ความรู้เรื่องนี้ คือการเคลื่อนไหวในด้านการตีความศาสนาในยุคสมัยของเราเอง ซึ่งมีการตีความแตกต่างกันไปบ้างตามบริบทท้องถิ่น แต่ขอแจ้งก่อนว่า เทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อย นี้ ไม่ได้รับการยอมรับจากวาติกันนะครับ แต่ให้เราได้เรียนรู้ไว้ เพราะ เทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อย นี้ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศบางประเทศอยุ่ครับ
------------------------------------------------------------------
เทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อย
Liberation Theology
โดย Cosmologist 1July 2002
------------------------------------------------------------------
เทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อย
ในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๖๐ ประเทศลาตินอเมริกาส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้การปกครองระบบเผด็จการ โดยประชาชนส่วนใหญ่ต่างจมปลักอยู่ในความยากจนแบบชนิดที่ว่าหาทางออกไม่เจอ เนื่องจากบรรดาเหล่าทรราชและลูกสมุนทั้งหลายต่างพากันกอบโกยผลประโยชน์ของประเทศชาติเข้าพกเข้าห่อบรรดาพรรคพวกตนเอง พวกเขาเหล่านั้นต่างพากันเสวยสุขท่ามกลางความทุกข์ยากของประชากรทั้งหลาย โดยใช้อำนาจเผด็จการทางทหารเป็นเครื่องมือในการกดขี่ข่มเหงประชาชนทุกหมู่เหล่า
เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ (กว่าร้อยละ ๙๕) ของประเทศกลุ่มลาตินอเมริกานับถือศาสนาคริสต์ บรรดาผู้นำทางศาสนาต่างก็ไม่สามารถนิ่งดูดายอยู่ได้ จึงได้มีการจัดประชุมสภาสังฆราชแห่งประเทศลาตินอเมริกาขึ้นในปีค.ศ. ๑๙๖๘ ขึ้นที่เมืองเมเดลลิน ในประเทศโคลัมเบีย
ที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์ยืนยันถึงสิทธิอันชอบธรรมของบรรดาคนยากจน และตอกย้ำว่าบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้วต่างเอาเปรียบประเทศโลกที่สามเพื่อผลประโยชน์และความมั่งคั่งของตนเอง และนี่ก็คือจุดกำเนิดของเทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อย
ต่อมาบาทหลวง Gustavo Gutierrez ซึ่งเป็นบาทหลวงคณะเยซูอิต และเป็นนักเทวศาสตร์ชาวเปรูได้เป็นผู้จุดประกายแนวความคิดด้านเทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อยโดยการตีพิมพ์หนังสือชื่อ “Teologia de la liberacion (A Theology of Liberation – เทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อย) ขึ้นเมื่อปีค.ศ. ๑๙๗๑
แนวความคิดนี้เชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงตรัสผ่านบรรดาคนยากจนเป็นกรณีพิเศษ และเชื่อมั่นว่ามนุษย์เรานี้จะสามารถเข้าใจในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้อย่างถ่องแท้ก็ต่อเมื่อพวกเรามองพระคัมภีร์ผ่านมุมมองของคนยากจน โดยในขณะที่พระเยซูเจ้าทรงออกเทศนาสั่งสอนนั้น พระองค์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางคนยากจน พระองค์ทรงถือความยากจนและความสมถะ และไม่ทรงยอมก้มหัวให้กับบรรดาเศรษฐี, พวกฟารีสี และบรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองจนถูกพวกเขาเหล่านั้นจับพระองค์ไปทำการตรึงกางเขน
นักเทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อยประกาศจุดยืนว่า พระศาสนจักรคาทอลิคในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกานั้น เป็นพระศาสนจักรของบรรดาคนยากจน และเป็นพระศาสนจักรเพื่อคนยากจน และแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากพระศาสนจักรคาทอลิคในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นพระศาสนจักรของคนรวย
พวกเขาได้พากันก่อตั้งชุมชนคริสตชนระดับรากหญ้า (base communities) (โดยแต่ละชุมชนจะมีสมาชิกประมาณ ๑๐ – ๓๐ คน) ขึ้นทั่วกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาจำนวนหลายแสนแห่ง เพื่อทำการศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ลร่วมกัน และให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในกรณีที่สมาชิกคนใดคนหนึ่งขัดสนด้านอาหาร, น้ำ, การขจัดสิ่งโสโครก, ไฟฟ้า ฯลฯ
วัตถุประสงค์หลักข้อหนึ่งของเทวศาสตร์นี้ก็คือการปลดปล่อยคนยากจน ให้หลุดพ้นจากวัฎจักรแห่งความยากจน (ซี่งเป็นที่มาของคำว่า “การปลดปล่อย” ในที่นี้) และนำมาซึ่งความยุติธรรมและความเสมอภาคในด้านโอกาสที่คนยากจนจะสามารถก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และมีสิทธิเสรีภาพทางการเมือง และเนื่องจากสภาพทางการเมืองในประเทศลาตินอเมริกาในขณะนั้น การปลดปล่อยนั้น หากไม่อาจสามารถบรรลุได้ด้วยสันติวิธี เนื่องจากอำนาจเผด็จการทางทหาร – หากจำเป็นต้องทำการต่อสู้ทางการเมืองและทางทหารเพื่อให้ได้มาซึ่งการปลดปล่อยดังกล่าวแล้วละก็ – อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด
อีกสาเหตุหนึ่งของความยากจนและการถูกกดขี่ของประชากรในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกานั้น ก็คือระบบทุนนิยม โดยเฉพาะทุนนิยมจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ดังนั้นเป้าหมายอีกประการหนึ่งของเทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อยก็คือ การปลดปล่อยประเทศกลุ่มลาตินอเมริกาให้หลุดพ้นจากแอกของบรรดาบรรษัทข้ามชาติทั้งหลาย และในการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยประชากรชาวลาตินอเมริกาให้หลุดพ้นจากแอกของระบบทุนนิยมและเผด็จการทหารนั้นย่อมไม่มีทางที่จะหลีกพ้นจากการจับมือเป็นพันมิตรกับกลุ่มที่นิยมลัทธิมาร์กซิสต์ซึ่งมีอุดมการร่วมกัน
เทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อย
บทบาทของเทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อยในสงครามกลางเมืองในประเทศนิคารากัว
ในปีค.ศ. ๑๙๓๔ ประธานาธิบดี Agusto Cesar Sandino ได้ถูกลอบสังหารโดยทหารนายหนึ่งในกองกำลังแห่งชาติ และได้กลายเป็นวีรบุรุษและแบบอย่างของกองกำลังกู้ชาติในเวลาต่อมาซึ่งใช้ชื่อว่า กลุ่ม Sandinista
ต่อมา ในปีค.ศ. ๑๙๓๗ นายพล Anastasio Somoza Garcia ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองและสืบทอดอำนาจให้แก่บุตรชายของตนคือ ประธานาธิบดี Anastasio Somoza Debayle ในปีค.ศ. ๑๙๖๗
ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ตระกูล Somoza ปกครองประเทศนิคารากัวด้วยอำนาจเผด็จการนั้น พวกเขาได้ทำการกดขี่รีดนาทาเล้นประชากรชาวนิคารากัวทั้งด้านสังคม, เศรษฐกิจและการเมืองจนประเทศนี้กลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีสหรัฐอเมริกาหนุนหลังอยู่
ในปีค.ศ. ๑๙๖๑กลุ่มคนปัญญาชนคนหนุ่มสาวจำนวนมาก ได้รวมตัวและก่อตั้งกลุ่มกู้ชาติ Sandinista National Liberation Front (FSLN) ขึ้น โดยในจำนวนนี้มีบาทหลวงคณะเยซูอิตท่านหนึ่งคือ บาทหลวง Fernando Cardenal และน้องชายของท่านคือบาทหลวง Ernesto Cardenal ซึ่งต่างก็มีบทบาทสำคัญในการกู้ชาติครั้งนั้น
จากการที่คณะเยซูอิตได้ตั้งรกรากในประเทศนิคารากัวมายาวนานกว่าองค์กรอื่น ๆ ทุกแห่ง (คือตั้งแต่ปีค.ศ.๑๖๐๐) และบรรดาโรงเรียน, มหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาของคณะเยซูอิตในประเทศนั้นจึงเป็นแหล่งที่มาของปัญญาชนแทบทุกคนในประเทศนั้น การที่บาทหลวงเยซูอิตได้เข้าร่วมขบวนการกู้ชาติดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ต่อความสำเร็จของการกู้ชาติ กับทั้งยังเป็นกำลังขับดันที่สำคัญ และทำให้ขบวนการกู้ชาติดังกล่าวเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศนิคารากัวเองและในประชาคมโลก
การที่กลุ่มผู้ก่อตั้งขบวนการกู้ชาติ Sandinista นั้นยึดมั่นในอุดมการณ์มาร์กซิสต์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไป ซึ่งกว่าร้อยละ ๙๐ เป็นคาทอลิคโดยปราศจากการสนับสนุนจากพระศาสนจักรคาทอลิค ดังนั้นจึงจำเป็นที่พวกเขาจะต้องได้รับการสนับสนุนจากพระศาสนจักรคาทอลิค ทั้งในด้านบุคคลากรและในด้านเทวศาสตร์
ณ จุดนี้ บาทหลวง Fernando Cardenal ได้เข้ามามีบทบาทอย่างสูง โดยได้นำเอาเทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อย (ตามที่ได้อธิบายไว้ข้างบน) เข้ามาโน้มน้าวจิตใจของชาวคาทอลิคให้หันมาสนับสนุนการปลดปล่อยในครั้งนี้
เทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อยได้กลายเป็นพิมพ์เขียวที่สมบูรณ์ที่สุดของกลุ่ม Sandinista เนื่องจากเทวศาสตร์ฯ นี้มีอุดมการณ์เช่นเดียวกับระบบมาร์กซิสต์ คือการต่อสู่ของมวลชนให้หลุดพ้นจากการครอบงำของระบบทุนนิยม ฯลฯ
หลังจากบรรดาบาทหลวงและนักบวชคาทอลิคหลายร้อยท่านได้เข้าร่วมขบวนการกู้ชาติ และได้ทำการเผยแพร่ความหมายของเทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อยจนเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนิคารากัวแล้ว ก็ไม่เป็นการยากที่ขบวนการกู้ชาติ Sandinista จะประสพชัยชนะเผด็จการ Somoza ในที่สุด
โดยเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน กลุ่มกู้ชาติ Sandinista ก็สามารถเข้ายึดครองเมืองหลวง Managua ได้และได้ก่อตั้งรัฐบาลปกครองประเทศนิคารากัวในที่สุด
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในปีค.ศ. ๑๙๓๔ ประธานาธิบดี Agusto Cesar Sandino ได้ถูกลอบสังหารโดยทหารนายหนึ่งในกองกำลังแห่งชาติ และได้กลายเป็นวีรบุรุษและแบบอย่างของกองกำลังกู้ชาติในเวลาต่อมาซึ่งใช้ชื่อว่า กลุ่ม Sandinista
ต่อมา ในปีค.ศ. ๑๙๓๗ นายพล Anastasio Somoza Garcia ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองและสืบทอดอำนาจให้แก่บุตรชายของตนคือ ประธานาธิบดี Anastasio Somoza Debayle ในปีค.ศ. ๑๙๖๗
ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ตระกูล Somoza ปกครองประเทศนิคารากัวด้วยอำนาจเผด็จการนั้น พวกเขาได้ทำการกดขี่รีดนาทาเล้นประชากรชาวนิคารากัวทั้งด้านสังคม, เศรษฐกิจและการเมืองจนประเทศนี้กลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีสหรัฐอเมริกาหนุนหลังอยู่
ในปีค.ศ. ๑๙๖๑กลุ่มคนปัญญาชนคนหนุ่มสาวจำนวนมาก ได้รวมตัวและก่อตั้งกลุ่มกู้ชาติ Sandinista National Liberation Front (FSLN) ขึ้น โดยในจำนวนนี้มีบาทหลวงคณะเยซูอิตท่านหนึ่งคือ บาทหลวง Fernando Cardenal และน้องชายของท่านคือบาทหลวง Ernesto Cardenal ซึ่งต่างก็มีบทบาทสำคัญในการกู้ชาติครั้งนั้น
จากการที่คณะเยซูอิตได้ตั้งรกรากในประเทศนิคารากัวมายาวนานกว่าองค์กรอื่น ๆ ทุกแห่ง (คือตั้งแต่ปีค.ศ.๑๖๐๐) และบรรดาโรงเรียน, มหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาของคณะเยซูอิตในประเทศนั้นจึงเป็นแหล่งที่มาของปัญญาชนแทบทุกคนในประเทศนั้น การที่บาทหลวงเยซูอิตได้เข้าร่วมขบวนการกู้ชาติดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ต่อความสำเร็จของการกู้ชาติ กับทั้งยังเป็นกำลังขับดันที่สำคัญ และทำให้ขบวนการกู้ชาติดังกล่าวเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศนิคารากัวเองและในประชาคมโลก
การที่กลุ่มผู้ก่อตั้งขบวนการกู้ชาติ Sandinista นั้นยึดมั่นในอุดมการณ์มาร์กซิสต์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไป ซึ่งกว่าร้อยละ ๙๐ เป็นคาทอลิคโดยปราศจากการสนับสนุนจากพระศาสนจักรคาทอลิค ดังนั้นจึงจำเป็นที่พวกเขาจะต้องได้รับการสนับสนุนจากพระศาสนจักรคาทอลิค ทั้งในด้านบุคคลากรและในด้านเทวศาสตร์
ณ จุดนี้ บาทหลวง Fernando Cardenal ได้เข้ามามีบทบาทอย่างสูง โดยได้นำเอาเทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อย (ตามที่ได้อธิบายไว้ข้างบน) เข้ามาโน้มน้าวจิตใจของชาวคาทอลิคให้หันมาสนับสนุนการปลดปล่อยในครั้งนี้
เทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อยได้กลายเป็นพิมพ์เขียวที่สมบูรณ์ที่สุดของกลุ่ม Sandinista เนื่องจากเทวศาสตร์ฯ นี้มีอุดมการณ์เช่นเดียวกับระบบมาร์กซิสต์ คือการต่อสู่ของมวลชนให้หลุดพ้นจากการครอบงำของระบบทุนนิยม ฯลฯ
หลังจากบรรดาบาทหลวงและนักบวชคาทอลิคหลายร้อยท่านได้เข้าร่วมขบวนการกู้ชาติ และได้ทำการเผยแพร่ความหมายของเทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อยจนเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนิคารากัวแล้ว ก็ไม่เป็นการยากที่ขบวนการกู้ชาติ Sandinista จะประสพชัยชนะเผด็จการ Somoza ในที่สุด
โดยเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน กลุ่มกู้ชาติ Sandinista ก็สามารถเข้ายึดครองเมืองหลวง Managua ได้และได้ก่อตั้งรัฐบาลปกครองประเทศนิคารากัวในที่สุด
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++