่สามารถตอบคำถามนี้ครับ
(เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างศาสนิกในสังคม จึงขอความกรุณาอย่าเพิ่งออกความเห็นว่าคริสต์หรือพุทธดีกว่ากัน จนกว่าท่านจะได้รู้จักทั้งคริสต์และพุทธอย่างถ่องแท้)

2. ตอนนี้ พระคริสต์ กับ พระพุทธ ท่านทั้ง 2 อยู่ในสวรรค์ คงกำลังนั่งหัวเราะคุยกันถึงเราอยู่แน่ๆ ค่ะ
ตอบ : ตอนนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในสวรรค์ครับ เมื่อพระพุทธเจ้าตาย เราเรียกว่า ปรินิพพาน ซึ่งจะไม่อยู่ที่ใหนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในโลก ขึ้นสวรรค์ หรือ ลงนรก ไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น (ไม่เหลือวิญญาณตามภาษาที่เราพูดกันนั่นแหละครับ) ขอธิบายเพิ่มเรื่องนรก-สวรรค์ของชาวพุทธ(แท้)สักนิดครับ ท่านอาจเคยได้ยินคนแก่สมัยก่อนพูดว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” เช่นขณะเรามีความโกรธ ความโกรธนั้นจะเผาใจเราอาจถึงกับตัวสั่นหน้าแดง นั่นแหละครับลงนรกแล้ว เมื่อเราช่วยเหลือผู้อื่น เราจะมีความอิ่มเอิบใจ นั่นขึ้นสวรรค์แล้ว

3.มีแต่ลูกศิษย์ของท่านแหละค่ะ ชอบขัดกันไปแย้งกันมาจนวุ่นไปหมด
ตอบ : จริงครับ ตอนนี้พุทธเองมีนิกายเป็นร้อย ก็เกิดจากความขัดแย้งทางความคิดนั่นเอง

4. ถ้าเราเคารพพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้า เป็นพระเจ้าแต่เคารพ ในคำสอนและความคิด จะผิดรึเปล่าคะ / ไม่ผิด แต่อาจจะพาหลงได้ครับ ทางที่ดี ก็นับถือว่าเป็นผู้ประพฤติดีประพฤติชอบท่านหนึ่ง เพียงแต่ว่าอย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ท่านสอนแล้วกัน เพราะอาจพาเราหลุดจากข้อเชื่อของเราได้ตัวอย่างมีให้เห็น / ดาราหญิงที่ชื่อเหมือนแตงโม ท่านหนึ่งหลงไปแล้ว
ตอบ : อย่าเพิ่งไปบอกว่าใครหลงเลยครับ ชาวพุทธเปลี่ยนเป็นคริสต์ก็มาก ชาวคริสต์เปลี่ยนเป็นพุทธก็มาก ในความเห็นผม การเปลี่ยนศาสนาเป็นสิทธิของแต่ละคนที่เขาเห็นว่าสิ่งใดดีที่สุดเขาก็เลือกสิ่งนั้น ปัญหาอยู่ที่ว่าคนๆนั้นได้เคยศึกษาศาสนาของตัวเองอย่างถ่องแท้หรือยัง ถ้าศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว เปลี่ยนไปศาสนาอื่น ผมเห็นว่าคนนี้มีปัญญามากครับ แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาศาสนาของตัวเองอย่างถ่องแท้แล้วเปลี่ยน อันนี้ผมว่ามีปัญญาน้อยครับ

5. อยากเลือกที่จะอยู่ในโลกนี้ด้วยความรัก หรือต้องการที่จะหลุดพ้นไปเลยก็เลือกดูเองตามใจชอบค่ะ
ตอบ : ชาวพุทธนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้สอนเรื่องความรักไว้เหมือนกันครับ จำได้ 2 หลัก
พรหมวิหาร4 (ใจรัก)
1.เมตตา คือเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นปกติอยู่ก็มีใจอยากให้เขามีความสุข
2.กรุณา เมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ก็มีแก่ใจช่วยเขาให้พ้นทุกข์
3.มุทิตา เมื่อเห็นผู้อื่นมีความสุขก็ยินดีกับเขาไปด้วย
4. อุเบกขา-วางเฉย คือการมองดูอยู่ไกล้ๆพร้อมเข้าช่วยเหลือเมื่อจำเป็น อันนี้ยากหน่อย เช่นเด็กคนหนึ่งกำลังเล่นของเล่นที่ใช้พัฒนาสมองและเขากำลังใช้ความคิดที่จะแก้ปัญหา เราก็ควรมองดูอยู่ไกล้ๆ แต่ยังไม่เข้าไปช่วย แต่ถ้าเขาทำไม่ได้จริงๆจึงค่อยเข้าไปช่วย

สังคหวัตถุ4 (แสดงความรัก)
1.ทาน : การให้วัตถุภายนอก เช่นเงินทอง ของใช้ต่างๆ เป็นต้น
2.ปิยวาจา : การพูดจาไพเราะ พูดให้กำลังใจ พูดชื่นชม เป็นต้น
3.อัตถจริยา : การช่วยเหลือด้วยแรงกาย
4.สมานัตตา : การเข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน

6. ชาวคริสต์เชื่อในพระเจ้า การไถ่บาปของพระเยซู คริสต์ไม่ได้สอนว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด หากแต่มนุษย์เกิดและตาย และเมื่อถึงวันที่พระเยซูเสด็จมาอีกครั้ง ทุกคนก็จะถูกพิพากษา ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีในศาสนาพุทธ

ตอบ ชาวพุทธมิได้ปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด แต่ต้องเข้าคำว่าเกิดในศาสนาพุทธให้ดี การเกิดของพุทธหมายถึงเกิดความรู้สึกว่ามีตัวเรา เช่น ถ้าเรานั่งอยู่เฉยๆ ขณะนั้นจะยังไม่รู้สึกว่ามีตัวเรา เวลาต่อมามีคนเอาไม้ตี เราเจ็บที่ผิวหนัง และอยากผลักคนที่ตีเราออกไป เกิดความโกรธ อาจพูดว่า “ตีฉันทำไม” เห็นใหม “ฉัน” เกิดขึ้นแล้ว มีตัวเราเกิดขึ้นแล้ว นั่นละครับเกิดมาชาติหนึ่งแล้ว
แล้ววันหนึ่งเราโลภเราโกรธ วันละกี่ครั้ง นั่นละเรียกเวียนว่ายตายเกิดได้ใหม

7.คล้ายกันเล็กๆนะครับ เรื่องรูปเคารพแต่คริสเตียนิตี้ของเรา "ห้าม" การบูชารูปเคารพ
แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกถึงเรื่องนั้น แต่ถ้าการบูชาของแปลกๆ งมงายๆ เวทย์มนตร์ ไสยศาสตร์ ท่านโคตมะท่านบอกว่าเป็น "เดียรัจฉานวิชชา" ครับ

ตอบ ถูกต้องครับ ขอเสริมสักนิด เดียรัจฉาน แปลว่า "ขวาง" ครับ เดียรัจฉานวิชชาหมายถึงวิชาที่ขัดขวางความสำเร็จครับ สัตว์เดียรัจฉานหมายถึงสัตว์มีร่างกายเจริญโดยขวาง(คนจะเจริญเติบโตแนวตั้งครับ)

8.พระพุทธเจ้าเกิดก่อนพระคริสตเจ้าห้าร้อยกว่าปี
ตอบ ขอแก้ไขสักนิดเพื่อเป็นความรู้ครับ พระพุทธเจ้าเกิดก่อนพระคริสตเจ้าหกร้อยกว่าปี
ค.ส. เริ่มนับจากปีที่เชื่อกันว่า พระเยซู เกิด และมีอายุครบหนึ่งปี เป็น ค.ศ. 1
พ.ศ. เริ่มนับจากปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน(ตาย)ครบหนึ่งปี เป็น พ.ศ. 1
ดังนั้นพระพุทธเจ้าเกิดก่อนพระเยซู 543+80 = 623 ปี (พระพุทธเจ้าอายุ 80 ครับ)

9.พุทธ มีการกลับชาติมาเกิด เช่นพระพุทธเจ้า เกิดมาเป็นเรื่องราวสิบชาติ เรียกว่า ทศชาติ ก่อนหน้านั้นก็เป็นพระโพธิสัตว์ (สัตว์อื่นๆ มากมาย เช่น ลิง ม้า ช้าง ฯลฯ)

ตอบ เรื่องพวกนี้เป็นตำราที่สาวกแต่งขึ้นภายหลังครับเพื่อยกย่องพระพุทธเจ้าครับ ไม่ใช่คำพูดของพุทธเจ้าเอง อาจแต่งขึ้นเพื่อการเผยแผ่ก็ได้ครับ เพราะคนสมัยหนึ่งจะศรัทธาด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ (หรือทำเป็นนิทานเพื่อให้คนฟังสนุกแต่มีคำสอนซ่อนอยู่ภายใน) แต่คนสมัยนึ้เชื่อจากความมีเหตุมีผลครับ


ฝากไว้ตอนท้าย
อยากรวย เอาผ้ายันต์ติดหน้าบ้าน(พุทธเก๊)
อยากรวย ตั้งใจ ขยัน อดทน (พุทธแท้)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อังคาร ส.ค. 10, 2010 1:46 pm

ในศาสนาคริสต์ก็มีสอนว่า ทุกสิ่งเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ลินน์ เด ซิลวา (Lynn de Silva) นักเทววิทยาโปรเตสแตนท์คนหนึ่ง ทำงานในประเทศศรีลังกา ได้ชี้ให้เห็นบทความสองตอนจากพระคัมภีร์ ที่ได้กล่าวถึงลักษณะ 3 ประการของมนุษย์ด้วยกัน แม้ว่าการจัดคำ อาจจะไม่ตรงทีเดียว คือ บทสดุดีที่ 90 และบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม 8 :15-25
บทสดุดี 90 :3 พระองค์ทรงให้มนุษย์กลับเป็นฝุ่นดิน.... อนัตตา
5 ....สั้นเหมือนความฝันในยามเช้า เหมือนต้นหญ้าที่งอกขึ้น ...อนิจจัง
10 ....มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยและความกังวล... ทุกขัง
บทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม
8:20 สรรพสิ่งต้องอยู่ใต้อำนาจของอนิจจัง
22 สรรพสิ่งกำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร..ทุกขัง
21 การเป็นทาสของความเสื่อมสลาย...อนัตตา

ซึ่งในศาสนาพุทธการจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ก็คือ การไปสู่นิพพาน ส่วนศาสนาคริสต์ก็คือการบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวในพระอาณาจักรของพระเจ้า
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

พุธ ต.ค. 27, 2010 9:28 pm

คงจะตอบละเอียดไม่ได้ครับ
ถ้าตอบละเอียดคงยาว และถ้าตอบละเอียดก็คงต้องมีการการโจมตีศาสนาแน่นอน100%
ฉนั้นคงได้แต่บอกว่า

กจ 4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งเป็นที่รอดแก่เราทั้งหลาย ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า.
มะนาวหวาน
โพสต์: 45
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 09, 2010 3:44 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 11:09 pm

:s021:
ภาษาเขียนได้สวยดีน่ะคับ ผมชักจะหลงไหลแล้วซิ อยากเรียนรู้มั่งจังเลย ใครจะช่วยสอนให้มะนาวได้ไม๊คับ..... ?
แล้วเรื่องที่ถกเถียง หรือ แสดงความคิดเห็นกันอยู่เนี่ย ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็นบ้างนะคับคือ ผมคิดว่า ทั้งสองท่านอยู่ต่างกรรม ต่างวาระ กัน จึงไม่น่าจะมาขัดแย้งกัน....... ผมมองว่า พระพุทธองค์ ทรงเห็นถึงความทุกข์ของประชาชนของพระองค์ว่า เกิด ก็ทุกข์ ตาย ก็ทุกข์ แก่ ก็ทุกข์ เจ็บ ก็ทุกข์ พระองค์จึงทรงมุ่งมั่นที่จะหาทางช่วยให้ทุกคนพ้นจากทุกข์ จนได้ทรงบรรลุถึงตรัสรู้ทางพ้นทุกข์ แล้วก็ทรงสอนทางนั้น....... ส่วนพระเยซูเจ้า ทรงเป็นพระเป็นเจ้า เสด็จมาเพื่อไถ่เราให้พ้นจากบาป เพื่อเราจะได้สามารถกลับไปสู่พระบิดา ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของเรามนุษย์ได้สำเร็จ..... จึงไม่เห็นมีอะไรที่ขัดกัน เพราะท่านหนึ่งสอนในระดับธรรมชาติ ทางแห่งการพ้นทุกข์ แล้วก็จบไป แต่อีกท่านหนึ่งสอนในระดับเหนือธรรมชาติ ถึงชีวิตนิรันดร์ ก็แค่นั้น
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

พุธ ธ.ค. 22, 2010 6:32 pm

ในฐานะชาวคริสต์คนหนึ่งผมขอย้ำอีกครั้งละกันนะครับว่า
กจ 4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งเป็นที่รอดแก่เราทั้งหลาย ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า.
นามนั้นคือนามแห่งองค์พระเยซูนามเดียวครับ(ไม่ใช่ผมพูดเองนะ พระคัมภีร์ได้บันทึกเช่นนั้น)

อีกประการหนึ่ง
Andreas เขียน:ในศาสนาคริสต์ก็มีสอนว่า ทุกสิ่งเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ลินน์ เด ซิลวา (Lynn de Silva) นักเทววิทยาโปรเตสแตนท์คนหนึ่ง ทำงานในประเทศศรีลังกา ได้ชี้ให้เห็นบทความสองตอนจากพระคัมภีร์ ที่ได้กล่าวถึงลักษณะ 3 ประการของมนุษย์ด้วยกัน แม้ว่าการจัดคำ อาจจะไม่ตรงทีเดียว คือ บทสดุดีที่ 90 และบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม 8 :15-25
บทสดุดี 90 :3 พระองค์ทรงให้มนุษย์กลับเป็นฝุ่นดิน.... อนัตตา
5 ....สั้นเหมือนความฝันในยามเช้า เหมือนต้นหญ้าที่งอกขึ้น ...อนิจจัง
10 ....มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยและความกังวล... ทุกขัง
บทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม
8:20 สรรพสิ่งต้องอยู่ใต้อำนาจของอนิจจัง
22 สรรพสิ่งกำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร..ทุกขัง
21 การเป็นทาสของความเสื่อมสลาย...อนัตตา

ซึ่งในศาสนาพุทธการจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ก็คือ การไปสู่นิพพาน ส่วนศาสนาคริสต์ก็คือการบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวในพระอาณาจักรของพระเจ้า
ผมไม่ทราบนะครับว่านักเทววิทยาท่านนี้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างไร แต่ในข้อเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่าของมนุษย์ที่ปราศจากพระเจ้า ห่างเหินพระเจ้า ไม่ใช่คำสอนนะครับ
แต่แท้ที่จริง (โคโลสี 1:27) พระเจ้าทรงชอบพระทัยที่จะสำแดงให้คนต่างชาติรู้ว่า อะไรเป็นความมั่งคั่งของสง่าราศีแห่งข้อลึกลับนี้คือที่พระคริสต์ทรงสถิตในท่านอันเป็นที่หวังแห่งสง่าราศี
นี่สิถึงจะเป็นข้อเชื่อของชาวคริสต์
เห็นได้ชัดนะครับว่าตรงกันข้ามแค่ไหน
ถ้าเป็นศาสนาอื่น เราไปถามเค้าว่าทำไมต้องเชื่อในศาสนานี้
เค้าคงตอบได้แค่ว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี หรือไม่ก็บอกว่า ตามบรรพบุรุษ
แต่ชาวคริสต์ไม่เป็นเช่นนั้นนะครับ พระเยซูทรงมาบังเกิดบนโลกมนุษย์ มิใช่เพื่อมาให้คำสอนแล้วก็โบกมือบ๊ายบาย ปล่อยให้เราทำตามกฏข้อห้าม ศีลต่างๆเหมือนกับศาสนาอื่นเท่านั้นนะครับ
แต่พระองค์ทรงมาตายแทนคนบาป ไถ่และยกความผิดของเราทั้งหลาย และยังประทานพระวิญญาณ(พระจิต)มาสถิตกับเราทั้งหลาย และยังทรงนำพาเราทั้งหลายในการดำเนินชีวิตประจำวัน ผมหวังว่าพี่น้องทุกท่านคงมีความชัดเจนในเรื่องนี้ให้มากขึ้นนะครับ
ที่กล่าวมาไม่ใช่ข้อคิดเห็นนะครับ แต่เป็นข้อเท็จจริง และผมไม่มีเจตนาใดในการละเมิดเสรีภาพในการนับถือศาสนานะครับ ขอย้ำอีกครั้งครับ ที่กล่าวมาคือข้อเท็จจริง
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พี่น้องทุกท่าน รวมถึงคนต่างศาสนา อ่านแล้วจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรครับ
ตอบกลับโพส