http://uk.geocities.com/palangjai2004/Priest.html
จากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์สู่การเป็นพระสงฆ์ใต้ดิน
วันที่: 2005-06-26
การผจญภัยอันยาวนานของคุณพ่อเปา
ปักกิ่ง, 26 มิถุนายน 2005 (Zenit.org).- สำนักข่าวเอเซียนิวส์รายงานว่า การกลับใจเป็นคริสตชนและกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์ในประเทศจีนได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น
ทั้งที่มีการโฆษณาชวนเชื่ออย่างต่อเนื่องว่าไม่มีพระเป็นเจ้าและขาดเสรีภาพในการนับถือศาสนา, แต่ก็มีชายหนุ่มจำนวนมากที่สนใจที่จะเรียนรู้คริสตศาสนาอย่างตั้งอกตั้งใจ --และบางคนก็ได้เข้ามาอยู่ในความเชื่อคาทอลิก
ตามรายงานของเอเซียนิวส์--จากการสำรวจของทางสถาบันสังคมศาสตร์ในปักกิ่งแสดงให้เห็นว่า นักศึกษาเกินกว่า 60 %ในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้มีความสนใจในคริสตศาสนา
ในช่วงเวลาที่พรรคคอมมิวนิสต์กำลังฝ่าฟันปัญหาวิกฤตความเป็นเอกลักษณ์ --ประชาชนจำนวนมากยังคงยึดถือปรัชญาของเหมา -- แต่มีบางส่วนที่หันเหให้ความสนใจในศาสนาและความเชื่อของคริสตชนอย่างลับๆ
เรื่องราวของบุคคลต่อไปนี้เป็นรายงานมาจากเอเซียนิวส์. เป็นเรื่องการกลับใจของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือของประเทศจีนท่านหนึ่ง ( ชื่อของสถานที่ในเรื่องนี้ถูกปกปิดเป็นความลับ)
* * *
การผจญภัยอันยาวนานของคุณพ่อเปา
ผมชื่อ เปา หยวนจิน และผมเป็นพระสงฆ์ในประเทศจีนภาคเหนือ. ผมบวชเป็นพระสงฆ์เมื่อหลายปีมาแล้ว. ก่อนหน้านั้น, ผมไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า, และร่วมกิจกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเข้มแข็ง .
ที่มหาวิทยาลัย, ผมเป็นหัวหน้ากลุ่มเยาวชนคอมมิวนิสต์ในคณะของผม. ผมวางแผนการณ์สำหรับอนาคตไว้ในใจแล้ว, แต่ไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับพระเป็นเจ้าเลย พระเป็นเจ้าสำหรับผมแล้วไม่มีตัวตน.
ในด้านเกี่ยวกับครอบครัว, ผมมีเพียงคุณยายเท่านั้นที่เป็นโปรแตสแตนท์. เมื่อตอนเป็นเด็ก,ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินท่านเล่าเรื่องพระเยซูเจ้า : ท่านเล่าว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า. แต่ผมก็ไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับศาสนา. ระบบการศึกษาซึ่งไม่เชื่อในพระเป็นเจ้าถูกบังคับใช้ในจีนตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมหาวิทยาลัย
ในหัวของผมมีแต่ทฤษฏีที่บอกว่าไม่มีพระเป็นเจ้าและผมก็มีความคิดว่าการเชื่อเรื่องพระเป็นเจ้านั้นเป็นเรื่องไร้สาระและบางทีอาจเป็นเรื่องโง่เขลาเสียด้วยซ้ำ
กิจกรรมของพรรค
สี่ปีในมหาวิทยาลัย,ผมเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์. ประชาชนในประเทศจีนทุกคนลงชื่อเป็นสมาชิกพรรคเพื่อที่อย่างน้อยจะได้ไม่ถูกกล่าวหา, แต่โดยมากต้องการมีเพื่อน เพื่อที่จะได้มีคนช่วยหางานให้ทำและให้ความช่วยเหลือเมื่อมีความลำบาก
ชีวิตของผมในเครือข่ายคอมมิวนิสต์ไม่ได้ดีหรือเลวแต่อย่างใด. นักศึกษาทำดีกับทุกคน, ตั้งใจเล่าเรียนและร่วมมือในการดำเนินการของกิจกรรมพรรคทุกประเภท
แต่ผมสังเกตุเห็นความจริงเรื่องหนึ่ง, ทุกๆอย่างในพรรค,ถึงแม้ว่าจะดี แต่ก็ไม่ใช่เพื่อผู้อื่นแต่เพื่อตัวเอง, เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ. และมีการพูดโกหกมากมาย นี่เป็นเรื่องปกติของพวกเรา, ทุกคนต่างโกหกและทุกคนก็รู้เรื่องการโกหก, แต่พวกเราก็ทำเหมือนกันทุกคน.
ตัวอย่างเช่น : ในการประชุมกลุ่มทุกกลุ่ม จะมีวาระหนึ่งที่จะทำการวิพากย์ตนเองและการสารภาพ( วิธีการคือการวิจารณ์ผู้อื่นและวิจารณ์ตัวเอง) แต่ในความเป็นจริง, ไม่มีการวิพากย์ตนเองและก็ไม่มีใครที่วิพากย์คนอื่นด้วย
นี่กลายธรรมเนียมของการพูดวิพากย์ไปแล้ว และดูเหมือนกับเป็นประจบสอพลอ. บางคนจะขอพูดกับประธาน. ตัวอย่างเช่น : "ประธานครับ, ผมต้องขอวิจารณ์เกี่ยวกับการกระทำบางอย่างของท่านที่ไม่ถูกต้อง. ท่านทำงานหนักเพื่อพวกเรามากเกินไป. ถูกแล้ว, การทำงานเป็นสิ่งสำคัญ. แต่มันกระทบกับสุขภาพของท่าน. ท่านควรดูแลสุขภาพของท่านเพื่อที่ท่านจะได้ทำสิ่งที่ดียิ่งขึ้นให้แก่สังคมของเรา"
ในวาระเวลานี้, จะมีเสียงในใจบอกกับผมว่า "นี่คือการโกหก, นี่คือการโกหก" แต่ผมก็ต้องทำสิ่งนี้
ครั้งหนึ่งผมล้มป่วยลง. ผมมักจะฝันร้ายที่ทำให้ต้องตื่นจากนอนหลับ. คืนหนึ่ง, ผมฝันว่าผมพบกระเป๋าใบหนึ่ง, ผมเปิดออกมาและพบหนังสืออยู่ข้างใน. มันคือพระคัมภีร์, และมันส่องแสงกระจ่างสดใส. ผมตื่นขึ้นและจำได้ว่าคุณยายเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์ให้ผมฟัง. ผมจำคำพูดของท่านที่บอกกับผมได้ว่า พระเยซูเจ้าทรงสรรพานุภาพ.
ดังนั้นผมจึงคิดว่า : ถ้าพระเยซูเจ้าทรงสรรพานุภาพจริงแล้ว บางทีพระองค์คงจะช่วยรักษาผมได้กระมัง ! ผมจึงเที่ยวตระเวณหาโบสถ์สักแห่งหนึ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นและก็เจอโบสถ์ของทางโปรแตสแตนท์.
แต่คอมมิวนิสต์ไม่อนุญาติให้เชื่อถือในศาสนาใดๆ. ดังนั้นผมจึงต้องเข้าไปในโบสถ์โปรแตสแตนท์อย่างลับๆ
ที่มหาวิทยาลัย, ผมเป็นหัวหน้ากลุ่มเยาวชนคอมมิวนิสต์ในคณะของผม. ผมวางแผนการณ์สำหรับอนาคตไว้ในใจแล้ว, แต่ไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับพระเป็นเจ้าเลย พระเป็นเจ้าสำหรับผมแล้วไม่มีตัวตน.
ในด้านเกี่ยวกับครอบครัว, ผมมีเพียงคุณยายเท่านั้นที่เป็นโปรแตสแตนท์. เมื่อตอนเป็นเด็ก,ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินท่านเล่าเรื่องพระเยซูเจ้า : ท่านเล่าว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า. แต่ผมก็ไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับศาสนา. ระบบการศึกษาซึ่งไม่เชื่อในพระเป็นเจ้าถูกบังคับใช้ในจีนตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมหาวิทยาลัย
ในหัวของผมมีแต่ทฤษฏีที่บอกว่าไม่มีพระเป็นเจ้าและผมก็มีความคิดว่าการเชื่อเรื่องพระเป็นเจ้านั้นเป็นเรื่องไร้สาระและบางทีอาจเป็นเรื่องโง่เขลาเสียด้วยซ้ำ
กิจกรรมของพรรค
สี่ปีในมหาวิทยาลัย,ผมเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์. ประชาชนในประเทศจีนทุกคนลงชื่อเป็นสมาชิกพรรคเพื่อที่อย่างน้อยจะได้ไม่ถูกกล่าวหา, แต่โดยมากต้องการมีเพื่อน เพื่อที่จะได้มีคนช่วยหางานให้ทำและให้ความช่วยเหลือเมื่อมีความลำบาก
ชีวิตของผมในเครือข่ายคอมมิวนิสต์ไม่ได้ดีหรือเลวแต่อย่างใด. นักศึกษาทำดีกับทุกคน, ตั้งใจเล่าเรียนและร่วมมือในการดำเนินการของกิจกรรมพรรคทุกประเภท
แต่ผมสังเกตุเห็นความจริงเรื่องหนึ่ง, ทุกๆอย่างในพรรค,ถึงแม้ว่าจะดี แต่ก็ไม่ใช่เพื่อผู้อื่นแต่เพื่อตัวเอง, เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ. และมีการพูดโกหกมากมาย นี่เป็นเรื่องปกติของพวกเรา, ทุกคนต่างโกหกและทุกคนก็รู้เรื่องการโกหก, แต่พวกเราก็ทำเหมือนกันทุกคน.
ตัวอย่างเช่น : ในการประชุมกลุ่มทุกกลุ่ม จะมีวาระหนึ่งที่จะทำการวิพากย์ตนเองและการสารภาพ( วิธีการคือการวิจารณ์ผู้อื่นและวิจารณ์ตัวเอง) แต่ในความเป็นจริง, ไม่มีการวิพากย์ตนเองและก็ไม่มีใครที่วิพากย์คนอื่นด้วย
นี่กลายธรรมเนียมของการพูดวิพากย์ไปแล้ว และดูเหมือนกับเป็นประจบสอพลอ. บางคนจะขอพูดกับประธาน. ตัวอย่างเช่น : "ประธานครับ, ผมต้องขอวิจารณ์เกี่ยวกับการกระทำบางอย่างของท่านที่ไม่ถูกต้อง. ท่านทำงานหนักเพื่อพวกเรามากเกินไป. ถูกแล้ว, การทำงานเป็นสิ่งสำคัญ. แต่มันกระทบกับสุขภาพของท่าน. ท่านควรดูแลสุขภาพของท่านเพื่อที่ท่านจะได้ทำสิ่งที่ดียิ่งขึ้นให้แก่สังคมของเรา"
ในวาระเวลานี้, จะมีเสียงในใจบอกกับผมว่า "นี่คือการโกหก, นี่คือการโกหก" แต่ผมก็ต้องทำสิ่งนี้
ครั้งหนึ่งผมล้มป่วยลง. ผมมักจะฝันร้ายที่ทำให้ต้องตื่นจากนอนหลับ. คืนหนึ่ง, ผมฝันว่าผมพบกระเป๋าใบหนึ่ง, ผมเปิดออกมาและพบหนังสืออยู่ข้างใน. มันคือพระคัมภีร์, และมันส่องแสงกระจ่างสดใส. ผมตื่นขึ้นและจำได้ว่าคุณยายเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์ให้ผมฟัง. ผมจำคำพูดของท่านที่บอกกับผมได้ว่า พระเยซูเจ้าทรงสรรพานุภาพ.
ดังนั้นผมจึงคิดว่า : ถ้าพระเยซูเจ้าทรงสรรพานุภาพจริงแล้ว บางทีพระองค์คงจะช่วยรักษาผมได้กระมัง ! ผมจึงเที่ยวตระเวณหาโบสถ์สักแห่งหนึ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นและก็เจอโบสถ์ของทางโปรแตสแตนท์.
แต่คอมมิวนิสต์ไม่อนุญาติให้เชื่อถือในศาสนาใดๆ. ดังนั้นผมจึงต้องเข้าไปในโบสถ์โปรแตสแตนท์อย่างลับๆ
ความกลัวและอัศจรรย์
เมื่อสำเร็จการศึกษา, ต้องขอบคุณในการเข้าร่วมพรรค, ผมได้รับงานใหม่ที่ดีมากในเมืองใหญ่ทันที. ก่อนที่จะเข้ารับงาน, บริษัทอนุญาติให้ผมไปเยี่ยมครอบครัวซึ่งอยู่อีกภาคหนึ่งของประเทศได้เป็นเวลาหนึ่งเดือน
จนเกือบจะครบหนึ่งเดือนของการลาหยุด, เพื่อนคนหนึ่งของผม -- ผมมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นคาทอลิก -- ได้ให้เทปคาเซ็ทแก่ผม 10 ตลับ ซึ่งบันทึกคำเทศนาของพระสงฆ์จีนคนหนึ่ง. หลังจากได้ฟังเทปทั้งหมด, สงครามในใจก็ประทุขึ้น : ผมคิดว่าบางทีพระเป็นเจ้าคงจะมีอยู่จริงกระมัง ; บางทีศาสนาคาทอลิกคงจะเป็นศาสนาที่แท้จริงก็ได้ ....
แต่ในเวลาเดียวกัน, ทฤษฏีที่บอกว่าไม่มีพระเป็นเจ้าซึ่งผมเรียนจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยก็มาวนเวียนในใจด้วย. และมันก็ชนะผม, เพราะผมกลัวว่า ถ้าผมยอมรับความเชื่อคาทอลิก, ผมจะสูญเสียงานของผมไป
ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี. นั่นเป็นวันที่ผมจะต้องกลับไปในเมืองเพื่อรับงาน. ผมมีตั๋วโดยสารรถประจำทางเรียบร้อยแล้ว
เป็นครั้งแรกในชีวิตของผม, ที่ผมหันเข้าพึ่งพระแม่มารีอา : "พระแม่มารีอา, พระแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ " ผมพูดกับพระนาง , "ถ้าพระนางมีอยู่จริง, ถ้าความเชื่อคาทอลิกเป็นเรื่องจริง, ถ้าพระนางประสงค์ให้ผมเป็นคาทอลิก, โปรดประทานเครื่องหมายสักอย่างให้แก่ผมด้วย : ในวันพรุ่งนี้, ระหว่างการเดินทาง, โปรดให้มีสิ่งสำคัญบางอย่างเกิดขึ้น, อาจเป็นอุบัติเหตุ, และให้ผมรอดชีวิต, แล้วผมก็จะเชื่อ "
ปัจจุบันนี้, ผมคิดว่าผมช่างโง่เขลาเสียเหลือเกินที่บังอาจไปต่อรองกับพระเจ้า, ไปทดสอบพระเป็นเจ้าในลักษณะนั้น. แต่ในเวลานั้น, นั่นเป็นคำภาวนาอย่างเดียวที่ผมคิดขึ้นได้.
ในวันต่อมาก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆ : ยางหน้าของล้อรถระเบิดแล้วรถก็คว่ำลงขณะที่แล่นด้วยความเร็วสูง. รถพุ่งออกนอกถนนและล้มคว่ำ. พวกเราทั้งหมดปลอดภัย, แต่ต้องดิ้นรนหาทางออกจากซากรถทางหน้าต่าง. ผมตกใจจนตัวสั่นในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น, แต่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอาณัติสัญญาณในเหตุการณ์นี้มากนัก
หลังจากคอยอยู่สักชั่วโมง, ทางบริษัทก็ส่งรถประจำทางอีกคันหนึ่งมากรับพวกเราให้เดินทางต่อไป. แต่อุบัติเหตุทำให้ผมเสียเวลาไปมาก.
เมื่อพวกเราไปถึงสถานีรถไฟ -- ซึ่งผมจะต้องต่อรถไฟที่นี่ -- ผมมาสายมากและตั๋วที่จะไปนั้นก็ถูกขายหมดแล้ว. มีคนเข้าแถวซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์ยาวมากและทุกคนก็บอกกับผมว่าตั๋วล่วงหน้าสำหรับขบวนรถที่จะไปนั้นมีสำหรับในอีกสามวันข้างหน้าเท่านั้น
ผมเหนื่อยและผิดหวังมาก: ผมต้องไปทำงานสายสำหรับงานครั้งแรกของผมและการทำงานวันแรกของผมด้วย. ผมจึงสวดภาวนาต่อพระแม่มารีอาอีกครั้ง : "โปรดช่วยผมด้วย, โปรดให้ผมได้ตั๋วรถไฟด้วย. ถ้าช่วยผมครั้งนี้แล้ว, ผมสาบานว่าจะติดตามพระแม่"
ผมยืนเข้าแถวที่ยาวเหยียด,ไม่มีความหวังเหลือเลย. แล้วทันใดก็มีชายคนหนึ่งเข้ามา ร้องตะโกนว่า :"ตั๋วนี้สำหรับขบวนรถที่จะเข้าเมือง -- ในวันนี้. ใครต้องการซื้อบ้าง?" นั่นคือจุดหมายปลายทางของผม. ผมรีบซื้อทันที
ชายคนนั้นบอกว่า เขาได้ตั๋วมาจากเพื่อนซึ่งเพิ่งโทรมาบอกว่าเขาไม่สามารถมาได้ทันเวลา. เขาขอร้องให้คืนตั๋วให้สถานีไป, แต่เนื่องจากขบวนรถจะออกภายใน 40 นาทีนี้, จึงสายเกินไปที่จะคืนตั๋วกับทางสถานี ดังนั้นเขาจึงเดินไปทั่วเพื่อขายตั๋วให้กับบางคน
นั่นเป็นอาณัติสัญญาณเล็กๆอันหนึ่ง, แต่มันเป็นการเริ่มต้น-- ก้าวแรกของการกลับใจของผม
หลังจากที่ไปรับงานของผมแล้ว, ผมได้ไปหาโบสถ์คาทอลิกแห่งหนึ่งและร่วมพิธีมิสซาที่นั่น, แต่ทำอย่างลับๆ. ทีละเล็กทีละน้อย, ผมก็เข้าใจมากขึ้นในความเชื่อคาทอลิกจนในที่สุดก็ตัดสินใจรับศีลล้างบาป
เมื่อสำเร็จการศึกษา, ต้องขอบคุณในการเข้าร่วมพรรค, ผมได้รับงานใหม่ที่ดีมากในเมืองใหญ่ทันที. ก่อนที่จะเข้ารับงาน, บริษัทอนุญาติให้ผมไปเยี่ยมครอบครัวซึ่งอยู่อีกภาคหนึ่งของประเทศได้เป็นเวลาหนึ่งเดือน
จนเกือบจะครบหนึ่งเดือนของการลาหยุด, เพื่อนคนหนึ่งของผม -- ผมมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นคาทอลิก -- ได้ให้เทปคาเซ็ทแก่ผม 10 ตลับ ซึ่งบันทึกคำเทศนาของพระสงฆ์จีนคนหนึ่ง. หลังจากได้ฟังเทปทั้งหมด, สงครามในใจก็ประทุขึ้น : ผมคิดว่าบางทีพระเป็นเจ้าคงจะมีอยู่จริงกระมัง ; บางทีศาสนาคาทอลิกคงจะเป็นศาสนาที่แท้จริงก็ได้ ....
แต่ในเวลาเดียวกัน, ทฤษฏีที่บอกว่าไม่มีพระเป็นเจ้าซึ่งผมเรียนจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยก็มาวนเวียนในใจด้วย. และมันก็ชนะผม, เพราะผมกลัวว่า ถ้าผมยอมรับความเชื่อคาทอลิก, ผมจะสูญเสียงานของผมไป
ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี. นั่นเป็นวันที่ผมจะต้องกลับไปในเมืองเพื่อรับงาน. ผมมีตั๋วโดยสารรถประจำทางเรียบร้อยแล้ว
เป็นครั้งแรกในชีวิตของผม, ที่ผมหันเข้าพึ่งพระแม่มารีอา : "พระแม่มารีอา, พระแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ " ผมพูดกับพระนาง , "ถ้าพระนางมีอยู่จริง, ถ้าความเชื่อคาทอลิกเป็นเรื่องจริง, ถ้าพระนางประสงค์ให้ผมเป็นคาทอลิก, โปรดประทานเครื่องหมายสักอย่างให้แก่ผมด้วย : ในวันพรุ่งนี้, ระหว่างการเดินทาง, โปรดให้มีสิ่งสำคัญบางอย่างเกิดขึ้น, อาจเป็นอุบัติเหตุ, และให้ผมรอดชีวิต, แล้วผมก็จะเชื่อ "
ปัจจุบันนี้, ผมคิดว่าผมช่างโง่เขลาเสียเหลือเกินที่บังอาจไปต่อรองกับพระเจ้า, ไปทดสอบพระเป็นเจ้าในลักษณะนั้น. แต่ในเวลานั้น, นั่นเป็นคำภาวนาอย่างเดียวที่ผมคิดขึ้นได้.
ในวันต่อมาก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆ : ยางหน้าของล้อรถระเบิดแล้วรถก็คว่ำลงขณะที่แล่นด้วยความเร็วสูง. รถพุ่งออกนอกถนนและล้มคว่ำ. พวกเราทั้งหมดปลอดภัย, แต่ต้องดิ้นรนหาทางออกจากซากรถทางหน้าต่าง. ผมตกใจจนตัวสั่นในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น, แต่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอาณัติสัญญาณในเหตุการณ์นี้มากนัก
หลังจากคอยอยู่สักชั่วโมง, ทางบริษัทก็ส่งรถประจำทางอีกคันหนึ่งมากรับพวกเราให้เดินทางต่อไป. แต่อุบัติเหตุทำให้ผมเสียเวลาไปมาก.
เมื่อพวกเราไปถึงสถานีรถไฟ -- ซึ่งผมจะต้องต่อรถไฟที่นี่ -- ผมมาสายมากและตั๋วที่จะไปนั้นก็ถูกขายหมดแล้ว. มีคนเข้าแถวซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์ยาวมากและทุกคนก็บอกกับผมว่าตั๋วล่วงหน้าสำหรับขบวนรถที่จะไปนั้นมีสำหรับในอีกสามวันข้างหน้าเท่านั้น
ผมเหนื่อยและผิดหวังมาก: ผมต้องไปทำงานสายสำหรับงานครั้งแรกของผมและการทำงานวันแรกของผมด้วย. ผมจึงสวดภาวนาต่อพระแม่มารีอาอีกครั้ง : "โปรดช่วยผมด้วย, โปรดให้ผมได้ตั๋วรถไฟด้วย. ถ้าช่วยผมครั้งนี้แล้ว, ผมสาบานว่าจะติดตามพระแม่"
ผมยืนเข้าแถวที่ยาวเหยียด,ไม่มีความหวังเหลือเลย. แล้วทันใดก็มีชายคนหนึ่งเข้ามา ร้องตะโกนว่า :"ตั๋วนี้สำหรับขบวนรถที่จะเข้าเมือง -- ในวันนี้. ใครต้องการซื้อบ้าง?" นั่นคือจุดหมายปลายทางของผม. ผมรีบซื้อทันที
ชายคนนั้นบอกว่า เขาได้ตั๋วมาจากเพื่อนซึ่งเพิ่งโทรมาบอกว่าเขาไม่สามารถมาได้ทันเวลา. เขาขอร้องให้คืนตั๋วให้สถานีไป, แต่เนื่องจากขบวนรถจะออกภายใน 40 นาทีนี้, จึงสายเกินไปที่จะคืนตั๋วกับทางสถานี ดังนั้นเขาจึงเดินไปทั่วเพื่อขายตั๋วให้กับบางคน
นั่นเป็นอาณัติสัญญาณเล็กๆอันหนึ่ง, แต่มันเป็นการเริ่มต้น-- ก้าวแรกของการกลับใจของผม
หลังจากที่ไปรับงานของผมแล้ว, ผมได้ไปหาโบสถ์คาทอลิกแห่งหนึ่งและร่วมพิธีมิสซาที่นั่น, แต่ทำอย่างลับๆ. ทีละเล็กทีละน้อย, ผมก็เข้าใจมากขึ้นในความเชื่อคาทอลิกจนในที่สุดก็ตัดสินใจรับศีลล้างบาป
พบกับสันติสุข
ในการพบกับความเชื่อคาทอลิก, ผมพบว่ากลุ่มคริสตชนนั้นมีความเรียบง่ายและประชาชนล้วนเป็นคนดี, ไม่มีการโกหก, ผมได้พบกับมิตรสหายที่แท้จริง
มันเป็นอิสรภาพสำหรับผม: ผมไม่จำเป็นต้องโกหกอีก. ประชาชนวิพากย์ตนเองอย่างแท้จริงและวิพากย์แม้แต่พระสงฆ์ . ผมเริ่มมองเห็นแสงสว่างและพบกับความหมายที่แท้จริงของชีวิต
แต่การเข้ารับศีลล้างบาปนั้น, ผมต้องเอาชนะอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ นั่นคือสมาชิกภาพของผมในพรรคคอมมิวนิสต์
ลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า. คริสตชนเชื่อในพระเป็นเจ้า: การเป็นคาทอลิกและคอมมิวนิสต์ในเวลาเดียวกันจึงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้. แม้พระสงฆ์ที่สอนผมจะบอกว่าผมต้องละทิ้งพรรค. แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น: ผมกลัวว่า เมื่อทิ้งพรรค, ผมจะประสพกับชะตากรรมที่เลวร้าย บางทีอาจต้องสูญเสียงานหรือไม่อาจถูกก่อกวนและถูกประหาร
พรรคคอมมิวนิสต์จีนควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง: การแยกตัวออกจะหมายถึงการสูญเสียความหวังทุกอย่างในความสงบสุขของชีวิต หมายถึงจะรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
มีกฏอันหนึ่งในพรรคคอมมิวนิสต์จีน: สมาชิกแต่ละคนต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งให้แก่พรรค. ถ้าใครขาดชำระเป็นเวลานานเกินหกเดือนติดต่อกัน. คนนั้นจะถูกลงโทษและบางครั้งจะถูกเนรเทศออกจากพรรค
เนื่องจากผมไม่กล้าที่จะละทิ้งพรรคอย่างเปิดเผย, ผมจึงคิดที่จะออกจากพรรคโดยวิธีนี้ ดังนั้นผมจึงไม่จ่ายเงินบำรุงพรรคเป็นเวลาหกเดือน. แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น: หัวหน้ากลุ่มเห็นผมไม่จ่ายเงิน, จึงจ่ายเงินแทนผมโดยไม่ได้บอกให้ผมรู้
ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น. เขาเป็นคนปกติธรรมดาเหมือนคนอื่น, มีทั้งดีและเลว. บางทีเขาอาจจะคิดว่าผมลืมจ่ายเงินก็เป็นได้จึงจ่ายเงินล่วงหน้าไปก่อนโดยหวังให้ผมใช้คืนทีหลัง; หรือบางทีเขาอาจไม่ต้องการให้เจ้านายของเขาเห็นว่ามีพวกต่อต้านอยู่ในกลุ่มของเขาซึ่งอาจทำให้เขาต้องถูกวิพากย์ ก็เป็นได้
ท้ายที่สุด, ทางเลือกเดียวของผมก็คือเดินตรงไปที่สำนักงานพรรค, และผมได้เขียนคำร้องของลาออกจากพรรค. แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะยื่นเรื่องเข้าไป. ผมตัดสินใจหลายครั้งที่จะยื่นเรื่อง, แต่ที่สุดก็ไม่ได้ทำ. เมื่อถึงจุดหนึ่ง, ผมก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดและตรงไปที่สำนักงานพรรคและยื่นเอกสารคำร้องของผมให้แก่เขา
เขานิ่งอึ้ง : นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนที่ปฏิเสธการเป็นสมาชิกพรรค (CCP). เขารู้สึกงุนงง
สุดท้าย, ผมก็ได้รับศีลล้างบาป. แล้วด้วยศีลศักดิ์สิทธิ์นี้, ผมเริ่มต้นมีความชื่นชมยินดีในสันติสุข
หลังจากนั้นระยะหนึ่ง, ผมได้ไปพบกับเพื่อนสนิทเก่าแก่คนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม. เราเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วก่อนที่จะเข้าร่วมพรรค. เขาได้ยินว่าผมได้ทิ้งพรรคและไปเป็นคริสตชน. เขาบอกผมว่าผมกล้าหาญมาก และเขาคงไม่สามารถที่จะมีความกล้าอย่างนี้ได้
ในการพบกับความเชื่อคาทอลิก, ผมพบว่ากลุ่มคริสตชนนั้นมีความเรียบง่ายและประชาชนล้วนเป็นคนดี, ไม่มีการโกหก, ผมได้พบกับมิตรสหายที่แท้จริง
มันเป็นอิสรภาพสำหรับผม: ผมไม่จำเป็นต้องโกหกอีก. ประชาชนวิพากย์ตนเองอย่างแท้จริงและวิพากย์แม้แต่พระสงฆ์ . ผมเริ่มมองเห็นแสงสว่างและพบกับความหมายที่แท้จริงของชีวิต
แต่การเข้ารับศีลล้างบาปนั้น, ผมต้องเอาชนะอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ นั่นคือสมาชิกภาพของผมในพรรคคอมมิวนิสต์
ลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า. คริสตชนเชื่อในพระเป็นเจ้า: การเป็นคาทอลิกและคอมมิวนิสต์ในเวลาเดียวกันจึงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้. แม้พระสงฆ์ที่สอนผมจะบอกว่าผมต้องละทิ้งพรรค. แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น: ผมกลัวว่า เมื่อทิ้งพรรค, ผมจะประสพกับชะตากรรมที่เลวร้าย บางทีอาจต้องสูญเสียงานหรือไม่อาจถูกก่อกวนและถูกประหาร
พรรคคอมมิวนิสต์จีนควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง: การแยกตัวออกจะหมายถึงการสูญเสียความหวังทุกอย่างในความสงบสุขของชีวิต หมายถึงจะรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
มีกฏอันหนึ่งในพรรคคอมมิวนิสต์จีน: สมาชิกแต่ละคนต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งให้แก่พรรค. ถ้าใครขาดชำระเป็นเวลานานเกินหกเดือนติดต่อกัน. คนนั้นจะถูกลงโทษและบางครั้งจะถูกเนรเทศออกจากพรรค
เนื่องจากผมไม่กล้าที่จะละทิ้งพรรคอย่างเปิดเผย, ผมจึงคิดที่จะออกจากพรรคโดยวิธีนี้ ดังนั้นผมจึงไม่จ่ายเงินบำรุงพรรคเป็นเวลาหกเดือน. แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น: หัวหน้ากลุ่มเห็นผมไม่จ่ายเงิน, จึงจ่ายเงินแทนผมโดยไม่ได้บอกให้ผมรู้
ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น. เขาเป็นคนปกติธรรมดาเหมือนคนอื่น, มีทั้งดีและเลว. บางทีเขาอาจจะคิดว่าผมลืมจ่ายเงินก็เป็นได้จึงจ่ายเงินล่วงหน้าไปก่อนโดยหวังให้ผมใช้คืนทีหลัง; หรือบางทีเขาอาจไม่ต้องการให้เจ้านายของเขาเห็นว่ามีพวกต่อต้านอยู่ในกลุ่มของเขาซึ่งอาจทำให้เขาต้องถูกวิพากย์ ก็เป็นได้
ท้ายที่สุด, ทางเลือกเดียวของผมก็คือเดินตรงไปที่สำนักงานพรรค, และผมได้เขียนคำร้องของลาออกจากพรรค. แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะยื่นเรื่องเข้าไป. ผมตัดสินใจหลายครั้งที่จะยื่นเรื่อง, แต่ที่สุดก็ไม่ได้ทำ. เมื่อถึงจุดหนึ่ง, ผมก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดและตรงไปที่สำนักงานพรรคและยื่นเอกสารคำร้องของผมให้แก่เขา
เขานิ่งอึ้ง : นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนที่ปฏิเสธการเป็นสมาชิกพรรค (CCP). เขารู้สึกงุนงง
สุดท้าย, ผมก็ได้รับศีลล้างบาป. แล้วด้วยศีลศักดิ์สิทธิ์นี้, ผมเริ่มต้นมีความชื่นชมยินดีในสันติสุข
หลังจากนั้นระยะหนึ่ง, ผมได้ไปพบกับเพื่อนสนิทเก่าแก่คนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม. เราเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วก่อนที่จะเข้าร่วมพรรค. เขาได้ยินว่าผมได้ทิ้งพรรคและไปเป็นคริสตชน. เขาบอกผมว่าผมกล้าหาญมาก และเขาคงไม่สามารถที่จะมีความกล้าอย่างนี้ได้
สามเณราลัยใต้ดิน
หลังจากเป็นคาทอลิกแล้ว, ผมร่วมพิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์อย่างต่อเนื่องพร้อมกับกลุ่มคริสตชนใต้ดิน ซึ่งรัฐบาลไม่รู้จัก
ครั้งหนึ่งมีแม่ชีคนหนึ่งพูดกับผมว่า : ทำไมผมไม่ติดตามพระเยซูเจ้าอย่างเต็มตัวโดยเป็นพระสงฆ์เสียเลยเล่า? ผมตอบไปตรงๆว่า "ไม่ล่ะ". ยังไม่เคยมีคนในครอบครัวของผมที่มีความเชื่อเป็นพระสงฆ์มาก่อนและการเป็นพระสงฆ์เป็นเรื่องยากจริงๆ
เนื่องจากเป็นลูกคนแรก, ผมมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลพ่อแม่ในยามแก่เฒ่า อันเป็นประเพณีของจีน. การเข้าสามเณราลัยนั้น, คนที่จะต่อต้านคนแรกก็คือพ่อแม่ของผม
หกเดือนต่อมา, ผมกำลังสวดภาวนาอยู่ในห้องของผม ผมได้ยินเสียงเรียกว่า: "จงตามเรามาเถิด" ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น. ในหัวใจของผม, ผมเข้าใจว่าพระเยซูเจ้ากำลังเรียกผม, แต่ผมตกใจกลัวมากเกินไป: การเป็นพระสงฆ์--โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงฆ์ใต้ดิน ---หมายถึงต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง, ละทิ้งครอบครัวของผม, งานของผม, เสี่ยงต่ออันตราย, แบกกางเขน, ทนทุกข์, ถูกคุมขัง
ผมตอบพระเยซูเจ้าว่าไม่เอา. แต่การปกิเสธทำให้ผมไม่มีสันติสุข ผมนอนไม่หลับและไม่มีความยินดี. ผมไม่ต้องการติดตามพระเยซูเจ้าเพระผมมีงานที่ดีทำ, มีชีวิตที่เงียบๆ. แต่ผมก็ต้านทานการเรียกของพระเป็นเจ้าไม่ได้
ดังนั้นผมจึงสวดภาวนาวอนของานอาชีพอื่นในเมืองอื่นที่อยู่ไกลออกไป. วิธีนี้จะทำให้ผมทิ้งงานที่ทำอยู่ได้โดยไม่ถูกสงสัยและสามารถเข้าสามเณราลัยได้. ผมได้ทำงานนี้ในเมืองอื่นเป็นเวลาถึงสองปี, เพื่อที่จะหาเงินให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ เพื่อมอบให้แก่พ่อแม่และที่สุดผมจะติดตามการเรียกของพระเยซูเจ้าได้
ผมรู้ตัวว่ามีความอ่อนแอ ดังนั้นผมจึงภาวนาว่า "พระเยซูเจ้า, ถ้าพระองค์มีพระประสงค์, พระองค์สามารถทำให้ผมมีความเชื่อเพื่อจะติดตามและเป็นสาวกของพระองค์ตลอดนิรันดร์. นี่จะเป็นมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่"
ผมใช้เวลาห้าปีในสามเณราลัยของพระศาสนาจักรใต้ดิน. ชีวิตมีความยากลำบากมากและมีความเสี่ยงมากด้วย
เวลาตื่นนอนคือ 5 a.m. ใช้เวลารำพึงภาวนาครึ่งชั่วโมง, ร่วมพิธีมิสซาและสรรเสริญพระเป็นเจ้า. อาหารเที่ยงเสร็จแล้วก็ทำความสะอาดและเริ่มการเรียน. เข้านอนเวลา 10 p.m.
ชีวิตในสามเณราลัยใต้ดินมีความยากลำบากเล็กน้อย: เราอาศัยในบ้านชนบทที่จัดหาโดยสมาชิกผู้มีความเชื่อของเรา
แต่เมื่อเราทราบข่าวว่าตำรวจได้ค้นพบเราเข้า, เราก็ต้องรีบหลบหนีไปอยู่ที่อื่น. ในห้าปี, เราต้องเปลี่ยนที่อยู่ถึงสามครั้ง
พวกเราสามเณรต้องดูแลทำความสะอาด, หุงหาอาหารสำหรับทุกคน. ดูในแง่วัตถุแล้ว, ชีวิตมีความยากลำบากมาก : มีอาหารน้อย, มีผักเล็กน้อย, ยิ่งพวกเนื้อยิ่งไม่ค่อยได้กิน ; สถานที่ก็แออัด ไม่ค่อยมีพื้นที่ว่าง
แต่ในหัวใจของผม, ผมมีสันติสุขและมีความชื่นชมยินดีใหม่ๆซึ่งแตกต่างจากที่ผมเคยรู้สึกมาก่อน. นั่นคือ มิตรภาพที่แน่นแฟ้นและความเป็นพี่น้องในท่ามกลางสามเณรทั้งหลาย
ความยากลำบากถูกพิชิตไปอยางรวดเร็วเพราะทุกคนพร้อมที่จะให้ความรักแก่กันและกัน
ห้าปีของการเล่าเรียน, ก็ถึงวันรับศีลบรรพชาของผม. มีความตึงเครียดมากมายในสังฆมณฑลของผมในเวลานั้นและพวกเราก็เสี่ยงในการถูกตำรวจจับไปจำคุก. ดังนั้นเราจึงทำพิธีมิสซารับศีลบรรพชาเวลา ตีสี่. ช่วงเวลานั้นทุกคนในประเทศจีนกำลังหลับไหลอยู่ , แม้แต่ตำรวจ
ถึงแม้ว่าชีวิตการเป็นคาทอลิกของเราจะมีความยากลำบาก, ความเชื่อของเราก็มีความเข้มแข็งขึ้นทุกวัน. และนี่ต้องขอบคุณในแบบอย่างของพระสงฆ์ที่อยู่ในคุก
ตัวอย่างเล็กๆอันหนึ่งก็คือ ; ที่เมืองบ้านเกิดของผม, ในปี 1983, เมื่อประเทศจีนเริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่, มีครอบครัวคาทอลิกอยู่เพียงสามครอบครัวเท่านั้น. ปัจจุบันนี้, ผ่านมาเกือบ 20 ปี, มีมากกว่า 4000 ครอบครัว. เป็นความจริงที่โลหิตของคริสตชนเป็นเมล็ดพันธุ์ของคริสตชนใหม่ๆ.
สำหรับผมก็เช่นเดียวกัน, พละกำลังของผมคือองค์พระเยซูเจ้าเอง พระองค์ตรัสว่า "ไม่ใช่ท่านที่เลือกเรา แต่เป็นเราที่เลือกท่าน " (ยอห์น 15:16). ตามเส้นทางนี้,ผมได้พบกางเขน,แต่ก็มีความชื่นชมยินดีในสันติสุขด้วย. ด้วยความช่วยเหลือของพระองค์, ผมจะติดตามพระองค์ตลอดไป, จะเอาชนะความยากลำบากไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
หลังจากเป็นคาทอลิกแล้ว, ผมร่วมพิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์อย่างต่อเนื่องพร้อมกับกลุ่มคริสตชนใต้ดิน ซึ่งรัฐบาลไม่รู้จัก
ครั้งหนึ่งมีแม่ชีคนหนึ่งพูดกับผมว่า : ทำไมผมไม่ติดตามพระเยซูเจ้าอย่างเต็มตัวโดยเป็นพระสงฆ์เสียเลยเล่า? ผมตอบไปตรงๆว่า "ไม่ล่ะ". ยังไม่เคยมีคนในครอบครัวของผมที่มีความเชื่อเป็นพระสงฆ์มาก่อนและการเป็นพระสงฆ์เป็นเรื่องยากจริงๆ
เนื่องจากเป็นลูกคนแรก, ผมมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลพ่อแม่ในยามแก่เฒ่า อันเป็นประเพณีของจีน. การเข้าสามเณราลัยนั้น, คนที่จะต่อต้านคนแรกก็คือพ่อแม่ของผม
หกเดือนต่อมา, ผมกำลังสวดภาวนาอยู่ในห้องของผม ผมได้ยินเสียงเรียกว่า: "จงตามเรามาเถิด" ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น. ในหัวใจของผม, ผมเข้าใจว่าพระเยซูเจ้ากำลังเรียกผม, แต่ผมตกใจกลัวมากเกินไป: การเป็นพระสงฆ์--โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงฆ์ใต้ดิน ---หมายถึงต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง, ละทิ้งครอบครัวของผม, งานของผม, เสี่ยงต่ออันตราย, แบกกางเขน, ทนทุกข์, ถูกคุมขัง
ผมตอบพระเยซูเจ้าว่าไม่เอา. แต่การปกิเสธทำให้ผมไม่มีสันติสุข ผมนอนไม่หลับและไม่มีความยินดี. ผมไม่ต้องการติดตามพระเยซูเจ้าเพระผมมีงานที่ดีทำ, มีชีวิตที่เงียบๆ. แต่ผมก็ต้านทานการเรียกของพระเป็นเจ้าไม่ได้
ดังนั้นผมจึงสวดภาวนาวอนของานอาชีพอื่นในเมืองอื่นที่อยู่ไกลออกไป. วิธีนี้จะทำให้ผมทิ้งงานที่ทำอยู่ได้โดยไม่ถูกสงสัยและสามารถเข้าสามเณราลัยได้. ผมได้ทำงานนี้ในเมืองอื่นเป็นเวลาถึงสองปี, เพื่อที่จะหาเงินให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ เพื่อมอบให้แก่พ่อแม่และที่สุดผมจะติดตามการเรียกของพระเยซูเจ้าได้
ผมรู้ตัวว่ามีความอ่อนแอ ดังนั้นผมจึงภาวนาว่า "พระเยซูเจ้า, ถ้าพระองค์มีพระประสงค์, พระองค์สามารถทำให้ผมมีความเชื่อเพื่อจะติดตามและเป็นสาวกของพระองค์ตลอดนิรันดร์. นี่จะเป็นมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่"
ผมใช้เวลาห้าปีในสามเณราลัยของพระศาสนาจักรใต้ดิน. ชีวิตมีความยากลำบากมากและมีความเสี่ยงมากด้วย
เวลาตื่นนอนคือ 5 a.m. ใช้เวลารำพึงภาวนาครึ่งชั่วโมง, ร่วมพิธีมิสซาและสรรเสริญพระเป็นเจ้า. อาหารเที่ยงเสร็จแล้วก็ทำความสะอาดและเริ่มการเรียน. เข้านอนเวลา 10 p.m.
ชีวิตในสามเณราลัยใต้ดินมีความยากลำบากเล็กน้อย: เราอาศัยในบ้านชนบทที่จัดหาโดยสมาชิกผู้มีความเชื่อของเรา
แต่เมื่อเราทราบข่าวว่าตำรวจได้ค้นพบเราเข้า, เราก็ต้องรีบหลบหนีไปอยู่ที่อื่น. ในห้าปี, เราต้องเปลี่ยนที่อยู่ถึงสามครั้ง
พวกเราสามเณรต้องดูแลทำความสะอาด, หุงหาอาหารสำหรับทุกคน. ดูในแง่วัตถุแล้ว, ชีวิตมีความยากลำบากมาก : มีอาหารน้อย, มีผักเล็กน้อย, ยิ่งพวกเนื้อยิ่งไม่ค่อยได้กิน ; สถานที่ก็แออัด ไม่ค่อยมีพื้นที่ว่าง
แต่ในหัวใจของผม, ผมมีสันติสุขและมีความชื่นชมยินดีใหม่ๆซึ่งแตกต่างจากที่ผมเคยรู้สึกมาก่อน. นั่นคือ มิตรภาพที่แน่นแฟ้นและความเป็นพี่น้องในท่ามกลางสามเณรทั้งหลาย
ความยากลำบากถูกพิชิตไปอยางรวดเร็วเพราะทุกคนพร้อมที่จะให้ความรักแก่กันและกัน
ห้าปีของการเล่าเรียน, ก็ถึงวันรับศีลบรรพชาของผม. มีความตึงเครียดมากมายในสังฆมณฑลของผมในเวลานั้นและพวกเราก็เสี่ยงในการถูกตำรวจจับไปจำคุก. ดังนั้นเราจึงทำพิธีมิสซารับศีลบรรพชาเวลา ตีสี่. ช่วงเวลานั้นทุกคนในประเทศจีนกำลังหลับไหลอยู่ , แม้แต่ตำรวจ
ถึงแม้ว่าชีวิตการเป็นคาทอลิกของเราจะมีความยากลำบาก, ความเชื่อของเราก็มีความเข้มแข็งขึ้นทุกวัน. และนี่ต้องขอบคุณในแบบอย่างของพระสงฆ์ที่อยู่ในคุก
ตัวอย่างเล็กๆอันหนึ่งก็คือ ; ที่เมืองบ้านเกิดของผม, ในปี 1983, เมื่อประเทศจีนเริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่, มีครอบครัวคาทอลิกอยู่เพียงสามครอบครัวเท่านั้น. ปัจจุบันนี้, ผ่านมาเกือบ 20 ปี, มีมากกว่า 4000 ครอบครัว. เป็นความจริงที่โลหิตของคริสตชนเป็นเมล็ดพันธุ์ของคริสตชนใหม่ๆ.
สำหรับผมก็เช่นเดียวกัน, พละกำลังของผมคือองค์พระเยซูเจ้าเอง พระองค์ตรัสว่า "ไม่ใช่ท่านที่เลือกเรา แต่เป็นเราที่เลือกท่าน " (ยอห์น 15:16). ตามเส้นทางนี้,ผมได้พบกางเขน,แต่ก็มีความชื่นชมยินดีในสันติสุขด้วย. ด้วยความช่วยเหลือของพระองค์, ผมจะติดตามพระองค์ตลอดไป, จะเอาชนะความยากลำบากไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
ขอบคุณค่ะ มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
พระองค์เตรียมทางและเรียกลูก ๆ ของพระองค์เสมอครับ