การรดน้ำเสกตอนทำพิธีมิสซา
ผมพึ่งเปลี่ยนจากศาสนาพุทธมาเป็น คาทอลิก ประมาณ 1.5 ปี ก่อนย้ายมาผมได้ไปเรียนคำสอนที่วัดมหาไถ่ ราวๆ 5-6 เดือน แล้วเกิดศรัทธาในตัวพ่อ และ คำสอน จึงตัดสินใจย้ายมานับถือคาทอลิก ผมยังจำคำสุดท้ายที่พ่อบอกกับผมได้ว่า "พ่อบางรูปอาจจะมีคำสอนไม่ตรงกับใจเราบ้าง แต่สุดท้ายให้ดูที่เจตนาเพราะยังไง พ่อทุกคนก็อยากให้เราเป็นคนดี"
เข้าเรื่องเลยนะครับ คือ ปัจจุปันผมได้ไปโบสถ์แห่งนึงทุกเช้าวันอาทิตย์หลังจากช่วงที่พูดบท สารภาพบาปแล้ว ก็จะมีการร้องเพลงซึ่งช่วงนั้น พ่อก็จะเดินมาพรมน้ำเสกให้ แต่ตั้งแต่ไปโบสถ์มาไม่ว่าผมจะยืนติดทางเดิน หรือ ยืนด้านใน พ่อก็ไม่เคยพรมน้ำเสกมาทางผมเลยแต่ภรรยาที่ยืนอยู่ก็ได้รับทุกครั้งไป ผมจึงอยากถามว่า
1.มีความสำคัญมั้ยที่ต้องได้รับน้ำเสก
2.ถ้าไม่สำคัญ ทำไมต้องมีการเดินพรมน้ำเสกด้วย
มันเป็นเรื่องค้างคาใจผมมาก วันอาทิตย์ที่ผ่านมาหลังจากไม่ได้รับน้ำเสกทำให้ผมเดินออกจากโบสถ์ทันที ทำให้พ่อภรรยาและภรรยาผมตกใจพอสมควร ผมก็เอาคำถามนี้ถามภรรยาและพ่อภรรยาเค้าก็ตอบได้ยังไม่ชัดเจนผมจึงลองเอามาถามในนี้ดูนะครับ
เข้าเรื่องเลยนะครับ คือ ปัจจุปันผมได้ไปโบสถ์แห่งนึงทุกเช้าวันอาทิตย์หลังจากช่วงที่พูดบท สารภาพบาปแล้ว ก็จะมีการร้องเพลงซึ่งช่วงนั้น พ่อก็จะเดินมาพรมน้ำเสกให้ แต่ตั้งแต่ไปโบสถ์มาไม่ว่าผมจะยืนติดทางเดิน หรือ ยืนด้านใน พ่อก็ไม่เคยพรมน้ำเสกมาทางผมเลยแต่ภรรยาที่ยืนอยู่ก็ได้รับทุกครั้งไป ผมจึงอยากถามว่า
1.มีความสำคัญมั้ยที่ต้องได้รับน้ำเสก
2.ถ้าไม่สำคัญ ทำไมต้องมีการเดินพรมน้ำเสกด้วย
มันเป็นเรื่องค้างคาใจผมมาก วันอาทิตย์ที่ผ่านมาหลังจากไม่ได้รับน้ำเสกทำให้ผมเดินออกจากโบสถ์ทันที ทำให้พ่อภรรยาและภรรยาผมตกใจพอสมควร ผมก็เอาคำถามนี้ถามภรรยาและพ่อภรรยาเค้าก็ตอบได้ยังไม่ชัดเจนผมจึงลองเอามาถามในนี้ดูนะครับ
ความเห็นส่วนตัวนะคะ
อย่าได้น้อยใจที่ไม่ได้รับน้ำเสกเลยค่ะ เลยทำให้คุณต้อง หันหลังเดินออกไปไม่อยู่ร่รวมพิธีต่อ
ไม่ทราบเหมือนกันว่า มีไว้เพื่ออะไร น่าจะ ปรึกษาถามคุณพ่อ น่าจะดีกว่านะคะ
ส่วนตัวเรา ๆ เองก็เป็น เล็งๆ ว่า วันนี้จะได้รับไหม ถ้าได้รับ ก้อ เหมือนกับว่า ชุ่มชื่นหัวใจ เวอร์ไปม๊ายนี่
แต่ตอนหลัง แค่ เรื่องน้ำเสกจะได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ ประเด็นค่ะ
การที่เราร่วมพิธี อย่างตั้งใจและ รับพระธรรม คุณพ่อได้เทศน์ นั่นสำคัญที่สุดดดดด
เอาใจช่วยนะคะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
อย่าได้น้อยใจที่ไม่ได้รับน้ำเสกเลยค่ะ เลยทำให้คุณต้อง หันหลังเดินออกไปไม่อยู่ร่รวมพิธีต่อ
ไม่ทราบเหมือนกันว่า มีไว้เพื่ออะไร น่าจะ ปรึกษาถามคุณพ่อ น่าจะดีกว่านะคะ
ส่วนตัวเรา ๆ เองก็เป็น เล็งๆ ว่า วันนี้จะได้รับไหม ถ้าได้รับ ก้อ เหมือนกับว่า ชุ่มชื่นหัวใจ เวอร์ไปม๊ายนี่
แต่ตอนหลัง แค่ เรื่องน้ำเสกจะได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ ประเด็นค่ะ
การที่เราร่วมพิธี อย่างตั้งใจและ รับพระธรรม คุณพ่อได้เทศน์ นั่นสำคัญที่สุดดดดด
เอาใจช่วยนะคะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
-
- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
- ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
สวัสดีครับ คุณNATTH
ก่อนเข้าเรื่อง ตอบคำถาม ผมขออนุญาตใช้พื้นที่อารัมภบท นิดนึงนะครับ เพื่อที่จะ
อธิบาย ให้คุณNATTH เข้าใจ พิธีกรรม และ ความหมายของพิธีกรรม คาทอลิกมากขึ้น
นะครับ(ขอพื้นที่นิดนึง นะครับ)
ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเวลาเย็นโสตถิยะให้ถวายหญ้าคา
8 กำมือ ปูลาดเป็นอาสนะ(เรียก โพธิบัลลังก์)ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณ
ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และทรงบรรลุรูปฌาณ
ทั้ง 4 ชั้น
- เวลาปฐมยาม ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกชาติได้
- เวลามัชฌิมยาม ทรงได้จุตูปปาตญาณ(ทิพยจักษุญาณ)คือรู้เรื่องเกิด-ตายของสัตว์ทั้ง
- เวลาปัจฉิมยาม ทรงได้ อาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะหรือกิเลส
หมายถึง ตรัสรู้อริยสัจ 4
- อาสวักขยญาณ ที่ทรงได้ทำให้ทรงพิจารณาถึงขันธ์ 5 (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ) ว่าเป็น อัตตา เป็นตัวเรา เป็นเหตุทำให้เกิดความทุกข์แท้จริง(แบบสำนักเพ่งจิต
ย่านปทุมสอน นิพพาน=อัตตา ซึ่งไม่ใช่คำสอนพระพุทธองค์) และการเกิดขึ้นพร้อมแห่ง
ธรรมทั้งหลายโดยอาศัยกัน เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นต้นทางให้เขาถึงอริยสัจ 4
เมื่อพระองค์ ทรงรู้เห็นแล้ว จึงละอุปาทาน(เลิกยึดมั่น,ถือมั่น) และ คืนนั้นพระพุทธองค์
ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงกับคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6
ซึ่งก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ ได้ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยา นานถึง 6 พรรษา
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวพระท่านหนึ่ง ลึกล้ำก้าวผ่่านรูปเคารพ(ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ มีกำหนดในไตรปิฎก)
สังคมไทยยังรับไม่ได้(จริง ๆ ผมไม่อยากก้าวล่วง แต่เป็นข่าวโด่งดัง จึงขออนุญาตเอา
มายกตัวอย่าง)
ดังท่านเจ้าคุณพยอมท่านกล่าว แหละ ครับ!
ที่ผม อารัมภบท มายืดยาว เพราะว่าจะพูดให้เห็นว่า ทุกศาสนา หรือแม้แต่ศาสนา
ที่คุณNATTH นับถือ ก็มีบริบทและองคาพยพ ที่จะเข้าถึงแก่นของศาสนา
กันทั้งสิ้นทั้งปวง>>>
คาทอลิกเรา ใช้พิธีกรรม เป็นตัวแทนในการเข้าถึงพระเจ้า เช่น พิธีกรรมการแก้บาป,
พิธีกรรมรับศีลมหาสนิท และพิธีปะพรมน้ำเสก โดยบาทหลวง หรือพิธีการโปรดพระพร
โดยบาทหลวงเอา มือปรกที่ศีรษะ หรือแม้แต่ศีลศักดิ์สิทธิ์ ทั้ง 7 ของคาทอลิก ฝรั่งเรียก
Sacraments คาทอลิกเราก็ทำผ่านพิธีกรรม ทั้งสิ้น เหล่านี้ล้วนเป็นพิธีกรรมที่จะทำให้เรา
เข้าถึงพระเจ้า
การที่บาทหลวง ปะพรมน้ำเสก ก็เหมือนกับการส่งมอบสิริมงคล ให้กับผู้ที่เข้าร่วมมิซา และ
เพื่อให้สัตบุรุษได้รับพระหรรษทานจากพระผู้เป็นเจ้า
และพิธีกรรมต่าง ๆ ของคาทอลิก ไม่ใช่ว่าบาทหลวงนึกจะทำอะไรก็ทำ คาทอลิกเรามี
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพิธีกรรม สังกัดสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย
แบบสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ของทางพุทธ
ลองเข้าไปศึกษาที่เว็บไซด์คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพิธีกรรม ดูนะครับ
http://www.thailiturgy.org/main/
หรือหากคุณNATTH ต้องการคำตอบอย่างเป็นทางการ และหลักวิชาการจริง ๆ ท่านสามารถ
สอบถามโดยตรงทาง อีเมล : thailiturgy@gmail.com
ในพระคัมภีร์ มีศานุศิษย์ของพระเยซูองค์หนึ่ง คือ นักบุญโทมัส อัครสาวก ซึ่งมีตอนหนึ่ง
กล่าวว่า...
“ถ้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์...ไม่ได้เอานิ้วแยงรอยแผลที่พระสีข้างของพระองค์แล้ว
ฉันจะไม่ยอมเชื่อเป็นอันขาด”
และพระเยซูก็ทรงประจักษ์แก่ นักบุญโทมัส
http://www.kamsondeedee.com/main/apostl ... aintthomas
สิ่งที่อยากบอกคุณNATTH อีกอย่างหนึ่ง ถ้าคุณได้สัมผัสคาทอลิกเป็นระยะเวลานาน ๆ
คุณNATTH จะทราบว่า คาทอลิกเรามีชุมชนเล็ก ๆ กระจายไปทั่วประเทศ บางชุมชน
อยู่ร่วมกับศาสนาพุทธ บางชุมชนเราอยู่ร่วมกับอิสลาม แต่คาทอลิกเราไม่เคยมีปัญหากับใคร
เพราะคาทอลิกเรายอมรับซึ่งความแตกต่าง และเราอยู่ ที่ไหนจะมอบแต่ความรัก ความเข้าใจ
และการให้อภัย แบบพระเยซูทรงตรัสว่า...
“หากใครตบแก้มขวาของท่าน จงยื่นแก้มซ้ายให้เขาด้วย”
สังเกตุ ชาวคาทอลิกเรา มีจิตใจอ่อนโยนตั้งแต่เด็ก พวกเราจะไม่สุดโต่ง...
ทางพุทธเรียก มัชฌิมาปฎิปทา หรือ ทางสายกลาง
โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ(เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์)
ก่อนเข้าเรื่อง ตอบคำถาม ผมขออนุญาตใช้พื้นที่อารัมภบท นิดนึงนะครับ เพื่อที่จะ
อธิบาย ให้คุณNATTH เข้าใจ พิธีกรรม และ ความหมายของพิธีกรรม คาทอลิกมากขึ้น
นะครับ(ขอพื้นที่นิดนึง นะครับ)
ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเวลาเย็นโสตถิยะให้ถวายหญ้าคา
8 กำมือ ปูลาดเป็นอาสนะ(เรียก โพธิบัลลังก์)ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณ
ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และทรงบรรลุรูปฌาณ
ทั้ง 4 ชั้น
- เวลาปฐมยาม ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกชาติได้
- เวลามัชฌิมยาม ทรงได้จุตูปปาตญาณ(ทิพยจักษุญาณ)คือรู้เรื่องเกิด-ตายของสัตว์ทั้ง
- เวลาปัจฉิมยาม ทรงได้ อาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะหรือกิเลส
หมายถึง ตรัสรู้อริยสัจ 4
- อาสวักขยญาณ ที่ทรงได้ทำให้ทรงพิจารณาถึงขันธ์ 5 (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ) ว่าเป็น อัตตา เป็นตัวเรา เป็นเหตุทำให้เกิดความทุกข์แท้จริง(แบบสำนักเพ่งจิต
ย่านปทุมสอน นิพพาน=อัตตา ซึ่งไม่ใช่คำสอนพระพุทธองค์) และการเกิดขึ้นพร้อมแห่ง
ธรรมทั้งหลายโดยอาศัยกัน เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นต้นทางให้เขาถึงอริยสัจ 4
เมื่อพระองค์ ทรงรู้เห็นแล้ว จึงละอุปาทาน(เลิกยึดมั่น,ถือมั่น) และ คืนนั้นพระพุทธองค์
ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงกับคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6
ซึ่งก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ ได้ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยา นานถึง 6 พรรษา
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวพระท่านหนึ่ง ลึกล้ำก้าวผ่่านรูปเคารพ(ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ มีกำหนดในไตรปิฎก)
สังคมไทยยังรับไม่ได้(จริง ๆ ผมไม่อยากก้าวล่วง แต่เป็นข่าวโด่งดัง จึงขออนุญาตเอา
มายกตัวอย่าง)
ดังท่านเจ้าคุณพยอมท่านกล่าว แหละ ครับ!
ที่ผม อารัมภบท มายืดยาว เพราะว่าจะพูดให้เห็นว่า ทุกศาสนา หรือแม้แต่ศาสนา
ที่คุณNATTH นับถือ ก็มีบริบทและองคาพยพ ที่จะเข้าถึงแก่นของศาสนา
กันทั้งสิ้นทั้งปวง>>>
คาทอลิกเรา ใช้พิธีกรรม เป็นตัวแทนในการเข้าถึงพระเจ้า เช่น พิธีกรรมการแก้บาป,
พิธีกรรมรับศีลมหาสนิท และพิธีปะพรมน้ำเสก โดยบาทหลวง หรือพิธีการโปรดพระพร
โดยบาทหลวงเอา มือปรกที่ศีรษะ หรือแม้แต่ศีลศักดิ์สิทธิ์ ทั้ง 7 ของคาทอลิก ฝรั่งเรียก
Sacraments คาทอลิกเราก็ทำผ่านพิธีกรรม ทั้งสิ้น เหล่านี้ล้วนเป็นพิธีกรรมที่จะทำให้เรา
เข้าถึงพระเจ้า
การที่บาทหลวง ปะพรมน้ำเสก ก็เหมือนกับการส่งมอบสิริมงคล ให้กับผู้ที่เข้าร่วมมิซา และ
เพื่อให้สัตบุรุษได้รับพระหรรษทานจากพระผู้เป็นเจ้า
และพิธีกรรมต่าง ๆ ของคาทอลิก ไม่ใช่ว่าบาทหลวงนึกจะทำอะไรก็ทำ คาทอลิกเรามี
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพิธีกรรม สังกัดสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย
แบบสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ของทางพุทธ
ลองเข้าไปศึกษาที่เว็บไซด์คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพิธีกรรม ดูนะครับ
http://www.thailiturgy.org/main/
หรือหากคุณNATTH ต้องการคำตอบอย่างเป็นทางการ และหลักวิชาการจริง ๆ ท่านสามารถ
สอบถามโดยตรงทาง อีเมล : thailiturgy@gmail.com
ในพระคัมภีร์ มีศานุศิษย์ของพระเยซูองค์หนึ่ง คือ นักบุญโทมัส อัครสาวก ซึ่งมีตอนหนึ่ง
กล่าวว่า...
“ถ้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์...ไม่ได้เอานิ้วแยงรอยแผลที่พระสีข้างของพระองค์แล้ว
ฉันจะไม่ยอมเชื่อเป็นอันขาด”
และพระเยซูก็ทรงประจักษ์แก่ นักบุญโทมัส
http://www.kamsondeedee.com/main/apostl ... aintthomas
สิ่งที่อยากบอกคุณNATTH อีกอย่างหนึ่ง ถ้าคุณได้สัมผัสคาทอลิกเป็นระยะเวลานาน ๆ
คุณNATTH จะทราบว่า คาทอลิกเรามีชุมชนเล็ก ๆ กระจายไปทั่วประเทศ บางชุมชน
อยู่ร่วมกับศาสนาพุทธ บางชุมชนเราอยู่ร่วมกับอิสลาม แต่คาทอลิกเราไม่เคยมีปัญหากับใคร
เพราะคาทอลิกเรายอมรับซึ่งความแตกต่าง และเราอยู่ ที่ไหนจะมอบแต่ความรัก ความเข้าใจ
และการให้อภัย แบบพระเยซูทรงตรัสว่า...
“หากใครตบแก้มขวาของท่าน จงยื่นแก้มซ้ายให้เขาด้วย”
สังเกตุ ชาวคาทอลิกเรา มีจิตใจอ่อนโยนตั้งแต่เด็ก พวกเราจะไม่สุดโต่ง...
ทางพุทธเรียก มัชฌิมาปฎิปทา หรือ ทางสายกลาง
โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ(เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์)
แก้ไขล่าสุดโดย peopletribune เมื่อ อังคาร ก.พ. 14, 2012 2:15 pm, แก้ไขไปแล้ว 4 ครั้ง.
ตามหลักพิธีกรรมคาทอลิกนั้น การพรมน้ำเสกไม่ใช่เป็นการรับพรครับ อย่าเข้าใจผิดว่าเหมือนกับการรับพรมน้ำมนต์ของศาสนาพุทธ การพรมน้ำเสกของทางคาทอลิก เป็นเครื่องหมายเตือนให้ระลึกถึงศีลล้างบาปที่ได้รับ ส่วนน้ำเสกจะกระเซ็นมาถึงเราหรือไม่นั้น ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพียงแค่เราได้เห็นเป็นสัญลักษณ์ก็พอแล้วครับ เวลามีมิสซาใหญ่ ๆ ประธานในพิธีก็พรมน้ำเสกให้แค่ตรงกลางทางเดินเท่านั้น คนที่โดนน้ำเสกก็เฉพาะที่อยู่ติดกับทางเดินกลางเท่านั้น ใครที่ไม่โดนก็ไม่ต้องคิดมากนะครับว่าจะไม่ได้รับพร
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการมาร่วมมิสซาคือการได้ฟังพระวาจาของพระเจ้า และรับศีลมหาสนิท ส่วนการรับพรก็ในตอนจบของมิสซา
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการมาร่วมมิสซาคือการได้ฟังพระวาจาของพระเจ้า และรับศีลมหาสนิท ส่วนการรับพรก็ในตอนจบของมิสซา
แก้ไขล่าสุดโดย Andreas เมื่อ อังคาร ก.พ. 14, 2012 7:40 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
- ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
ด้วยความยินดีครับ ...ยินดีต้อนรับสู่ คาทอลิก นะครับNATTH เขียน:จะลองทำตามคำแนะนำและไปปฎิบัติตามดูครับ
ถ้าวันหลังถ้ามีอะไรอาจจะรบกวนเข้ามาถามอีกนะครับ
ขอขอบคุณทุกท่านมากครับ
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
มันแค่ความเคยชินจากการที่ให้สงฆ์พุทธพรมน้ำพระพุทธมนต์ค่ะ
แท้จริงแล้วจะโดนน้ำหรือไม่โดนไม่สำคัญเลยค่ะ
พระหรรษทานของพระเจ้าไม่ต้องพึ่งวัตถุบนโลกนี้เลย
เพียงคุณตั้งใจร่วมมิสซา นำคำสอนของพระเยซูเจ้าไปใช้ในชีวิต
เดินตามเส้นทางเข้าใกล้ชิดพระทีละขึ้น ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งสมมุติ
ถึงเบื้องหน้าตอนภาวนาของคุณไม่มีไม้กางเขนเลย
แต่ใจของคุณ วิญญาณของคุณระลึกถึงพระเจ้า
คุณก็ได้รับความรักจากพระองค์แล้วค่ะ
แท้จริงแล้วจะโดนน้ำหรือไม่โดนไม่สำคัญเลยค่ะ
พระหรรษทานของพระเจ้าไม่ต้องพึ่งวัตถุบนโลกนี้เลย
เพียงคุณตั้งใจร่วมมิสซา นำคำสอนของพระเยซูเจ้าไปใช้ในชีวิต
เดินตามเส้นทางเข้าใกล้ชิดพระทีละขึ้น ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งสมมุติ
ถึงเบื้องหน้าตอนภาวนาของคุณไม่มีไม้กางเขนเลย
แต่ใจของคุณ วิญญาณของคุณระลึกถึงพระเจ้า
คุณก็ได้รับความรักจากพระองค์แล้วค่ะ
ขอบคุณครับ จริงๆคนรู้จักผมที่นับถือคาทอลิกนอกจาก พ่อภรรยา และ ภรรยา ก็ไม่รู้จักใครเลย บางทีมีอะไรสงสัยก็รู้สึกหาคนคุยด้วยลำบาก แต่ต่อจากนี้ เมื่อได้เจอ บอร์ดนี้ คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องยากในการหาข้อมูลแล้วครับlittleseal เขียน:มันแค่ความเคยชินจากการที่ให้สงฆ์พุทธพรมน้ำพระพุทธมนต์ค่ะ
แท้จริงแล้วจะโดนน้ำหรือไม่โดนไม่สำคัญเลยค่ะ
พระหรรษทานของพระเจ้าไม่ต้องพึ่งวัตถุบนโลกนี้เลย
เพียงคุณตั้งใจร่วมมิสซา นำคำสอนของพระเยซูเจ้าไปใช้ในชีวิต
เดินตามเส้นทางเข้าใกล้ชิดพระทีละขึ้น ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งสมมุติ
ถึงเบื้องหน้าตอนภาวนาของคุณไม่มีไม้กางเขนเลย
แต่ใจของคุณ วิญญาณของคุณระลึกถึงพระเจ้า
คุณก็ได้รับความรักจากพระองค์แล้วค่ะ
-
- โพสต์: 124
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 30, 2009 5:18 pm
- ที่อยู่: ขอนแก่น
สำหรับคำถามคิดว่าพี่น้องผู้รู้หลายท่านได้ตอบไว้ชัดเจนแล้ว จึงอยากพูดถึงคำพูดนี้
>> viewtopic.php?f=1&t=17297#p227803 นี่กระทู้ต้นเรื่อง
>> viewtopic.php?f=1&t=17297#p227825 ส่วนนี่แบ่งปันประสบการณ์ตรงของผมเอง
จริงครับที่ว่า พ่อแต่ละท่านก็มีวิธีการสอนต่างกัน และต้องดูที่เจตนา แต่คำสอนบางเรื่องบางอย่างก็อาจจะเป็นที่สะดุดต่อพี่น้องสัตบุรุษได้ ซึ่งจริงๆ แล้วสัตบุรุษเรามีสิทธิ์ทักท้วง แต่ด้วยวัฒนธรรมความนบนอบต่อผู้หลักผู้ใหญ่ของคนไทยทำให้อาจจะไม่กล้า ดังนั้น เราต้องพิจารณาคำสอนที่อาจจะทำให้ความเชื่อไขว้เขวออกนอกทางของพระอย่างระมัดระวังด้วย อะไรที่หนุนใจบำรุงศรัทธาเราก็เก็บไว้ ส่วนอะไรที่ทำให้ความเชื่อเราไม่มั่นคงก็ต้องพิจารณาดูให้ดีๆ ศึกษา+ปรึกษาผู้รู้เป็นหนึ่งวิธีที่จะทำให้เรารู้ข้อเท็จจริงมากขึ้น และเราต้องหมั่นสวดภาวนาสำหรับผู้ที่มีความเชื่อไม่มั่นคง ได้มั่นคงในทางของพระ และสำหรับตัวเราเองจะได้มั่นคงในความเชื่อด้วย
ขอพระเจ้าอวยพรคุณครับ ^^
ผ่านทางกระทู้แนะนำNATTH เขียน:"พ่อบางรูปอาจจะมีคำสอนไม่ตรงกับใจเราบ้าง แต่สุดท้ายให้ดูที่เจตนาเพราะยังไง พ่อทุกคนก็อยากให้เราเป็นคนดี"
>> viewtopic.php?f=1&t=17297#p227803 นี่กระทู้ต้นเรื่อง
>> viewtopic.php?f=1&t=17297#p227825 ส่วนนี่แบ่งปันประสบการณ์ตรงของผมเอง
จริงครับที่ว่า พ่อแต่ละท่านก็มีวิธีการสอนต่างกัน และต้องดูที่เจตนา แต่คำสอนบางเรื่องบางอย่างก็อาจจะเป็นที่สะดุดต่อพี่น้องสัตบุรุษได้ ซึ่งจริงๆ แล้วสัตบุรุษเรามีสิทธิ์ทักท้วง แต่ด้วยวัฒนธรรมความนบนอบต่อผู้หลักผู้ใหญ่ของคนไทยทำให้อาจจะไม่กล้า ดังนั้น เราต้องพิจารณาคำสอนที่อาจจะทำให้ความเชื่อไขว้เขวออกนอกทางของพระอย่างระมัดระวังด้วย อะไรที่หนุนใจบำรุงศรัทธาเราก็เก็บไว้ ส่วนอะไรที่ทำให้ความเชื่อเราไม่มั่นคงก็ต้องพิจารณาดูให้ดีๆ ศึกษา+ปรึกษาผู้รู้เป็นหนึ่งวิธีที่จะทำให้เรารู้ข้อเท็จจริงมากขึ้น และเราต้องหมั่นสวดภาวนาสำหรับผู้ที่มีความเชื่อไม่มั่นคง ได้มั่นคงในทางของพระ และสำหรับตัวเราเองจะได้มั่นคงในความเชื่อด้วย
ขอพระเจ้าอวยพรคุณครับ ^^
ขอขอบคุณมากครับ†ลูกแกะพระเจ้า... เขียน:สำหรับคำถามคิดว่าพี่น้องผู้รู้หลายท่านได้ตอบไว้ชัดเจนแล้ว จึงอยากพูดถึงคำพูดนี้ผ่านทางกระทู้แนะนำNATTH เขียน:"พ่อบางรูปอาจจะมีคำสอนไม่ตรงกับใจเราบ้าง แต่สุดท้ายให้ดูที่เจตนาเพราะยังไง พ่อทุกคนก็อยากให้เราเป็นคนดี"
>> viewtopic.php?f=1&t=17297#p227803 นี่กระทู้ต้นเรื่อง
>> viewtopic.php?f=1&t=17297#p227825 ส่วนนี่แบ่งปันประสบการณ์ตรงของผมเอง
จริงครับที่ว่า พ่อแต่ละท่านก็มีวิธีการสอนต่างกัน และต้องดูที่เจตนา แต่คำสอนบางเรื่องบางอย่างก็อาจจะเป็นที่สะดุดต่อพี่น้องสัตบุรุษได้ ซึ่งจริงๆ แล้วสัตบุรุษเรามีสิทธิ์ทักท้วง แต่ด้วยวัฒนธรรมความนบนอบต่อผู้หลักผู้ใหญ่ของคนไทยทำให้อาจจะไม่กล้า ดังนั้น เราต้องพิจารณาคำสอนที่อาจจะทำให้ความเชื่อไขว้เขวออกนอกทางของพระอย่างระมัดระวังด้วย อะไรที่หนุนใจบำรุงศรัทธาเราก็เก็บไว้ ส่วนอะไรที่ทำให้ความเชื่อเราไม่มั่นคงก็ต้องพิจารณาดูให้ดีๆ ศึกษา+ปรึกษาผู้รู้เป็นหนึ่งวิธีที่จะทำให้เรารู้ข้อเท็จจริงมากขึ้น และเราต้องหมั่นสวดภาวนาสำหรับผู้ที่มีความเชื่อไม่มั่นคง ได้มั่นคงในทางของพระ และสำหรับตัวเราเองจะได้มั่นคงในความเชื่อด้วย
ขอพระเจ้าอวยพรคุณครับ ^^
-
- โพสต์: 164
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 24, 2011 2:17 pm
แปลกจัง วัดที่ไปไม่มีอ่างใสน้ำเสกอยู่ใกล้ๆทางเข้าเหรอครับ เดินเข้าไปก็เอามือจุ่มในน้ำเสกมาทำสำคัญมหากางเขนอยู่แล้วนี่ครับ จะคิดอะไรมากกับน้ำเสกตอนที่บาทหลวงเดินพรมให้ มันก็น้ำอันเดียวกันนั้นแหละไม่ใช่เหรอครับ
??????
ผมก็ใช้น้ำเสกในอ่างทำสำัคัญมหากางเขนทุกครั้งที่ไปวัด ดังนั้นบาทหลวงท่านจะพรมน้ำเสกโดนหรือไม่โดนผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะผมก็ใช้น้ำเสกที่อยู่หน้าทางเข้าออกอยู่แล้ว(ก็น้ำเสกอันเดียวกันนั่นแหละ) คิดมากไปเปล่าพี่
??????
ผมก็ใช้น้ำเสกในอ่างทำสำัคัญมหากางเขนทุกครั้งที่ไปวัด ดังนั้นบาทหลวงท่านจะพรมน้ำเสกโดนหรือไม่โดนผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะผมก็ใช้น้ำเสกที่อยู่หน้าทางเข้าออกอยู่แล้ว(ก็น้ำเสกอันเดียวกันนั่นแหละ) คิดมากไปเปล่าพี่
ตามธรรมเนียมของคาทอลิกแต่เดิมนั้น เมื่อมีการพรมน้ำเสกในช่วงเริ่มมิสซา ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการชำระผู้ร่วมพิธีให้บริสุทธิ์
ก็จะมีการขับร้องบทเพลงภาษาละติน Asperges me, Domine, hyssopo et mundabor,
Lavabis me, et super nivem dealbabor.
Miserere mei, Deus, secundum magnam misericordiam tuam.
ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า
ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพรมน้ำแก่ข้าพเจ้าโดยกิ่งไม้หุสบ แล้วก็ข้าพเจ้าจะสะอาดหมดจด
ขอพระองค์ทรงล้างข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะถูกล้างให้ขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะ
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงสงสารข้าพเจ้าตามพระมหากรุณาของพระองค์
การจะโดนน้ำเสกหรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกเช่นเดียวกัน อย่าไปคิดว่าถ้าไม่โดนน้ำเสกแล้วจะยังเป็นคนมีมลทินอยู่ เพราะถ้าคุณได้สารภาพบาปแล้ว คุณก็สะอาดยิ่งกว่าคนที่มีบาปที่ยังไม่ได้สารภาพแต่โดนน้ำเสก
ก็จะมีการขับร้องบทเพลงภาษาละติน Asperges me, Domine, hyssopo et mundabor,
Lavabis me, et super nivem dealbabor.
Miserere mei, Deus, secundum magnam misericordiam tuam.
ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า
ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพรมน้ำแก่ข้าพเจ้าโดยกิ่งไม้หุสบ แล้วก็ข้าพเจ้าจะสะอาดหมดจด
ขอพระองค์ทรงล้างข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะถูกล้างให้ขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะ
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงสงสารข้าพเจ้าตามพระมหากรุณาของพระองค์
การจะโดนน้ำเสกหรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกเช่นเดียวกัน อย่าไปคิดว่าถ้าไม่โดนน้ำเสกแล้วจะยังเป็นคนมีมลทินอยู่ เพราะถ้าคุณได้สารภาพบาปแล้ว คุณก็สะอาดยิ่งกว่าคนที่มีบาปที่ยังไม่ได้สารภาพแต่โดนน้ำเสก
การรับเสด็จพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท สำคัญกว่ามากๆ ครับ
เพราะพระองค์ทรงมอบพระองค์เองให้แก่เรา
น้ำเสกนั้น เทียบไม่ได้เลยกับพระกายและพระโลหิตของพระองค์ในศีลมหาสนิท
ถ้าเราไม่ได้รับศีลมหาสนิท ก็เหมือนว่าเรายังไม่ได้มาร่วมมิสซาอย่างแท้จริงครับ
เพราะพระองค์ทรงมอบพระองค์เองให้แก่เรา
น้ำเสกนั้น เทียบไม่ได้เลยกับพระกายและพระโลหิตของพระองค์ในศีลมหาสนิท
ถ้าเราไม่ได้รับศีลมหาสนิท ก็เหมือนว่าเรายังไม่ได้มาร่วมมิสซาอย่างแท้จริงครับ
- billa-bong
- ~@
- โพสต์: 668
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
- ที่อยู่: thailand
Andreas เขียน:ตามธรรมเนียมของคาทอลิกแต่เดิมนั้น เมื่อมีการพรมน้ำเสกในช่วงเริ่มมิสซา ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการชำระผู้ร่วมพิธีให้บริสุทธิ์
การจะโดนน้ำเสกหรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกเช่นเดียวกัน อย่าไปคิดว่าถ้าไม่โดนน้ำเสกแล้วจะยังเป็นคนมีมลทินอยู่ เพราะถ้าคุณได้สารภาพบาปแล้ว คุณก็สะอาดยิ่งกว่าคนที่มีบาปที่ยังไม่ได้สารภาพแต่โดนน้ำเสก
Cho เขียน:การรับเสด็จพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท สำคัญกว่ามากๆ ครับ
เพราะพระองค์ทรงมอบพระองค์เองให้แก่เรา
เห็นด้วยมากๆๆ ครับ จิงๆ แล้ว น้ำเสกชำระเราให้บริสุทธ์จากบาปเบาได้ แต่ถ้าเราได้จุ่มน้ำเสก ตอนเข้าวัด และ ได้รับศิลอภัยบาปอย่างดีแล้ว ก็ไม่ต้องไปคิดมากนะครับ จิงๆ แล้วอาจจะมีคนไม่โดนน้ำเสกเหมือน คุณ หรือ บางคนอาจจะ โดน แต่สิ่งสำคัญ อยู่ที่จิตใจ และจิตวิญญาณของเราต่อพระเจ้าทั้งสิ้น ความตั้งใจในการร่วมมิสซา และรับศิลมหาสนิทนั้นสำคัญมากกว่าครับ มากกว่าอย่าอื่นในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ เพราะเป็นการง่ายที่จะรับพระเยซูเจ้ามาอยู่กับเราผ่านทางศิลมหาสนิท อย่างไรก็ดีคนที่โดนน้ำเสกที่พ่อพรมให้แต่ไม่ตั้งใจ ร่วมพิธีมิสซา พระหรรษทานที่ได้รับอาจจะน้อยกว่าคนที่ไม่โดนพรมน้ำเสกแต่ตั้งใจแน่นอนครับ เพราะพรรษทานของพระเจ้าพร้อมที่ให้ทุกคนอย่างเต็มเปี่ยมจนล้นด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าแต่ละคนจะได้รับมากน้อยขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ชีวิตที่สนิทกับพระมากน้อยแค่ไหน และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในพระหรรษทานด้วย อย่างไรก็ดีเพื่อไม่ให้เราจองหอง และจะได้เป็นทุกข์ถึงบาปของเราเสมอ (อย่างที่หลายครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมคนที่ทำไม่ดียังได้ดีอยู่ แม้แต่ในวัด เช่น คนที่ไม่เห็นจะตั้งใจ พระเจ้าก็ยังอวยพรอยุ่) และ เพื่อให้เราแต่ละคน เป็นคนสุภาพ และ อ่อนน้อมถ่อมตน และรู้ว่าแท้จริงแล้วเราก็ยังทำบาป และเป็นคนบาปไม่ต่างจากคนอื่น พระเจ้าจึงสอนเราในเรื่องนี้ว่าlittleseal เขียน: พระหรรษทานของพระเจ้าไม่ต้องพึ่งวัตถุบนโลกนี้เลย
เพียงคุณตั้งใจร่วมมิสซา นำคำสอนของพระเยซูเจ้าไปใช้ในชีวิต
เดินตามเส้นทางเข้าใกล้ชิดพระทีละขึ้น ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งสมมุติ
ถึงเบื้องหน้าตอนภาวนาของคุณไม่มีไม้กางเขนเลย
แต่ใจของคุณ วิญญาณของคุณระลึกถึงพระเจ้า
คุณก็ได้รับความรักจากพระองค์แล้วค่ะ
พระเจ้าทรงเที่ยงธรรม
14แล้วเราจะพูดอะไรอีกเล่า พระเจ้าทรงอยุติธรรมกระนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ 15เพราะพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า เราเมตตาต่อผู้ที่เราเมตตา และสงสารผู้ที่เราสงสาร 16ดังนั้น ทุกสิ่งจึงขึ้นกับพระเมตตาของพระเจ้า ไม่ขึ้นกับความตั้งใจหรือความอุตสาหะของมนุษย์ 17ในพระคัมภีร์พระเจ้าตรัสกับฟาโรห์ว่า เราแต่งตั้งท่านให้มีอำนาจเพื่อfแสดงอำนาจของเราในตัวท่าน และเพื่อนามของเราจะได้รับการประกาศไปทั่วโลก 18 ดังนั้น พระเจ้ามีพระประสงค์จะเมตตาผู้ใด ก็ทรงเมตตาผู้นั้น และทรงประสงค์จะทำให้ผู้ใดมีจิตใจแข็งกระด้าง พระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นได้
19แล้วท่านจะถามว่า "ทำไมพระองค์ยังทรงเอาผิดเราอีก ในเมื่อไม่มีใครต่อต้านพระประสงค์ของพระองค์ได้"g 20มนุษย์เอ๋ย เจ้าเป็นใครกัน จึงบังอาจมาเถียงกับพระเจ้า รูปปั้นจะพูดกับผู้ปั้นได้หรือว่า "ทำไมจึงทำฉันอย่างนี้" 21ช่างปั้นย่อมมีอำนาจเหนือก้อนดินเหนียวมิใช่หรือ ช่างปั้นย่อมใช้ดินก้อนเดียวกันปั้นให้เป็นภาชนะที่มีเกียรติ หรือภาชนะธรรมดาก็ได้
22ดังนั้น แม้พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะแสดงพระฤทธานุภาพ และแจ้งการลงโทษแก่ผู้ที่สมควรถูกลงโทษและถูกทำลาย พระองค์ก็ยังทรงอดกลั้นอย่างยิ่งที่จะไม่ทำเช่นนั้นh 23และทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อผู้ที่สมควรจะได้รับพระกรุณาธิคุณ ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดไว้แล้วi เพื่อรับพระสิริรุ่งโรจน์j 24คือพวกเราซึ่งพระองค์ทรงเรียกมา ทั้งจากชาวยิว และจากคนต่างชาติ
ที่จริงก็เห็นด้วยกับความเห็นหลายๆคนครับ
แต่ขอแก้ไขข้อเท็จจริงส่วนนี้
ตามการประจักษ์ของพระเยซูต่อวาสสุลา ไรเด็น
พระองค์ก็เรียกร้องให้เราใช้น้ำเสกในการภาวนายกจิตใจเราและอุทิศแด่ผู้ล่วงหลับเช่นกัน
_______
อย่างไรก็ตาม ก็เห็นใจคุณพ่อผู้ทำมิสซาเหมือนกันนะครับ
ที่จะกะท่วงท่าที่จะพรมน้ำเสกให้โดนสัตบุรุษได้ทั่วถึงมากที่สุด
พ่อหลายองค์ก็เลยไม่พรมน้ำเลย เพื่อตัดกังวลสัตบุรุษ
(ส่วนตัวคิดว่า ถ้าติดน้ำเสกผ่านsprinkleบนเพดาน แบบภาพยนตร์Constantine คงจะเก๋ไม่น้อย )
อีกอย่าง น้ำเสกก็ไม่ใช่สิ่งไกลตัว
เราใช้น้ำเสกเจิมตัวเอง ก่อนเข้าโบสถ์อยู่แล้ว
และเมื่อถึงวันฉลองปาสกา เราก็ได้รับน้ำเสกมาเป็นขวดๆ
มาใช้ในชีวิตประจำวันเราได้
(ซึ่งหลังปาสกา เราก็ยังสามารถขอคุณพ่อเสกน้ำให้เราได้อีกด้วย )
แต่ขอแก้ไขข้อเท็จจริงส่วนนี้
ที่จริง น้ำเสก(Holy Water) เป็นสิ่งคล้ายศีล (Sacramental)ครับlittleseal เขียน:แท้จริงแล้วจะโดนน้ำหรือไม่โดนไม่สำคัญเลยค่ะ
พระหรรษทานของพระเจ้าไม่ต้องพึ่งวัตถุบนโลกนี้เลย
ตามการประจักษ์ของพระเยซูต่อวาสสุลา ไรเด็น
พระองค์ก็เรียกร้องให้เราใช้น้ำเสกในการภาวนายกจิตใจเราและอุทิศแด่ผู้ล่วงหลับเช่นกัน
_______
อย่างไรก็ตาม ก็เห็นใจคุณพ่อผู้ทำมิสซาเหมือนกันนะครับ
ที่จะกะท่วงท่าที่จะพรมน้ำเสกให้โดนสัตบุรุษได้ทั่วถึงมากที่สุด
พ่อหลายองค์ก็เลยไม่พรมน้ำเลย เพื่อตัดกังวลสัตบุรุษ
(ส่วนตัวคิดว่า ถ้าติดน้ำเสกผ่านsprinkleบนเพดาน แบบภาพยนตร์Constantine คงจะเก๋ไม่น้อย )
อีกอย่าง น้ำเสกก็ไม่ใช่สิ่งไกลตัว
เราใช้น้ำเสกเจิมตัวเอง ก่อนเข้าโบสถ์อยู่แล้ว
และเมื่อถึงวันฉลองปาสกา เราก็ได้รับน้ำเสกมาเป็นขวดๆ
มาใช้ในชีวิตประจำวันเราได้
(ซึ่งหลังปาสกา เราก็ยังสามารถขอคุณพ่อเสกน้ำให้เราได้อีกด้วย )