“พ่อขอโทษอย่างสุดซึ้ง” สมเด็จพระสันตะปาปาขอโทษบรรดาเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิด

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

จันทร์ เม.ย. 05, 2010 12:32 am

23 มีนาคม
ฟาติมาสาร : “พ่อขอโทษอย่างสุดซึ้ง”

--------------------------------------------------------------------------------


ถ้าหาก สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เป็นพระสันตะปาปาองค์แรกในประวัติศาสตร์พระศาสนจักรคาทอลิกที่ออกมากล่าวคำขอโทษต่อครอบครัวกาลิเลโอในเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ก็เป็นพระสันตะปาปาองค์แรกในประวัติศาสตร์พระศาสนจักรเช่นกัน ที่ออกมาขอโทษบรรดาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรวมไปถึงสาธารณชน เกี่ยวกับกรณีพระสงฆ์คาทอลิกก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศ  ...




หลังสื่อมวลชนในยุโรปปล่อยพายุลูกใหญ่ที่ชื่อ “พระสงฆ์ก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศ” ให้กระหน่ำเข้าใส่พระศาสนจักรคาทอลิกแบบหนักหน่วง คล้อยหลังไม่นาน พวกเขาก็มีประเด็นให้ “ขายข่าว” อีกครั้ง เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงออกจดหมายเปิดผนึกความยาว 7 หน้า ถึงคริสตังในไอร์แลนด์ (รวมไปถึงคริสตังในยุโรป) ใจความสำคัญ พระองค์ทรงกล่าวถึงวิกฤติพระสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศในประเทศดังกล่าว พระสันตะปาปาทรงกล่าวกับทุกคนว่า “เวลาอ่านจดหมายนี้ ขอให้เปิดใจกว้างๆ และยอมรับสิ่งที่พระองค์จะกล่าวต่อไปนี้”  ...




รูปภาพ
จดหมายเปิดผนึกที่พระสันตะปาปาทรงส่งถึงคริสตังในไอร์แลนด์และยุโรป



พระสันตะปาปาทรงเป็นตัวแทนพระศาสนจักรคาทอลิก ตรัสขอโทษทุกคนว่า “พวกท่านได้รับความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส และพ่อก็ต้องขอโทษอย่างสุดซึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น พ่อทราบดีว่า ไม่มีสิ่งใดสามารถลบล้างความผิดนี้ ความวางใจของท่าน(ที่มอบให้พระสงฆ์)ได้ถูกทรยศหักหลัง และความศักดิ์สิทธิ์ในตัวท่านได้ถูกทำลายลง”


ในส่วนพระสงฆ์ที่ก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศ พระสันตะปาปาระบุในจดหมายว่า “พวกท่านทรยศต่อความวางใจที่บรรดาเยาวชนและผู้ปกครองของเขามอบให้  พวกท่านต้องตอบคำถามต่อหน้าพระเจ้าให้ได้ถึงบาปที่ได้กระทำ”


ส่วนพระสังฆราชที่ปกครองสังฆมณฑลซึ่งเกิดคดีและพยายามปกปิดเรื่องเหล่านี้ พระสันตะปาปาก็ตำหนิอย่างตรงๆว่า “มันเป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พวกท่านบางคนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการจัดการปัญหาพระสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ บางคนจงใจปกปิดเรื่องราวเหล่านี้ และนั่นถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรงในการคลี่คลายปัญหา ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงภาวะล้มเหลวในการเป็นผู้นำของท่านด้วย”


สำหรับผู้ตกเป็นเหยื่อพระสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ พระสันตะปาปาทรงกล่าวกับพวกเขาว่า “มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า ทำไมพวกท่านถึงไม่ยอมให้อภัยและกลับมาคืนดีกับพระศาสนจักร ในนามของพระศาสนจักร พ่อยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งที่เกิดจัดเป็นความอัปยศและเราทุกคนต่างก็รู้สึกผิด พ่อพร้อมจะไปขอโทษทุกคนที่ถูกพระสงฆ์คาทอลิกล่วงละเมิดทางเพศ เหมือนอย่างที่พ่อได้ทำไป เมื่อตอนไปเยือนสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย” (พระสันตะปาปาทรงให้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาพบ จากนั้น ทรงกล่าวคำขอโทษพวกเขาเป็นการส่วนพระองค์ ... ต้องยอมรับว่า พระสันตะปาปาองค์นี้กล้าหาญมากๆ ที่กล้าออกรับหน้าแทนพวกพระสงฆ์ที่ก่อคดี แถมเป็นการออกรับที่โลกรุมประณามกับสิ่งที่เกิดด้วย)


นอกจากนี้ พระสันตะปาปายังระบุถึงต้นตอของปัญหาพระสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศในไอร์แลนด์ว่า “มันเกิดจากหลายปัจจัย แต่หลักๆคือการปกปิดเรื่องอื้อฉาวกันมาเป็นทอดๆ, การทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่ลงโทษพระสงฆ์ที่ก่อคดี และกระบวนการฝึกอบรมผู้ที่เตรียมบวชเป็นพระสงฆ์ ไม่มีประสิทธิภาพ”


ทั้งหมดก็เป็นบทสรุปคร่าวๆของจดหมายที่พระสันตะปาปาส่งถึงคริสตังไอร์แลนด์ ประเทศซึ่งพระศาสนจักรคาทอลิกปกปิดคดีพระสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศมาไม่ต่ำกว่า 35 ปี กรณีของไอร์แลนด์เหมือนเป็นชนวนให้สื่อมวลชนในยุโรป รวมถึงอเมริกาเหนือและใต้ พร้อมใจขุดคุ้ยเรื่องอื้อฉาวแบบนี้มานำเสนอแบบยกใหญ่ ไล่ตั้งแต่เนเธอร์แลนด์, เยอรมนี, ออสเตรีย, สวิตเซอร์แลนด์, บราซิล และเม็กซิโก


ทีนี้ ก็มาดู “ประเด็นร้อน” ที่ตามมาหลังคดีพระสงฆ์คาทอลิกก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศบ้าง ร้อนสุดๆคงหนีไม่พ้นเรื่อง “ถึงเวลาหรือยังที่จะให้พระสงฆ์คาทอลิกแต่งงานได้” ประเด็นนี้ กลายเป็นเรื่องโต้เถียงบนหน้าหนังสือพิมพ์และอินเตอร์เน็ทมานานแล้ว แต่พอเกิดเรื่องที่ไอร์แลนด์ มันยิ่งส่งผลให้ทุกคนหันมาสนใจกันยกใหญ่


พระสันตะปาปาทรงทราบถึงประเด็นนี้ดี พระองค์ทรงเป็นคริสตังหัวอนุรักษ์นิยม แน่นอนว่า พระองค์ต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน พระสันตะปาปาทรงกล่าวเพื่อลดกระแสเรียกร้องดังกล่าวว่า “การครองโสด ถือเป็นพระพรที่พระเจ้ามอบให้ การที่พระสงฆ์ครองตนเป็นโสดถือเป็นการสะท้อนถึงการปฏิบัติตนตามแบบฉบับพระเยซูคริสต์ ผู้ที่พร้อมมอบความรักให้กับทุกคน


ทางด้านคริสตังหัวสมัยใหม่ที่รักการเปลี่ยนแปลงก็พยายามกดดันพระสันตะปาปา โดยยกคดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ รวมถึงจำนวนพระสงฆ์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง มาเป็นสาเหตุให้พระสันตะปาปาพิจารณาอีกครั้ง หนึ่งในผู้สนับสนุนให้พระสงฆ์แต่งงานได้ก็คือ “คุณพ่อฮันส์ คุง” นักเทวศาสตร์หัวก้าวหน้าสุดขั้ว




รูปภาพ
ฮันส์ คุง กับบทวิจารณ์ "รัตซิงเกอร์ต้องรับผิดชอบ" (Ratzinger's Responsibility) ที่เล็งไปที่พระสันตะปาปาโดยตรง



กระนั้นก็ดี เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วที่ผมมีโอกาสได้ไปที่วาติกัน ผมได้สนทนากับคนในวาติกันท่านหนึ่ง จึงได้ทราบมาว่า จริงๆแล้ว พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงใจกว้างรับฟังเสียงของพวกที่อยากให้พระสงฆ์คาทอลิกแต่งงานได้ พระองค์เคยเชิญบรรดาผู้แทนของโปรเตสตันท์มาเสวนาถึงปัญหานี้ ก่อนที่ตอนท้าย ผู้แทนโปรเตสตันท์ได้ทูลพระสันตะปาปาว่า “พระสงฆ์คาทอลิกครองโสดไปหน่ะ ดีแล้ว เพราะภายในโปรเตสตันท์ซึ่งอนุญาตให้ผู้อภิบาลแต่งงานได้ ยังประสบปัญหาพวกนี้เหมือนกัน ดังนั้น การอนุญาตให้พระสงฆ์แต่งงาน จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง”


ในมุมมองของผม ก็คิดว่า การให้พระสงฆ์คาทอลิกแต่งงานได้ ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องของการแก้ปัญหาพระสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศและจำนวนกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ที่ลดลง ตรงกันข้าม มันเป็นการแก้ปัญหาแบบ “ขอไปที” มากกว่า แบบว่า คิดอะไรไม่ออก ก็โทษว่าเป็นเพราะคาทอลิกไม่อนุญาตให้พระสงฆ์แต่งงาน


นอกจากนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่ทุกคนควรจะตระหนักให้มากๆ (ไม่เฉพาะคริสตังหัวก้าวหน้าเท่านั้น) ก็คือ “หากหวังเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบทันทีทันใดในพระศาสนจักรคาทอลิก คงเป็นเรื่องยาก เพราะการเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดกับพระศาสนจักร ต้องใช้เวลานานพอสมควรกับการตกผลึกทางความคิด และเหนือสิ่งอื่นใด พระจิตจะเป็นผู้ดลใจพระสันตะปาปา ผู้เป็นประมุขสูงสุดของพระศาสนจักรเองว่า ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง”  ......




AVE  MARIA



http://catholicworldtour.spaces.live.com/blog/cns!EA91C1C5E2FBFD4F!9441.entry
Holy Bible
โพสต์: 690
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm

จันทร์ เม.ย. 05, 2010 8:42 am

โห...พระสันตปาปาทรงยอมทำถึงขนาดนี้เลย  : xemo031 :
synner
โพสต์: 455
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 22, 2009 10:27 pm

จันทร์ เม.ย. 05, 2010 10:13 am

สงสารพระองค์จัง แค่คนบาปไม่กี่คน ทำให้พระองค์ลำบากได้ขนาดนี้
ดีไม่ดีรู้หมด แต่ก็ยังทำ น่าจะลงโทษคนผิดบ้างนะนี่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Valkyrie Zero Number
โพสต์: 2081
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am

จันทร์ เม.ย. 05, 2010 11:28 am

He's good.  : emo036 :

No, He's EXCELLENT!!!

God bless.
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ เม.ย. 05, 2010 12:21 pm

พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีมากครับ
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

อังคาร เม.ย. 06, 2010 1:24 am

สันตบิดรองค์นี้สุดยอดมาก


ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานสุดยอดพระสันตปาปาติดต่อกัน 4 องค์ตั้งแต่ จอห์นที่23  จอห์พอลที่ 1 จอห์นพอลที่ 2 มาจนถึึงองค์ปัจจุบันเบเนดิกต์ที่ 16
minirosary
โพสต์: 137
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 07, 2005 1:38 pm
ที่อยู่: Bangkok

อังคาร เม.ย. 06, 2010 7:57 am

ซาบซึ้งกับพระสันตะปาปา (องค์ปัจจุบัน) ที่กล้าขอโทษ และรับผิดชอบอย่างมาก กับกรณีความผิดของคนอื่น ในฐานะศิลาที่เป็นฐานรองรับพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์

*** และเห็นด้วยกับความคิดที่ว่า "แต่งงาน" ไม่ได้แก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ เพราะการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้น มักเกิดกะเด็ก บางทีก็เด็กผู้ชาย (เฮ้อ) การแต่งงานคงไปตอบสนอง "รสนิยม" อันแสนจะ.......... (เซ็นเซอร์) แบบนี้ไม่ได้  และคณะนักบวชทั้งหลายก็ถือศีลบนถือโสด (ไม่นับพระสงฆ์พื้นเมือง) หากวาติกันประกาศให้พระสงฆ์แต่งงานได้ พระสงฆ์ที่สังกัดคณะนักบวช ก็แต่งงานไม่ได้อยู่ดี มันอาจกลายเป็นเรื่องเหลื่อมล้ำ และอาจเกิดวิกฤติศรัทธาในหมู่คริสตชนก็ได้ (บางคนอาจรับพระสงฆ์ที่แต่งงานได้ หรือบางคนอาจศรัทธาเฉพาะพระสงฆ์ที่ถือโสด)
    สรุป - ขอให้คุณพ่อทุกองค์อดทนถือโสดต่อไป เพื่อสะท้อนความรัก (อย่างไร้พันธะทางครอบครัวใดๆ) ขององค์พระเยซูเจ้า
                และขอให้มีคนบวชเป็นพระสงฆ์คาทอลิกมากขึ้นๆๆๆๆๆๆ  (แปลกจังทำไมบวชน้อย)

ปัญหา - การบวชน้อย คงมีสาเหตุอื่นๆ มากกว่า การไม่ได้แต่งงาน เพราะผู้ชาย (ที่แมนแท้ๆ) สมัยนี้หลายคนก็แต่งงานช้ามากกก หรือไม่ก็ ไม่แต่งงาน

***พอแค่นี้ก่อน***
   
mymusic
โพสต์: 5
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ เม.ย. 04, 2010 11:20 pm

อังคาร เม.ย. 06, 2010 12:17 pm

จริงๆแล้วมีบทอ่านจาก 1CORINTHIANS 7:1-12 ที่เขียนโดย  Paul ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการสมรสไว้แบบเข้าใจง่ายๆ จะเอาลงเป็นฉับบภาษาอังกฤษน่ะ เพราะไม่รู้ว่าภาษาไทยเรียก book เล่มนี้ว่าอะไร  เราจะแปละเฉพาะตรงที่สำคัญๆ เพราะภาษาไทยเราค่อนข้างอ่อนแน เดี๋ยวแปลผิดหล่ะยุ่งเลย อิอิอิอิ
สำหรับ Book of 1CORINTHIANS นี้ท้าวความได้ว่า นักบุญเปาโลหรือ Paul เขียนจดหมายนี้ถึง โบสถ์ ของCorinthians Church (Paul เป็นผู้ก่อตั้ง ดูได้ใน บท กิจการของอัครสาวค ACT 18)

ซึ่งนำส่งโดย Titus เนื้อความมีว่า
>> The Bible >> 1 Corinthians 7

1 Now about the questions you asked in your letter. Yes, it is good to live a celibate life.

2 But because there is so much sexual immorality, each man should have his own wife, and each woman should have her own husband.
ตรงนี้ บอกว่า ผู้ชายควรจะมีภรรยา และผู้หญิงควรจะมีสามี ของใครของมันน่ะ

3 The husband should not deprive his wife of sexual intimacy, which is her right as a married woman, nor should the wife deprive her husband.
อันนี้ห้ามสามีละเลยหน้าที่ทางเพศกับภรรยา เธอมีสิทธิที่จะจามสิทธิของผู้แต่งงานแล้ว และภรรยาก็ต้องไม่ละเลยสามีเช่นกัน

4 The wife gives authority over her body to her husband, and the husband also gives authority over his body to his wife.
ภรรยาให้สามีมีสิทธิบนร่างกายของเธอ เช่นกันกับสามีให้สิทะิภรรยา

5 So do not deprive each other of sexual relations. The only exception to this rule would be the agreement of both husband and wife to refrain from sexual intimacy for a limited time, so they can give themselves more completely to prayer. Afterward they should come together again so that Satan won't be able to tempt them because of their lack of self-control.
แม้ว่าจะบอกว่าไม่ให้ละเลยหน้าที่ทาง XXX แต่มีกฏอันนึงว่าต้องไม่สำเริงสำราญจนหลงลืม ต้องพึงจดจำว่าหน้าที่ที่สำคัญคือการสวดมนต์ต่อประผู้เห็นเจ้า มิฉนั้นอาจโดนปีศาจครอบครองความคิดได้

6 This is only my suggestion. It's not meant to be an absolute rule.
นี่เป็นความคิดเห็นของพอล  ไม่ใช่เป้นกฎเลยทีเดียว
7 I wish everyone could get along without marrying, just as I do. But we are not all the same. God gives some the gift of marriage, and to others he gives the gift of singleness.
จริงๆแล้วพอลอยากให้ทุกคนครองตัวเป็นโสดแบบพอล แต่เพราะว่าคนเราไม่เหมือนกัน  พระผู้เป้นเจ้าประทานการครองคู่เป็นของขวัญให้บางคน และบ่งคนได้ของขวัญเป็นการครองโสด

8 Now I say to those who aren't married and to widows--it's better to stay unmarried, just as I am.
พอลบอกว่าใครที่ไม่ได้แต่งงาน หรือเป็นหม้ายควรครองตัวเป็นโสด
9 But if they can't control themselves, they should go ahead and marry. It's better to marry than to burn with lust.
แต่ถ้าทนไม่ได้ ต้องมี XXXX ก้ควรแต่งานดีกว่ามีไปสุมทรวง
10 Now, for those who are married I have a command that comes not from me, but from the Lord.* A wife must not leave her husband.........

แต่คนที่มีคู่ครอง  พอลขออย่างหนึ่งคือภรรยาอย่าทอดทิ้งสามี .........

ที่เหลือไปหาอ่านเองน่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร เม.ย. 06, 2010 12:44 pm

1คร 7:1-40  ก: การสมรสและการถือพรหมจรรย์
7  (1)ข้าพเจ้าขอตอบปัญหาต่าง ๆ ที่ท่านเขียนมาดังนี้ การที่คนหนึ่งคนใดไม่แต่งงานนั้นเป็นการดี (2)ถึงกระนั้นเพื่อป้องกันมิให้ผิดประเวณี ชายแต่ละคนจงมีภรรยาของตน หญิงแต่ละคนจงมีสามีของตน (3)สามีต้องเต็มใจมอบตนเองให้ภรรยา เช่นเดียวกับภรรยาต้องเต็มใจมอบตนเองให้สามี  (4)ภรรยาไม่เป็นเจ้าของร่างกายของตนเองเพียงผู้เดียว แต่สามีเป็นเจ้าของด้วย เช่นเดียวกัน สามีไม่เป็นเจ้าของร่างกายของตนเองเพียงผู้เดียว แต่ภรรยาก็เป็นเจ้าของด้วย (5)ท่านอย่าปฏิเสธที่จะมีเพศสัมพันธ์ต่อกัน เว้นแต่จะได้ตกลงกันงดมีเพศสัมพันธ์ระยะหนึ่งเพื่ออุทิศตนอธิษฐานภาวนา แล้วจึงกลับมาอยู่ร่วมกันอีก มิฉะนั้น ซาตานอาจมาประจญท่านในขณะที่ควบคุมตนเองไม่ได้  (6)ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เป็นการอนุโลมให้ ไม่ใช่เป็นคำสั่ง  (7)ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกคนถือโสดเหมือนข้าพเจ้า แต่พระเจ้าประทานพระพรพิเศษให้แต่ละคน คนหนึ่งได้รับพระพรนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับพระพรนั้น (8)ข้าพเจ้าขอบอกกับผู้ที่ไม่แต่งงานและหญิงม่ายว่า การเป็นโสดต่อไปเหมือนกับข้าพเจ้านั้นเป็นการดี  (9)แต่ถ้าเขาบังคับตนเองไม่ได้ ก็จงแต่งงาน เพราะการ  แต่งงานดีกว่าการถูกไฟราคะเผาผลาญ (10)ข้าพเจ้าขอสั่งคนที่แต่งงานแล้ว คำสั่งนี้มิใช่เป็นคำสั่งของข้าพเจ้า แต่เป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ภรรยาอย่าแยกจากสามี  (11)แต่ถ้าแยกกันแล้ว ก็อย่าแต่งงานอีก หรือมิฉะนั้นก็จงคืนดีกับสามี ส่วนสามีก็อย่าขับไล่ภรรยาของตน (12)ส่วนคนอื่น ๆ ข้าพเจ้าขอแนะนำ นี่ไม่ใช่พระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพี่น้องคนหนึ่งมีภรรยาที่ไม่มีความเชื่อ และนางเต็มใจอยู่กินกับเขา เขาไม่ต้องหย่าขาดจากนาง  (13)ถ้าหญิงมีสามีที่ไม่มีความเชื่อและเขาเต็มใจอยู่กับนาง นางก็ไม่ต้องหย่าขาดจากเขาเช่นกัน  (14)เพราะสามีที่ไม่มีความเชื่อได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าโดยทางภรรยา และภรรยาที่ไม่มีความเชื่อก็ได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าโดยทางสามีที่มีความเชื่อ มิฉะนั้น บุตรของท่านก็จะมีมลทิน แต่ในความเป็นจริง บุตรได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าแล้ว (15)แต่ถ้าฝ่ายที่ไม่มีความเชื่อขอแยกจากกัน ก็ให้เขาแยกไปเถิด ในกรณีเช่นนี้ ฝ่ายที่มีความเชื่อไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่มีพันธะใด ๆ อีก พระเจ้าทรงเรียกท่านทั้งหลายให้อยู่อย่างสันติ  (16)ท่านผู้เป็นภรรยารู้ได้อย่างไรว่า ท่านจะช่วยสามีที่ไม่มีความเชื่อให้รอดพ้นได้ หรือท่านที่เป็นสามีรู้ได้อย่างไรว่า ท่านจะช่วยภรรยาที่ไม่มีความเชื่อให้รอดพ้นได้ (17)สำหรับผู้อื่นแต่ละคนจงดำรงอยู่ในสภาพที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดให้เมื่อพระเจ้าทรงเรียก นี่เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งข้าพเจ้าวางไว้สำหรับพระศาสนจักรทุกแห่ง  (18)ถ้าผู้ใดเข้าสุหนัตแล้วเมื่อพระเจ้าทรงเรียก จงอย่าปิดบังเรื่องการเข้าสุหนัต ถ้าพระเจ้าทรงเรียกผู้ใดที่ยังไม่เข้าสุหนัต ก็จงอย่าเข้าสุหนัตเลย  (19)การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัตไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือการปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า  (20)ให้แต่ละคนคงอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่เมื่อพระเจ้าทรงเรียก  (21)พระเจ้าทรงเรียกท่านขณะที่เป็นทาสอยู่หรือ อย่ากังวลเลย แต่ถ้ามีโอกาสที่จะเป็นอิสระ ท่านควรฉวยโอกาสนั้น  (22)ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขณะที่เป็นทาสให้ดำเนินชีวิตในพระคริสตเจ้า ก็เป็นคนอิสระรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขณะที่เป็นคนอิสระ เขาก็เป็นทาสรับใช้พระคริสตเจ้าด้วย  (23)พระเจ้าทรงซื้อท่านมาด้วยราคาแพง จงอย่ากลับเป็นทาสของมนุษย์อีก (24)พี่น้องทั้งหลาย แต่ละท่านจงอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าในสภาพที่เป็นอยู่เมื่อพระองค์ทรงเรียก (25)ส่วนผู้ที่ยังไม่แต่งงาน ข้าพเจ้าไม่มีพระบัญชาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ข้าพเจ้าขอแนะนำด้วยความคิดเห็นของข้าพเจ้าเอง ในฐานะที่ได้รับพระกรุณาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เป็นผู้ที่ไว้วางใจได้  (26)เมื่อคำนึงถึงความยากลำบากในปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า แต่ละคนควรอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่เวลานี้  (27)ท่านมีพันธะกับภรรยาหรือ จงอย่าหาทางแยกพันธะนั้น ท่านเป็นอิสระไม่มีภรรยาหรือ ก็อย่าหาภรรยาเลย (28)แต่ถ้าท่านแต่งงาน ท่านก็มิได้ทำบาป และถ้าหญิงสาวพรหมจารีจะแต่งงาน เธอก็มิได้ทำบาป โดยแท้จริงแล้วผู้ที่แต่งงานจะประสบความยุ่งยากในชีวิตสมรส และข้าพเจ้าใคร่จะให้ท่านพ้นจากความยุ่งยากนั้น (29)พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เวลานั้นสั้นนัก ตั้งแต่นี้ไปผู้ที่มีภรรยาจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีภรรยา  (30)ผู้ที่ร้องไห้จงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่ร้องไห้ ผู้ที่มีความสุขจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีความสุข ผู้ที่ซื้อจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีสิ่งใดเป็นกรรมสิทธิ์  (31)และผู้ที่ใช้ของของโลกนี้จงเป็นเสมือนผู้ที่มิได้ใช้ เพราะโลกดังที่เป็นอยู่กำลังจะผ่านไป (32)ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านปราศจากความกังวล ผู้ที่มิได้แต่งงานย่อมสาละวนในการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า หาวิธีทำให้พระองค์พอพระทัย  (33)ผู้ที่แต่งงานก็ย่อมสาละวนกับการงานของโลก หาวิธีทำให้ภรรยาพอใจ เป็นความกังวลหลายด้าน (34)หญิงที่ไม่แต่งงานและสาวพรหมจารีนั้น ย่อมสาละวนในการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อจะได้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วย่อมสาละวนอยู่กับการงานของโลก หาวิธีทำให้สามีพอใจ  (35)ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของท่านเอง มิใช่เพื่อจำกัดสิทธิของท่าน แต่เพื่อให้ท่านดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง อุทิศตนแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้โดยปราศจากความกังวล (36)ถ้าผู้ใดคิดว่าตนอาจประพฤติไม่สมควรกับหญิงคู่หมั้นของตนเพราะความรักร้อนแรง และรู้สึกว่าตนควรจะแต่งงาน ก็ให้เขาทำตามความปรารถนาเถิด เขามิได้ทำบาป ทั้งสองควรแต่งงานกัน  (37)ส่วนผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่จะไม่แต่งงานโดยไม่มีใครบังคับ แต่ด้วยความสามารถที่จะบังคับควบคุมความปรารถนาของตน และตัดสินใจแน่วแน่จะไม่มีเพศสัมพันธ์กับหญิงคู่หมั้น เขาก็ทำดีแล้ว  (38)ดังนี้ ผู้ที่แต่งงานกับหญิงคู่หมั้นของตนก็ทำดี และผู้ที่ไม่แต่งงาน ก็ทำดีกว่า (39)ภรรยาย่อมมีพันธะผูกพันตราบที่สามียังมีชีวิตอยู่ ถ้าสามีสิ้นชีวิต นางย่อมเป็นอิสระที่จะแต่งงานกับใครก็ได้ตามที่นางปรารถนา แต่ต้องเป็นการแต่งงานในองค์พระผู้เป็นเจ้า (40)ข้าพเจ้าคิดว่านางจะมีความสุขมากกว่า ถ้าจะคงอยู่อย่างที่เป็น  และข้าพเจ้าเชื่อว่า ข้าพเจ้ามีพระจิตของพระเจ้าด้วย
ทานตะวัน
โพสต์: 162
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 27, 2009 7:44 pm

อังคาร เม.ย. 06, 2010 9:08 pm

[quote="Holy"]
กระนั้นก็ดี เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วที่ผมมีโอกาสได้ไปที่วาติกัน ผมได้สนทนากับคนในวาติกันท่านหนึ่ง จึงได้ทราบมาว่า จริงๆแล้ว พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงใจกว้างรับฟังเสียงของพวกที่อยากให้พระสงฆ์คาทอลิกแต่งงานได้ พระองค์เคยเชิญบรรดาผู้แทนของโปรเตสตันท์มาเสวนาถึงปัญหานี้ ก่อนที่ตอนท้าย ผู้แทนโปรเตสตันท์ได้ทูลพระสันตะปาปาว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

อังคาร เม.ย. 06, 2010 9:38 pm

: xemo023 :  พระสงฆ์ที่ทำผิดทั้งหลาย ขอให้สำนึกและกลับตัวเสียใหม่
สงสารโป๊ปที่ต้องออกมาขอโทษ    นึกถึงพระเยซูเจ้าเลย  ที่ต้องมารับโทษที่ตนไมไ่ด้ก่อ  : xemo023 :
francisco xavier
โพสต์: 300
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:40 am

พุธ เม.ย. 07, 2010 3:19 pm

สำหรับปัญหานี้ผมเห็นด้วยกับคุณ Holy ว่าการอนุญาตให้คุณพ่อแต่งงานไม่ใช่ทางแก้ปัญหานี้ แต่เป็นการลงวันิยผู้ที่ทำผิดและขอโทษผู้ที่ถูกล่วงละเมิดที่จะทำให้ปัญหารุนแรงน้อยลง สิ่งที่พระสันตะปาปากระทำถูกต้องที่สุดครับ
ตอบกลับโพส