มีข้อบัญญัติใดบ้างในพระคัมภีร์ที่ชาวคริสต์ไม่ได้ปฏิบัติแล้ว
หากคุณอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ ทั้งภาคพันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่ เราจะพบว่าในอดีตชาวยิวมีข้อปฏิบัติ และข้อห้ามมากมาย ซึ่งในปัจจุบันชาวคริสต์ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อบัญญัติเหล่านั้นแล้ว (แต่ชาวยิวยังปฏิบัติอยู่) ในขณะเดียวกันก็มีหลายสิ่งในพระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ที่ชาวคริสต์ก็ไม่ได้ถือปฏิบัติแล้วเช่นกัน
ผมสงสัยว่า - ทำไมเราถึงเลิกปฏิบัติหลายสิ่งหลายอย่างที่มีบัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ ในเมื่อเราถือว่า ข้อความในพระคัมภีร์ไม่มีผิดพลาด อยู่เหนือกาลเวลา
- ทำไมบางสิ่งในอดีตเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่ในปัจจุบัน เราถือเป็นเรื่องผิดร้ายแรง?
- ทำไมบางสิ่งในอดีต ห้ามทำ แต่ในปัจจุบันทำได้?
เชิญร่วมกันเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน (อย่าจิตตกก่อนนะครับ)
ผมสงสัยว่า - ทำไมเราถึงเลิกปฏิบัติหลายสิ่งหลายอย่างที่มีบัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ ในเมื่อเราถือว่า ข้อความในพระคัมภีร์ไม่มีผิดพลาด อยู่เหนือกาลเวลา
- ทำไมบางสิ่งในอดีตเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่ในปัจจุบัน เราถือเป็นเรื่องผิดร้ายแรง?
- ทำไมบางสิ่งในอดีต ห้ามทำ แต่ในปัจจุบันทำได้?
เชิญร่วมกันเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน (อย่าจิตตกก่อนนะครับ)
ผมขอเริ่มก่อนแล้วกันนะครับ
สิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาในสมัยพระคัมภีร์ เช่น
- การมีทาส
- การที่ชายมีภรรยาหลายคน
- การลงโทษคนที่มีชู้โดยการทุ่มด้วยหินจนตาย
- การลงโทษคนทำผิดกรณีอื่น ๆ ถึงตาย
- การที่น้องชายรับเอาภรรยาของพี่ชายที่ตายไปแล้วมาเป็นภรรยาของตน
สิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาในสมัยพระคัมภีร์ เช่น
- การมีทาส
- การที่ชายมีภรรยาหลายคน
- การลงโทษคนที่มีชู้โดยการทุ่มด้วยหินจนตาย
- การลงโทษคนทำผิดกรณีอื่น ๆ ถึงตาย
- การที่น้องชายรับเอาภรรยาของพี่ชายที่ตายไปแล้วมาเป็นภรรยาของตน
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
การห้ามทานหมูด้วยมั้งครับ (+เลือดสัตว์)
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
มันก็ต้องขึ้นกับบริบท แล้วก็สภาพแวดล้อม สภาพสังคม ในขณะนั้นด้วยน่ะนะ
แต่ปัจจุบันเราถือเอาความรอดโดยพระคุณพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์เป็นหลัก มากกว่าเอาธรรมบัญญัติหรือตัวหนังสือเป็นหลักค่ะ
แต่ปัจจุบันเราถือเอาความรอดโดยพระคุณพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์เป็นหลัก มากกว่าเอาธรรมบัญญัติหรือตัวหนังสือเป็นหลักค่ะ
(ต่อ)
สิ่งที่สมัยพระคัมภีร์ปฏิบัติ แต่ในปัจจุบันไม่ปฏิบัติแล้ว
- การแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ
- การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน
- การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
- การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
- การถวาย 10% ของรายได้ (บางคริตสจักรยังปฏิบัติอยู่)
- การทำพิธีสุหนัต
สิ่งที่สมัยพระคัมภีร์ปฏิบัติ แต่ในปัจจุบันไม่ปฏิบัติแล้ว
- การแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ
- การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน
- การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
- การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
- การถวาย 10% ของรายได้ (บางคริตสจักรยังปฏิบัติอยู่)
- การทำพิธีสุหนัต
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ตอบง่ายๆแบบคนความรู้น้อย "เพราะพระเยซูคริสต์ ทำให้พระบัญญัติสมบูรณ์ ครับ"
บางทีคนต่างศาสนาเวลาอ่านพระคัมภีร์ พันธสัญญาเดิมก็มักจะรุ้สึกว่า ทำไมพระเจ้าถึงโหดร้ายเหลือเกิน เวลาที่ทรงพระพิโรธก็ชอบทำลายล้างมนุษย์ เช่นให้เกิดน้ำท่วมโลก ส่งไฟจากฟ้ามาเผาเมืองโสดมและโกโมราห์ ฆ่าบุตรหัวปีชาวอียิปต์ สั่งให้ชาวอิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนชาติที่อยู่ในดินแดนคานาอัน เพื่อที่ให้พวกอิสราเอลเข้าไปอยู่อาศัยแทน
ซึ่งข้อความเหล่านี้ในพระคัมภีร์ ยากที่คนในปัจจุบันจะเข้าใจได้ และทำให้คนต่างศาสนาโจมตีพระคัมภีร์ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราคริสตชนแทบไม่ได้นำข้อความพระคัมภีร์เหล่านั้นมาอ่านทั้งแบบส่วนตัวหรือแบบสาธารณะในโบสถ์ ถึงจะอ่าน เราก็ไม่ได้ตีความข้อความเหล่านั้นตามตัวอักษร และหลาย ๆ ตอนก็เป็นเพียงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของชาติอิสราเอล
ซึ่งข้อความเหล่านี้ในพระคัมภีร์ ยากที่คนในปัจจุบันจะเข้าใจได้ และทำให้คนต่างศาสนาโจมตีพระคัมภีร์ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราคริสตชนแทบไม่ได้นำข้อความพระคัมภีร์เหล่านั้นมาอ่านทั้งแบบส่วนตัวหรือแบบสาธารณะในโบสถ์ ถึงจะอ่าน เราก็ไม่ได้ตีความข้อความเหล่านั้นตามตัวอักษร และหลาย ๆ ตอนก็เป็นเพียงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของชาติอิสราเอล
-
- โพสต์: 719
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
- ที่อยู่: กาญจนบุรี
ระวังดราม่า(ไม่ใช่ละ!!)
คิดว่าเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปมั้งครับ อย่างที่เมื่อก่อนต้องแต่งงานกันในหมู่เครือญาติเพราะกลุ่มคนยุคนั้นก็ยังมีไม่มาก (อารมณ์เดียวกับเทพกรีกที่ต้องแต่งงานกับพี่น้องเพราะไม่รู้จะไปหาเทพต่างเครือญาติที่ไหนมาแต่ง ทั้งโอลิมปัสก็มีอยู่กันแค่ก๊วนเดียว)
คิดว่าเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปมั้งครับ อย่างที่เมื่อก่อนต้องแต่งงานกันในหมู่เครือญาติเพราะกลุ่มคนยุคนั้นก็ยังมีไม่มาก (อารมณ์เดียวกับเทพกรีกที่ต้องแต่งงานกับพี่น้องเพราะไม่รู้จะไปหาเทพต่างเครือญาติที่ไหนมาแต่ง ทั้งโอลิมปัสก็มีอยู่กันแค่ก๊วนเดียว)
เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาแล้ว
ก็ทำให้คำพยากรณ์ และบัญญัติหลายประการสำเร็จ
เมื่อสำเร็จแล้ว จึงไม่ต้องทำระบบเดิมอีก แต่เริ่มต้นระบบใหม่
เช่น
การถวายเครื่องเผาบูชา ---
พระเยซูเป็นแกะบูชาแด่พระเจ้าบนกางเขนแล้ว
... ดังนั้น เราจึงไม่ต้องถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป (ฮบ.9:23-28)
การเข้าสุหนัตเพื่อเป็นประชากรของพระเจ้า ---
เราเป็นประชากรของพระเจ้า โดยความเชื่อ (ยน.1:12) มีเครื่องหมายคือ ศีลบัพติสมา
...ดังนั้น จึงไม่ต้องเข้าสุหนัตอีก (ใครอยากเข้าก็ไม่ว่ากันครับ)
ระบบปุโรหิต ---
พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตแทนเราแล้ว จึงไม่ต้องมีระบบปุโรหิตอีกต่อไป (ฮบ.4:14-16)
แต่เราประยุกต์ระบบปุโรหิตนี้ มาเป็นระบบของ บาทหลวง นักบวช (แต่ก็ไม่เหมือนปุโรหิตทั้งหมด)
เราไม่อยู่ใต้บัญญัติของพันธสัญญาเดิมอีกต่อไป ---
แต่เราอยู่ภายใต้พระวิญญาณ (พระจิต) ซึ่งมีมาตรฐานที่สูงกว่า เจ๋งกว่าเยอะ เทียบกันไม่ได้เลย (กท.5:18,22-25)
คงหอมปากหอมคอกันนิดนึงนะครับ
ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านให้เจริญขึ้นในความเชื่อ
ก็ทำให้คำพยากรณ์ และบัญญัติหลายประการสำเร็จ
เมื่อสำเร็จแล้ว จึงไม่ต้องทำระบบเดิมอีก แต่เริ่มต้นระบบใหม่
เช่น
การถวายเครื่องเผาบูชา ---
พระเยซูเป็นแกะบูชาแด่พระเจ้าบนกางเขนแล้ว
... ดังนั้น เราจึงไม่ต้องถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป (ฮบ.9:23-28)
การเข้าสุหนัตเพื่อเป็นประชากรของพระเจ้า ---
เราเป็นประชากรของพระเจ้า โดยความเชื่อ (ยน.1:12) มีเครื่องหมายคือ ศีลบัพติสมา
...ดังนั้น จึงไม่ต้องเข้าสุหนัตอีก (ใครอยากเข้าก็ไม่ว่ากันครับ)
ระบบปุโรหิต ---
พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตแทนเราแล้ว จึงไม่ต้องมีระบบปุโรหิตอีกต่อไป (ฮบ.4:14-16)
แต่เราประยุกต์ระบบปุโรหิตนี้ มาเป็นระบบของ บาทหลวง นักบวช (แต่ก็ไม่เหมือนปุโรหิตทั้งหมด)
เราไม่อยู่ใต้บัญญัติของพันธสัญญาเดิมอีกต่อไป ---
แต่เราอยู่ภายใต้พระวิญญาณ (พระจิต) ซึ่งมีมาตรฐานที่สูงกว่า เจ๋งกว่าเยอะ เทียบกันไม่ได้เลย (กท.5:18,22-25)
คงหอมปากหอมคอกันนิดนึงนะครับ
ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านให้เจริญขึ้นในความเชื่อ
-
- โพสต์: 137
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 07, 2005 1:38 pm
- ที่อยู่: Bangkok
Andreas เขียน:(ต่อ)
สิ่งที่สมัยพระคัมภีร์ปฏิบัติ แต่ในปัจจุบันไม่ปฏิบัติแล้ว
- การแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ
- การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน
- การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
- การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
- การถวาย 10% ของรายได้ (บางคริตสจักรยังปฏิบัติอยู่)
- การทำพิธีสุหนัต
สงสัย เรื่อง การมีภรรยาหลายคน และ การแต่งงานในหมู่เครือญาติ
ช่วยอ้างอิงข้อความที่กล่าวถึง และกรณีศึกษาหน่อยได้ป่ะครับ เผื่อจะได้แสดงความคิดเห็นได้ตรงจุด
1. การแต่งงานในหมู่เครือญาติminirosary เขียน:Andreas เขียน:(ต่อ)
สิ่งที่สมัยพระคัมภีร์ปฏิบัติ แต่ในปัจจุบันไม่ปฏิบัติแล้ว
- การแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ
- การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน
- การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
- การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
- การถวาย 10% ของรายได้ (บางคริตสจักรยังปฏิบัติอยู่)
- การทำพิธีสุหนัต
สงสัย เรื่อง การมีภรรยาหลายคน และ การแต่งงานในหมู่เครือญาติ
ช่วยอ้างอิงข้อความที่กล่าวถึง และกรณีศึกษาหน่อยได้ป่ะครับ เผื่อจะได้แสดงความคิดเห็นได้ตรงจุด
ตอนแรก พระเจ้าอนุญาติให้มีการแต่งงานในเครือญาติได้ (ปฐมกาลทั้งเล่ม)
ลูกหลานของอาดัม ลูกหลานของโนอาห์ อิสอัคแต่งงานกับเรเบคาห์ (ลูกพี่ลูกน้องของตน)
ยาโคบ แต่งงานกับเลอาห์ และราเชล (ลูกพี่ลูกน้องของตน)
ต่อมา ในยุคของโมเสส พระเจ้าได้ห้ามแต่งงานในหมู่เครือญาติ
เลวีนิติ 18:6-18
6"ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้ญาติสนิทของตนหรือเปิดของลับ ของเขา เราคือยาห์เวห์
7ห้ามเปิดของลับของบิดาเจ้า คือของลับมารดาเจ้า เพราะนางเป็นแม่ของเจ้า ห้ามเปิดของลับของนาง
8ห้ามเปิดของลับของภรรยาของบิดาเจ้า เพราะเป็นของลับของบิดาเจ้า
9ห้ามเปิดของลับของพี่สาวหรือน้องสาวของเจ้า คือของบุตรสาวของบิดาเจ้า หรือของบุตรสาวของมารดาเจ้า ไม่ว่าที่เกิดในบ้านหรือเกิดที่อื่น
10ห้ามเปิดของลับของบุตรสาวของบุตรชายของเจ้า หรือของบุตรสาวของบุตรีของเจ้า เพราะว่าของลับของพวกเธอก็เป็นของลับของเจ้าเอง
11ห้ามเปิดของลับของบุตรสาวของภรรยาของบิดาเจ้า ซึ่งเกิดจากบิดาเจ้าเอง เพราะว่าเธอเป็นน้องสาวหรือพี่สาวของเจ้า
12ห้ามเปิดของลับของอาหญิง หรือของป้า เพราะเธอเป็นญาติหญิงที่สนิทของบิดาเจ้า
13ห้ามเปิดของลับของป้าหรือน้าหญิงของเจ้า เพราะเธอเป็นญาติหญิงที่สนิทของมารดาเจ้า
14ห้ามเปิดของลับของลุงหรืออาชายของเจ้า คือห้ามเข้าหาภรรยาของเขา เพราะนางเป็นป้าสะใภ้หรืออาสะใภ้ของเจ้า
15ห้ามเปิดของลับของลูกสะใภ้ของเจ้า นางเป็นภรรยาลูกชายเจ้า ห้ามเปิดของลับของนางเลย
16ห้ามเปิดของลับของภรรยาของพี่ชายหรือน้องชายของเจ้า นางเป็นของลับของพี่น้องผู้ชายของเจ้า
17ห้ามเปิดของลับของบุตรสาวของสตรีคนใดที่เจ้าได้เปิดของลับของนางแล้ว และห้ามนำบุตรสาวของบุตรชายของนาง หรือบุตรสาวของบุตรสาวของนางไปเปิดของลับ เพราะว่าพวกเธอเป็นญาติหญิงที่สนิท เป็นการอธรรม
18และห้ามนำพี่สาวหรือน้องสาวของภรรยามาเป็นคู่แข่งกับภรรยา โดยเปิดของลับของเธอในขณะที่ภรรยายังมีชีวิตอยู่
(เปิดของลับ เป็นสำนวนภาษาฮีบรู หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ หรือ แต่งงาน)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
2. การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน
ยกตัวอย่างเช่น การกินอาหารที่มลทินและไม่มลทิน ในเลวีนิติ 11:1-46
แต่เมื่อมาถึงยุคพระเยซู พระองค์ได้ประกาศว่า ทุกอย่างปราศจากมลทิน (มาระโก 7:15-23)
15ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” 17เมื่อพระองค์เสด็จพ้นจากฝูงชนเข้าไปในบ้านแล้ว พวกสาวกก็ทูลถามพระองค์ถึงคำเปรียบเทียบนั้น 18พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “แม้แต่พวกท่านก็ยังไม่เข้าใจหรือ? พวกท่านไม่เห็นหรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 19เพราะว่าสิ่งนั้นไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป” (เป็นการประกาศว่าอาหารทุกอย่างสะอาด) 20พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 21เพราะว่าจากภายในมนุษย์หรือจากใจของมนุษย์นั่นแหละที่ความคิดชั่วร้ายเกิดขึ้นมา คือการล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน 22การเป็นชู้ การโลภ การอธรรม การล่อลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความเขลา 23สารพัดความชั่วเหล่านี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
3.การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า (ได้อธิบายไปด้านบนแล้วครับ)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
4. การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
5. การทำพิธีสุหนัต
การคลุมศีรษะเป็นธรรมเนียมของคนยิว 1 โครินธ์ 11:1-เป็นกฏระเบียบที่ไม่เด็ดขาด และไม่ได้บังคับให้ทำ
การเข้าสุหนัตก็เป็นธรรมบัญญัติของยิวเช่นกัน
แต่สำหรับคนต่างชาติ (เช่นคนไทย หรือประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยิว) พระเจ้าไม่ได้เน้นการคลุมศีรษะ หรือเน้นการเข้าสุหนัต ...แต่พระเจ้าเน้นที่จิตใจในการนมัสการพระเจ้า และเน้นการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ตามพระวิญญาณ (พระจิต)
ยอห์น 4:21-24
21พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีสักวันหนึ่งที่พวกเธอจะไม่ได้นมัสการพระบิดาทั้งที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม
22สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเรานมัสการนั้นพวกเรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว
23แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์
24พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
ดังนั้น การนมัสการพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จิตใจของเราที่นมัสการด้วยความจริง
ส่วนเรื่องสถานที่ วันเวลาคลุมหัวหรือไม่คลุม เข้าสุหนัตหรือไม่เข้า กางเกงขาสั้นหรือขายาว ... ไม่สำคัญเท่าจิตใจของเราที่ให้พระเจ้า
กาลาเทีย 6:13-15
13แม้แต่คนที่เข้าสุหนัตแล้ว ก็ไม่ได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาปรารถนาให้พวกท่านเข้าสุหนัต เพื่อพวกเขาจะได้เอาเนื้อหนังของพวกท่านไปอวด
14ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไร นอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกได้ตายจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้ตาย จากโลก
15เพราะว่าจะเข้าสุหนัตหรือไม่ ไม่สำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ
16สันติสุขและพระเมตตาจงมีแก่ทุกคนที่ประพฤติตามกฎนี้ และแก่อิสราเอลของพระเจ้า
ท่านใดสนใจอยากเข้าสุหนัต หรือคลุมศีรษะก็ทำได้ครับ ไม่มีความผิด (แต่อย่าชักชวน หรือบังคับคนอื่นให้ทำตาม...อิอิ)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ุ6. การถวาย 10%
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เน้นการถวาย 10%
Leviticus 27:30:
“ทศางค์(10%)ทั้งสิ้นที่ได้จากแผ่นดินเป็นพืช ที่ได้จากแผ่นดินก็ดี หรือผลจากต้นไม้ก็ดีเป็นของพระเจ้า เป็นสิ่งบริสุทธิ์ แด่พระเจ้า
Deuteronomy 14:22:
"ท่านจงถวายทศางค์(10%)ของผลิตผลจากพืชพันธุ์ที่ได้ในนาของท่านแต่ละปี
Malachi 3:10:
พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์(10%) เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
แต่ ในพันธสัญญาใหม่ เน้นเรื่องการถวายด้วยใจจริง
2 โครินธ์ 9:6-9
6นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก
7แต่ละคนจงให้ตามที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียดาย ไม่ใช่ให้ด้วยความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี
8และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่างแก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น เพื่อว่าเมื่อมีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอ ท่านยังจะมีเหลือล้นสำหรับการดีทุกอย่างด้วย
9ตามที่เขียนไว้ว่า
เขาแจกจ่าย เขาให้แก่บรรดาคนยากจน
ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์
II Corinthians 8:3:
เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่า พวกเขาถวายตามความสามารถ ที่จริงก็เกินความสามารถ และทำด้วยความสมัครใจ
Romans 12:1:
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน
แต่คริสตจักรส่วนมาก ก็ยังรักษาการถวาย 10%
จะว่าไปแล้ว ยุคพันธสัญญาเดิมกับยุคพันธสัญญาใหม่ ก็ไม่ต่างอะไรมาก เพียงแต่ยุคพันธสัญญาใหม่เน้นเรื่องการถวายด้วยความสมัครใจ และจริงใจ
ถ้าเรารักพระเจ้า ซื่อสัตย์กับพระองค์ เราก็คงจะถวายให้กับพระองค์ด้วยความเต็มใจ และเท่าที่เรามีอย่างแน่นอน (อาจจะมากกว่า 10% ได้)
มีอะไรขาดตก หรือผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยด้วยครับ
ขอพระเจ้าอวยพระพรให้ท่านมั่นคงในความเชื่อ
-
- โพสต์: 286
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
- ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.
ไม่ได้ชักชวนนะครับ
แต่ขอให้พี่น้องได้ไตร่ตรองและพิจารณาจากข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ด้วยนะครับ
"1.ท่านทั้งหลายจงประพฤติตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าประพฤติตามอย่างพระคริสต์.
2.ข้าพเจ้าขอชมท่านทั้งหลาย เพราะท่านได้ระลึกถึงกิจอันเกี่ยวแก่ข้าพเจ้าทุกประการ และได้ถือกฎของธรรมซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ให้ท่าน.
3.แต่ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า พระคริสต์เป็นศีรษะของชายทุกคน และชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าเป็นศีรษะของพระคริสต์.
4.ชายทุกคนที่กำลังอธิษฐานหรือเทศนาใช้ผ้าคลุมศีรษะก็ทำอัปยศแก่ศีรษะ.
5.แต่ผู้หญิงคนใดที่กำลังอธิษฐานหรือเทศนา ถ้าไม่ใช้ผ้าคลุมศีรษะก็ทำอัปยศแก่ศีรษะ เพราะเป็นเหมือนว่าได้โกนผมเสียแล้ว.
6.ถ้าผู้หญิงไม่ได้คลุมศีรษะก็ให้โกนผมเสีย แต่ถ้าการที่หญิงจะตัดผมหรือโกนผมเป็นการน่าอายแก่เขา ก็ให้เอาผ้าคลุมศีรษะเสียเถิด.
7.ซึ่งผู้ชายจะคลุมศีรษะนั้นไม่ควรเลย เพราะว่าผู้ชายเป็นแบบพระฉายและสง่าราศีของพระเจ้า ฝ่ายผู้หญิงนั้นเป็นสง่าราศีของผู้ชาย.
8.ด้วยว่าไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายมาจากผู้หญิง แต่ได้ทรงสร้างผู้หญิงมาจากผู้ชาย.
9.และไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายไว้สำหรับผู้หญิง แต่ได้ทรงสร้างผู้หญิงไว้สำหรับผู้ชาย.
10.เหตุฉะนั้นผู้หญิงจึงควรจะเอาผ้าคลุมศีรษะ เพื่อเป็นเครื่องหมายเล็งถึงอำนาจนั้น เพราะเห็นแก่พวกทูตสวรรค์.
11.ถึงกระนั้นก็ดีตามกฎขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ชายก็ต้องพึ่งผู้หญิง และผู้หญิงก็ต้องพึ่งผู้ชาย.
12.ด้วยว่าผู้หญิงได้เกิดมาจากผู้ชายฉันใด ต่อมาผู้ชายก็เกิดมาจากผู้หญิงฉันนั้น แต่สิ่งสารพัดก็ได้กำเนิดมาจากพระเจ้า.
13.ท่านทั้งหลายจงตัดสินเอาเองเถิด สมควรแล้วหรือที่ผู้หญิงไม่ใช้ผ้าคลุมศีรษะ เมื่อมาอธิษฐานต่อพระเจ้า?
14.ประเพณีนิยมนั้นเองมิได้สอนท่านทั้งหลายหรือว่า ถ้าผู้ชายไว้ผมยาวก็เป็นที่น่าอายแก่ตัว?
15.แต่ว่าถ้าผู้หญิงไว้ผมยาวก็เป็นสง่าแก่ตัว ด้วยว่าผมนั้นทรงประทานให้เขาสำหรับไว้คลุมศีรษะ.
16.แต่ถ้าผู้ใดจะเถียงไม่ยอมเห็นข้อนี้ ข้าพเจ้าก็กล่าวแต่ว่า ฝ่ายเราก็ดี ฝ่ายคริสตจักรของพระเจ้าก็ดี ใช้แต่ธรรมเนียมอย่างนี้.
"
( 1คร 11:1-16)
และ
จริงอยู่ที่พวกเราอยู่ในพันธสัญญาใหม่
เราสามารถกินสัตว์ไม่สะอาดได้( มก 7:15-23)
แต่พระคัมภีร์ในหนังสือกิจการ
ในยุคนั้นเกิดมีข้อขัดแย้งกันในคริสตจักร(พระศาสนจักร)ว่าจะให้คริสตชนชาวต่างประเทศปฏิบัติอย่างคริสตชนชาวยิวหรือไม่
ผลสรุปเป็นดังนี้ครับ
22.ขณะนั้นอัครสาวกและผู้ปกครองทั้งหลาย กับทุกคนในคริสตจักรเห็นชอบที่จะเลือกบางคนในจำพวกเขา ใช้ไปยังเมืองอันติโอเกียด้วยกันกับเปาโลและบาระนาบา คนที่เลือกได้นั้นคือยูดา ผู้มีชื่ออีกว่าบาระซาบาและซีลา ทั้งสองคนนี้เป็นคนสำคัญในพวกพี่น้อง.
23.เขาได้เขียนจดหมายมอบให้ท่านถือไปว่า "อัครสาวกและผู้ปกครองผู้เป็นพี่น้องของท่าน คำนับมายังท่านผู้เป็นพวกพี่น้องต่างชาติ ซึ่งอยู่ในเมืองอันติโอเกีย มณฑลซุเรีย และมณฑลกิลิเกียทราบ.
24.ด้วยข้าพเจ้าทั้งหลายได้ยินว่ามีบางคนซึ่งออกไปจากพวกข้าพเจ้า โดยพวกข้าพเจ้ามิได้แต่งตั้งให้ไป ได้พูดให้ท่านทั้งหลายเกิดความไม่สบายใจ และทำให้ใจของท่านฉงนสนเท่ห์ไป.
25.พวกข้าพเจ้าจึงพร้อมใจกันเห็นชอบที่จะเลือกคนและใช้ไปยังท่านทั้งหลาย พร้อมกับบาระนาบาและเปาโล.
26.ผู้เป็นที่รักของเรา และเป็นผู้ไม่เสียดายชีวิตของตนเพราะเห็นแก่พระนามแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา.
27.เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจึงใช้ยูดากับซีลา มาเป็นผู้เล่าข้อความนี้แก่ท่านทั้งหลายด้วยวาจาของเขาเอง.
28.เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์และข้าพเจ้าทั้งหลายก็เห็นชอบที่จะไม่วางภาระบนท่านทั้งหลาย เว้นไว้แต่สิ่งเหล่านั้นที่จำเป็น.
29.คือว่าให้ท่านทั้งหลายงดการรับประทานสิ่งของซึ่งเขาได้บูชาแก่รูปพระเท็จ และการรับประทานเลือด และการรับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งถูกรัดคอตาย และการล่วงประเวณี ถ้าท่านทั้งหลายงดการเหล่านี้ก็จะเป็นการดี ขอให้อยู่เป็นสุขเถิด."
( กจ 15:22-29)
แต่ขอให้พี่น้องได้ไตร่ตรองและพิจารณาจากข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ด้วยนะครับ
"1.ท่านทั้งหลายจงประพฤติตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าประพฤติตามอย่างพระคริสต์.
2.ข้าพเจ้าขอชมท่านทั้งหลาย เพราะท่านได้ระลึกถึงกิจอันเกี่ยวแก่ข้าพเจ้าทุกประการ และได้ถือกฎของธรรมซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ให้ท่าน.
3.แต่ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า พระคริสต์เป็นศีรษะของชายทุกคน และชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าเป็นศีรษะของพระคริสต์.
4.ชายทุกคนที่กำลังอธิษฐานหรือเทศนาใช้ผ้าคลุมศีรษะก็ทำอัปยศแก่ศีรษะ.
5.แต่ผู้หญิงคนใดที่กำลังอธิษฐานหรือเทศนา ถ้าไม่ใช้ผ้าคลุมศีรษะก็ทำอัปยศแก่ศีรษะ เพราะเป็นเหมือนว่าได้โกนผมเสียแล้ว.
6.ถ้าผู้หญิงไม่ได้คลุมศีรษะก็ให้โกนผมเสีย แต่ถ้าการที่หญิงจะตัดผมหรือโกนผมเป็นการน่าอายแก่เขา ก็ให้เอาผ้าคลุมศีรษะเสียเถิด.
7.ซึ่งผู้ชายจะคลุมศีรษะนั้นไม่ควรเลย เพราะว่าผู้ชายเป็นแบบพระฉายและสง่าราศีของพระเจ้า ฝ่ายผู้หญิงนั้นเป็นสง่าราศีของผู้ชาย.
8.ด้วยว่าไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายมาจากผู้หญิง แต่ได้ทรงสร้างผู้หญิงมาจากผู้ชาย.
9.และไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายไว้สำหรับผู้หญิง แต่ได้ทรงสร้างผู้หญิงไว้สำหรับผู้ชาย.
10.เหตุฉะนั้นผู้หญิงจึงควรจะเอาผ้าคลุมศีรษะ เพื่อเป็นเครื่องหมายเล็งถึงอำนาจนั้น เพราะเห็นแก่พวกทูตสวรรค์.
11.ถึงกระนั้นก็ดีตามกฎขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ชายก็ต้องพึ่งผู้หญิง และผู้หญิงก็ต้องพึ่งผู้ชาย.
12.ด้วยว่าผู้หญิงได้เกิดมาจากผู้ชายฉันใด ต่อมาผู้ชายก็เกิดมาจากผู้หญิงฉันนั้น แต่สิ่งสารพัดก็ได้กำเนิดมาจากพระเจ้า.
13.ท่านทั้งหลายจงตัดสินเอาเองเถิด สมควรแล้วหรือที่ผู้หญิงไม่ใช้ผ้าคลุมศีรษะ เมื่อมาอธิษฐานต่อพระเจ้า?
14.ประเพณีนิยมนั้นเองมิได้สอนท่านทั้งหลายหรือว่า ถ้าผู้ชายไว้ผมยาวก็เป็นที่น่าอายแก่ตัว?
15.แต่ว่าถ้าผู้หญิงไว้ผมยาวก็เป็นสง่าแก่ตัว ด้วยว่าผมนั้นทรงประทานให้เขาสำหรับไว้คลุมศีรษะ.
16.แต่ถ้าผู้ใดจะเถียงไม่ยอมเห็นข้อนี้ ข้าพเจ้าก็กล่าวแต่ว่า ฝ่ายเราก็ดี ฝ่ายคริสตจักรของพระเจ้าก็ดี ใช้แต่ธรรมเนียมอย่างนี้.
"
( 1คร 11:1-16)
และ
จริงอยู่ที่พวกเราอยู่ในพันธสัญญาใหม่
เราสามารถกินสัตว์ไม่สะอาดได้( มก 7:15-23)
แต่พระคัมภีร์ในหนังสือกิจการ
ในยุคนั้นเกิดมีข้อขัดแย้งกันในคริสตจักร(พระศาสนจักร)ว่าจะให้คริสตชนชาวต่างประเทศปฏิบัติอย่างคริสตชนชาวยิวหรือไม่
ผลสรุปเป็นดังนี้ครับ
22.ขณะนั้นอัครสาวกและผู้ปกครองทั้งหลาย กับทุกคนในคริสตจักรเห็นชอบที่จะเลือกบางคนในจำพวกเขา ใช้ไปยังเมืองอันติโอเกียด้วยกันกับเปาโลและบาระนาบา คนที่เลือกได้นั้นคือยูดา ผู้มีชื่ออีกว่าบาระซาบาและซีลา ทั้งสองคนนี้เป็นคนสำคัญในพวกพี่น้อง.
23.เขาได้เขียนจดหมายมอบให้ท่านถือไปว่า "อัครสาวกและผู้ปกครองผู้เป็นพี่น้องของท่าน คำนับมายังท่านผู้เป็นพวกพี่น้องต่างชาติ ซึ่งอยู่ในเมืองอันติโอเกีย มณฑลซุเรีย และมณฑลกิลิเกียทราบ.
24.ด้วยข้าพเจ้าทั้งหลายได้ยินว่ามีบางคนซึ่งออกไปจากพวกข้าพเจ้า โดยพวกข้าพเจ้ามิได้แต่งตั้งให้ไป ได้พูดให้ท่านทั้งหลายเกิดความไม่สบายใจ และทำให้ใจของท่านฉงนสนเท่ห์ไป.
25.พวกข้าพเจ้าจึงพร้อมใจกันเห็นชอบที่จะเลือกคนและใช้ไปยังท่านทั้งหลาย พร้อมกับบาระนาบาและเปาโล.
26.ผู้เป็นที่รักของเรา และเป็นผู้ไม่เสียดายชีวิตของตนเพราะเห็นแก่พระนามแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา.
27.เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจึงใช้ยูดากับซีลา มาเป็นผู้เล่าข้อความนี้แก่ท่านทั้งหลายด้วยวาจาของเขาเอง.
28.เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์และข้าพเจ้าทั้งหลายก็เห็นชอบที่จะไม่วางภาระบนท่านทั้งหลาย เว้นไว้แต่สิ่งเหล่านั้นที่จำเป็น.
29.คือว่าให้ท่านทั้งหลายงดการรับประทานสิ่งของซึ่งเขาได้บูชาแก่รูปพระเท็จ และการรับประทานเลือด และการรับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งถูกรัดคอตาย และการล่วงประเวณี ถ้าท่านทั้งหลายงดการเหล่านี้ก็จะเป็นการดี ขอให้อยู่เป็นสุขเถิด."
( กจ 15:22-29)
จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้น คงจะทำให้มองเห็นชัดเจนกันมากขึ้นและเป็นประโยชน์แก่คริสตชนไม่มากก็น้อย
ส่วนภาคปฏิบัติก็แล้วแต่พระเป็นเจ้าจะทรงฉายส่องหนทางแก่เราทั้งหลาย
ขอพระเจ้าทรงประทานพระพรครับ
(หมายเหตุ : พระคัมภีร์ข้างต้นเป็นที่ฉบับแปลภาษาไทยครั้งแรกของคริสเตียน ฉนั้นภาษาจะไม่เหมือนฉบับแปลใหม่ ขออภัยที่ไม่ได้ใช้เวอร์ชั่นคาทอลิกแต่สามารถเปิดเทียบดูได้เลยครับ ตรงกันแน่นอน)ส่วนภาคปฏิบัติก็แล้วแต่พระเป็นเจ้าจะทรงฉายส่องหนทางแก่เราทั้งหลาย
ขอพระเจ้าทรงประทานพระพรครับ
อ่านไปมาก็สับสนครับ ขอถามหน่อยละกันครับ ต้มเลือดหมูนี่ผมกินประจำเลยครับ ผิดไม่ผิดอยู่ที่จะเชื่้อข้อความในพระคัมภีรบทไหนใช่มั้ยครับ ส่วนตัวคิดว่าไม่ผิดนะครับเลยกินมาตลอดเพราะเชื่อว่าไม่ทำให้เกิดมลทินครับ
(แต่เมื่อมาถึงยุคพระเยซู พระองค์ได้ประกาศว่า ทุกอย่างปราศจากมลทิน (มาระโก 7:15-23)
15ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”)
(แต่เมื่อมาถึงยุคพระเยซู พระองค์ได้ประกาศว่า ทุกอย่างปราศจากมลทิน (มาระโก 7:15-23)
15ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”)
-
- โพสต์: 286
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
- ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.
ก่อนอื่นนะครับ พระคัมภีร์ไม่ได้ขัดแย้งกันเอง เพียงแต่บางเรื่องอาจมองได้2แง่มุม
เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่นะครับ ^^
(แท้จริงตั้งแต่ยุคสมัยเเรกเริ่ม เรื่องการกินที่ต้องมีข้อห้ามก็เพื่อไม่ให้ชาวยิวสะดุดกระดาก เนื่องจากการกินเลือด สัตว์รัดขอตาย ของไหว้รูปพระเท็จ ฯลฯเป็นข้อห้ามเดิมของชาวยิวครับ)
ขอยกตัวอย่างนึง ของไหว้รูปเคารพ(เห็นชัดดีในพระคัมภีร์)
ความเห็นส่วนตัวผม ผมว่าตาม( มก 7:15-23)ก็ได้บอกกับเราอย่างชัดเจน แต่(กจ 15:19-20)ก็ชัดเจนเช่นกัน ถ้าเราสังเกตให้ดี เรื่องสัตว์ไม่สะอาดนั้น พระเจ้าค่อนค่างantiเบา
บอกว่ากินแล้วจะเป็นมลทิน แต่ก็ยังชำระได้
แต่เรื่องเลือดนั้นตั้งแต่อดีตกาล พระเจ้าantiหนักกว่ามากนะครับ ไม่ได้กล่าวว่ากินแล้วจะเป็นมลทินครับ แต่กล่าวว่า ถือเป็นการกินชีวิต(ลองหาอ่านดูครับGEN 9:4 LEV 7:26-27)แล้วยังย้ำอีกครั้งในยุคพันธสัญญาใหม่
ส่วนตัวผม ผมว่าเพื่อตัดปัญหา ผมไม่มองคนอื่น ผมเริ่มที่ตนเอง การไม่กินเลือด ไม่กินสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย ไม่กินของไหว้รูปเคารพ มันไม่ได้ส่งผลให้ผมขาดธาตุเหล็ก หรือสารอาหารอื่นๆใดๆ ในเมื่อพระคัมภีร์ได้บอกเรา ถ้าผมนอบน้อมต่อข้อพระคำ( มก 7:15-23)แล้ว จะนอบน้อมต่อข้อพระคำ(กจ 15:19-20)อีกซักข้อ จะเป็นไรไป แล้วมีใครกล้าที่จะปรับโทษผมหรอครับ กลับกัน ผมมองว่าจะได้เป็นจุดเด่น ได้เป็นเป้าสายตา เวลากินอาหารกับผู้ที่ไม่เชื่อ แล้วเรามีข้อแตกต่างกับเขา ทำให้มีโอกาสที่จะป่าวประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์แก่เขาด้วยซ้ำ นี่คือความเห็นส่วนตัว ล้วนไม่มีสิทธิที่จะบังคับกัน และบอกไม่ได้ด้วยว่าถ้ากินเลือดแล้วถูกหรือผิด แต่ถ้าไม่กิน ไม่มีใครหน้าไหนกล้าว่าคุณว่ากระทำผิด^^
ปล.ขอพระเป็นเจ้าอวยพระพร
เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่นะครับ ^^
(แท้จริงตั้งแต่ยุคสมัยเเรกเริ่ม เรื่องการกินที่ต้องมีข้อห้ามก็เพื่อไม่ให้ชาวยิวสะดุดกระดาก เนื่องจากการกินเลือด สัตว์รัดขอตาย ของไหว้รูปพระเท็จ ฯลฯเป็นข้อห้ามเดิมของชาวยิวครับ)
ขอยกตัวอย่างนึง ของไหว้รูปเคารพ(เห็นชัดดีในพระคัมภีร์)
(อันนี้คือที่ผมเคยโพสในหัวข้อBoard index ‹ พี่น้อง เพื่อนบ้าน ‹ ทุ่งหญ้า ‹ เวลามีพิธีของคนจีนจะทำยังไงดีคะ?)เรื่องรูปเคารพและอาหารที่ไหว้รูปเคารพเเล้วเรามองได้2มุมครับ
-1เราอาจมองตาม 1 คร. บทที่ 8ทั้งบท และ 1ทธ 4:4ครับ (ลองหาอ่านดูนะครับ จะเข้าใจอย่างกระจ่าง)
คือแบบเห็นว่ารูปเคารพนั้น ไร้สาระ ของจะไหว้หรือไม่ไหว้ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เรากินก็ไม่ทำให้เราดีขึ้นหรือแย่ลงครับ
สิ่งที่พระคำดังกล่าวต้องการจะสื่อคืองย้ำให้เราจำไว้ว่าเราทำอะไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสามหลักการนี้
1.1)สิ่งที่เราทำถวายเกียรติแด่พระเจ้าไหม?
1.2)เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณเราไหม?
1.3)คนอื่นสะดุดหรือเปล่า
ถ้าไม่ผ่านสามอย่างนี้ต้องระวังดีๆ
-2 มองอีกมุมหนึ่ง 1 คร 10:18-24
(เพื่อแบ่งแยกบริสุทธิ์แก่ร่างกายของเรา เป็นวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเป็นเจ้า)
18.จงพิจารณาดูพวกยิศราเอลตามเนื้อหนัง คนเหล่านั้นซึ่งกินของซึ่งบูชาแล้ว เขาก็กินเป็นการเข้าส่วนสักการบูชาต่อแท่นนั้นมิใช่หรือ.
19.ถ้าอย่างนั้นแล้วจะให้ข้าพเจ้าว่าอย่างไร? เครื่องบูชาที่ถวายรูปเคารพนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์หรือ และรูปเคารพนั้นศักดิ์สิทธิ์หรือ.
20.แต่ข้าพเจ้าว่าเครื่องบูชาซึ่งพวกต่างประเทศถวายนั้น เขาก็ถวายบูชาแก่พวกปีศาจ ไม่ได้ถวายบูชาแก่พระเจ้า และข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้ท่านทั้งหลายเข้าส่วนสักการบูชากับพวกปีศาจ.
21.ท่านทั้งหลายจะดื่มจากจอกขององค์พระผู้เป็นเจ้าและจากจอกของปีศาจด้วยก็ไม่ได้ จะรับประทานที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้าและที่โต๊ะของปีศาจด้วยก็ไม่ได้.
22.เราจะอุตส่าห์กระทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอิจฉาหรือ เรามีฤทธิ์มากกว่าพระองค์หรือ.
23.เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่สมควรที่เราจะทำทุกสิ่ง เราทำทุกสิ่งได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เรากระทำนั้นจะทำให้เราเจริญขึ้น.
24.อย่าให้ผู้ใดกระทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น แต่ให้คิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย.
และ กจ 15:19-20
19.เหตุฉะนั้นตามความเห็นของข้าพเจ้า อย่าให้เราวางเครื่องขัดขวางกีดกันคนต่างชาติ ซึ่งกลับมาหาพระเจ้านั้น.
20.แต่เราจงเขียนหนังสือฝากไปถึงเขาว่า ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่มลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากการรับประทานเลือด.
ผมมองในมุมมองและยึดปฏิบัติมุมมองที่2ครับ แต่อย่างไรก็ดี ก็แล้วแต่คนนะครับ ไม่บังคับกัน คุณคุยกับพระเยซูเจ้าแล้วโอเคตามมุมมองที่1หรือ2ก็ตามนั้นครับ
ความเห็นส่วนตัวผม ผมว่าตาม( มก 7:15-23)ก็ได้บอกกับเราอย่างชัดเจน แต่(กจ 15:19-20)ก็ชัดเจนเช่นกัน ถ้าเราสังเกตให้ดี เรื่องสัตว์ไม่สะอาดนั้น พระเจ้าค่อนค่างantiเบา
บอกว่ากินแล้วจะเป็นมลทิน แต่ก็ยังชำระได้
แต่เรื่องเลือดนั้นตั้งแต่อดีตกาล พระเจ้าantiหนักกว่ามากนะครับ ไม่ได้กล่าวว่ากินแล้วจะเป็นมลทินครับ แต่กล่าวว่า ถือเป็นการกินชีวิต(ลองหาอ่านดูครับGEN 9:4 LEV 7:26-27)แล้วยังย้ำอีกครั้งในยุคพันธสัญญาใหม่
ส่วนตัวผม ผมว่าเพื่อตัดปัญหา ผมไม่มองคนอื่น ผมเริ่มที่ตนเอง การไม่กินเลือด ไม่กินสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย ไม่กินของไหว้รูปเคารพ มันไม่ได้ส่งผลให้ผมขาดธาตุเหล็ก หรือสารอาหารอื่นๆใดๆ ในเมื่อพระคัมภีร์ได้บอกเรา ถ้าผมนอบน้อมต่อข้อพระคำ( มก 7:15-23)แล้ว จะนอบน้อมต่อข้อพระคำ(กจ 15:19-20)อีกซักข้อ จะเป็นไรไป แล้วมีใครกล้าที่จะปรับโทษผมหรอครับ กลับกัน ผมมองว่าจะได้เป็นจุดเด่น ได้เป็นเป้าสายตา เวลากินอาหารกับผู้ที่ไม่เชื่อ แล้วเรามีข้อแตกต่างกับเขา ทำให้มีโอกาสที่จะป่าวประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์แก่เขาด้วยซ้ำ นี่คือความเห็นส่วนตัว ล้วนไม่มีสิทธิที่จะบังคับกัน และบอกไม่ได้ด้วยว่าถ้ากินเลือดแล้วถูกหรือผิด แต่ถ้าไม่กิน ไม่มีใครหน้าไหนกล้าว่าคุณว่ากระทำผิด^^
ปล.ขอพระเป็นเจ้าอวยพระพร
พึ่งถามคุณพ่อมาเมื่อกี๋ครับ ได้คำตอบแล้วครับ
ห้ามกินเลือดนี่เป็นในยุคของชาวยิวก่อนพระเยซูมาครับ
แต่พอพระเยซูเจ้ามาเราก็ปฎิบัติตัวตามที่พระองค์ทรงสอนครับกินได้ทุกอย่างครับ
แล้วผมก็ถามคุณพ่ออีกเรื่อง คือเรื่องของไหว้เจ้า
(พอดีพ่อแม่แฟนเป็นพุทธ)
(แต่ครอบครัวผมเกิดมาไม่เคยไหว้เจ้า ไหว้พระจันทร์ ไหว้แต่พระคริสต์องค์เดียว)
คุณพ่อให้คำตอบว่าของไหว้ บรรพรุษปู่ย่าตายายกินได้ไม่เป็นไรครับ
คุณพ่อยังบอกอีกว่า ไม่ขโมยของใครมากินก็กินได้หมดแหละครับ
คุณพ่อบอกว่ายังไงวันศุกร์ก็ให้เรางดเนื้อสัตว์จะดีมาก
ห้ามกินเลือดนี่เป็นในยุคของชาวยิวก่อนพระเยซูมาครับ
แต่พอพระเยซูเจ้ามาเราก็ปฎิบัติตัวตามที่พระองค์ทรงสอนครับกินได้ทุกอย่างครับ
แล้วผมก็ถามคุณพ่ออีกเรื่อง คือเรื่องของไหว้เจ้า
(พอดีพ่อแม่แฟนเป็นพุทธ)
(แต่ครอบครัวผมเกิดมาไม่เคยไหว้เจ้า ไหว้พระจันทร์ ไหว้แต่พระคริสต์องค์เดียว)
คุณพ่อให้คำตอบว่าของไหว้ บรรพรุษปู่ย่าตายายกินได้ไม่เป็นไรครับ
คุณพ่อยังบอกอีกว่า ไม่ขโมยของใครมากินก็กินได้หมดแหละครับ
คุณพ่อบอกว่ายังไงวันศุกร์ก็ให้เรางดเนื้อสัตว์จะดีมาก