เอาบทความของพวกมั่วมาให้ดูครับ

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
negai
โพสต์: 93
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 14, 2009 9:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 22, 2012 1:39 pm

คำกล่าวของพวกมั่วมีดังนี้ พอดีไปเห็นมาในเวปบอร์ดของพวกนั้นมา

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระเยซูตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต
“..ประมาณเกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา เขาถามว่า “ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน” อาตมาตอบว่า “รู้” เขาถามว่า “เคยคุยไหม” ก็บอกว่า “ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน” จึงถามเขาว่า “แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า “ไม่รู้” ถามว่า “เคยเห็นไหม” เขาตอบว่า “ไม่เคยเห็น” เขาเลยถามว่า “ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ” ตอบว่า “ไม่เคยสนใจ” แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า “พระเยซูใช่ไหม” ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า “ใช่ครับ” อาตมาถามว่า “ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ” ท่านบอกว่า “ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย” บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร” ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า “อยู่ที่ไหน” ตอบว่า “อยู่ชั้นดุสิต”
พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า “คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ” ท่านถามว่า “ผิดอย่างไรครับ” บอกว่า “ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ” ท่านตอบว่า “ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป” คำสอนของท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก
ภาพประจำตัวสมาชิก
negai
โพสต์: 93
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 14, 2009 9:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 22, 2012 1:42 pm

ตามที่เราเห็นโดยทั่วไป พวกอาตมาทั้งหลายที่ชอบอวดเก่ง คิดว่าตัวเองสามารถเข้าสมาธิแล้วไปเห็นสวรรค์ชั้นต่างๆมา พวกเขาคงคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นความจริง แต่ผมเชื่อว่านิมิตรที่พระพวกนี้เห็น มันเป็นนิมิตเท็จ และพวกเขาก็ยังถูกวิญญาณชั่วล่อลวงอยู่เรื่อยไปว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันจริง และยังคิดว่าตัวเองเก่งกว่าพระเจ้าอีกด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
negai
โพสต์: 93
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 14, 2009 9:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 22, 2012 1:56 pm

นี่ก็อีกอันหนึ่ง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประเด็นเหล่านี้ ผมได้ค้นคว้ามา ปีกว่า หลังจากที่ผมสงสัยในเยซู
ผมเคยเป็น สาวกเยซูมานับสิบปี บัดนี้ ผมได้พบสัจธรรมแล้ว
ได้พบความจริงแล้ว หมดแล้ว ซึ่งข้อสงสัยเกี่ยวกับมิจฉาทิฐินี้
ประจักรแจ้งแล้วว่ามีแต่ พระสมณโคดมตถาคต เท่านั้น ที่พูดความจริง
---------------------------------
1. จุดเริ่มต้นคือ เยซูเป็นพระเจ้าหรือไม่
จุดเริ่มต้นของข้ออ้างนี้คือ โยฮัน บุตร เศคารียา หรือ ยอห์นบัพติสมา
ซึ่งคือ คนแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด เป็นคนที่พวกยิวแถบแม่น้ำจอร์แดนนับถือ เป็นคนแรกที่ทำพิธีล้างบาป หรือ บัพติสมา
ยอห์นได้ตอบเขาเหล่านั้นว่า "ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่มีพระองค์หนึ่งซึ่งประทับอยู่ในหมู่พวกท่านนั้น ท่านไม่รู้จัก (โยฮัน 1:26)
จุดที่น่าสงสัยคือ
1. เยซู ได้รับการล้างบาป โดย ยอห์น หลักฐานคือ
พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์น (มก 1:9-11; ลก 3:21-22; ยน 1:31-34)แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน เพื่อจะรับบัพติศมาจากท่าน ,มัททาย 3:13
คำถามคือ ทำไมบุตรของพระเจ้า ถึงถูกมนุษย์ธรรมดาอย่างยอห์นล้างบาป
2. เยซูอ้างว่า ยอห์น ยอมรับว่าเขาเป็นบุตรของพระเจ้า (มัททาย 3:16-17) ถึงขนาดอ้างว่า พระเจ้าปรากฎเป็นนกพิราบมาเกาะที่เยซู (มัททาย 3:16)
แต่เรื่องที่แปลก ก็คือ ยอห์นที่เป็นประจักรพยาน กลับไม่ได้ติดตามเยซูเลย
สาวก ก็ไม่ได้ติดตามเยซูเลย มันแปลกตรงที่ว่า ถ้ามีใครเห็นแสงสว่างปรากฎเหนือใครแล้ว แล้วมีเสียงออกมาบอกด้วยว่า นี่เป็นบุตรพระเจ้า แต่กลับไม่มีใครติดตามสักคน ทั้งยอห์นและสาวกยอห์น และคนที่อยู่แถวนั้น
กลับมีแต่เยซูคนเดียวเท่านั้นที่ ออกมาอ้างเรื่องนี้ (มธ 4:18 ;มก 1:16-20; ลก 5:2-11)
เท่ากลับว่า เยซูอ้างอยู่คนเดียวเลยว่า เขาคือ บุตรพระเจ้า
โดยที่ประจักรพยาน ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ติดตาม แม้กระทั่งจนตาย ยอห์นก็ไม่ได้พบหน้าเยซู รวมทั้งสาวกของยอห์นด้วย
น่าแปลกไหมว่า อ้างอยู่คนเดียว แต่คนที่เห็นเหตุการณ์ พระเจ้าลงมาสถิต (ยอห์น สาวกยอห์น คนที่แม่น้ำจอร์แดน) ไม่มีเลยสักคนติดตาม
เป็นไปได้อย่างไร
เป็นไปได้ อย่างเดียวก็คือ มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นที่ แม่น้ำจอร์แดนเลย
เยซู ก็คือ สาวกของยอห์น ที่ออกมาตั้งลัทธิใหม่
ไม่ได้เป็นบุตรของพระเจ้า และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด
ฉะนั้น ทุกเรื่องที่อ้างว่า เป็นบุตรของพระเจ้า ก็คือ เรื่อง โกหก
และเรื่องที่อ้างว่า เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว ล้างบาปได้ ก็ โกหก เช่นกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 22, 2012 9:52 pm

เรื่องที่เอามาลงมั่วจริงๆ มั่วทั้งหมด แต่งเรื่องได้มั่วๆๆๆ
โกหกตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้าย... ::050:: ::050::
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

อาทิตย์ เม.ย. 22, 2012 11:02 pm

เอาแค่ตรงที่ว่าถามบาทหลวงว่า "พระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน" แล้วบาทหลวงตอบว่า "ไม่รู้" ก็มั่วแล้วล่ะครับ ไม่ต้องเป็นบาทหลวงหรอกครับ แค่สัตบุรุษคริสตชนทั่วๆไป ก็รู้อยู่ว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุดทั้งนั้น ใครที่สวดบทข้าแต่พระบิดาได้ ก็ต้องรู้อยู่แล้ว "ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตอยู่ในสวรรค์ ..."

แถมยังบอกว่าเห็นพระเยซูเจ้าแต่งตัวเป็นบาทหลวงเสียอีก แหม :s024: ชุดของชาวยิวสมัยก่อนเหมือนกับชุดของบาทหลวงสมัยนี้เลยหรือ หุๆ

มนุษย์เอ๋ยมนุษย์ ถ้าคิดว่าตนเก่งกว่าพระเจ้า ก็ลองเอาชนะความตายให้ดูหน่อยซิ
ถ้าคิดว่ายิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า งั้นขอถามว่า กล้ามั้ย กล้ายอมรับความตายอย่างทุกข์ทรมานเพื่อมนุษย์ทั้งมวลได้ไหม?
sayonara
โพสต์: 62
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 31, 2010 8:16 pm

จันทร์ เม.ย. 23, 2012 12:06 am

บทความที่ยกมา เป็นบทความยอดนิยมในบรรดาผู้คลั่งศาสนานั้น ที่มักจะหยิบยกมาเปรียบเทียบ เหยียดหยาม และให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ และมีความพยายามที่จะกล่าวอ้างว่า ความเชื่อของเรานั้นเป็นเรื่องโกหก เราไปเชื่อในสิ่งที่พระเยซูเจ้าไม่ได้สอน และเมื่อเราอธิบายบ้างก็ไม่รับฟังบอกว่า คนที่พูดข้อความนี้คือหลวงพ่อ..... ซึ่งท่านมีจิตวิเศษบลาๆๆๆ ท่านไปมาเห็นหมดทั้งสวรรค์นรก บลาๆๆๆ จนผมล่ะเหนื่อย ซึ่งอันนี้คงจะไปโทษคนที่นำมาเผยแพร่หรือสานุศิษย์ทั้งหมดก็ไม่ได้ สำหรับผม ผมโทษที่คนพูด เพราะคนพูดข้อความนี้เป็นถึงนักบวชที่ได้รับลาภสักการะและเป็นที่นับหน้าถือตา อีกทั้งมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านของจิต หรือญาณวิเศษ น่าเศร้าใจที่เป็นถึงนักบวชชั้นผู้ใหญ่ แต่กลับเอาความเชื่อของคนอื่นมาเล่นเพื่ออวดอ้างบารมีหรือความสามารถของตนเอง


ป.ล. ผมขอโทษหากจะแสดงความเห็นที่รุนแรงออกไป แต่มันอดไม่ได้เพราะผมเคยเห็นและเคยไปโต้แย้งกับศาสนิกของเขา ด้วยข้อความนี้มาแล้ว สุดท้ายเรายอมเอง เพราะเขาไม่ฟัง เอาแต่จะบอกว่าของเราผิดท่าเดียว
peopletribune
โพสต์: 423
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa

จันทร์ เม.ย. 23, 2012 2:30 am

โลก มี 2 ฝ่ายเสมอ มีธรรมะ มีอธรรม มีพระเจ้า และมีปีศาจ
มีคนดี และมีคนเลว...

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องรู้เท่าทันความชั่ว และหมั่นทำความดีเป็นหลักชัย
บทความดังกล่าว เป็นการก่อวินาศกรรมทางจิตใจ (Sabotage into mind)
เป็นหนึ่งในแขนงของการปล่อยข่าวบ่อนทำลาย ใครศึกษาทางด้านความมั่นคงหรือการทหาร
คงพอทราบ...ร.ด.(3 ปี ไม่มีสอน) เพราะลึก ใครเรียก ร.ด.5 ปี(น่าจะมี) ปรกติเรื่องพวกนี้ใคร
คอการเมืองต้องเคยอ่านเจอ เรื่อง Subversion ,Sabotage และ Riot

รูปภาพ

เมื่อเราเจอบทความที่มั่ว...ถ้าอ่านแล้วก็จบ บทความก็อยู่ตรงนั้น ไม่ขยาย
ยิ่งเรา Copy Paste มากจาก 1 ก็จะกลายเป็น 2 เป็น 3 เป็น 4 จนในที่สุดก็เป็นน้ำผึ้ง
หยดเดียว หรือเป็นกรณีทฤษฎีสมคมคิดได้...หรือล่วงเลยเป็นเรื่องตื่นตระหนก อย่าลืม
นะครับทุกคนไม่ได้ลึกซึ้งในพระเจ้าเหมือนกันหมด โดยเฉพาะสัตบุรุษ ต่างศาสนิก

หากคิดว่าสิ่งที่บุคคลผู้นั้นเขียน เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ท่านสามารถดำเนินการได้ ดังนี้:

1. แจ้งเว็บมาสเตอร์ เพื่อลบบทความดังกล่าว และตรวจสอบ หรือ Block User
(เว็บทุกเว็บ ต้องมีเว็บมาสเตอร์ และตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ เว็บมาสเตอร์ มีความผิดด้วย)
ซึ่งตัวผมก็ทำบ่อยครั้งในเว็บ newmana หรือที่เว็บชื่อดังอื่น ๆ ถ้าเห็นว่าบทความนั้นไม่ถูก
ต้อง ไม่มีหลักวิชาการ หรือหลักศาสนา ที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

2. แจ้งไปที่ สภาสังฆราช เพื่อดำเนินการโต้แย้ง ในหลักวิชาการ ซึ่งสมัยนี้สามารถแจ้ง
ผ่านทางโทรศัพท์ หรือ e-mail สะดวกมากและเป็นการกระตุ้นเตือนให้หน่วยงานทาง
ศาสนจักร ทำงานแบบ Pro-Active (ทุกวันนี้ทำงานแบบ Conservative)

3. ตัวเราเอง สามารถเป็นเจ้าทุกข์ดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย ทั้ง พรบ.คอมฯ และ
การก่อให้เกิดความวุ่นวายและความสงบของสังคม(เพราะคนคริสต์ก็ถือเป็นสังคมหนึ่ง
ที่มีสิทธิเสรี ตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ซึ่งใครจะละเมิดมิได้) แม้แต่ชนกลุ่มน้อย
ชาวเขา ชาวดอย ก็มีสิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญ คุ้มครอง...

4 แจ้งกระทรวง ICT ให้ตรวจสอบ บทความดังกล่าว เพราะขัดกับความสงบสุขของสังคม
(เมื่อเจ้าหน้าที่รับแจ้ง ต้องดำเนินการตรวจสอบ ไม่งั้นมีความผิด ตาม ป.วิอาญา ม.157)

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
http://www.mict.go.th/ewt_news.php?nid=333

แต่สิ่งที่ผมกล่าวข้างต้น คนไทยไม่ทำ สิ่งที่คนไทยจะทำส่วนใหญ่คือ share ให้เพื่อนรู้
Copy Paste แล้วเอาเม้าส์กัน หรือ โต้แย้งกลับไปให้เจ็บปวด ฟาดฟันกันในกระูทู้ให้
แตกหัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักเกินน้อยในประชากร ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ที่ญี่่ปุ่นหากมี
คนทิ้งขยะบนท้องถนน สังคมเค้าจะทำการ "Social Sanction" หรือ ลงโทษทางสังคม
ในทันที มันทำให้คนกระทำความผิดอับอาย หรือไม่กล้าที่จะอยู่ในสังคม มาตรฐานสังคม
เค้าจึงสูงมาก ดูอย่างกรณีสึนามิเข้า ประชากรจะมีระเบียบวินัยสูง จนทั่วโลกยอมรับ



ผมยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย เช่น กรณี หมิ่นพระบรมเดชานุภาพบนเว็บไซด์ youtube
ถ้าเราคิดว่าเรารักสถาบัน สิ่งที่ควรทำคือ แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แต่เรายิ่ง share ,เรายิ่ง forward ,ยิ่งตอบโต้ด้วยถ้อยคำรุนแรง ยิ่งเข้าทางพวกที่กระทำ
:s008:

อีกกรณีหนึ่งที่ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คือ โทรศัทพ์โรคจิต
หากเรายิ่งรับสาย ยิ่งด่าทอ พวกนี้ยิ่งชอบ และยิ่งได้ใจ (เพราะเป็นโรคจิต) แต่หากเรา
หาทางแก้ไข โดยการแจ้งความดำเนินคดี เป็นกรณีตัวอย่าง สอบสวนถึงที่มา เบอร์โทรศัพท์
ต้นทาง หรือหากมาทาง Computer สมัยนี้ยิ่งสะดวกใหญ่ เพราะมีโปรแกรมตรวจสอบ
IP Adress สามารถรู้ว่าใช้มาจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใด...เป็นต้น

Link สำหรับเช็ค ที่อยู่ของ IP Adress :
http://checkip.narak.com/

2 ตัวอย่าง ข้างต้น คือวิธีการต่อสู้กับพวกมั่ว อย่างถูกต้องตามหลัก กฎหมาย และเหตุผล
ไม่ใช่อารมณ์

:s021:
โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ๆ มีพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ เม.ย. 25, 2012 6:36 am

ในอีกแง่ การสัมผัสสิ่งที่ปลอมตัวมาเป็นพระเยซู ผมเคยเจอนะครับ ผมเคยไปเข้าเงียบในต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง แบบปลีกวิเวก แล้วก็ประมาณเหมือนท่านว่านี่แหละ หลังจากเดินสวดสายประคำ3สาย กลับไปที่ห้องกำลังจะหลับ ครึ่งหลับครึ่งตื่นไป พบตัวเองอยู่ในสถานที่สลัวๆ พบเทพในศาสนาหนึ่ง ปรากฎในรูปลักษณ์แบบชายใส่ชุดขาว แต่ผมก็ทำไมรู้เองก็ไม่ทราบว่าคือเทพองค์ไหน ชักชวนผม พร้อมแสดงทรัพย์สินเงินทอง ในฝันนั้น มีสตรีผู้หนึ่งอยู่ข้างๆในความรู้สึกผมเหมือนเป็นแม่ของผม แต่เธอยืนนิ่งมากไม่พูดอะไรเลย ผมหันไปบอกสตรีนั้นว่าดูสิเขาบอกว่าผมมี...ด้วย(จำคำไม่ได้ แต่เหมือนพรพิเศษอะไรสักอย่าง ประมาณว่าถ้าไปเข้าของเขาแล้วจะรุ่ง) ทันใดผมถูกพามาที่แห่งหนึ่งเป็นทุ่งหญ้า มีชายคนหนึ่งหน้าตารูปร่างเหมือนพระเยซูเป๊ะ มาหาผมแล้วบอกว่า ให้ไปนิพพานเอาไหม พร้อมโชว์ม้วนหนังสือว่า เขาสามารถเขียนชื่อผมลงไปได้ทันที ท่าทางเขากระตือรือร้นมาก ผมตอบไปว่า ไม่เอาครับ คนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนพระเยซูนั้นสะดุ้ง ทำท่างง แล้วถามว่า ทำไมล่ะ ผมตอบไปว่า อ้าว ถ้าไปนิพพาน ก็ไม่ได้เจอพระองค์น่ะสิ ทันใดนั้นผมก็สะดุ้งตื่นมา เพราะว่ามีพายุพัดแรงมากจนประตูเปิดฟาดกับผนัง ผมลุกไปปิดประตูลงกลอนแล้วนอนต่อสวดไปด้วยงงนิดนึงทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก่อนจะหลับไป พอเช้า ผมเปิดประตูไปเห็นภูเขาลิบๆตรงกับประตูนั้นมีรูป...สีทองขนาดใหญ่อยู่บนยอดเขา ผมรู้สึกทันทีว่า...นี่เองที่มา

ดังนั้นพอผมได้อ่านเรื่องของคนที่บอกว่าร่างจริงของคนที่เขาคิดว่าคือพระเยซูนั้นสวมชฎา ผมก็รู้สึกทันทีว่าคงจะมาแนวเดียวกัน ปลอมเป็นพระเยซูเพื่อบิดเบือนความเชื่อคริสตชน ซึ่งพระคนนั้นไม่ได้เรียนคำสอนจึงเข้าใจความเชื่อเรื่องการไถ่บาปแบบมั่วๆ แบบมายาคติที่คนต่างศาสนาเข้าใจผิดๆกัน จึงปรุงแต่งจิตไปได้ขนาดนั้น แต่เผอิญผมเรียนคำสอนมาเลยไม่เคลิ้มไปกับแนวทางแปลกๆที่พระเยซูปลอมนำเสนอ

กท 1:6-10 คำเตือน
ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลายหันเหอย่างรวดเร็วจากพระบิดาผู้ทรงเรียกท่านด้วยพระหรรษทานของพระคริสตเจ้า ไปเชื่อข่าวดีอื่น อันที่จริงแล้ว ข่าวดีอื่นนั้นไม่มี แต่มีบางคนก่อความวุ่นวายในหมู่ท่านทั้งหลาย และประสงค์จะบิดเบือนข่าวดีของพระคริสตเจ้า แต่ถ้าเรา หรือทูตสวรรค์ประกาศข่าวดีขัดแย้งกับที่เราเคยประกาศแก่ท่าน ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งเถิด บัดนี้ ข้าพเจ้าขอพูดย้ำสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ก่อนอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าใครประกาศข่าวดีแก่ท่านขัดแย้งกับข่าวดีที่ท่านเคยรับไว้ ก็ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งเถิด บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังเอาใจมนุษย์หรือพระเจ้า ข้าพเจ้าพยายามเอาใจมนุษย์กระนั้นหรือ หากข้าพเจ้ายังเอาใจมนุษย์ ข้าพเจ้าก็คงไม่เป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้า

2คร 11:13
คนเหล่านี้เป็นอัครสาวกปลอม เป็นผู้ทำงานหลอกลวงที่ปลอมตนเป็นอัครสาวกของพระคริสตเจ้า ไม่ต้องแปลกใจ ซาตานก็ยังปลอมเป็นทูตแห่งแสงสว่างได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ถ้าคนใช้ของมันจะปลอมเป็นผู้รับใช้ความชอบธรรม จุดจบของเขาจะเป็นไปตามกิจการที่เขากระทำ
sayonara
โพสต์: 62
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 31, 2010 8:16 pm

พุธ เม.ย. 25, 2012 11:32 pm

Holy เขียน:ผมเปิดประตูไปเห็นภูเขาลิบๆตรงกับประตูนั้นมีรูป...สีทองขนาดใหญ่อยู่บนยอดเขา ผมรู้สึกทันทีว่า...นี่เองที่มา[/color]
โหย ถึงขนาดแปลงมาเป็นพระเยซูเลยหรอ โหดไปมั้ยอ่ะ ทั้งๆที่ตัวเองก็ได้รับการสักการะจากคนมากมายแล้วน่ะ ต้องถึงขนาดมาหลอกชาวคริสต์เลยหรอ :s030: :s030: :s030:
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 26, 2012 12:42 pm

เป็นการอ้างอิงของผู้ไม่รู้จริงเลยๆ คงอยากศาสนาตัวเองเป็นหนึ่งเดียวละซิ ไม่นับถือพระเจ้าก็ไม่น่า
พูดมั่วนิ่มยิ่งกว่านุ่นจริงเลย ::019::
y1961
โพสต์: 48
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 20, 2011 9:28 am

เสาร์ เม.ย. 28, 2012 4:21 pm

การทำสมาธิ หรือภาวนาสมาธิ แบบพุทธศาสนา คริสต์มักเรียกว่า เข้าฌาณ หรือการภวานาแบบมิสติค ซึ่งหายไปจากศาสนาจักรแล้ว สมัยแม่นักบุญเทเรซา นักบุญยวงไม้กางเขน คริสตชนภานาแบบนี้เยอะ เรื่องเข้าฌาณแล้วตัวลอยได้ มีทั่วไป ไม่เฉพาะนักบุญ
สิ่งที่เหมือนกันในการภาวนาแบบนี้ ไม่ว่าจะพุทธหรือคริสต์คือ
เมื่อเกิดสมาธิฌาณ ขั้นแรก จะเห็นภาพนิมิต แต่ถ้าไปยึดติดกับภาพนิมิต ของพุทธก็จะไปไม่ถึงสมาธิฌาณขึ้นสูงสุด ไม่พบนิพพาน
ของคริสต์นักบุญยวงก็สอนว่าอย่าไปติดกับภาพนิมิต มิฉะนั้นก็ไม่พบพระ
ภาพนิมิตจะเป็นไปตามความเชื่อของจิตใต้สำนึกของแต่ละคน พี่น้องชาวพุทธก็อาจจะระลึกชาติได้ เห็นพระพุทธเจ้า ฯลฯ เห็นนิมิตตามที่จิตใต้สำนึกของตนเชื่อและคิด
สำหรับคริสตชนบางคน ก็เห็นไฟชำระ เห็นแม่พระมาหา เห็นพระเยซู เหล่านี้เป็นสิ่งที่จิตใต้สำนึกของตนสร้างขึ้นเองทั้งนั้น นักบุญยวงแห่งไม้กางเขนสอนว่า ถ้าไปหลงติดอยู่กับภาพนิมิตพวกนี้ก็ไปไม่ถึง สมาธิฌาณ และไม่สามารถพบพระ ถ้าคิดว่าตัวเองลอยได้แล้วเป็นผู้วิเศษไปยึดติดอยู่กับเรื่องเหล่านี้ก็ไม่พบพระเหมือนกัน
สมาธิฌาณขึ้นสูงสุดของศาสนาพุทธก็คือ นิพพาน ของคริสต์ก็คือพบพระเจ้า
อาจพูดเรื่องเดียวกันและคนละสำนวน คนละภาษา
เช่นพุทธ พูดเรื่อง ปิดทองหลังพระ คริสต์พระเยซูก็สอนเรื่อง ทำบุญมือซ้าย อย่าให้มือขวารู้ถึงการที่มือซ้ายได้กระทำ
พุทธ พูดเรื่อง ดอกบัวสี่เหล่า ดอกบัวเหนือน้ำ ใต้น้ำ พระเยซูก็สอนเรื่อง ผู้หว่าน ข้าวตกในดินดี ดินเหนียว ฯลฯ
บางทีพระภิกษุท่านนั้นอาจเห็นอย่างนั้นจริง ไม่ได้โกหก เพียงแต่สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องที่จิตใต้สำนึกของเขาสร้างขึ้นเองตามที่เขาคิด
ถ้าเราพิพากษาเขา ก็เท่ากับเรากำลังทำตัวเป็นพระเจ้า ทุกอย่างพระเจ้าเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ เม.ย. 28, 2012 10:48 pm

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พบ มนุษย์ต่างดาว



จานบินกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

...อาตมาเพียงแต่ฝันไปในตอนตี ๔ คืนวันหนึ่ง ฟังให้ดี ๆ นะ
อาตมาฝันไป คือ ได้ฝันไปว่า อาตมาได้ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ได้ขึ้นไปหาพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปนมัสการพระเจดีย์จุฬามณี
เป็นพระเจดีย์อินทนิลมณีประดับด้วยทองและแก้ว ๗ ประการ
สูงถึง ๘ หมื่นวา มีกำแพงสีดอกบวบเป็นประกายแวววาวล้อมรอบทั้งสี่ด้าน
ด้านละ ๑ แสน ๖ หมื่นวา ประดับด้วยธงประดาก ซึ่งเป็นธงผืนห้อยยาวลงมา
อย่างธงจระเข้ รวมทั้งธงชัยและกลดชุมสายผ้าตาดทอง มีสายห้อยระย้าอยู่รอบ ๆ
มีเทวดาดีดสีตีเป่าเครื่องดุริยางค์ ดนตรีสวรรค์บำเรออย่างไพเราะนักหนา
ถวายบูชาพระเจดีย์จุฬามณีอยู่ตลอดเวลา พระอินทร์และเทพบุตรเทพธิดา
สาวกบริวารจะเสด็จไปนมัสการพระเจดีย์นี้มิได้ขาด

ที่พระเจดีย์จุฬามณี พระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกจำนวนมากมายได้เสด็จมาพอดี
อาตมาได้กราบอภิวาทพระพุทธองค์และพระอรหันต์ทั้งหมด...

อ้อ...ก่อนที่จะได้ขึ้นไปที่พระเจดีย์จุฬามณีนั้น มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่อาตมาสอนกรรมฐาน
ให้ศรัทธาญาติโยมอยู่นั้น มีใครคนหนึ่งได้ถามว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงรึ จานผีหรือจานบิน
มีจริงหรือเป็นเพียงภาพลวงตาในท้องฟ้า? ทีนี้เมื่ออาตมาขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า
ที่พระเจดีย์จุฬามณี พระพุทธองค์ได้ถามดักใจอาตมาว่า สงสัยเรื่องจานบินรึ?

อาตมาได้กราบทูลตอบไปว่า สงสัยมากแต่ไม่กล้ากราบทูลถาม ด้วยเกรงจะเป็นเรื่อง
เหลวไหลพระพุทธองค์ได้บอกว่า เรื่องอย่างนี้เป็นความรู้ถามได้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล
จานผีหรือจานบินที่ชาวโลกเราได้เห็นกันนั้น มาจากดวงดาว ๒ แห่ง แห่งหนึ่งเป็นดาวเล็ก ๆ
อยู่ดาวพระศุกร์ไปทางซ้ายเล็กน้อย ดาวดวงนี้มีชื่อเรียกว่า จามรทวีป
โครจรอยู่ในจักรวาลเดียวกับโลกเรา


จานบินที่มาจากดวงดาวจามรทวีป เป็นจานบินไม่ใหญ่โตอะไรมีขนาดสูงประมาณ ๔ เมตร
มีสีเขียว ๆ ใช้เวลาบินจากดวงดาวจามรทวีปมายังโลกเรา ๘ ชั่วโมง ก็ถึงแล้ว
ระยะทางเป็นแสน ๆ โยชน์ นักวิทยาศาสตร์ทางด้านดาราศาสตร์หรืออวกาศยังไม่รู้จัก
ดาวดวงนี้ อาจจะมองข้ามไปเพราะนึกว่าเป็นเพียงดาวเล็ก ๆ ไม่มีความสำคัญอะไร
แต่ความจริงมีความสำคัญมาก ผู้คนพลเมืองของดาวดวงนี้มีความเจริญก้าวหน้า
ทางวิทยาการมากมาย




พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาพาอาตมาไปที่ดวงดาวจามรทวีป
เมื่อไปถึงก็แปลงร่างเป็นชาวบ้านจามรทวีปธรรมดา ไม่ให้พวกเขาสงสัยว่า
เป็นพระมาจากโลกอื่น
เมื่อแปลงร่างเป็นคนธรรมดาแล้วก็พากันนั่งอยู่ใกล้ ๆ
ประตูใหญ่ทางเข้าออกเมืองจามรทวีป น่าสังเกตว่า ตามพื้นดินที่นั่นมีเพชรมีแก้วมณีสีต่าง ๆ
งามแพรวพราวอยู่กลาดเกลื่อนเต็มไปหมด เป็นของไม่มีค่าอะไรสำหรับชาวจามรทวีป
จะมีบ้างที่เอาเพชรนิลจินดาเหล่านั้นไปประดับตามโต๊ะเก้าอี้หรือไม่ก็พวกเด็ก ๆ
เอาขว้างปากันเล่นเป็นที่สนุกสนาน

ขณะที่พากันนั่งอยู่เงียบ ๆ ที่ข้างประตู เข้ามหานครนั้น พระพุทธเจ้าได้บอกว่า
ประเดี๋ยวจะมีผู้หญิงเดินออกมาจากในเมือง ต่อมาก็มีผู้หญิงเดินออกมาจริง ๆ
แต่ละคนรูปร่างหน้าตาเหมือนชาวมนุษยโลกเราดี ๆ นี่เอง
แต่ผู้หญิงชาวดวงดาวจามรทวีปสวยมาก ผิวขาวผ่องใส เนื้อเต็มแน่น
ไม่เห็นปุ่มข้อกระดูก คือข้อศอกก็ดี ข้อมือก็ดี หัวเข่าก็ดี
ตาตุ่มข้อเท้าก็ดี จะกลมกลึงไปหมด มองไม่เห็นมีปุ่มนูนของกระดูกเลย
คล้ายไม่มีกระดูกอย่างนั้นแหละ แต่ความจริงน่าจะมีโครงกระดูกจึงจะทรงร่างอยู่ได้
เพียงแต่กระดูกไม่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น

เครื่องแต่งตัวของผู้หญิงชาวดวงดาวจามรทวีปออกจะแปลกตา
เพราะพวกเธอนุ่งกางเกงรัดเหนือเข่า เสื้อแขนสั้นรัดแขนสีเขียว ๆ มีลายทางดิ่งลง
พวกเธอมองเห็นพวกเราก็ยิ้ม ๆ แต่ไม่พูดอะไรสักคำ นิสัยใจคอของชาวจามรทวีป
ทั้งหญิงและชาย มีพรหมวิหาร ๔ สูงมาก เป็นพลเมืองที่ดำรงตนอยู่ในศีลธรรม
ไม่มีอาวุธร้ายสำหรับประหัตประหารกัน มีวิทยาการก้าวหน้าทันสมัยเหนือกว่าโลกมนุษย์เรา
หลายร้อยหลายพันเท่านักวิทยาศาสตร์ของเขาสามารถขับขี่จานบินไปได้ทั่วสากลจักรวาล

การที่ชาวดวงดาวจามรทวีปขับขี่จานบินมาเที่ยวโลกเราอยู่บ่อย ๆ
ก็เพราะโลกเราเป็นเส้นทางผ่านไปของพวกเขา หมายความว่าพวกเขาชอบท่องเที่ยวมาก
อยากเที่ยวไปทุกแห่งในจักรวาล จานบินของพวกเขาชอบแวะไปแถวสหรัฐอเมริกาและทวียุโรป
อยู่บ่อย ๆ ก็เพราะเห็นว่า มีการปล่อยดาวเทียมปล่อยจรวดอะไรต่ออะไรอยู่เรื่อย
จึงคิดจะติดต่อด้วย


การที่พวกเราร่อนจานบินลงจอดในโลกแล้วจับเอาคนไปนั้น
เป็นการจับเอาตัวไปเข้าเครื่องตรวจสอบอารมณ์จิต
และส่วนประกอบของร่างกายอวัยวะต่าง ๆ เมื่อตรวจสอบแล้วก็รู้ว่า
ชาวโลกมนุษย์นี้จริตอารมณ์มีตัณหาความโลภอยู่มากเหลือเกิน
โลภมูลจิตในขันธสันดานของชาวโลกนี้เอง ทำให้ชาวโลกไม่ก้าวหน้าทางพลังจิต
เหมือนพวกเขาซึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาว เนื่องจากตัณหาโลภมูลจิตใจของพวกเขามีน้อย
ทำให้มีพลังจิตสูง สามารถใช้พลังจิตติดต่อกันได้ไกล ๆ ในระหว่างดวงดาวต่าง ๆ
โดยไม่จำเป็ฯต้องใช้วิทยุเลย



ดาวอีกดวง คือ ดาวพระศุกร์ นั้น บางแห่งร้อนจัดมาก สามารถหลอมละลายแท่งเหล็กใหญ่ ๆ
ได้ในพริบตา นักวิทยาศาสตร์ชาวโลกเราบอกว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ อยู่บนโลกพระศุกร์เลย
เพราะร้อนมาก แต่ความจริงมีบางแห่งมีผู้คนอาศัยอยู่อย่างเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการพอ ๆ
กับผู้คนในดวงดาวจามรทวีป บนดาวพระศุกร์มีภูเขาหัวโล้นอยู่แห่งหนึ่งกว้างใหญ่มากเป็นแดนที่ร้อนจัด
แต่ถัดไปอีกแห่งหนึ่งกลับเป็นเขตแดนหนาวมากมีหิมะเต็มไปหมด
ไม่มีคนอยู่อาศัยจะมีก็แต่สัตว์ขนยาวชนิดหนึ่งอาศัยอยู่
ถัดมาเป็นแดนอบอุ่นมีต้นไม้หนาแน่นมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากหลายชนิด


ส่วนทางด้านทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้นนั้น เยื้องไปทางซ้ายไม่มากชาวดาวพระศุกร์ เรียกว่า แดนสูตู
เป็นแดนที่เจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน ผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ผู้คนชาวดาวพระศุกร์ในแคว้นนี้
มีผิวคล้ำรูปงามคมสัน จานบินของพวกเขาสูงประมาณ ๑๐ เมตร มีสีเหลือง
ใช้เวลาเดินทางมายังโลกเรา ๑๗ ชั่วโมงก็ถึงแล้ว


บันทึกช่วยจำ ของ... พระอาจารย์สิทธา เชตวัน...
ภาพประจำตัวสมาชิก
negai
โพสต์: 93
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 14, 2009 9:37 pm

ศุกร์ ก.ค. 06, 2012 12:05 pm

y1961 เขียน:การทำสมาธิ หรือภาวนาสมาธิ แบบพุทธศาสนา คริสต์มักเรียกว่า เข้าฌาณ หรือการภวานาแบบมิสติค ซึ่งหายไปจากศาสนาจักรแล้ว สมัยแม่นักบุญเทเรซา นักบุญยวงไม้กางเขน คริสตชนภานาแบบนี้เยอะ เรื่องเข้าฌาณแล้วตัวลอยได้ มีทั่วไป ไม่เฉพาะนักบุญ
สิ่งที่เหมือนกันในการภาวนาแบบนี้ ไม่ว่าจะพุทธหรือคริสต์คือ
เมื่อเกิดสมาธิฌาณ ขั้นแรก จะเห็นภาพนิมิต แต่ถ้าไปยึดติดกับภาพนิมิต ของพุทธก็จะไปไม่ถึงสมาธิฌาณขึ้นสูงสุด ไม่พบนิพพาน
ของคริสต์นักบุญยวงก็สอนว่าอย่าไปติดกับภาพนิมิต มิฉะนั้นก็ไม่พบพระ
ภาพนิมิตจะเป็นไปตามความเชื่อของจิตใต้สำนึกของแต่ละคน พี่น้องชาวพุทธก็อาจจะระลึกชาติได้ เห็นพระพุทธเจ้า ฯลฯ เห็นนิมิตตามที่จิตใต้สำนึกของตนเชื่อและคิด
สำหรับคริสตชนบางคน ก็เห็นไฟชำระ เห็นแม่พระมาหา เห็นพระเยซู เหล่านี้เป็นสิ่งที่จิตใต้สำนึกของตนสร้างขึ้นเองทั้งนั้น นักบุญยวงแห่งไม้กางเขนสอนว่า ถ้าไปหลงติดอยู่กับภาพนิมิตพวกนี้ก็ไปไม่ถึง สมาธิฌาณ และไม่สามารถพบพระ ถ้าคิดว่าตัวเองลอยได้แล้วเป็นผู้วิเศษไปยึดติดอยู่กับเรื่องเหล่านี้ก็ไม่พบพระเหมือนกัน
สมาธิฌาณขึ้นสูงสุดของศาสนาพุทธก็คือ นิพพาน ของคริสต์ก็คือพบพระเจ้า
อาจพูดเรื่องเดียวกันและคนละสำนวน คนละภาษา
เช่นพุทธ พูดเรื่อง ปิดทองหลังพระ คริสต์พระเยซูก็สอนเรื่อง ทำบุญมือซ้าย อย่าให้มือขวารู้ถึงการที่มือซ้ายได้กระทำ
พุทธ พูดเรื่อง ดอกบัวสี่เหล่า ดอกบัวเหนือน้ำ ใต้น้ำ พระเยซูก็สอนเรื่อง ผู้หว่าน ข้าวตกในดินดี ดินเหนียว ฯลฯ
บางทีพระภิกษุท่านนั้นอาจเห็นอย่างนั้นจริง ไม่ได้โกหก เพียงแต่สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องที่จิตใต้สำนึกของเขาสร้างขึ้นเองตามที่เขาคิด
ถ้าเราพิพากษาเขา ก็เท่ากับเรากำลังทำตัวเป็นพระเจ้า ทุกอย่างพระเจ้าเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน
ผมไม่คิดว่าพระภิกษุท่านนี้โกหกหรอกครับ ผมก็คิดเหมือนคุณคือมันเป็นจิตใต้สำนึกของท่านเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

เสาร์ ก.ค. 07, 2012 3:10 pm

อ่านแล้วเหนื่อยใจ ::044::
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

เสาร์ ก.ค. 07, 2012 7:19 pm

จริงเท็จผมไม่สนหรอกครับ
รู้แต่บทความนี้มั่วตั้งแต่ต้นแล้วครับ
พระเยซูตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต
เราคริสตชนก็ทราบดีว่า พระคริสต์ของเราสิ้นพระชนม์บนโลก เป็นขึ้นบนโลก แล้วจึงค่อยเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระบิดาอธิษฐานเผื่อวิสุทธิชนอย่างเรามิได้หยุดอย่างสนิทสนมอบอุ่น ไม่ใช่ตายแล้วไปเกิด และไม่ใช่ตายแล้วตายลับ
ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ที่ดับขันธ์แล้วก็นิพพานหลุดพ้นสังสารวัฏ โบกมือบ๊ายบายไปแล้วก็ไปลับ แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้ไปอยู่ที่ ดาวดึงส์ซึ่งยังอยู่ในฉกามาพจรซึ่งเป็นกามภูมิ ก็เชิญศาสนิกชนปฏิบัติธรรม ถือศีลกินเจ ฯลฯอย่างโดดเดี่ยวต่อไปกันให้สนุกละกันนะครับ

ผมไม่คิดว่าพระภิกษุท่านนี้โกหกหรอกครับ ผมก็คิดเหมือนคุณคือมันเป็นจิตใต้สำนึกของท่านเอง
ท่านไม่ได้โกหกหรอกครับ หากแต่จิตใต้สํานึกนั้นมาจากมารต่างหากที่อยู่เบื้องหลัง



อิมมานูเอล
ตอบกลับโพส