+ แอนดริว เกร้กสัน ชีวิตในพระเจ้า ความรัก และศรัทธา +

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ส.ค. 20, 2011 4:58 pm

แอนดริว เกร้กสัน
เผยชีวิตด้านใน พระเจ้า ความรัก และศรัทธา เติมเต็มจิตวิญญาณ ให้เปี่ยมด้วยความสุข


บรรยากาศยามอาทิตย์อัสดงริมทะเลหัวหินในวันนี้ จะเป็นอีกโมเม้นท์หนึ่งที่พวกเราทีมงานสุขกายสบายใจจะต้องจดจำและประทับใจไปอีกแสนนาน เพราะเราได้มีโอกาสนั่งล้อมวงสนทนากับพระเอกคนดังที่ได้ชื่อว่ามีชีวิตลึกลับอันดับต้นๆ ของวงการบันเทิง

หลังจากที่เราหอบหิ้วกันมาจากกรุงเทพฯ และตั้งใจทำงานกลางแดดร้อนจัด บวกกับต้องแข่งกับเวลามาทั้งวันจนได้ภาพสวยๆ ที่เป็นตัวของตัวเองที่สุดของนายแบบสุดหล่อ แอนดริว เกร้กสัน ทำให้เย็นย่ำค่ำนี้ทั้งทีมงานและแอนดริวต่างอ่อนล้าไปตามๆ กัน

แต่ถึงอย่างไรทีมงานทุกคนก็ให้คะแนนความสุขเต็มร้อยสำหรับการทำงานในวันนี้ เพราะเราต่างสัมผัสได้ถึงความน่ารักเป็นกันเอง และความเป็นมืออาชีพของนายแบบ พร้อมทั้งอิ่มใจไปกับบทสนทนาที่ทำให้เราได้รับรู้ถึงชีวิตด้านใน ความรัก และความศรัทธาที่มาเติมเต็มจิตวิญญาณของเขาให้เปี่ยมไปด้วยความสุข และเป็นความสุขที่สัมผัสได้ เดี๋ยวนี้


รูปภาพ

-*-เกือบ 20 ปีที่ทำงานในวงการบันเทิง แต่ก็ยังเป็นพระเอกถึงทุกวันนี้

เพราะว่าพระเจ้ายังอยากให้ผมเป็นอยู่ครับ ผมเชื่อในพระเจ้าเหมือนที่ในพระคัมภีร์บอกว่า เราหว่านเมล็ดพืช เราปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน แต่ถ้าพระเจ้าไม่ให้มันโต ยังไงมันก็ไม่โต แต่ถ้าพระเจ้าจะให้มันเกิดมา ต่อให้มันอยู่ในทะเลทรายมันก็เกิดขึ้นมาได้ ก็คงเหมือนกันแหละครับ ผมรู้สึกว่าพระเจ้ายังอยากให้ผมอยู่ในวงการนี้ และพระเจ้าก็อวยพรในงานที่ผมทำเสมอ ซึ่งมีหลายครั้งผมก็รู้สึกเลยว่า นิสัยอย่างผมมาทำงานอย่างนี้ได้ยังไง แต่พระเจ้าก็ให้ผมทำได้ ขอบคุณพระเจ้าครับ

มีช่วงหนึ่งที่เข้าวงการใหม่ๆ ตอนนั้นผมยังไม่ได้เล่นละครเลย ก็มีงานถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา แล้วก็มาเล่นหนังเป็นช่วงแรกที่ผมยังไม่รู้ว่า การทำงานจริงๆ มันเป็นยังไง เหมือนสมัยตอนเรียนหนังสือ คนอื่นเขาก็บอกว่าให้ตั้งใจเรียนนะ ผมก็ไม่รู้ว่าการตั้งใจเรียนมันเป็นยังไงผมไม่รู้จริงๆ แต่ผมก็รู้ว่าผมต้องไปโรงเรียน เรียนหนังสือก็ตามๆ เพื่อนไปเรื่อยๆ โดยที่ผมไม่รู้หรอกว่าเรียนแล้วจะเป็นอะไร บางครั้งผมก็หาคำตอบที่มันดูดี พอตอบแล้วดูโอเคหน่อยว่าอนาคตเราอยากจะเป็นอะไร

-*-เด็กๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเข้าวงการบันเทิง


เวลาที่ได้ยินคนอื่นเขาถามว่า โตไปอยากทำอะไร ผมคิดนะแต่ผมไม่รู้ ยังไม่มีคำตอบในใจ พอได้มาทำงานในวงการบันเทิง ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เวลาที่ผมมองนักแสดงที่มีชื่อเสียงหรือนัการเมือง เรารู้สึกว่าดูดีจังเพราะเรามองเห็นแต่ด้านที่ประสบความสำเร็จของเขา ก็เหมือนกันผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมเข้ามาในวงการบันเทิงทำไม อย่างตอนถ่ายโฆษณา เขาบอกให้วิ่งเราก็วิ่งแค่นั้นเอง ได้แต่ตั้งใจทำตามที่เขาบอก ทำงานก็อย่างนี้แหล่ะครับคือทำตามที่เขาบอก ตอนเด็กๆ ก็มีดื้อบ้างเพราะบางอย่างก็ไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม ซักพักก็เริ่มรู้สึกได้เองว่าอยากจะทำงานให้มันออกมาดี เพราะเห็นคนอื่นๆ ที่เขาตั้งใจทำงานแล้วออกมาดี ก็อยากเป็นแบบนั้นบ้าง ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งแรกที่คิดว่าอยากจะตั้งใจทำงาน หลักจากที่เล่นหนังได้ 4-5 เรื่องแล้วสุดท้ายก็ต้องขอบคุณพระเจ้า เพราะช่วงนั้นถือว่าเป็นช่วงที่เรารู้จักพระเจ้าในชีวิตครั้บ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ส.ค. 20, 2011 5:08 pm

“ผมก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิมแหละ แต่พอดีว่าผมกลับใจแล้ว พระเจ้าก็ให้อภัย”

-*-ความศรัทธาในพระเจ้า และการเป็นคริสตศาสนิกชนที่ดี

(หัวเราะ) ไม่ดีหรอกครับ ผมก็ยังเป็นคนบาปเหมืนเดิมแหละ แต่พอดีว่าผมกัลับใจแล้ว พระเจ้าก็ให้อภัย หลังจากที่ผมอ่านพระคัมภีร์ผมก็รู้สึกว่าทุกคนมีที่ว่างในจิตใจ ความจริงมีแค่ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้อยู่และรักพระเจ้า แต่พอเราห่างจากพระเจ้า เราก็แสวงหาความสุขของเราเอง เราใช้กำลังในชีวิตของเราเอง เราไม่แคร์อะไร ซึ่งถ้าลองมองดูรอบๆ ตัวก็จะเห็นท้องฟ้า ธรรมชาติ พระอาทิตย์ มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกอยู่แล้วว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน เราตอบได้ไหมว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีร่างกายครบทุกอย่าง อาหารที่มีอยู่บนโลกนี้ มันพอดีกับที่เราต้องการเลย แต่เราก็ยังไม่สนใจ

รูปภาพ

พอเราเกิดมาเป็นมนุษย์ พอห่างจากพระเจ้า เราก็ถูกล่อลวงด้วยสิ่งที่เกลียดชังพระเจ้า ทุกวันนี้เราถูกล่อลวงด้วยสิ่งยั่วยุต่างๆ บางคนก็เรื่องเพศ บางคนเป็นเรื่องอำนาจ เรื่องเงิน ทุกวันนี้เราชอบนับถือคนแบบไหนครับ คนที่เขามีเงินเยอะ ดูเขามีความรู้เยอะมากเพราะเขาเรียนสูง ดูดี คนนี้ดูมีอำนาจมาก และทุกวันนี้คนที่เขานั่งคุยกันก็คุยกันเรื่องผลประโยชน์เรื่องอำนาจ พอเราฟังก็เอ่อดูมีหลักการนะ ดูยิ่งใหญ่ เราอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้างจัง ซึ่งเขายกให้อย่างอื่นเป็นพระเจ้าแล้วทั้งๆ ที่อาจจะรู้ว่ามีใครที่ยิ่งใหญ่อยู่ข้างบนก็ได้ แต่ไม่ยอมรับ

ซึ่งบางครั้งที่เราอยู่คนเดียว เราอาจจะคิดทำอะไรที่ไม่ดีหรือคิดจะทำบาป คิดว่าไม่มีใครเห็นหรอก แต่เรารู้ว่ายังมีคนมองมา แต่ก็จะทำอย่างไรได้ล่ะเวลาที่เราจะทำชั่วหรืออะไร ผมขอใช้คำนี้เลยนะทำครั้งแรกยากที่สุดและละอายใจมากที่สุด แต่พอทำบ่อยๆ เริ่มชิน เริ่มกันพระเจ้าออกไป สุดท้ายแล้วเราก็ไม่เอาพระเจ้า หันมากราบไหว้ภูติผี ต้นไม้ทุกต้น ทั้งๆ ที่ทุกสิ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้าง เราไม่เอาคนที่สร้างทั้งหมด แต่เรามาเอาสิ่งที่เขาสร้างในพระคัมภีร์บอกเลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างใต้ท้องฟ้า พระอาทิตย์ พระจันทร์ ต้นไม้ทุกต้น หรือแม้กระทั่งรูปเคารพที่ทำด้วยมือของเราเอง รูปเคารพของสิ่งที่ตายไปแล้ว เราก็ยังบูชากัน สุดท้ายเราก็ไม่เอาพระเจ้า แล้วทั้งหมดทั้งมวลจากอดีตจนปัจจุบันมีบ้างไหมที่มีใครมีอำนาจมากที่สุด มีความรู้มากที่สุด ฉลาดที่สุด มีเงินมากที่สุด สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้ไหม เราชอบบอกว่ากลัวตกนรก เราก็ทำทุกอย่างหาสิ่งพึ่งพิง ที่ไหนดีมีเกจิอาจารย์ดังๆ เราไปหาหมด เพราะลึกๆ แล้วเราแสวงหาทางรอดอยู่ แต่แสวงหาผิดที่ไปหน่อยนะครับ

ซึ่งผมไม่ขอใช้คำว่าสิ่งยึดเหนี่ยวแล้วกัน ขอใช้คำว่าเป็นที่ว่างๆ ที่พระเจ้าเหลือไว้ให้เรา แต่เรากลับเอาไปทำอะไรไม่รู้ บางคนเดินเข้าป่าไปเที่ยว เจอกิ่งไม้สวย เจอก้อนหินสวยก็เก็บกลับบ้านเพราะเริ่มรู้สึกให้โชค เริ่มบูชากันแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่อย่าเข้าใจผิดครับ และทุกวันนี้เราทำผิดกันอย่างหน้าชื่นตาบาน ผมไม่ได้บอกว่าผมไม่ทำบาปนะ แต่ผมยังสำนึกแล้วก็ขอโทษพระเจ้า

แล้วทุกวันนี้เราทำบาปอะไรกันครับ เราล่วงประเวณี เราขโมย โกงกัน เราอยากจะได้ของคนอื่น สุดท้ายก็ฆ่ากันเอง ทุกอย่างมาจากความโมโห ความอิจฉาริษยา ความอยากได้ความทะเยอทะยาน หรือมักใหญ่ใฝ่สูง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักดันให้เราทำไม่ดีทั้งนั้นเลย แต่ลึกๆ แล้วเราก็ยังแสวงหาทางออกอยู่ ซึ่งทุกคนก็รู้จักพระเจ้าแต่เราไม่เอาครับ เราหันไปหาหลายๆ อย่าง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ส.ค. 20, 2011 5:09 pm


“วันที่ระลึกได้กลับเป็นวันที่สิ่งมีค่าทีสุดกำลังจะเสียไป วันที่กำลังจะตายแต่กลับทำอะไรไม่ได้แล้ว สิ่งที่เราเคยบูชาไม่ได้รักเราเลย นี่คือเรื่องจริง”


อย่างผมเคยคุยกับใครหลายคน เรื่องเปรียบเทียบชีวิตคนเราว่าเหมือนผ้าขาวตั้งแต่เล็กจนโต อย่างตอนเด็กๆ เราเริ่มทำผิดเล็กๆ น้อยๆ เริ่มโกหก ก็เหมือนกับเอาอะไรมาโยนใส่เสื้อขาว ต่อมาทำบาปใหญ่หน่อยก็เปื้อนเยอะหน่อยแล้วแต่ความเข้มของสิ่งที่ทำ บางคนก็พลาดไปทำสิ่งที่เลวร้ายตั้งแต่เด็ก รอยเปื้อนมันก็อันใหญ่มาก โตมาเริ่มเอาสิ่งที่มันสกปรกมาสาดใส่เสื้อขาว นั่นคือบาปของแต่ละคนที่ทำตั้งแต่เด็กจนโต ซึ่งไม่ต้องมองไกลมาก แค่ผมตอนวัยรุ่น อยากถามว่ายังเหลือสีขาวอยู่ไหม บอกได้เลยว่าไม่มีเหลือแล้วครับ ใครบอกว่เหลือ ผมอยากจะเห็นหน้าจัง และสิ่งเหล่านี้มันกัดกินใจเรา มันตามเราโดยที่เราไม่รู้ตัว หลายๆ คนอาจจะรู้ตัวกลับบ้านไปนอนก่ายหน้าผาก นอนคิดถึงความผิด ซึ่งบางทีบาปมันอาจมาในรูปของความทุกข์ใจ ความไม่สงบ ควาท้อแท้ในชีวิตก็ได้

รูปภาพ

บางคนเกิดมายังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่บาปเกิดมาจากพ่อแม่ด้วยซ้ำ ซึ่งอาจจะเกิดจาการมีเพศสัมพันธ์ตามอารมณ์ ไม่ตั้งใจ ความเมา หรือโดนข่มขืน บางคนเขาไม่อยากให้เกิดก็ไปทำแท้ง แต่ยังรอดมาได้ เกิดมาพิการ เรารับรู้ความรู้สึกนั้นมาได้ตลอด อยู่กับมันทุกวันเหมือนจะชิน แต่จริงๆ แล้วไม่ชินและไม่มีความสุข ทำให้เราเริ่มแสวงหาทางรอดเริ่มหันเข้าหาศาสนาที่สะดวกกับตัวเอง เริ่มหันหาเทพที่มีบุคลิกที่แตกต่างกันไป ซึ่งเทพแต่ละองค์ก็มีบุคลิกภาพชัดเจนว่าอวยพรเรื่องไหน เช่น ถ้าอยากมีฤทธิ์มีอำนาจก็ไปบูชาสิ่งนี้ อยากรวยก็บูชาสิ่งนี้ อยากเจ้าชู้มีเสน่ห์ก็บูชาสิ่งนี้ ยังมีอีกเยอะที่พูดไม่หมด แต่ลองคิดดูดีๆ ว่าเขาอยากจะช่วยสิ่งที่อยู่ในใจจริงไหม มีแต่อวยพรสิ่งที่เป็นเปลือกนอกและดึงให้เรามุ่งไปอีกทาง ลืมทุกอย่างหมด ซึ่งวันที่ระลึกได้กลับเป็นวันที่สิ่งมีค่าที่สุดกำลังจะเสียไป วันที่กำลังจะตายแต่กลับทำอะไรไม่ได้แล้ว สิ่งที่เราเคยบูชาไม่ได้รักเราเลย นี่คือเรื่องจริง ต่อมาเราก็แสวงหาทางรอด แล้วแต่วิธีการแต่ละคน อะไรที่พอจะช่วยได้ ทำให้สบายใจชั่ววูบ ผมขอใช้คำว่า “รับประทานด่วน” แล้วกัน หาความสุขแบบนั้น เพราะจริงๆ แล้วเราไม่มีความสุข เราจึงหาความสุขชั่ววูบก็ยังดี

แล้วคนเราก็ลืมง่าย พอกลับบ้านไปก็เมา กินเหล้าหรือไปเที่ยวอะไรที่มันเป็นความสุขภายนอกก็ทำกันอย่างจริงจัง บางทีมันเหมือนห่อไฟอยู่ในอก คนเจอเรื่องชีวิตหนักๆ บางคนทนไม่ไหวไปฆ่าตัวตายก่อนทั้งที่ยังไปไม่ถึงไหนเลย หรืออาจจะยังไม่ฆ่าตัวตายแต่ไปทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตัวเอง แต่ถ้าแบกสังขารตัวเองไหวไปบำเพ็ญเพียร สิ่งที่อยู่ในอกก็อาจจะนิ่งขึ้น แต่ไฟเหล่านั้นไม่หายไปไหน ออกจากการบำเพ็ญเพียรมาอยู่กับชีวิตเดิม เจอเรื่องเดิมๆ ไฟก็อาจจะลุกมากกว่าเดิม เพราะเราไม่ได้เอามันออกไป แต่เราหลบหนีมันหาทางเลี่ยง บางคนเข้าไปแล้วก็ไม่นิ่งไม่รอดเหมือนกัน

เราก็เลยจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ แล้วคิดว่าชีวิตมันก็มีอยู่แค่นี้แหล่ะ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้อ่านจะเข้าใจสิ่งนี้ เข้าใจที่ผมพูดหมดเลย ผมพูดแล้วดูเหมือยาว แต่ความหมายมันสั้นมาก แล้วเราต้องทำอะไรล่ะ ก็ทำงานไปสิ ใช้ชีวิตต่อไปแล้วก็หางานอดิเรกที่ตัวเองชอบทำ บางคนไปเล่นกีฬา เล่นเกมส์ เล่นรถบังคับ บางคนก็ไปทุ่มเทชีวิตให้คนอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเป็นความสุขชั่ววูบสักพักก็เบื่อก็ต้องไปหาอันใหม่ ขนาดเป็นอาชีพของเรายังเบื่อเลย สุดท้ายแล้วเราก็ไปหาอันใหม่มาเติมเต็มให้ตรงกับความชอบของตัวเอง โอเคชีวิตทุกคนต้องทำงาน ถูกต้องแล้วครับ แต่ว่าไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า ลึกๆ แล้วอะไรที่ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริงได้

รูปภาพ

ทุกวันนี้คนเราพยายามบาลานซ์บาปกับความดีให้มันสมส่วนกันบางคนทุกข์จนปลง คำว่าปลง ไม่ใช่การดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขนะครับ แต่เป็นการหนีไม่ยอมรับและก็ทำใจ บางทีหนีไม่พ้นก็คิดว่า ฉันก็อยู่มันไปอย่างนี้แหละ ผมเห็นคนเยอะมากๆ ที่เจอทางตันในชีวิต และด้วยปัญญาของเขาเองก็บอกว่าไม่มีทางออกมาจากสิ่งเหล่านั้นโดยที่เราทำเองไม่ได้ เหมือนเรื่องอัศจรรย์แต่ได้กันเป็นว่าเล่นเลย

พระเจ้าบอกทางให้เราเดินแล้วครับ เป็นทางที่มีแต่พระพรที่มีแต่ขาขึ้นอย่างเดียว และพระเจ้าก็บอกอีกว่า ถ้าไม่มาทางนี้ชีวิตจะมีแต่คำสาปแช่ง บอกว่าทำอะไรแล้วจะได้สิ่งใด ซึ่งผมมองดูว่าทุกวันนี้ทุกคนอยู่แต่ในคำสาปแช่ง ใครจะเถียงผมก็ไม่ว่านะครับ แต่อยากถามว่าคุณมีความสุขจริงหรือเปล่า เงินทองที่มีอยู่ทำให้ตัวเองรอดได้จริงเหรอ อำนาจที่มีอยู่บริวารที่มีอยู่ช่วยคุณได้ไหมครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ส.ค. 20, 2011 5:12 pm

-*-ทุกวันนี้มีเรื่องสารภาพบาปไหม

ยังมีทุกวันครับ (หัวเราะ) อย่างถ้ามีคนมาขับรถปาดหน้าผมก็ยังตกใจ ยังโกรธเหมือนกัน แต่พระเจ้าบอกว่าต้องให้อภัยเค้า หรือใครมาปล้นผ้าคาดเอวเรา พระเจ้าบอกว่าให้ถอดเสื้อให้เค้าไปด้วย ถ้าใครมาขอเราแล้วเรามีแต่ไม่ให้ เราผิดนะ ต้องให้เค้าไป ซึ่งผมไม่ได้ทำเพื่อให้ตัวเองสบายใจนะครับ แต่ผมมีความเชื่อว่านี่เป็นทางที่พระเจ้าบอกให้ทำ

บางคนกำความแค้นและไม่ให้อภัยคนอื่นตลอดชีวิตเลยก็มี สำหรับการให้อภัยเราทำกันยังไง เช่น ถ้าเพื่อนยืมเงิน 50,000 บาท นัดกันว่าจะคืนวันนั้นวันนี้ พอถึงเวลากลับเบี้ยว เป็นเราจะทำยังไงครับ ตอนแรกๆ อาจจะเห็นว่าเป็นเพื่อนกันไม่อยากพูดอะไรมากปล่อยให้ซัก 2-3 วัน จากนั้นเริ่มโทรไปตาม เพื่อนเราก็ละอายใจไม่มีให้ แต่ทำยังไงก็ไม่มีให้เพราะกำลังเดือดร้อน มันก็ไม่กล้าสู้หน้า แรกๆ ก็รับโทรศัพท์ซักพักเริ่มหนี พอหนีเราก็รู้สึกว่าไม่ได้แล้วก็ต้องตาม พอเจอหน้าเพื่อนบอกว่าไม่มีให้ เราฟังก็อาจจะคิดว่าทำไมพูดง่ายอย่างนี้ บางทีไปเจอกันต่อหน้าที่สาธารณะ ลูกหนี้อาจจะโดนกระชากคอ แบบไม่ให้เกียรติเพื่อนอีกแล้ว บางทีด่ากันจะต่อยกัน และสุดท้ายก็บอกว่า ไม่เป็นไรให้ถือว่าให้หมาละกัน นี่เหรอคือการให้อภัยของคนเรา ซึ่งพอเจอหน้ากันครั้งต่อไปเรายิ้มให้เขามั้ย เราทักทายเหมือนคนที่เป็นเพื่อนเราหรือเปล่า ไม่นะเราไม่เอาแล้วไม่ยุ่งด้วยแล้ว นี่เราไปกดเขาอยู่ต่ำกว่าเราแล้วนะ ถ้าให้อภัยกันจริงๆ เค้าต้องอยู่ในสถานะเดิมกับเรา ต้องกอดคอกันได้ ความรู้สึกต้องหมดจดจริงๆ แล้วจะรู้ว่าการให้อภัยมันยาก ซึ่งผมก็ทำได้นะ และเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมากในชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่า ตอนนี้ใครมาทำให้โกรธแล้วจะให้อภัยได้ปุ๊บปั๊บนะ แต่ผมรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผมพยายามจะทำสำหรับการให้อภัย

รูปภาพ

“พระเจ้าดูที่ความจริงใจ ความถ่อมตน ความซื่อสัตย์ เราพูดไปตรงๆ แล้วเราจะได้รับการให้อภัย และปัญหาทุกอย่างจะมีทางออกเสมอ”

แล้วทุกวันนี้เราจึงทำบาปกันสุดกู่มาก เราทำบาปแล้วยังไปบอกว่าใครๆ เค้าก็ทำกัน ขาวกับดำเรายังเลือกทำสีเทาเลย แล้วก็หลอกตัวเองว่าไม่เป็นไรเทามันยังใกล้ขาวอยู่มันจำเป็นต้องทำ พอเทามากหน่อยเพื่อนๆ ก็อาจจะเตือนว่าไม่ดีนะอย่าไปทำ แต่ก็ทำเพราะใครๆ ก็ทำกันไม่โกงสิโง่ โลกนี้จึงสอนให้เรารู้ว่าทำดีไปก็ไม่มีประโยชน์ คนชั่วได้ดีกันทั้งนั้นเลย ซึ่งบาปได้เกิดขึ้นมาจากที่เราไม่เชื่อฟังพระเจ้า

จากครั้งแรกที่ไม่เชื่อฟัง จนมาสู่ยุคนี้ในพระคัมภีร์บอกว่าเป็นยุคสุดท้าย เรื่องนี้มีคอนเซปต์ที่หลายคนบอกว่าโลกกำลังจะแตก ผมไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าบอกว่าโลกจะแตก คนก็ไปเสาะหาว่าเป็นวันนั้นวันนี้ พระเจ้าบอกว่าไม่มีใครรู้หรอก เหมือนกับเวลาขโมยย่องขึ้นบ้านก็ไม่บอกให้เจ้าของบ้านรู้ตัว แล้วถึงวันนั้นเราจะทำอย่างไร จะอ้อนวอนก็สายเกินไป เพราะพระเจ้าได้บอกทางไว้ก่อนแล้ว และเค้าก็ให้เสรีภาพเราในการเลือกดำเนินชีวิต แต่เราก็เลือกความสุขที่มาแบบด่วนๆ เร็วๆ ซึ่งสิ่งยั่วยุทั้งหลายเวลาที่มาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว มันก็ยากที่จะปฎิเสธ บางคนลุ่มหลงไปกับเงินทองมาก จนคิดว่าเงินเป็นพระเจ้าไปแล้วก็มี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ส.ค. 20, 2011 5:16 pm

-*- ทำดีทำชั่ว รู้อยู่แก่ใจ

ใช่ครับ พระเจ้าก็ดูเราที่ใจเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะแต่งกายสุภาพ นุ่งขาวห่มขาว พูดเพราะ แต่ใจคิดชั่วก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพระเจ้าตัดสินเราที่จิตใจ ไม่ว่าเราจะเป็นคนรวยที่สุดในโลก หรือเป็นแค่ขอทาน ถ้าเราทำดี พระเจ้ารู้หมด ภูตผีซาตานก็เหมือนกัน มันรู้จักความอ่อนแอของเราดีกว่าตัวเราเองเสียอีก ความอ่อนแอแต่ละคนไม่เหมือนกันนะ ผู้ชายบางคนแต่งงานแล้วนะ มีผู้หญิงมาอยู่ตรงหน้าก็ขอเถอะ เดี๋ยวค่อยว่ากัน

แล้วลองมองสังคมสมัยนี้ดูนะครับว่า เราแต่งงานหรือเลิกกันกี่รอบ ผมเข้าใจว่าทุกคนมีเหตุผล แต่เรากำลังพยายามจะทำสีเทากันหรือเปล่าซึ่งมันผิดครับ เพราะพระเจ้าบอกว่าให้กลับไปคืนดีกันซะ ให้อภัยกัน มันยากมากนะที่ต้องให้อภัยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในชีวิตที่ทำผิดพลาด สุดท้ายแล้วผลก็ไปตกที่ลูก ถึงไม่ทะเลาะกันให้เห็นก็มีผล เพราะว่าเด็กสามารถรับรู้ได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว หรือบางคนมุ่งแต่หาเงินให้ลูก โตขึ้นมามีเงินเต็มไปหมดแต่ลูกไม่เอาพ่อแม่แล้วนะ วันๆ ก็ขอตังค์หน่อยสิ บางคนไม่มีความสุขจากบ้านก็ไปหาข้างนอกไปหาจากเพื่อนซึ่งไม่มีวันได้เต็มเพราะมันมีที่ว่างที่เป็นของพ่อแม่ สุดท้ายบุคลิกแต่ละคนจึงไม่เหมือนกันไงครับ

รูปภาพ

-*- ความสุขในชีวิตที่ค้นพบ

คนที่เจอพระเจ้าแล้วจะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงมันเป็นยังไง อย่างผมเองก็ค้นพบแล้วครับ แต่เล่นละครผมก็มีความสุขนะ เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้ผม เวลาไปไหนมีคนมาทักว่าชอบผมเล่นละคร ผมก็มีความสุข ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมมีวันนี้

การทำงานเป็นสิ่งที่ดีครับ ชีวิตนี้เกิดมาต้องทำงาน แต่ควรทำแต่พอดี อีกอย่างสังคมเราชอบการยอมรับ คนที่ได้รับการยอมรับต้องขับรถยนต์ยี่ห้อนี้ ต้องใส่นาฬิกายี่ห้อนั้น ต้องเรียนโรงเรียนโน้น ต้องคบเพื่อนกลุ่มนี้ นี่แหละคือการยอมรับ เข้าใจว่าคือความมั่นคงในชีวิต ซึ่งจริงๆ คิดผิดแล้วครับ ทำให้ทุกวันนี้ผมคุยกับพระเจ้าบ่อยเพราะทุกคนมีจุดอ่อนไม่เหมือนกันซึ่งผมเองก็มี แต่ชีวิตคริสเตียนสามารถดำเนินชีวิตได้ง่ายมากคืออย่าห่างจากพี่น้องที่เชื่อในพระเจ้า การอธิษฐานและการสารภาพบาปถ้าเราทำผิดก็ไปสารภาพบาปด้วยความสำนึกซะ พระเจ้าดูที่ความจริงใจ ความถ่อมตน ความซื่อสัตย์ เราพูดไปตรงๆ แล้วเราจะได้รับการให้อภัยและปัญหาทุกอย่างจะมีทางออกเสมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ส.ค. 20, 2011 5:19 pm

-*- เคยผิดหวังกับความรักไหม

เคยครับ (หัวเราะ) เคยมีแฟนแต่ตอนนี้เป็นโสดครับ ซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยคิดอยากมีครอบครัวเหมือนกัน ช่วงนั้นอยากมีมากแต่มันผ่านไปแล้วและผมคิดว่าสิ่งนั้นมันต้องเกิดกับทุกคน การอยากจะมีคู่ครองที่เข้าใจเราหรือมีแฟน ถ้าเรารีบแสวงหาและตัดสินด้วยปัญญา ด้วยสายตาของเราเองว่าคนนี้แหล่ะที่ใช่แล้ว เชื่อไหมว่าไม่นานมันจะนำความผิดหวังมาให้เราเพราะเราไม่รอเราพุ่งเข้าใส่ บางที่คนที่เราชอบก็เป็นแฟนคนอื่นอยู่ด้วยทุกวันนี้ผมจึงเชื่อว่า ถ้าอยากมีแฟนก็บอกพระเจ้าและขอให้เชื่อตามที่เค้าบอก แล้วเราจะได้มากกว่าที่เราขอด้วย เราจินตนาการว่าเราอยากได้แบบไหน สเปกเราเป็นยังไง ผมขอบอกว่าพระเจ้าให้ดีกว่านั้นอีกแน่นอน

-*- เคยอ่านสุขกายสบายใจไหม

เคยอ่านครับ ตอนที่ทางนิตยสารติดต่อมาผก็ก็ไปซื้อมาอ่านเลยเพราะอยากรู้จักว่าสุขกายสบายใจเป็นอย่างไร จากนั้นก็ค่อยตัดสินใจมาร่วมงานกัน

รูปภาพ

-*- รับงานยาก แต่ทำไมถึงยอมมาขึ้นปกให้สุขกายสบายใจ

ดูผมมาง่ายมากเลยใช่ไหม (หัวเราะ) มันมีหลายเหตุผลเพราะผมก็เปิดดูเนื้อหาทุกหน้านะ แต่สิ่งที่สะดุดใจที่สุดคือสโลแกนของหนังสือที่ว่า “นิตยสารที่ทำให้คุณมีความสุข..เดี๋ยวนี้” โดยเฉพาะคำว่า “เดี๋ยวนี้” มันค่อนข้างโดนใจเพราะผมเชื่อในพระเจ้าอยู่แล้วก็เลยอยากให้ทุกคนค้นพบกับความสุขเดี๋ยวนี้ครับ

-*- เหตุการณ์ป่วยหนักที่สุดในชีวิต

ตอนไปถ่ายละครเรื่องมงกุฎแสงจันทร์ที่ จ.เชียงใหม่ครับ ร่างกายเป็นอะไรก็ไม่รู้เหมือนจะตายคากองถ่ายเลย วันนั้นทุกคนต้องหยุดกองรอผมคนเดียวซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกผิดมาก ผมพยายามจะลุกแต่พี่ตู่บอกว่าไม่ต้องๆ ไปนอนเถอะ แล้วก็พาหมอมาฉีดยาให้ ซึ่งทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าตอนนั้นเป็นอะไร (หัวเราะ)

-*- ดูแลสุขภาพสไตล์แอนดริว

หลักๆ จะเน้นเรื่องการนอน แต่ไม่ใช้มานอนตอนเช้านะครับ เพราะว่าถึงจะนอนตอนกลางวัน 20 ชั่วโมงก็ไม่เท่ากับนอนกลางคืน 8 ชั่วโมง นอนให้เป็นเวลา และกินก็ต้องพอดีๆ เข้าใจว่าการกินเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่ต้องพอดีและไม่จำเป็นต้องหรูหรา ต่อมาก็ออกกำลังกายและทำงานให้พอดี ถ้าให้คะแนนสุขภาพของตัวเองจากเต็ม 10 ก็ให้ซัก 8 ก็พอ (หัวเราะ) ให้เยอะเดี๋ยวจะหาว่าหลงตัวเองอีก แต่ผมจะรู้ตัวเองนะครับว่าช่วงไหนสุขภาพเราเป็นอย่างไร ก็ค่อนข้างจะดูแลตัวเองอยู่เสมอ

-*- ฝากข้อความถึงแฟนคลับ

ก็ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ นะครับ ที่ชื่นชอบผลงานของผม ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานพวกคุณมาให้ ทำให้ผมมีกำลังที่จะทำงานต่อไป และพร้อมจะมอบความสุขให้กับทุกคน อยากบอกจากใจจริงว่า ผมมีความสุขมากที่มีพวกคุณอยู่ ขอให้พระเจ้าอวยพรครับ

อ่านมาถึงตรงนี้เราคงได้เข้าใจตัวตน และจิตวิญญาณส่วนลึกที่สุดของผู้ชายคนนี้มากขึ้น และทีมงานสุขกายสบายใจรู้สึกขอบคุณจากใจจริง ที่เขาได้มาแบ่งปันอีกหนทางหนึ่งแห่งการค้นพบความสุขของชีวิต ผ่านวิถีแห่งความรักในพระเจ้าที่เขารัก...สุดหัวใจ

จีรวรรณ เจริญศิลป์ : สุขกายสบายใจ สิงหาคม 2554 ; หน้า 33-39
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 8:06 pm

-ขอบคุณคะ ค่อยหน้าอ่านหน่อย ตัวใหญ่ดี
poloplow
โพสต์: 402
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 11, 2006 11:01 pm

เสาร์ ก.ย. 10, 2011 2:38 am

ได้สาระและแง่คิดดีๆ เยอะ้เลยครับ ขอบคุณครับ
ตอบกลับโพส