แฉ"ฮิตเล่อร์"ต้องการขโมย"ผ้าห่อพระศพพระเยซู"วาติกันต้องนำไปซ่อน
แฉ"ฮิตเล่อร์"ต้องการขโมย"ผ้าห่อพระศพพระ เยซู"วาติกันต้องนำไปซ่อน
วันที่ 07 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 11:27:00 น. มติชนออนไลน์
"เดอะ เทเลกราฟ"รายงานเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ว่า บาทหลวง"อังเดร คารดิน"ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอิตาลีว่า ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์มีแผนที่จะขโมย"ผ้าห่อพระศพพระเยซู"เนื่องจากคลั่งไคล้ในสิ่งดังกล่าว และทำให้วาติกันและสำนักซาวอยของราชวงศ์อิตาลีในขณะนั้น ได้ออกคำสั่งให้มีการนำผ้าห่อพระศพดังกล่าวไปซ่อนยังสถานศักดิ์สิทธิ์มอนเตอเวอร์จีนในเมืองอาวาเลลินา ในจังหวัดแคมปาเนีย ทางตอนใต้ของประเทศ เมื่อปี 1939 ก่อนที่จะถูกสั่งให้นำไปยังเมืองตูริน เมื่อปี 1949
บาทหลวงอังเดรกล่าวว่า การสั่งย้ายซ่อนดังกล่าวในทางการแล้ว เพื่อป้องกันการถล่มจรวดโจมตีกรุงตูรินที่อาจจะมีขึ้น แต่จุดประสงค์แท้จริงคือ เพื่อให้พ้นจากมือฮิตเล่อร์ ซึ่งได้เคยเดินทางไปยังอิตาลีเมื่อปี 1938 และที่ปรึกษาระดับสูงของเขาได้ถามถึงผ้าพระห่อพระศพพระเยซูหลายครั้งอย่าง ผิดปกติ และว่าภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองเปิดฉากขึ้น โดยอิตาลีเข้าร่วมกับเป็นพันธมิตรกับเยอรมัน กองทัพนาซีถูกส่งมายังอิตาลี และเกือบพบกับผ้าห่อพระศพดังกล่าว โดยทหารเยอรมันได้บุกเข้าค้นโบสถ์มอนเตเวอร์จีน ขณะที่พระในโบสถ์ต่างอ้างว่าพวกเขากำลังคร่ำเคร่งกับการสวดมนต์ต่อหน้าแท่นบูชา ซึ่งเป็นสถานที่ซ่อนผ้าพระศพดังกล่าสว ทำให้พระห่อพระศพพระเยซูรอดพ้นการถูกขโมยมาได้
ทั้งนี้ ผ้าห่อพระศพแห่งเมืองตูรินเชื่อว่า ถูกใช้ห่อพระศพพระเยซูหลังถูกตรึงด้วยไม้กางเขน โดยถูกนำกลับมายังกรุงตูริน เมื่อปี 1946 จากคำสั่งให้กษัตริย์อุมเบอร์โตที่ 2 ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์อิตาลี โดยกลายเป็นสมบัติวาติกัน หลังจากสิ้นราชวงศ์กษัตริย์อิตาลี โดยชาวอิตาลีได้โหวตให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐ
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... =&catid=06
วันที่ 07 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 11:27:00 น. มติชนออนไลน์
"เดอะ เทเลกราฟ"รายงานเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ว่า บาทหลวง"อังเดร คารดิน"ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอิตาลีว่า ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์มีแผนที่จะขโมย"ผ้าห่อพระศพพระเยซู"เนื่องจากคลั่งไคล้ในสิ่งดังกล่าว และทำให้วาติกันและสำนักซาวอยของราชวงศ์อิตาลีในขณะนั้น ได้ออกคำสั่งให้มีการนำผ้าห่อพระศพดังกล่าวไปซ่อนยังสถานศักดิ์สิทธิ์มอนเตอเวอร์จีนในเมืองอาวาเลลินา ในจังหวัดแคมปาเนีย ทางตอนใต้ของประเทศ เมื่อปี 1939 ก่อนที่จะถูกสั่งให้นำไปยังเมืองตูริน เมื่อปี 1949
บาทหลวงอังเดรกล่าวว่า การสั่งย้ายซ่อนดังกล่าวในทางการแล้ว เพื่อป้องกันการถล่มจรวดโจมตีกรุงตูรินที่อาจจะมีขึ้น แต่จุดประสงค์แท้จริงคือ เพื่อให้พ้นจากมือฮิตเล่อร์ ซึ่งได้เคยเดินทางไปยังอิตาลีเมื่อปี 1938 และที่ปรึกษาระดับสูงของเขาได้ถามถึงผ้าพระห่อพระศพพระเยซูหลายครั้งอย่าง ผิดปกติ และว่าภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองเปิดฉากขึ้น โดยอิตาลีเข้าร่วมกับเป็นพันธมิตรกับเยอรมัน กองทัพนาซีถูกส่งมายังอิตาลี และเกือบพบกับผ้าห่อพระศพดังกล่าว โดยทหารเยอรมันได้บุกเข้าค้นโบสถ์มอนเตเวอร์จีน ขณะที่พระในโบสถ์ต่างอ้างว่าพวกเขากำลังคร่ำเคร่งกับการสวดมนต์ต่อหน้าแท่นบูชา ซึ่งเป็นสถานที่ซ่อนผ้าพระศพดังกล่าสว ทำให้พระห่อพระศพพระเยซูรอดพ้นการถูกขโมยมาได้
ทั้งนี้ ผ้าห่อพระศพแห่งเมืองตูรินเชื่อว่า ถูกใช้ห่อพระศพพระเยซูหลังถูกตรึงด้วยไม้กางเขน โดยถูกนำกลับมายังกรุงตูริน เมื่อปี 1946 จากคำสั่งให้กษัตริย์อุมเบอร์โตที่ 2 ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์อิตาลี โดยกลายเป็นสมบัติวาติกัน หลังจากสิ้นราชวงศ์กษัตริย์อิตาลี โดยชาวอิตาลีได้โหวตให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐ
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... =&catid=06
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พุธ เม.ย. 07, 2010 1:38 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
น่าแปลกนะครับ ทำไมถึงคลั่งไคล้
-
- โพสต์: 690
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm
ฮิตเลอร์อยากได้ไปทำไมครับ?
เค้าคงอยากจะเอาไปห่อศพตัวเองมั้ง เผื่อจะได้กลับคืนชีพเป็นอมตะ
น่าแปลกจัง อยากได้ทำไม
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
คงอยากได้ของศักดิ์สิทธิ์ไว้ในครอบครอง จะได้แสดงว่าตัวเองเป็นคนที่พระเจ้าเลือก กระมังHoly Bible เขียน: ฮิตเลอร์อยากได้ไปทำไมครับ?
พวกบ้าน่ะ ปัจจุบันตกอับ ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นไปแล้ว
http://www.youtube.com/watch?v=RmkJS3oB_BI
(มีอีกเพียบด้วย พี่แกแจมมันได้ทุกงานจริง ๆ )
*เผ่น~~~~*
-
- โพสต์: 124
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 30, 2009 5:18 pm
- ที่อยู่: ขอนแก่น
†ลูกแกะพระเจ้า...
เท่าที่เคยอ่านมานะครับ(และไม่ใคร่จะมั่นใจนักว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่) ฮิตเลอร์ต้องการสิ่งเหล่านี้ เพราะเขามีความเชื่อเกี่ยวกับศาสตร์สัญลักษณ์ของสิ่งที่เขาคิดจะเป็นเจ้าของที่มีอยู่ว่า หากได้ครองสิ่งเหล่านั้นแล้วจะทำให้มีอำนาจเหนือใครๆ
และไม่เพียงแต่ผ้าห่อพระศพของพระเยซูเท่านั้นที่ฮิตเลอร์คิดจะเป็นเจ้าของ ยังมีหอกศักดิ์สิทธิ์ที่ทหารโรมันใช้เป็นอาวุธแทงพระปรัศว์ด้านขวาของพระเยซู และจอกศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูทรงใช้ในพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายและเป็นจอกที่ใช้รองพระโลหิตของพระองค์ในตอนที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนอีกด้วย
โดยที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าไม่ใคร่จะมั่นใจนักว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะเป็นเพียงตำนานที่เล่าต่อๆ กันมา แต่ก็มีบางตำนานที่มีเค้ามูลความจริงและมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และเช่นเดียวกัน อีกหลายตำนานก็เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
และหากพี่น้องท่านใดสนใจอยากจะรู้และศึกษาถึงเรื่องต่างๆ นี้นั้น ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องทุกท่านคงมีความสามารถมากพอที่จะสืบค้นข้อมูลเพื่อศึกษาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ด้วยตัวของท่านเอง และผมขอจบเรื่องที่ผมกล่าวตอนต้นในกระทู้นี้ของผมไว้เพียงเท่านี้ เพราะเห็นว่าสิ่งที่ผมกล่าวมานั้น ไม่เป็นการบำรุงศรัทธาของตัวผมเองและของพี่น้องเท่าใดนัก
* * * * * * * * * *
คุณ kokim พูดคลับคล้ายคลับคลาว่าคุณจะเป็น Nazi หรือไม่ก็ Neo-Nazi เลยนะครับเนี่ย
ผมล้อเล่นนะครับ อย่าถือโทษโกรธเคืองกันหละ
...ขอพระอวยพรครับ
* * * * * * * * * *
คนไทย ช่วยกันอนุรักษ์ภาษาไทย ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
เท่าที่เคยอ่านมานะครับ(และไม่ใคร่จะมั่นใจนักว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่) ฮิตเลอร์ต้องการสิ่งเหล่านี้ เพราะเขามีความเชื่อเกี่ยวกับศาสตร์สัญลักษณ์ของสิ่งที่เขาคิดจะเป็นเจ้าของที่มีอยู่ว่า หากได้ครองสิ่งเหล่านั้นแล้วจะทำให้มีอำนาจเหนือใครๆ
และไม่เพียงแต่ผ้าห่อพระศพของพระเยซูเท่านั้นที่ฮิตเลอร์คิดจะเป็นเจ้าของ ยังมีหอกศักดิ์สิทธิ์ที่ทหารโรมันใช้เป็นอาวุธแทงพระปรัศว์ด้านขวาของพระเยซู และจอกศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูทรงใช้ในพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายและเป็นจอกที่ใช้รองพระโลหิตของพระองค์ในตอนที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนอีกด้วย
โดยที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าไม่ใคร่จะมั่นใจนักว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะเป็นเพียงตำนานที่เล่าต่อๆ กันมา แต่ก็มีบางตำนานที่มีเค้ามูลความจริงและมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และเช่นเดียวกัน อีกหลายตำนานก็เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
และหากพี่น้องท่านใดสนใจอยากจะรู้และศึกษาถึงเรื่องต่างๆ นี้นั้น ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องทุกท่านคงมีความสามารถมากพอที่จะสืบค้นข้อมูลเพื่อศึกษาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ด้วยตัวของท่านเอง และผมขอจบเรื่องที่ผมกล่าวตอนต้นในกระทู้นี้ของผมไว้เพียงเท่านี้ เพราะเห็นว่าสิ่งที่ผมกล่าวมานั้น ไม่เป็นการบำรุงศรัทธาของตัวผมเองและของพี่น้องเท่าใดนัก
* * * * * * * * * *
kokim เขียน: ท่านผู้นำไปขโมยทำไม ปล้นสิ เอ้ยไม่เอาอย่าขโมยท่านผู้นำ ต้องเป็นผู้นำที่ดีสิ
มิน่าเราถึงแพ้สงคราม
คุณ kokim พูดคลับคล้ายคลับคลาว่าคุณจะเป็น Nazi หรือไม่ก็ Neo-Nazi เลยนะครับเนี่ย
ผมล้อเล่นนะครับ อย่าถือโทษโกรธเคืองกันหละ
...ขอพระอวยพรครับ
* * * * * * * * * *
คนไทย ช่วยกันอนุรักษ์ภาษาไทย ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
-
- โพสต์: 124
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 30, 2009 5:18 pm
- ที่อยู่: ขอนแก่น
†ลูกแกะพระเจ้า...
รออ่านอย่างเดียว
...ขอพระอวยพรครับ
* * * * * * * * * *
คนไทย ช่วยกันอนุรักษ์ภาษาไทย ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
มีต่อประเด็นอีก เฮ่อ.. แต่น่าเสียดายผมตอบไม่ได้ อยากตอบนะ แต่ผมจบไปแล้วGuBuaYz เขียน: มีเรื่องเล่าว่า
ฮิตเลอร์เคยได้ครอบครองหอกศักดิ์สิทธิ์ด้วย [หอกที่แทงพระเยซู]
ทำให้รบที่ไหนก็ชนะ
แต่พอช่วงใกล้จบสงคราม ที่นาซีเริ่มเพลี่ยงพล้ำบ้าง
เป็นเพราะว่าอังกฤษแอบขโมยหอกศักดิ์สิทธิ์ไป
รออ่านอย่างเดียว
...ขอพระอวยพรครับ
* * * * * * * * * *
คนไทย ช่วยกันอนุรักษ์ภาษาไทย ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
^
^
ไม่ผิดที่จะไม่เชื่อ แต่เรื่องทฤษฎีอายุผ้าศตวรรษที่13นั้นถูกลบล้างไปแล้ว ลองอ่านอันนี้ดูครับ
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... 08#p172408
^
ไม่ผิดที่จะไม่เชื่อ แต่เรื่องทฤษฎีอายุผ้าศตวรรษที่13นั้นถูกลบล้างไปแล้ว ลองอ่านอันนี้ดูครับ
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... 08#p172408
- Jeanne d'Arc
- โพสต์: 235
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 12, 2009 12:33 pm
ฟังหูไว้หูแล้วกันครับ
เพราะของแบบนี้ บางครั้งก็เป็นการโฆษณาชวนเชื่อจากบางกลุ่มที่เกลียดฟือเรอร์เข้าไส้
หลายอย่างที่ออกมาว่า "แฉฮิตเลอร์","แฉนาซี" ก็เป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้คนเกลียดนาซีและฮิตเลอร์เช่นกัน
โดยกลุ่มที่"เกลียด"ท่านผู้นำ และกลุ่มที่"กลัว"ว่าจะมีใครซักคนลุกขึ้นมาชูมือตรง45องศาแล้วตะโกนคำที่น่าจะรู้กัน
ไม่อยากให้วิจารณ์คนตายหรอกนะครับ เพราะผู้ตัดสินเขาคือพระเจ้า ไม่ใช่เรา
เพราะของแบบนี้ บางครั้งก็เป็นการโฆษณาชวนเชื่อจากบางกลุ่มที่เกลียดฟือเรอร์เข้าไส้
หลายอย่างที่ออกมาว่า "แฉฮิตเลอร์","แฉนาซี" ก็เป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้คนเกลียดนาซีและฮิตเลอร์เช่นกัน
โดยกลุ่มที่"เกลียด"ท่านผู้นำ และกลุ่มที่"กลัว"ว่าจะมีใครซักคนลุกขึ้นมาชูมือตรง45องศาแล้วตะโกนคำที่น่าจะรู้กัน
ไม่อยากให้วิจารณ์คนตายหรอกนะครับ เพราะผู้ตัดสินเขาคือพระเจ้า ไม่ใช่เรา
สารคดีนั้นมันเก่าไปมากแล้ว และมีข้อสรุปขัดแย้งมากมาย แม้แต่ในหมู่นักวิทย์ด้วยกันเอง ข้อขัดแย้งก็เช่นsasuke เขียน:^
^
ไม่ผิดที่จะไม่เชื่อ แต่เรื่องทฤษฎีอายุผ้าศตวรรษที่13นั้นถูกลบล้างไปแล้ว ลองอ่านอันนี้ดูครับ
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... 08#p172408
ความจริงบางประการของ “ผ้าตราสัง หรือผ้าห่อศพ แห่งตูริน”
1. ภาพบนผ้าเห็นได้เพียงด้านเดียวคือ ด้านหน้า ด้านหลังไม่มีภาพปรากฏ แต่จะมีเพียงรอยเลือดเท่านั้น เพราะเลือดชุ่มโชกผ่านผ้า
2. ขณะที่ภาพเป็นเนกาตีฟ แต่รอยเลือดกลับเป็นโพสิตีฟ ดังนั้น ผ้าจึงมีภาพทั้งที่เป็นเนกาตีฟและโพสิตีฟพร้อมกัน
เมื่อส่องด้วยกล้องไมโครกราฟที่ขยายภาพได้หลายเท่าจะเห็นว่า.. เส้นใยมีความหนา 15 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมของคน เส้นใยมีโครงสร้างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือกลายเป็นสีเหลือง เส้นใยสีเหลืองนี้เองที่ทำให้เกิดภาพพระเยซูเจ้าขึ้น และยังแสดงให้เห็นสิ่งประหลาดอีกอย่างคือ เส้นใยที่อยู่ถัดไปภายในเส้นด้ายเดียวกันจะไม่เป็นสีเหลือง ด้ายเส้นหนึ่งจะมีเส้นใยประมาณ 20 เส้น สีเหลืองจะสลับกันไปภายในเส้นด้ายคือ สีเหลือง, ไม่ใช่สีเหลือง, สีเหลือง, ไม่ใช่สีเหลือง.. และสุดท้าย สีเหลือง จะพบอยู่ด้านในของผ้าเท่านั้น และมีความลึกเพียงเส้นใยเดียวเท่านั้น
Gilbert R. Lavoie เขียนหนังสือชื่อ "Resurrected" ได้สรุปว่า..
1. จาก เกสรและภาพจางๆ ของดอกไม้บนผ้า แสดงว่า.. ผ้ามีแหล่งกำเนิดจากเยรูซาเลมในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี
2. ภาพถ่ายมีลักษณะที่เป็นสามมิติ หรือคล้ายภาพที่ถ่ายด้วย x-ray
3. เมื่อขยายภาพใหญ่ขึ้นแสดงให้เห็นว่า.. ไม่มีผงสีบนผ้า และสีเหลืองที่เป็นภาพนั้นอยู่เฉพาะส่วนเส้นใยตอนบนของเส้นด้ายเท่านั้น วิทยาการสมัยใหม่ยังไม่สามารถทำให้เกิดภาพที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้.
4. ภาพนี้มีลักษณะคล้ายกับภาพจากการพิมพ์หนังสือพิมพ์ "ถ้าต้องการให้ภาพมีสีเข้มขึ้น ก็ต้องเพิ่มจุดสีเข้าไปเพิ่มขึ้น"
5. รอยที่คล้ายเลือดนั้นได้ถูกทดสอบทางเคมีแล้วว่า.. เป็นเลือดและน้ำเหลืองของมนุษย์
ข้อมูลใหม่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า.. การหาอายุด้วยคาร์บอน 14 มีความผิดพลาด ผ้าตราสังเป็นผ้าห่อพระศพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง
Austin H. Bud Mark ได้ศึกษาผ้าตราสังและสรุปว่า..
1. บนผ้าปรากฏภาพลักษณะสามมิติของชายที่ถูกตรึงกางเขน
2. รอยเลือดเกิดขึ้นด้วยวิธีการสัมผัสของผ้ากับเลือดที่อยู่บนร่างกาย
3. ภาพไม่ได้เกิดขึ้นด้วยวิธีการสัมผัสของผ้ากับร่างกาย เพราะถ้าหากภาพเกิดขึ้นด้วยการสัมผ้สขณะที่ผ้าห่อพระศพอยู่แล้ว ภาพโดยเฉพาะที่ใบหน้าจะขยายออกใหญ่กว่าที่เป็นจริง แต่ภาพนั้นมีลักษณะเหมือนจริงทั้งใบหน้าและร่างกาย เหมือนกับภาพสะท้อนของกระจก.
4. รอยเลือดปรากฏบนผ้าขณะที่ผ้าถูกห่อพระศพอยู่ เป็นการสัมผัสของพระศพกับผ้า
5. ขณะที่ภาพพระเยซูปรากฏบนผ้านั้น ดูเหมือนผ้าจะอยู่ในลักษณะราบเรียบ และดูเหมือนว่าผ้าอยู่แยกจากร่างกายในขณะที่ภาพปรากฏขึ้น
6. ขณะที่ภาพปรากฏขึ้นบนผ้า ร่างกายอยู่ในลักษณะตั้งฉากกับพื้นดิน เพราะผมตกลงบนบ่า และใบหน้ามีลักษณะเหมือนคนที่ยืนอยู่ อย่างไรก็ตาม ร่างกายก็ไม่ได้ยืนบนพื้นดิน เพราะลักษณะของเท้าไม่อยู่ในลักษณะของการเหยียบอยู่บนพื้น
7. ขณะที่เกิดภาพบนผ้า ดูเหมือนว่า.. ร่างกายถูกยกขึ้นจากพื้นดินในลักษณะตั้งตรงและลอยอยู่กลางอากาศ...
.......อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ยังมีความคิดแตกต่างกันออกไป ดังนั้นจึงไม่สาม ารถสรุปได้แน่นอนถึงที่มาของภาพบนผ้าห่อศพ หรือพิสูจน์ว่ามันมีอายุเก่าแก่เพียงใด แต่นักวิชาการหลายคนก็หวังว่าหากมีการนำผ้ าห่อศพออกมาจัดแสดงอีกครั้งในวันที่ 10 เมษายน- 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 ทางวาติกันจะอนุญาตให้พวกเขาตรวจสอบชิ้นผ้าเพิ่มเติม เพื่อไขปริศนาที่มีมายาวนานหลายศตวรรษนี้?
แก้ไขล่าสุดโดย taiyo เมื่อ จันทร์ มิ.ย. 07, 2010 9:53 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.