มีข้อบัญญัติใดบ้างในพระคัมภีร์ที่ชาวคริสต์ไม่ได้ปฏิบัติแล้ว

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อังคาร ก.ย. 14, 2010 9:04 am

หากคุณอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ ทั้งภาคพันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่ เราจะพบว่าในอดีตชาวยิวมีข้อปฏิบัติ และข้อห้ามมากมาย ซึ่งในปัจจุบันชาวคริสต์ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อบัญญัติเหล่านั้นแล้ว (แต่ชาวยิวยังปฏิบัติอยู่) ในขณะเดียวกันก็มีหลายสิ่งในพระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ที่ชาวคริสต์ก็ไม่ได้ถือปฏิบัติแล้วเช่นกัน

ผมสงสัยว่า - ทำไมเราถึงเลิกปฏิบัติหลายสิ่งหลายอย่างที่มีบัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ ในเมื่อเราถือว่า ข้อความในพระคัมภีร์ไม่มีผิดพลาด อยู่เหนือกาลเวลา
- ทำไมบางสิ่งในอดีตเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่ในปัจจุบัน เราถือเป็นเรื่องผิดร้ายแรง?
- ทำไมบางสิ่งในอดีต ห้ามทำ แต่ในปัจจุบันทำได้?

เชิญร่วมกันเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน (อย่าจิตตกก่อนนะครับ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อังคาร ก.ย. 14, 2010 12:31 pm

ผมขอเริ่มก่อนแล้วกันนะครับ
สิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาในสมัยพระคัมภีร์ เช่น
- การมีทาส
- การที่ชายมีภรรยาหลายคน
- การลงโทษคนที่มีชู้โดยการทุ่มด้วยหินจนตาย
- การลงโทษคนทำผิดกรณีอื่น ๆ ถึงตาย
- การที่น้องชายรับเอาภรรยาของพี่ชายที่ตายไปแล้วมาเป็นภรรยาของตน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

อังคาร ก.ย. 14, 2010 2:12 pm

การห้ามทานหมูด้วยมั้งครับ (+เลือดสัตว์)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Valkyrie Zero Number
โพสต์: 2081
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am

อังคาร ก.ย. 14, 2010 10:13 pm

มันก็ต้องขึ้นกับบริบท แล้วก็สภาพแวดล้อม สภาพสังคม ในขณะนั้นด้วยน่ะนะ

แต่ปัจจุบันเราถือเอาความรอดโดยพระคุณพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์เป็นหลัก มากกว่าเอาธรรมบัญญัติหรือตัวหนังสือเป็นหลักค่ะ
ข้า-พระ-เจ้า
โพสต์: 407
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 28, 2010 12:03 am

อังคาร ก.ย. 14, 2010 10:21 pm

ยาวแน่นอน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

พุธ ก.ย. 15, 2010 8:49 am

(ต่อ)
สิ่งที่สมัยพระคัมภีร์ปฏิบัติ แต่ในปัจจุบันไม่ปฏิบัติแล้ว
- การแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ
- การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน
- การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
- การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
- การถวาย 10% ของรายได้ (บางคริตสจักรยังปฏิบัติอยู่)
- การทำพิธีสุหนัต
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ก.ย. 15, 2010 7:42 pm

ตอบง่ายๆแบบคนความรู้น้อย "เพราะพระเยซูคริสต์ ทำให้พระบัญญัติสมบูรณ์ ครับ"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ก.ย. 16, 2010 9:41 am

บางทีคนต่างศาสนาเวลาอ่านพระคัมภีร์ พันธสัญญาเดิมก็มักจะรุ้สึกว่า ทำไมพระเจ้าถึงโหดร้ายเหลือเกิน เวลาที่ทรงพระพิโรธก็ชอบทำลายล้างมนุษย์ เช่นให้เกิดน้ำท่วมโลก ส่งไฟจากฟ้ามาเผาเมืองโสดมและโกโมราห์ ฆ่าบุตรหัวปีชาวอียิปต์ สั่งให้ชาวอิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนชาติที่อยู่ในดินแดนคานาอัน เพื่อที่ให้พวกอิสราเอลเข้าไปอยู่อาศัยแทน

ซึ่งข้อความเหล่านี้ในพระคัมภีร์ ยากที่คนในปัจจุบันจะเข้าใจได้ และทำให้คนต่างศาสนาโจมตีพระคัมภีร์ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราคริสตชนแทบไม่ได้นำข้อความพระคัมภีร์เหล่านั้นมาอ่านทั้งแบบส่วนตัวหรือแบบสาธารณะในโบสถ์ ถึงจะอ่าน เราก็ไม่ได้ตีความข้อความเหล่านั้นตามตัวอักษร และหลาย ๆ ตอนก็เป็นเพียงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของชาติอิสราเอล
In the name of father
โพสต์: 719
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
ที่อยู่: กาญจนบุรี

พฤหัสฯ. ก.ย. 16, 2010 2:20 pm

ระวังดราม่า(ไม่ใช่ละ!!)


คิดว่าเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปมั้งครับ อย่างที่เมื่อก่อนต้องแต่งงานกันในหมู่เครือญาติเพราะกลุ่มคนยุคนั้นก็ยังมีไม่มาก (อารมณ์เดียวกับเทพกรีกที่ต้องแต่งงานกับพี่น้องเพราะไม่รู้จะไปหาเทพต่างเครือญาติที่ไหนมาแต่ง ทั้งโอลิมปัสก็มีอยู่กันแค่ก๊วนเดียว)
Mr.Ezra
โพสต์: 17
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 27, 2010 8:01 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ก.ย. 30, 2010 7:06 pm

เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาแล้ว
ก็ทำให้คำพยากรณ์ และบัญญัติหลายประการสำเร็จ
เมื่อสำเร็จแล้ว จึงไม่ต้องทำระบบเดิมอีก แต่เริ่มต้นระบบใหม่

เช่น

การถวายเครื่องเผาบูชา ---
พระเยซูเป็นแกะบูชาแด่พระเจ้าบนกางเขนแล้ว
... ดังนั้น เราจึงไม่ต้องถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป (ฮบ.9:23-28)

การเข้าสุหนัตเพื่อเป็นประชากรของพระเจ้า ---
เราเป็นประชากรของพระเจ้า โดยความเชื่อ (ยน.1:12) มีเครื่องหมายคือ ศีลบัพติสมา
...ดังนั้น จึงไม่ต้องเข้าสุหนัตอีก (ใครอยากเข้าก็ไม่ว่ากันครับ)

ระบบปุโรหิต ---
พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตแทนเราแล้ว จึงไม่ต้องมีระบบปุโรหิตอีกต่อไป (ฮบ.4:14-16)
แต่เราประยุกต์ระบบปุโรหิตนี้ มาเป็นระบบของ บาทหลวง นักบวช (แต่ก็ไม่เหมือนปุโรหิตทั้งหมด)

เราไม่อยู่ใต้บัญญัติของพันธสัญญาเดิมอีกต่อไป ---
แต่เราอยู่ภายใต้พระวิญญาณ (พระจิต) ซึ่งมีมาตรฐานที่สูงกว่า เจ๋งกว่าเยอะ เทียบกันไม่ได้เลย (กท.5:18,22-25)

คงหอมปากหอมคอกันนิดนึงนะครับ


ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านให้เจริญขึ้นในความเชื่อ
minirosary
โพสต์: 137
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 07, 2005 1:38 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ ต.ค. 03, 2010 8:11 am

Andreas เขียน:(ต่อ)
สิ่งที่สมัยพระคัมภีร์ปฏิบัติ แต่ในปัจจุบันไม่ปฏิบัติแล้ว
- การแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ
- การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน
- การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
- การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
- การถวาย 10% ของรายได้ (บางคริตสจักรยังปฏิบัติอยู่)
- การทำพิธีสุหนัต

สงสัย เรื่อง การมีภรรยาหลายคน และ การแต่งงานในหมู่เครือญาติ

ช่วยอ้างอิงข้อความที่กล่าวถึง และกรณีศึกษาหน่อยได้ป่ะครับ เผื่อจะได้แสดงความคิดเห็นได้ตรงจุด
Mr.Ezra
โพสต์: 17
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 27, 2010 8:01 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ ต.ค. 03, 2010 7:13 pm

minirosary เขียน:
Andreas เขียน:(ต่อ)
สิ่งที่สมัยพระคัมภีร์ปฏิบัติ แต่ในปัจจุบันไม่ปฏิบัติแล้ว
- การแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ
- การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน
- การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
- การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
- การถวาย 10% ของรายได้ (บางคริตสจักรยังปฏิบัติอยู่)
- การทำพิธีสุหนัต

สงสัย เรื่อง การมีภรรยาหลายคน และ การแต่งงานในหมู่เครือญาติ

ช่วยอ้างอิงข้อความที่กล่าวถึง และกรณีศึกษาหน่อยได้ป่ะครับ เผื่อจะได้แสดงความคิดเห็นได้ตรงจุด
1. การแต่งงานในหมู่เครือญาติ
ตอนแรก พระเจ้าอนุญาติให้มีการแต่งงานในเครือญาติได้ (ปฐมกาลทั้งเล่ม)
ลูกหลานของอาดัม ลูกหลานของโนอาห์ อิสอัคแต่งงานกับเรเบคาห์ (ลูกพี่ลูกน้องของตน)
ยาโคบ แต่งงานกับเลอาห์ และราเชล (ลูกพี่ลูกน้องของตน)

ต่อมา ในยุคของโมเสส พระเจ้าได้ห้ามแต่งงานในหมู่เครือญาติ
เลวีนิติ 18:6-18
6"ห้าม​ให้​ผู้​ใด​เข้า​ใกล้​ญาติ​สนิท​ของ​ตน​หรือ​เปิด​ของ​ลับ ​ของ​เขา เรา​คือ​ยาห์เวห์
7ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​บิดา​เจ้า คือ​ของ​ลับ​มารดา​เจ้า เพราะ​นาง​เป็น​แม่​ของ​เจ้า ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​นาง
8ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​ภรรยา​ของ​บิดา​เจ้า เพราะ​เป็น​ของ​ลับ​ของ​บิดา​เจ้า
9ห้าม​เปิด​ของลับ​ของ​พี่สาว​หรือ​น้อง​สาว​ของ​เจ้า คือ​ของ​บุตร​สาว​ของ​บิดา​เจ้า หรือ​ของ​บุตร​สาว​ของ​มารดา​เจ้า ไม่​ว่า​ที่​เกิด​ใน​บ้าน​หรือ​เกิด​ที่​อื่น
10ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​บุตร​สาว​ของ​บุตร​ชาย​ของ​เจ้า หรือ​ของ​บุตร​สาว​ของ​บุตรี​ของ​เจ้า เพราะ​ว่า​ของ​ลับ​ของ​พวก​เธอ​ก็​เป็น​ของ​ลับ​ของ​เจ้า​เอง
11ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​บุตร​สาว​ของ​ภรรยา​ของ​บิดา​เจ้า ซึ่ง​เกิด​จาก​บิดา​เจ้า​เอง เพราะ​ว่า​เธอ​เป็น​น้อง​สาว​หรือ​พี่สาว​ของ​เจ้า
12ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​อา​หญิง หรือ​ของ​ป้า เพราะ​เธอ​เป็น​ญาติ​หญิง​ที่​สนิท​ของ​บิดา​เจ้า
13ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​ป้า​หรือ​น้า​หญิง​ของ​เจ้า เพราะ​เธอ​เป็น​ญาติ​หญิง​ที่​สนิท​ของ​มารดา​เจ้า
14ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​ลุง​หรือ​อา‍ชาย​ของ​เจ้า คือ​ห้าม​เข้า​หา​ภรรยา​ของ​เขา เพราะ​นาง​เป็น​ป้า​สะใภ้​หรือ​อา​สะใภ้​ของ​เจ้า
15ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​ลูก​สะใภ้​ของ​เจ้า นาง​เป็น​ภรรยา​ลูก​ชาย​เจ้า ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​นาง​เลย
16ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​ภรรยา​ของ​พี่ชาย​หรือ​น้อง​ชาย​ของ​เจ้า นาง​เป็น​ของ​ลับ​ของ​พี่​น้อง​ผู้​ชาย​ของ​เจ้า
17ห้าม​เปิด​ของ​ลับ​ของ​บุตร​สาว​ของ​สตรี​คน​ใด​ที่​เจ้า​ได้​เปิด​ของ​ลับ​ของ​นาง​แล้ว และ​ห้าม​นำ​บุตร​สาว​ของ​บุตร​ชาย​ของ​นาง หรือ​บุตร​สาว​ของ​บุตร​สาว​ของ​นาง​ไป​เปิด​ของ​ลับ เพราะ​ว่า​พวก​เธอ​เป็น​ญาติ​หญิง​ที่​สนิท เป็น​การ​อธรรม
18และ​ห้าม​นำ​พี่สาว​หรือ​น้อง​สาว​ของ​ภรรยา​มา​เป็น​คู่​แข่ง​กับ​ภรรยา โดย​เปิด​ของ​ลับ​ของ​เธอ​ใน​ขณะ​ที่​ภรรยา​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่
(เปิดของลับ เป็นสำนวนภาษาฮีบรู หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ หรือ แต่งงาน)

----------------------------------------------------------------------------------------------------------


2. การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน

ยกตัวอย่างเช่น การกินอาหารที่มลทินและไม่มลทิน ในเลวีนิติ 11:1-46

แต่เมื่อมาถึงยุคพระเยซู พระองค์ได้ประกาศว่า ทุกอย่างปราศจากมลทิน (มาระโก 7:15-23)
15ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” 17เมื่อพระองค์เสด็จพ้นจากฝูงชนเข้าไปในบ้านแล้ว พวกสาวกก็ทูลถามพระองค์ถึงคำเปรียบเทียบนั้น 18พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “แม้แต่พวกท่านก็ยังไม่เข้าใจหรือ? พวกท่านไม่เห็นหรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 19เพราะว่าสิ่งนั้นไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป” (เป็นการประกาศว่าอาหารทุกอย่างสะอาด) 20พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 21เพราะว่าจากภายในมนุษย์หรือจากใจของมนุษย์นั่นแหละที่ความคิดชั่วร้ายเกิดขึ้นมา คือการล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน 22การเป็นชู้ การโลภ การอธรรม การล่อลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความเขลา 23สารพัดความชั่วเหล่านี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”

----------------------------------------------------------------------------------------------------------
3.การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า (ได้อธิบายไปด้านบนแล้วครับ)

----------------------------------------------------------------------------------------------------------
4. การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
5. การทำพิธีสุหนัต
การคลุมศีรษะเป็นธรรมเนียมของคนยิว 1 โครินธ์ 11:1-เป็นกฏระเบียบที่ไม่เด็ดขาด และไม่ได้บังคับให้ทำ
การเข้าสุหนัตก็เป็นธรรมบัญญัติของยิวเช่นกัน
แต่สำหรับคนต่างชาติ (เช่นคนไทย หรือประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยิว) พระเจ้าไม่ได้เน้นการคลุมศีรษะ หรือเน้นการเข้าสุหนัต ...แต่พระเจ้าเน้นที่จิตใจในการนมัสการพระเจ้า และเน้นการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ตามพระวิญญาณ (พระจิต)

ยอห์น 4:21-24
21พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีสักวันหนึ่งที่พวกเธอจะไม่ได้นมัสการพระบิดาทั้งที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม
22สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเรานมัสการนั้นพวกเรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว
23แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์
24พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

ดังนั้น การนมัสการพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จิตใจของเราที่นมัสการด้วยความจริง
ส่วนเรื่องสถานที่ วันเวลาคลุมหัวหรือไม่คลุม เข้าสุหนัตหรือไม่เข้า กางเกงขาสั้นหรือขายาว ... ไม่สำคัญเท่าจิตใจของเราที่ให้พระเจ้า

กาลาเทีย 6:13-15
13แม้แต่คนที่เข้าสุหนัตแล้ว ก็ไม่ได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาปรารถนาให้พวกท่านเข้าสุหนัต เพื่อพวกเขาจะได้เอาเนื้อหนังของพวกท่านไปอวด
14ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไร นอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกได้ตายจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้ตาย จากโลก
15เพราะว่าจะเข้าสุหนัตหรือไม่ ไม่สำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ
16สันติสุขและพระเมตตาจงมีแก่ทุกคนที่ประพฤติตามกฎนี้ และแก่อิสราเอลของพระเจ้า

ท่านใดสนใจอยากเข้าสุหนัต หรือคลุมศีรษะก็ทำได้ครับ ไม่มีความผิด (แต่อย่าชักชวน หรือบังคับคนอื่นให้ทำตาม...อิอิ)

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ุ6. การถวาย 10%
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เน้นการถวาย 10%

Leviticus 27:30:
ทศางค์(10%)ทั้งสิ้นที่ได้จากแผ่นดินเป็นพืช ที่ได้จากแผ่นดินก็ดี หรือผลจากต้นไม้ก็ดีเป็นของพระเจ้า เป็นสิ่งบริสุทธิ์ แด่พระเจ้า

Deuteronomy 14:22:
"ท่าน​จง​ถวาย​ทศางค์(10%)​ของ​ผลิต​ผล​จาก​พืช​พันธุ์​ที่​ได้​ใน​นา​ของ​ท่าน​แต่​ละ​ปี

Malachi 3:10:
พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์(10%) เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่

แต่ ในพันธสัญญาใหม่ เน้นเรื่องการถวายด้วยใจจริง
2 โครินธ์ 9:6-9
6นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก
7แต่ละคนจงให้ตามที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียดาย ไม่ใช่ให้ด้วยความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี
8และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่างแก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น เพื่อว่าเมื่อมีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอ ท่านยังจะมีเหลือล้นสำหรับการดีทุกอย่างด้วย
9ตามที่เขียนไว้ว่า
เขาแจกจ่าย เขาให้แก่บรรดาคนยากจน
ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์

II Corinthians 8:3:
เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่า พวกเขาถวายตามความสามารถ ที่จริงก็เกินความสามารถ และทำด้วยความสมัครใจ

Romans 12:1:
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน

แต่คริสตจักรส่วนมาก ก็ยังรักษาการถวาย 10%
จะว่าไปแล้ว ยุคพันธสัญญาเดิมกับยุคพันธสัญญาใหม่ ก็ไม่ต่างอะไรมาก เพียงแต่ยุคพันธสัญญาใหม่เน้นเรื่องการถวายด้วยความสมัครใจ และจริงใจ

ถ้าเรารักพระเจ้า ซื่อสัตย์กับพระองค์ เราก็คงจะถวายให้กับพระองค์ด้วยความเต็มใจ และเท่าที่เรามีอย่างแน่นอน (อาจจะมากกว่า 10% ได้)

มีอะไรขาดตก หรือผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยด้วยครับ

ขอพระเจ้าอวยพระพรให้ท่านมั่นคงในความเชื่อ
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

พุธ ต.ค. 27, 2010 8:38 pm

ไม่ได้ชักชวนนะครับ
แต่ขอให้พี่น้องได้ไตร่ตรองและพิจารณาจากข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ด้วยนะครับ

"1.ท่านทั้งหลายจงประพฤติตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าประพฤติตามอย่างพระคริสต์.
2.ข้าพเจ้าขอชมท่านทั้งหลาย เพราะท่านได้ระลึกถึงกิจอันเกี่ยวแก่ข้าพเจ้าทุกประการ และได้ถือกฎของธรรมซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ให้ท่าน.
3.แต่ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า พระคริสต์เป็นศีรษะของชายทุกคน และชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าเป็นศีรษะของพระคริสต์.
4.ชายทุกคนที่กำลังอธิษฐานหรือเทศนาใช้ผ้าคลุมศีรษะก็ทำอัปยศแก่ศีรษะ.
5.แต่ผู้หญิงคนใดที่กำลังอธิษฐานหรือเทศนา ถ้าไม่ใช้ผ้าคลุมศีรษะก็ทำอัปยศแก่ศีรษะ เพราะเป็นเหมือนว่าได้โกนผมเสียแล้ว.
6.ถ้าผู้หญิงไม่ได้คลุมศีรษะก็ให้โกนผมเสีย แต่ถ้าการที่หญิงจะตัดผมหรือโกนผมเป็นการน่าอายแก่เขา ก็ให้เอาผ้าคลุมศีรษะเสียเถิด.
7.ซึ่งผู้ชายจะคลุมศีรษะนั้นไม่ควรเลย เพราะว่าผู้ชายเป็นแบบพระฉายและสง่าราศีของพระเจ้า ฝ่ายผู้หญิงนั้นเป็นสง่าราศีของผู้ชาย.
8.ด้วยว่าไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายมาจากผู้หญิง แต่ได้ทรงสร้างผู้หญิงมาจากผู้ชาย.
9.และไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายไว้สำหรับผู้หญิง แต่ได้ทรงสร้างผู้หญิงไว้สำหรับผู้ชาย.
10.เหตุฉะนั้นผู้หญิงจึงควรจะเอาผ้าคลุมศีรษะ เพื่อเป็นเครื่องหมายเล็งถึงอำนาจนั้น เพราะเห็นแก่พวกทูตสวรรค์.
11.ถึงกระนั้นก็ดีตามกฎขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ชายก็ต้องพึ่งผู้หญิง และผู้หญิงก็ต้องพึ่งผู้ชาย.
12.ด้วยว่าผู้หญิงได้เกิดมาจากผู้ชายฉันใด ต่อมาผู้ชายก็เกิดมาจากผู้หญิงฉันนั้น แต่สิ่งสารพัดก็ได้กำเนิดมาจากพระเจ้า.
13.ท่านทั้งหลายจงตัดสินเอาเองเถิด สมควรแล้วหรือที่ผู้หญิงไม่ใช้ผ้าคลุมศีรษะ เมื่อมาอธิษฐานต่อพระเจ้า?
14.ประเพณีนิยมนั้นเองมิได้สอนท่านทั้งหลายหรือว่า ถ้าผู้ชายไว้ผมยาวก็เป็นที่น่าอายแก่ตัว?
15.แต่ว่าถ้าผู้หญิงไว้ผมยาวก็เป็นสง่าแก่ตัว ด้วยว่าผมนั้นทรงประทานให้เขาสำหรับไว้คลุมศีรษะ.
16.แต่ถ้าผู้ใดจะเถียงไม่ยอมเห็นข้อนี้ ข้าพเจ้าก็กล่าวแต่ว่า ฝ่ายเราก็ดี ฝ่ายคริสตจักรของพระเจ้าก็ดี ใช้แต่ธรรมเนียมอย่างนี้.
"
( 1คร 11:1-16)

และ
จริงอยู่ที่พวกเราอยู่ในพันธสัญญาใหม่
เราสามารถกินสัตว์ไม่สะอาดได้( มก 7:15-23)
แต่พระคัมภีร์ในหนังสือกิจการ
ในยุคนั้นเกิดมีข้อขัดแย้งกันในคริสตจักร(พระศาสนจักร)ว่าจะให้คริสตชนชาวต่างประเทศปฏิบัติอย่างคริสตชนชาวยิวหรือไม่
ผลสรุปเป็นดังนี้ครับ

22.ขณะนั้นอัครสาวกและผู้ปกครองทั้งหลาย กับทุกคนในคริสตจักรเห็นชอบที่จะเลือกบางคนในจำพวกเขา ใช้ไปยังเมืองอันติโอเกียด้วยกันกับเปาโลและบาระนาบา คนที่เลือกได้นั้นคือยูดา ผู้มีชื่ออีกว่าบาระซาบาและซีลา ทั้งสองคนนี้เป็นคนสำคัญในพวกพี่น้อง.
23.เขาได้เขียนจดหมายมอบให้ท่านถือไปว่า "อัครสาวกและผู้ปกครองผู้เป็นพี่น้องของท่าน คำนับมายังท่านผู้เป็นพวกพี่น้องต่างชาติ ซึ่งอยู่ในเมืองอันติโอเกีย มณฑลซุเรีย และมณฑลกิลิเกียทราบ.
24.ด้วยข้าพเจ้าทั้งหลายได้ยินว่ามีบางคนซึ่งออกไปจากพวกข้าพเจ้า โดยพวกข้าพเจ้ามิได้แต่งตั้งให้ไป ได้พูดให้ท่านทั้งหลายเกิดความไม่สบายใจ และทำให้ใจของท่านฉงนสนเท่ห์ไป.
25.พวกข้าพเจ้าจึงพร้อมใจกันเห็นชอบที่จะเลือกคนและใช้ไปยังท่านทั้งหลาย พร้อมกับบาระนาบาและเปาโล.
26.ผู้เป็นที่รักของเรา และเป็นผู้ไม่เสียดายชีวิตของตนเพราะเห็นแก่พระนามแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา.
27.เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจึงใช้ยูดากับซีลา มาเป็นผู้เล่าข้อความนี้แก่ท่านทั้งหลายด้วยวาจาของเขาเอง.
28.เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์และข้าพเจ้าทั้งหลายก็เห็นชอบที่จะไม่วางภาระบนท่านทั้งหลาย เว้นไว้แต่สิ่งเหล่านั้นที่จำเป็น.
29.คือว่าให้ท่านทั้งหลายงดการรับประทานสิ่งของซึ่งเขาได้บูชาแก่รูปพระเท็จ และการรับประทานเลือด และการรับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งถูกรัดคอตาย และการล่วงประเวณี ถ้าท่านทั้งหลายงดการเหล่านี้ก็จะเป็นการดี ขอให้อยู่เป็นสุขเถิด."
( กจ 15:22-29)
จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้น คงจะทำให้มองเห็นชัดเจนกันมากขึ้นและเป็นประโยชน์แก่คริสตชนไม่มากก็น้อย
ส่วนภาคปฏิบัติก็แล้วแต่พระเป็นเจ้าจะทรงฉายส่องหนทางแก่เราทั้งหลาย
ขอพระเจ้าทรงประทานพระพรครับ
(หมายเหตุ : พระคัมภีร์ข้างต้นเป็นที่ฉบับแปลภาษาไทยครั้งแรกของคริสเตียน ฉนั้นภาษาจะไม่เหมือนฉบับแปลใหม่ ขออภัยที่ไม่ได้ใช้เวอร์ชั่นคาทอลิกแต่สามารถเปิดเทียบดูได้เลยครับ ตรงกันแน่นอน)
s.gabriel
โพสต์: 1011
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 2:21 pm

จันทร์ มี.ค. 14, 2011 1:05 pm

อ่านไปมาก็สับสนครับ ขอถามหน่อยละกันครับ ต้มเลือดหมูนี่ผมกินประจำเลยครับ ผิดไม่ผิดอยู่ที่จะเชื่้อข้อความในพระคัมภีรบทไหนใช่มั้ยครับ ส่วนตัวคิดว่าไม่ผิดนะครับเลยกินมาตลอดเพราะเชื่อว่าไม่ทำให้เกิดมลทินครับ

(แต่เมื่อมาถึงยุคพระเยซู พระองค์ได้ประกาศว่า ทุกอย่างปราศจากมลทิน (มาระโก 7:15-23)
15ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”)
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

จันทร์ มี.ค. 14, 2011 9:13 pm

ก่อนอื่นนะครับ พระคัมภีร์ไม่ได้ขัดแย้งกันเอง เพียงแต่บางเรื่องอาจมองได้2แง่มุม
เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่นะครับ ^^
(แท้จริงตั้งแต่ยุคสมัยเเรกเริ่ม เรื่องการกินที่ต้องมีข้อห้ามก็เพื่อไม่ให้ชาวยิวสะดุดกระดาก เนื่องจากการกินเลือด สัตว์รัดขอตาย ของไหว้รูปพระเท็จ ฯลฯเป็นข้อห้ามเดิมของชาวยิวครับ)
ขอยกตัวอย่างนึง ของไหว้รูปเคารพ(เห็นชัดดีในพระคัมภีร์)
เรื่องรูปเคารพและอาหารที่ไหว้รูปเคารพเเล้วเรามองได้2มุมครับ
-1เราอาจมองตาม 1 คร. บทที่ 8ทั้งบท และ 1ทธ 4:4ครับ (ลองหาอ่านดูนะครับ จะเข้าใจอย่างกระจ่าง)
คือแบบเห็นว่ารูปเคารพนั้น ไร้สาระ ของจะไหว้หรือไม่ไหว้ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เรากินก็ไม่ทำให้เราดีขึ้นหรือแย่ลงครับ
สิ่งที่พระคำดังกล่าวต้องการจะสื่อคืองย้ำให้เราจำไว้ว่าเราทำอะไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสามหลักการนี้
1.1)สิ่งที่เราทำถวายเกียรติแด่พระเจ้าไหม?
1.2)เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณเราไหม?
1.3)คนอื่นสะดุดหรือเปล่า
ถ้าไม่ผ่านสามอย่างนี้ต้องระวังดีๆ

-2 มองอีกมุมหนึ่ง 1 คร 10:18-24
(เพื่อแบ่งแยกบริสุทธิ์แก่ร่างกายของเรา เป็นวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเป็นเจ้า)
18.จงพิจารณาดูพวกยิศราเอลตามเนื้อหนัง คนเหล่านั้นซึ่งกินของซึ่งบูชาแล้ว เขาก็กินเป็นการเข้าส่วนสักการบูชาต่อแท่นนั้นมิใช่หรือ.
19.ถ้าอย่างนั้นแล้วจะให้ข้าพเจ้าว่าอย่างไร? เครื่องบูชาที่ถวายรูปเคารพนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์หรือ และรูปเคารพนั้นศักดิ์สิทธิ์หรือ.
20.แต่ข้าพเจ้าว่าเครื่องบูชาซึ่งพวกต่างประเทศถวายนั้น เขาก็ถวายบูชาแก่พวกปีศาจ ไม่ได้ถวายบูชาแก่พระเจ้า และข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้ท่านทั้งหลายเข้าส่วนสักการบูชากับพวกปีศาจ.
21.ท่านทั้งหลายจะดื่มจากจอกขององค์พระผู้เป็นเจ้าและจากจอกของปีศาจด้วยก็ไม่ได้ จะรับประทานที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้าและที่โต๊ะของปีศาจด้วยก็ไม่ได้.
22.เราจะอุตส่าห์กระทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอิจฉาหรือ เรามีฤทธิ์มากกว่าพระองค์หรือ.
23.เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่สมควรที่เราจะทำทุกสิ่ง เราทำทุกสิ่งได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เรากระทำนั้นจะทำให้เราเจริญขึ้น.
24.อย่าให้ผู้ใดกระทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น แต่ให้คิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย.

และ กจ 15:19-20
19.เหตุฉะนั้นตามความเห็นของข้าพเจ้า อย่าให้เราวางเครื่องขัดขวางกีดกันคนต่างชาติ ซึ่งกลับมาหาพระเจ้านั้น.
20.แต่เราจงเขียนหนังสือฝากไปถึงเขาว่า ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่มลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากการรับประทานเลือด.

ผมมองในมุมมองและยึดปฏิบัติมุมมองที่2ครับ แต่อย่างไรก็ดี ก็แล้วแต่คนนะครับ ไม่บังคับกัน คุณคุยกับพระเยซูเจ้าแล้วโอเคตามมุมมองที่1หรือ2ก็ตามนั้นครับ
(อันนี้คือที่ผมเคยโพสในหัวข้อBoard index ‹ พี่น้อง เพื่อนบ้าน ‹ ทุ่งหญ้า ‹ เวลามีพิธีของคนจีนจะทำยังไงดีคะ?)

ความเห็นส่วนตัวผม ผมว่าตาม( มก 7:15-23)ก็ได้บอกกับเราอย่างชัดเจน แต่(กจ 15:19-20)ก็ชัดเจนเช่นกัน ถ้าเราสังเกตให้ดี เรื่องสัตว์ไม่สะอาดนั้น พระเจ้าค่อนค่างantiเบา
บอกว่ากินแล้วจะเป็นมลทิน แต่ก็ยังชำระได้
แต่เรื่องเลือดนั้นตั้งแต่อดีตกาล พระเจ้าantiหนักกว่ามากนะครับ ไม่ได้กล่าวว่ากินแล้วจะเป็นมลทินครับ แต่กล่าวว่า ถือเป็นการกินชีวิต(ลองหาอ่านดูครับGEN 9:4 LEV 7:26-27)แล้วยังย้ำอีกครั้งในยุคพันธสัญญาใหม่

ส่วนตัวผม ผมว่าเพื่อตัดปัญหา ผมไม่มองคนอื่น ผมเริ่มที่ตนเอง การไม่กินเลือด ไม่กินสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย ไม่กินของไหว้รูปเคารพ มันไม่ได้ส่งผลให้ผมขาดธาตุเหล็ก หรือสารอาหารอื่นๆใดๆ ในเมื่อพระคัมภีร์ได้บอกเรา ถ้าผมนอบน้อมต่อข้อพระคำ( มก 7:15-23)แล้ว จะนอบน้อมต่อข้อพระคำ(กจ 15:19-20)อีกซักข้อ จะเป็นไรไป แล้วมีใครกล้าที่จะปรับโทษผมหรอครับ กลับกัน ผมมองว่าจะได้เป็นจุดเด่น ได้เป็นเป้าสายตา เวลากินอาหารกับผู้ที่ไม่เชื่อ แล้วเรามีข้อแตกต่างกับเขา ทำให้มีโอกาสที่จะป่าวประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์แก่เขาด้วยซ้ำ นี่คือความเห็นส่วนตัว ล้วนไม่มีสิทธิที่จะบังคับกัน และบอกไม่ได้ด้วยว่าถ้ากินเลือดแล้วถูกหรือผิด แต่ถ้าไม่กิน ไม่มีใครหน้าไหนกล้าว่าคุณว่ากระทำผิด^^

ปล.ขอพระเป็นเจ้าอวยพระพร
s.gabriel
โพสต์: 1011
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 2:21 pm

จันทร์ มี.ค. 14, 2011 10:40 pm

พึ่งถามคุณพ่อมาเมื่อกี๋ครับ ได้คำตอบแล้วครับ

ห้ามกินเลือดนี่เป็นในยุคของชาวยิวก่อนพระเยซูมาครับ

แต่พอพระเยซูเจ้ามาเราก็ปฎิบัติตัวตามที่พระองค์ทรงสอนครับกินได้ทุกอย่างครับ

แล้วผมก็ถามคุณพ่ออีกเรื่อง คือเรื่องของไหว้เจ้า

(พอดีพ่อแม่แฟนเป็นพุทธ)

(แต่ครอบครัวผมเกิดมาไม่เคยไหว้เจ้า ไหว้พระจันทร์ ไหว้แต่พระคริสต์องค์เดียว)

คุณพ่อให้คำตอบว่าของไหว้ บรรพรุษปู่ย่าตายายกินได้ไม่เป็นไรครับ

คุณพ่อยังบอกอีกว่า ไม่ขโมยของใครมากินก็กินได้หมดแหละครับ :s013:

คุณพ่อบอกว่ายังไงวันศุกร์ก็ให้เรางดเนื้อสัตว์จะดีมาก
ตอบกลับโพส