คำสอนเรื่องความรุ่งเรืองและการพยากรณ์ โดย ดร.ศิลป์ชัย

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ก.ค. 23, 2011 6:46 am

คำสอนเรื่องความรุ่งเรืองและการพยากรณ์

โดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์

รูปภาพ

ระยะนี้ผู้เีขียนมีเหตุสุดวิสัยที่จำต้องช่วยเป็นล่ามแปลคำเทศนาให้กับนักเทศน์จากต่างประเทศอยู่หลายครั้งหลายหน การทำหน้าที่นี้หลายครั้งก็เป็นเรื่องที่ได้รับพระพรมากเพราะคำเทศน์คำสอนของวิทยากรบางท่านก็ดีมาก เป็นพรแก่ผู้ฟังมาก ในฐานะของผู้ล่ามก็พลอยชื่นชมยินดีไปด้วย

แต่บางครั้งก็ไม่เป็นเช่นนั้น! บางครั้งผู้เทศน์ผู้สอนบางท่านก็พูดบางเรื่องที่ผู้เขียนเองไม่ค่อยเห็นด้วย และรู้สึกอึดอัดใจที่ต้องแปลออกไป

ตัวอย่างเช่น ไม่นานมานี้มีผู้เทศน์จากต่างประเทศบางท่านที่ผู้เีขียนมีเหตุต้องเป็นล่ามให้ พอถึงช่วงหนึ่งท่านเทศนาว่า

"...พระเจ้าทรงช่วยอิสราเอลให้ออกจากการเป็นทาส และให้ทุกคนมีที่ทำกินของตนเอง นั่นหมายความว่าพระเจ้าไม่มีพระประสงค์ให้ใครเป็นลูกจ้าง พระเจ้าอยากให้ผู้เชื่อทุกคนเป็นเจ้าของธุรกิจ..."

แถมยังเสริมด้วยพระคัมภีร์อีกข้อว่า "พระเจ้าสร้างให้เราเป็นหัว ไม่ใช่ให้เป็นหาง...ให้เป็นมือบน ไม่ใช่มือล่าง..."

ถึงตรงนี้ผู้เขียนอึ้งเลย เพราะไม่เห็นด้วย จึงรู้สึกอึดอัดใจที่ต้้องแปลออกไป แน่นอนละ เป็นลูกจ้างนี้มันไม่ดียังไง มันต่ำต้อยตรงไหน เห็นได้ชัดว่าูผู้เทศน์ไม่เข้าใจความแตกต่างทางบริบทของสังคมยิวโบราณยุคโมเสสกับสังคมปัจจุบัน แต่สุดท้ายเพื่อให้เรื่องดำเนินต่อไปได้ และเพื่อรักษาหน้าของนักเทศน์ด้วยก็เลยจำต้องแปลออกไปโดยออกตัวก่อนว่า "อาจารย์ท่านบอกอย่างนี้ว่า..." แล้วก็ต่อด้วยเนื้อความตามที่ท่านเทศน์

ดีใจที่หลังเทศน์คืนนั้นเสร็จ มีพี่น้องคริสเตียนบางคนมากระซิบถามผู้เขียนว่านักเทศน์ท่านนี้เทศน์ถูกต้องแน่หรือ? พวกเขาฟังแล้วไม่สบายใจ ผู้เขียนได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจว่าผู้ฟังแยกแยะได้

แต่ที่ไหนได้...สองวันต่อมาได้พบผู้ฟังบางท่านบอกมาว่า เขาตัดสินใจจะไม่ไปสมัครงานที่ไหน จะหาทางทำธุรกิจเอง เพราะอาจารย์จากต่างประเทศวันก่อนสอนว่า พระเจ้าไม่อยากให้เราไปเป็นลูกจ้างใคร พระเจ้าอยากให้เราเป็นหัว ไม่ใช่เป็นหาง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ก.ค. 23, 2011 6:49 am

นักเทศน์จากต่างประเทศอีกท่านนึงที่ผู้เขียนต้องช่วยล่าม พอเทศน์ถึงจุดนึงก็พูดว่า "พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่และมั่งคั่ง เราเป็นบุตรของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และมั่งคั่ง ฉะนั้น ต้องอย่าอยู่อย่างยากจน อย่าเน้นความประหยัดมัธยัสถ์ แต่จงเน้นที่ความสุขสบาย และเวลาอธิษฐานอะไร จงขอสิ่งที่ดีที่สุด อย่าขออะไรเล็กๆ น้อย นั่นเท่ากับดูถูกพระเจ้า..." นี่ก็อึ้งอีกเหมือนกัน

และยังจำได้ด้วยว่า หลังการเทศนา มีผู้ฟังบางคนอธิษฐานออกเสียงขอรถโดยระบุยี่ห้อหรูลงไปด้วย

ที่จริงแล้วภาพรวมของพระวจนะให้ความเข้าใจแก่เราว่า พระเจ้าทรงอวยพรแด่ผู้เชื่อได้ และทรงอวยพรแด่ผู้เชื่อที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ...นี่เป็นความจริง แต่นั่นไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวของพระพร ยังมีเรื่องการดำเนินชีวิตที่ดี มีวินัย และใช้ปัญญาด้วย อีกทั้งยังต้องเหลือช่องเผื่อไว้สำหรับสิ่งที่เรียกว่า...น้ำพระทัยพระเจ้า

รูปภาพ


ที่จริงแล้่ว ศาสนศาสตร์หรือหลักความเชื่อเรื่องความมั่งคั่ง (The Gospel of Prosperity) นี้ เป็นที่กล่าววิจารณ์กันทั่วโลกมานานแล้วว่า เป็นดาบสองคมจริงๆ นั่นก็คือ ด้านหนึ่งคำสอนนี้ก็เป็นสิ่งที่หนุนใจคริสตชน และช่วยดึงดูดคนมากมายให้หันมาหาพระเจ้า ให้วางใจในการจัดเตรียมและการอวยพรของพระเจ้า

แต่ในทางตรงกันข้าม คำสอนนี้ก็ส่งผลให้เกิดลักษณะนิสัยที่ไม่ดีในตัวคริสตชนจำนวนมากด้วย หลายคนเอาแต่ใช้ความเชื่อและใช้การถวายมาเป็นเงื่อนไขในการรอคอยพระพร และบีบคั้นให้พระเจ้าต้องทำตามใจตนเอง จนทำให้ตนเองกลายเป็นคนเกียจคร้าน ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ วินัย ความเพียร ความอดทน ความอดออม และโง่เขลา คือไม่ใช้สติปัญญาความคิดสร้างสรรค์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ที่ว่านี้ยังไม่แย่ที่สุดนะ !

สิ่งที่ถือว่าแย่ที่สุดจริงๆ ของหลักคำสอนนี้ก็คือ คำสอนนี้ส่งผลให้คริสตชนจำนวนมากกลายเป็นคนโลภ ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย อีกทั้งยังรังเกียจการมีชีวิตที่เรียบง่าย พอเพียง มัธยัสถ์ และมองว่าชีวิตเช่นนี้คือชีวิตที่พระเจ้าไม่อวยพร เป็นชีวิตที่ขาดความเชื่อ และชีวิตที่พระเจ้าไม่พอพระทัย!!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ก.ค. 23, 2011 6:55 am

อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเผยพระวจนะหรือการพยากรณ์อีกด้วย เร็วๆ นี้ผู้เขียนต้องไปเป็นล่ามให้นักเทศน์จากต่างประเทศอีกท่าน เมื่อเทศน์จบท่านก็เชิญชวนคนเดินออกมาข้างหน้า แล้วก็พยากรณ์ให้กับแต่ละคน ท่านพยากรณ์ให้แก่คนหนึ่งว่าจะหลุดจากปัญหาหนี้สินทั้งปวง คนๆนั้นก็ดีใจมาก ผู้เขียนซึ่งช่วยเป็นล่ามให้ก็พลอยดีใจกับเขาไปด้วย แต่ผ่านไปสองวัน บุคคลนั้นโทรมาบอกผู้เขียนว่าเขามีปัญหาหนี้สินหนักมาก ถึงขนาดจะต้องติดคุก ท้ายสุดผู้เขียนเองกับพี่น้องคริสเตียนอีกคนเลยต้องควักกระเป๋าช่วยเขาไป และต้องบอกว่าหลายสตังค์อยู่

เปล่า! ก็ไม่ได้จะว่าใครหรอก เพียงแต่อยา่กรู้ว่า ท่านอาจารย์ที่วางมือพยากรณ์ให้น่ะ ต้องรับผิดชอบอะไรในเรื่องนี้บ้างไหม? เพราะเห็นคนเขาพูดกันว่า ถ้าไปหาหมอดูแล้วทายไม่แม่น ให้กลับไปต่อว่าได้!

แล้วนี่ถ้าไปพยากรณ์อะไรให้ใครในเรื่องที่มีความเสี่ยงสูง แล้วบุคคลนั้นเชื่อเต็มที่จนตัดสินใจกระทำสิ่งนั้นโดยไม่เผื่อใจหรือเผื่อผิดพลาดไว้เลย ผลจะเป็นยังไง? เช่น สมมติไปพยากรณ์ใครว่า ให้ไปลงทุนในเรื่องนี้แล้วจะร่ำรวย แล้วคนนั้นไปทุ่มทุนทุ่มเทสุดตัว แล้วเกิดไม่เป็นดังนั้นล่ะ ผู้พยากรณ์ต้องรับผิดชอบอะไรไหม?

รูปภาพ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ต้องออกตัวก่อนว่า ผู้เขียนมีความเชื่อในเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ เชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยว่าพระเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่ง และยังทรงทำการเหนือธรรมชาติอยู่ในทุกวันนี้ และมีประสบการณ์ตรงกับการอัศจรรย์์ของพระเจ้าอยู่เสมอ รวมทั้งเชื่อในการอวยพรของพระเจ้า เชื่อในการเผยพระวจนะและการสำแดง และประสบทั้งของจริงและของปลอมมาแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องยืนยันว่า การสอนในเรื่องพระพร ความรุ่งเรืองมั่งคั่ง ไปจนถึงเรื่องการเผยพระวจนะหรือพยากรณ์นั้น ต้องสอนและกระทำอย่างถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ที่ผ่านการพิจารณาจากกระบวนการทางศาสนศาสตร์ที่ดี ไม่ใช่เพียงแค่ยึดจากพระคัมภีร์ข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น

ศาสนศาสตร์ที่ดีต้องมีรากฐานอยู่บนพระคัมภีร์ โดยพิจารณาอย่างครอบคลุมแง่มุมต่างๆ ให้ครบรอบด้าน และมีความสมดุล !!!

หรือการจะเผยพระวจนะหรือพยากรณ์ให้ใครก็ต้องได้รับการสำแดงจากพระเจ้าอย่างชัดเจนจริงๆ มิฉะนั้นแล้วการเผยนั้นก็จะกลายเป็นการหลอกตนเอง หลอกผู้คน ซึ่งก็จะทำให้พระนามพระเจ้าเสียหาย ดังที่เป็นที่กล่าวถึงมาโดยตลอดตามสื่อสาธารณะต่างๆ ทั่วไปทั้งในและต่างประเทศในทุกวันนี้

มีข้อแนะนำบางประการในการเผยพระวจนะที่น่าคิด โดยนักศาสนศาสตร์ชั้นครูบางท่านอย่าง Wayne Grudem ท่านเสนออย่างนี้ว่า "ถ้าไม่ชัดเจนจริงๆ แล้ว เลี่ยงการใช้คำว่า "พระเ้จ้าตรัสว่า..." เป็น "ผมรู้สึกว่าพระเจ้าอยากให้ผมบอกคุณว่า..." น่าจะปลอดภัยกว่า"

นอกจากนี้ผู้ฟังเองก็ต้องฟังด้วยความระมัดระวังด้วย การมีความเชื่อในพระเจ้าและเชื่อพระวจนะของพระเจ้าเป็นเรื่องดี แต่ต้องเืชื่อด้วยความเข้าใจด้วยว่า ความเชื่อที่ว่านั้นมีเนื้อหาอย่างไร พระวจนะกล่าวว่า "จงพิสูจน์ทุกสิ่ง..." (1 เธสะโลนิกา 5:21) และ "...อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆวิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก" (1 ยอห์น 4:1) อันนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบด่วนสรุปว่า ผู้ที่สอนผิดหรือพยากรณ์ผิดทุกคนถือเป็นผู้พยากรณ์เท็จเสมอไป เพราะบางทีการสอนผิดพยากรณ์ผิดบางเรื่อง มันเป็นความผิดพลาดเชิงเทคนิคที่น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน เช่น เห็นมาผิดๆ ก็เลยเลียนแบบกันมาผิดๆ ซึ่งตัวผู้เทศน์เองก็ไม่รู้ว่ามันผิด เรียกว่าผิดพลาดโดยสุจริตใจคงได้กระมัง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าทำไปเพื่อหวังสร้างความประทับใจให้ผู้ฟังด้วยหรือเปล่า

มีผู้รับใช้ที่เน้นการเผยพระวจนะอีกท่านแนะนำไว้ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าดี ท่านบอกว่า ถ้าได้รับการพยากรณ์อะไรที่เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูง อย่าเพิ่งด่วนคล้อยตามทันที แต่ให้ตรวจสอบกับการพยากรณ์ของหลายๆ คนก่อนว่าตรงกันหรือไม่ เพื่อให้มั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น

สวัสดี

http://kaochristian.blogspot.com/2011/0 ... _9402.html
s.gabriel
โพสต์: 1011
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 2:21 pm

เสาร์ ก.ค. 23, 2011 9:27 am

ผมอ่านแล้วก็รู้สึกอึดอัดตาม ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ ไปด้วยครับ
เพราะสิ่งที่จะมาแปลให้คนฟังมันขัดต่อหลักมโนธรรมของตัวเอง
แต่ก็ต้องทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดี
ก็เลยต้องแปลตามคนเทศน์ไปทั้งที่ใจไม่ชอบ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ ก.ค. 24, 2011 7:12 am

อ่านแล้วสงสารผู้ฟัง
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

อังคาร ก.ค. 26, 2011 10:22 pm

(ขอออกความเห็นในมุมมองของคริสเตียนนะครับ)
เรื่องการพยากรณ์หรือคําเทศนา ไม่ว่าจะฟังที่ไหน เวลาฟังเราต้องใช้วิญญาณวินิจฉัยนะครับ ไม่ใช่ว่าอ้างพระคัมภีร์แล้วจะเป็นของแท้เสมอไป อย่าลืมว่ามารมันก็รู้พระคัมภีร์นะครับ รู้มากด้วย

ถ้าคําพยากรณ์หรือคําเทศนาเป็นมาจากพระเจ้า เราฟังแล้ว(คนที่มีพระวิญญาณอยู่ภายในแล้ว{ผู้เชื่อ})เราก็สัมผัสถึงได้(ไม่ใช่รู้สึกดีใจ แต่เป็นความรู้สึกสงบสุขที่มาจากพระเจ้า). แต่ถ้าไม่เป็นมาจากพระเจ้า วิญญาณภายในเราก็จะรู้สึกว่ามีการต่อต้าน(เช่นฟังแล้วรู้สึกอึดอัดใจดังที่กล่าวข้างต้น). แต่อย่างไรก็ดี ผู้ฟังก็ควรพิจารนาด้วยว่าการเข้าร่วมในการประชุมที่ใดที่หนึ่งนั้น เป็นนํ้าพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ พระคําของพระองค์บอกกับเราเช่นนี้หรือเปล่า

ถึงผมอายุไม่มาก แต่ไม่ว่าจะจากประสบการณ์จริงส่วนตัว หรือจากที่เห็นได้ในพระคัมภีร์ ถ้าสังเกตดูจะเห็นได้ว่า นิมิต หรือคําพยากรณ์ที่แท้จริงนั้น ล้วนพุ่งเป้าไปยังพระคริสต์ และคริสตจักร(ekklesiaกลุ่มชนที่ถูกเรียกออกมา){ถ้าในพธ.เดิมจะสื่อถึงพลไพร่อิสราเอลหรือไม่ก็พระวิหาร ซึ่งก็เล็งถึงคริสตจักรในยุคพธ.ใหม่}และล้วนจะมีผลเพื่อก่อประโยชน์ให้แก่ทั้งสองสิ่งที่กล่าวข้างต้นนี้ ไม่ใช่นิมิตหรือคําพยากรณ์เกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตัว (เรื่องนี้พี่น้องคาทอลิกพิจาวณาดูก็ได้ครับ ไม่ว่าคําพยากรณ์ นิมิต การประจักษ์ ฯลฯ ล้วนแต่เพื่อส่งเสริมการจําเริญฝ่ายวิญญาณ เพื่อภาพรวมของคริสตชน ไม่ใช่เพื่อการจําเริญทางธุรกิจ หรืออะไรต่างๆฝ่ายกายเนื้อหนัง) ทั้งนี้ผมไม่ได้หมายความว่าคําพยากรณ์

เช่น โรคจะหาย(ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องส่วนตัว)เป็นคําพยากรณ์เท็จนะครับ แต่ลองพิจารณาดีๆแล้ว การหายโรคเป็นเรื่องส่วนตัวก็จริง แต่เมื่อเราหายแล้ว เราจะได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้น ท้ายที่สุดก็เป็นผลดีต่อการเสริมสร้างคริสตจักรอยู่ดี เพราะเราทุกคนล้วนเป็นวัสดุในการก่อสร้างบ้านของพระเจ้าโดยพระเจ้า(ไม่ใช่อันที่ก่อขึ้นโดยมือมนุษย์)

อิมมานูเอล
ตอบกลับโพส