คุกใต้ดินที่ใช้ขังพระเยซูเจ้า

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
s.gabriel
โพสต์: 1011
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 2:21 pm

จันทร์ เม.ย. 30, 2012 3:14 pm

รูปภาพ

คุกใต้ดินมีลักษณะคล้ายถ้ำ สังเกตว่ามีช่องกลมใหญ่อยู่ด้านบน

ในบ้านของกายฟาส หัวหน้าสมณะมีคุกใต้ดินที่ใช้ขังพระเยซูเจ้า เมื่อพวกทหารของสมณะจับพระเยซูเจ้ามาจากสวนเก็ธเซเมนี เขานำพระองค์มาที่วังของกายฟาส พระองค์ถูกไต่สวนและถูกกล่าวหาว่าได้ทำผิดเพราะได้อ้างว่าเป็นบุตรของพระเจ้า แต่พระองค์ไม่ทรงสะทกสะท้านต่อคำกล่าวหาของเขา สมณะได้ขังพระองค์ไว้ที่คุกใต้ดินซึ่งมืดและหนาวเย็นเป็นเวลา 1 คืน เพื่อที่จะนำพระองค์ไปให้ปิลาตสอบสวนในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น คุกใต้ดินนี้ถูกเรียกว่า Gallicantu มีความหมายว่า “เสียงร้องของไก่, ไก่ขัน” (cock's crow)

คุกใต้ดินมีสภาพเหมือนถ้ำ และเมื่อมองขึ้นบนเพดานจะเห็นว่ามีช่อง ซึ่งคงใช้หย่อนตัวนักโทษลงมา และใช้สำหรับเฝ้ามองนักโทษซึ่งถูกจับขังจากเบื้องบน ในคุกนี้ทั้งมืดและหนาว และแน่นอนคงมีกลิ่นเหม็นมากด้วย นี่จึงเป็นอีกมิติหนึ่งของพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า ผู้คุมหย่อนนักโทษลงมาด้วยเชือกและไม่ต้องสงสัยเลยว่า เมื่อเขาดึงนักโทษกลับขึ้นไปก็ย่อมมีนักโทษบางคนที่กลายเป็นศพไปเรียบร้อยแล้ว บทสดุดีที่ 88:6 ได้กล่าวทำนายถึงพระมหาทรมานนี้ไว้อย่างไร? (“พระองค์ได้วางข้าพระองค์ไว้ในแดนผู้ตายที่ลึกที่สุด ทั้งมืดและลึก....)

ซากโบราณสถานนี้จึงให้ภาพของความทุกข์ทรมานของพระเยซูเจ้าในอีกแง่มุมหนึ่ง ลองจินตนาการถึงพระเยซูเจ้าขณะที่อยู่ในคุกใต้ดินนี้ซึ่งมีเพดานสูงมาก ไม่มีนักโทษคนใดสามารถหนีออกไปได้ อีกทั้งยังมีกลิ่นของสิ่งสกปรก พวกทหารคงหย่อนพระองค์ลงไปด้วยเชือก


รูปภาพ

บุญราศี มารีย์แห่งอเกรดา ได้เห็นคุกใต้ดินนี้ในนิมิตและได้เขียนบรรยายไว้ในหนังสือ City of God ดังนี้

“เที่ยงคืนได้ผ่านพ้นไปแล้ว สมาชิกสภาทั้งหมดลงมติให้จับพระองค์ขังไว้ในคุกใต้ดินซึ่งเป็นอุโมงค์อยู่ใต้ดินของบ้านของกายฟาส แสงสว่างไม่สามารถส่องผ่านเข้าไปในคุกนี้ได้เลยมันจึงมืดมิด ข้างในคุกคละเคล้าไปด้วยกลิ่นเหม็นอันน่ารังเกียจ ถ้าหากมันไม่ได้อยู่ห่างไกลและถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิดแล้วละก็ มันจะต้องส่งผลต่อตัวบ้านโดยรวมอย่างแน่นอน คุกนี้ไม่เคยถูกทำความสะอาดมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งนี้เป็นเพราะมันอยู่ลึกมากและมีแต่นักโทษเท่านั้นที่จะถูกนำไปกักขังไว้ ไม่มีใครคิดที่จะลงไปข้างล่างนั่น สถานที่นี้จึงไม่เหมาะสมอย่างสิ้นเชิงต่อมนุษย์ที่จะอยู่อาศัย

“พระเป็นเจ้าได้ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าโดยผ่านทางประกาศกเยเรมีย์ ว่า พระเยซูเจ้าจะทรงถูกจองจำในคุก ท่านประกาศกเองก็ถูกจับขังคุกเช่นเดียวกัน ในเยเรมีย์ 37:15 “บรรดาเจ้านายเดือดดาลต่อเยเรมีย์ จึงสั่งให้เฆี่ยนตีและขังท่านไว้ในคุกที่อยู่ในบ้านของโยนาทาน เลขานุการ เพราะที่นั่นถูกทำให้เป็นคุก 37:16 ดังนั้นเยเรมีย์จึงอยู่ในคุกมืดเป็นเวลานานหลายวัน”

“คนรับใช้ของสมณะได้ลากองค์พระผู้เป็นเจ้าไปยังคุกใต้ดินที่มืดและสกปรก โดยที่พระองค์ถูกมัดด้วยเชือกและโซ่ ทหารเหล่านี้ปฏิบัติต่อพระองค์ตามใจชอบด้วยความโหดเหี้ยม พวกเขาลากพระองค์ไปด้วยเชือกทำให้พระองค์ทรงสะดุด ล้มลงกับพื้น แต่พวกเขายังใช้เท้าเตะพระองค์พร้อมทั้งด่าว่าต่างๆนาๆ


“ที่มุมหนึ่งของคุกใต้ดินมีก้อนหินที่โผล่ยื่นออกมาจากพื้นดิน พวกเขาจับพระองค์มัดติดไว้ที่ก้อนหินนี้ คนเหล่านี้กระทำทารุณต่อพระองค์โดยมัดพระองค์ให้อยู่ในท่าทางที่เจ็บปวดสาหัส เพื่อทำให้พระองค์ไม่สามารถนั่งหรือยืนตรงเพื่อพักผ่อนพระวรกายได้ พวกเขาละทิ้งพระองค์ไว้ที่ก้อนหิน ปิดประตูคุกด้วยกุญแจและมอบหมายให้คนหนึ่งซึ่งดุร้ายที่สุดในบรรดาพวกเขาเป็นผู้คุม

“ถึงตอนนี้มีคนรับใช้บางคนตัดสินใจกลับมาที่คุกนี้อีกเพื่อเล่นสนุกบางอย่างต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์ พวกเขาถ่มน้ำลายรดพระองค์และกระหน่ำชกต่อยพระองค์ด้วยหมัด พระเยซูเจ้ามิได้ทรงร้องหรือตรัสอะไรโต้ตอบพวกเขาเลย พระองค์มิได้ทรงทอดพระเนตรพวกเขาและทรงถ่อมพระองค์ตลอดเวลาด้วยการอยู่ในความสงบ การกระทำอย่างโหดเหี้ยมของพวกเขามีจุดประสงค์จะทดสอบความอดทนของพระองค์ โดยคาดว่าพระองค์จะตอบโต้ด้วยการกระทำหรือกล่าวถ้อยคำที่หยาบคาย แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นเป็นประจักษ์ถึงความสุภาพอันไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์ พวกเขากลับยิ่งทำทารุณกรรมมากขึ้นอีก

“พวกเขาปล่อยพระองค์จากก้อนหินและนำพระองค์มาไว้ที่กลางคุก ในเวลาเดียวกันก็มัดพระองค์ไว้ด้วยผ้า แล้วก็เริ่มต้นต่อยพระองค์ด้วยหมัดทีละคนๆหรือไม่ก็เตะถีบพระองค์และสบประมาท แต่ละคนพยายามที่จะทำทารุณให้หนักและมากกว่าคนก่อน พวกเขาพูดว่า “ผู้ทำนาย” “ลองทายดูสิว่าใครที่ต่อยแก” พระชุมพาผู้ทรงสุภาพที่สุดทรงนิ่งเงียบ ทรงยอมรับการทารุณกรรมและการสบประมาททั้งหมดที่กระหน่ำมายังพระองค์

“ต่อมา คนที่กักขฬะที่สุดตัดสินใจที่จะถอดเสื้อผ้าของพระองค์จนเปล่าเปลือย แต่พระยุติธรรมของพระเป็นเจ้าไม่ทรงอนุญาตต่อการกระทำอันหยาบคายและจาบจ้วงเช่นนี้ ดังนั้นจึงปรากฏว่าไม่มีใครในพวกเขาที่สามารถทำตามที่ตั้งใจได้ มือเท้าของพวกเขาไม่สามารถขยับเขยื้อน จนไม่อาจทำสิ่งที่เขาตั้งใจ พวกเขาจึงละทิ้งความตั้งใจนั้นซึ่งมีผลทำให้มือเท้าขยับเขยื้อนได้อีก พวกเขาคิดว่านี่คงเป็นเวทมนต์ของชายที่ชื่อเยซู ดังนั้นพวกเขาจึงด่าทอและสบประมาทเยาะเย้ยพระองค์และชกต่อยพระองค์ต่อไป จนเขาเองรู้สึกว่าค่ำคืนนั้นช่างยาวนาน หลังจากนั้นพวกเขาจึงจับพระเยซูเจ้ามัดไว้กับเสาแล้วจึงละจากพระองค์ไป”


รูปภาพ

ยังมีคำบรรยายจาก อันนา คัทริน อัมเมอริก ผู้ที่ได้รับญาณนิมิตให้เห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน เธอได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือ “พระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า” ซึ่งได้มีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง

เธอเขียนเล่าเหตุการณ์ไว้ดังนี้

“พวกยิว มีความโหดร้ายยิ่งนัก พวกเขาจับพระเยซูเจ้าขังไว้ในคุกแห่งหนึ่ง ซึ่งยังคงมีซากหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน ผู้คุมสองคนอยู่กับพระองค์ตามลำพัง และไม่นานนักก็มีคนอีกสองคนมาอยู่แทนพวกเขา พระเยซูเจ้ายังทรงสวมเสื้อคลุมเก่าที่สกปรก ซึ่งมีเศษกรังของน้ำลายและสิ่งสกปรกอื่นๆที่ทหารขว้างใส่พระองค์ เพราะพวกทหารไม่ยอมให้พระองค์สวมเสื้อผ้าของพระองค์เองอีก แต่ได้มัดพระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์ไว้ด้วยกัน

เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเข้าไปในคุก พระองค์ทรงสวดภาวนาด้วยสิ้นสุดจิตใจเพื่อขอให้พระบิดาแห่งสวรรค์ทรงยอมรับความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้ รวมทั้งความทุกข์ทรมานที่พระองค์จะทรงได้รับต่อจากนี้ด้วย เพื่อเป็นยัญบูชาชดเชยบาปสำหรับมนุษย์ทั้งมวล แม้แต่ผู้ที่กล่าวหาพระองค์ และเพื่อผู้ที่จะได้รับความทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคต

ศัตรูขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ได้พักผ่อนเลยแม้ชั่วขณะ แม้แต่ในคุกอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ พวกเขามัดพระองค์ไว้กับเสาหินที่อยู่ตรงกลางคุก และไม่ยอมให้พระองค์พิงเสา แม้ว่าพระองค์จะทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างมากจากทารุณกรรมที่ทรงได้รับ จากน้ำหนักของโซ่ และจากการหกล้มหลายครั้งจนพระองค์พยุงตัวประทับยืนอย่างยากลำบากด้วยพระบาทที่บอบช้ำและเป็นรอยแผล พวกเขาสบประมาทพระองค์ตลอดเวลาไม่มีหยุดเลย เมื่อคนหนึ่งเริ่มรู้สึกเหนื่อย อีกคนก็จะมาทำแทน

แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายถึงความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่องค์พระผู้ศักดิสิทธิ์ยิ่งทรงได้รับจากการกระทำไร้หัวใจเช่นนี้ ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าโศกจนสุดบรรยาย และทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายราวกับว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เราควรจะละอายใจในความอ่อนแอของเราที่ไม่อาจทนฟังการบรรยายถึงหรือการพูดถึงพระมหาทรมานเหล่านั้นซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงทนรับไว้อย่างสงบและอดทนเพื่อความรอดของพวกเราทั้งหลาย ความน่าสะพรึงกลัวที่เรารู้สึกได้นั้นเปรียบได้กับความรู้สึกของฆาตกรที่ถูกบังคับให้วางมือบนบาดแผลที่เขาเองได้กระทำต่อเหยื่อของเขา พระเยซูเจ้าทรงทนรับความทรมานทุกประการโดยมิได้ทรงเผยพระโอษฐ์บ่นว่า ตำหนิ มนุษย์หรือบาปของมนุษย์ ที่กระทำผิดต่อพระผู้ทรงเป็นพี่ชาย เป็นพระผู้ไถ่และเป็นพระเจ้าของพวกเขา ฉันเองก็เป็นคนบาปหนา และบาปของฉันก็เป็นสาเหตุของความทรมานเหล่านี้ด้วย

“ในวันพิพากษา เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเปิดเผย เราจะได้เห็นบาปของเราที่มีส่วนทำให้องค์พระบุตรของพระเป็นเจ้าต้องรับทนทรมาน เราจะเห็นว่าบาปของเรานั้นทำให้พระองค์ต้องรับความทุกข์ทรมานหนักมากสักเพียงไร บาปชนิดใดที่เป็นสาเหตุหรือมีส่วนร่วมในทารุณกรรมซึ่งกระทำต่อพระเยซูเจ้าโดยศัตรูที่เหี้ยมโหดของพระองค์ อนิจจา ถ้าหากเราจะสามารถรู้สึกได้ถึงสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง เราคงจะสวดภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยพระวาจาที่เราพบบ่อยๆในหนังสือภาวนา : “พระเจ้าข้า โปรดอนุญาตให้ลูกตาย ดีกว่าที่จะทำบาปผิดต่อพระองค์ด้วยเถิด”

คัทริน อัมเมอริกเล่าต่อ “พระเยซูเจ้ายังคงสวดภาวนาเพื่อศัตรูของพระองค์ต่อไป และพวกเขาได้ละจากพระองค์สักพักหนึ่งเป็นเวลาไม่นาน พระองค์ทรงประทับพิงอยู่กับเสาเพื่อพักผ่อน แสงสว่างเจิดจ้าล้อมรอบพระองค์ แสงยามรุ่งอรุณเริ่มส่องสว่างแล้ว - - เป็นสัญญาณการเริ่มต้นวันแห่งพระมหาทรมานของพระองค์ องค์พระผู้ไถ่ - - แสงสลัวๆส่องผ่านรูแคบๆของคุกกระทบองค์พระชุมพาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงรับแบกบาปของโลกไว้บนพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงผินพระพักตร์ไปยังแสงสว่างนั้น ทรงยกพระหัตถ์ที่ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนขึ้น และด้วยพระอริยบทอันนุ่มนวลทรงขอบพระคุณพระบิดาสวรรค์ของพระองค์สำหรับแสงรุ่งอรุณที่ทรงประทานมาในวันนี้ อันเป็นวันแห่งความปรารถนาอันแสนยาวนานของบรรดาประกาศก และเป็นวันแห่งการรอคอยที่พระองค์เองได้ทรงถอนหายใจด้วยความปรารถนาอันลึกซึ้งในเวลาที่ทรงบังเกิดมาบนโลก และยังเกี่ยวข้องกับพระวาจาที่ทรงตรัสกับสานุศิษย์ว่า “เรามีการชำระล้างชนิดหนึ่งซึ่งจะต้องได้รับ และจิตใจของเรารู้สึกหวั่นไหวสักเพียงไรจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จบริบูรณ์?”

“ฉันสวดภาวนาไปพร้อมกับพระองค์ แต่ฉันไม่อาจบอกถึงคำสวดภาวนาของพระองค์ได้ เพราะฉันรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนักเมื่อได้ยินพระองค์ทรงขอบพระคุณพระบิดาสำหรับความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่ทรงยอมทนรับเพื่อฉัน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนักที่พระองค์ทรงยอมทนรับความทุกข์ทรมาน ฉันทำได้แต่เพียงสวดภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยสิ้นสุดจิตใจว่า “พระเจ้าข้า ลูกขออ้อนวอนต่อพระองค์ โปรดประทานความทุกข์เหล่านี้แก่ลูกเถิด เพราะมันเป็นของลูก ลูกสมควรที่จะได้รับความทุกข์เหล่านี้เพื่อเป็นการลงโทษบาปของลูก” ฉันถูกท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกของความรักและความซาบซึ้งเมื่อฉันเงยหน้ามองดูพระองค์ ขณะที่แสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องขึ้นในวันอันยิ่งใหญ่แห่งยัญบูชาของพระองค์ และรังสีแห่งแสงนั้นได้ส่องทะลุเข้าไปในคุกซึ่งเปรียบเสมือนการเยี่ยมเยือนของผู้พิพากษาซึ่งเข้ามาเยี่ยมนักโทษเพื่อปลอบโยนนักโทษก่อนที่เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต

“ผู้คุมซึ่งมีจำนวนหลายคนได้ตื่นขึ้นและมองมายังพระองค์ด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ประหลาดใจและเกิดความกลัว องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราถูกคุมขังไว้ในคุกนี้ประมาณหนึ่งชั่วโมงหรือราวๆนั้น

“ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงอยู่ในคุก ยูดาสได้เดินท่องไปอย่างไร้จุดหมายบริเวณหุบเขาแห่งฮินนอม เหมือนกับเป็นคนเสียสติ แล้วเขาก็ได้เดินไปยังบ้านของกายฟาส พร้อมด้วยเงินสามสิบเหรียญอันเป็นค่าจ้างของการทรยศของเขาซึ่งอยู่ในถุงแขวนไว้ที่เอว

“สถานที่นั้นเงียบเชียบ ยูดาสเข้าไปพูดกับยามแต่ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใคร เขาถามยามว่าพวกสมณะจะทำอะไรกับชาวกาลิลี ยามตอบว่า “เขาจะถูกตัดสินให้ประหารชีวิตและจะต้องถูกตรึงกางเขนอย่างแน่นอน” ยูดาสเดินจากไป และแอบฟังการสนทนาของคนอื่นที่พูดเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า บางคนพูดถึงการทรมานอย่างโหดเหี้ยมที่พระองค์ได้รับ บางคนรู้สึกประหลาดใจในความอดทนของพระองค์ และบางคนก็พูดเกี่ยวกับการไต่สวนซึ่งจะกระทำในเวลาเช้าต่อหน้าศาลสูง ขณะที่ผู้ทรยศกำลังฟังการสนทนาที่หลากหลายความคิดเห็นเหล่านี้ อรุณรุ่งของวันใหม่ก็มาถึง สมาชิกสภาเริ่มเตรียมการที่ต้องทำ ยูดาสเข้าไปหลบซ่อนหลังอาคารเพื่อจะได้ไม่มีคนเห็น เพราะเขาเหมือนกับกาอินที่หาที่ซ่อนจากสายตามนุษย์ ความสิ้นหวังเริ่มเข้าครอบงำจิตใจของเขา

“สถานที่ที่เขาหลบซ่อนนั้นอยู่ใกล้ๆกับบริเวณที่คนงานกำลังเตรียมไม้ที่จะทำเป็นกางเขนสำหรับพระเยซูเจ้า ทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว และคนงานนอนหลับอยู่ข้างๆไม้ ยูดาสเต็มไปด้วยความหวาดวิตกต่อสิ่งที่พบเห็น เขาตัวสั่นและรีบเดินออกไปเมื่อเห็นเครื่องมือประหารชีวิตที่น่ากลัว ซึ่งมีที่มาจากเงินค่าจ้างเล็กๆน้อยที่เขาได้รับเพื่อทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ของเขา เขาวิ่งไปที่โน่นที่นี่ด้วยความโศกเศร้าเสียใจและคร่ำครวญ ในที่สุดก็ไปซ่อนตัวเองอยู่ในถ้ำรอยคอยการไต่สวนของพระเยซูเจ้าซึ่งจะเริ่มขึ้นในเวลาเช้า”
ที่มาจากเว็บไซด์พลังใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

อังคาร พ.ค. 01, 2012 11:20 pm

ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ

ความใฝ่ฝันในชีวิตคือได้ไปดินแดนศักดิ์ศิทธิ์สักครั้งก่อนตาย

:s015:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 02, 2012 11:16 am

เราได้มีโอกาสมาแสวงบุญที่คุกใต้ดิน ที่ใช้ขังพระเยซูเจ้าแล้ว
ขอบคุณพระองค์.... :s005:
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ พ.ค. 06, 2012 2:48 pm

~@Little lamb@~ เขียน:ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ

ความใฝ่ฝันในชีวิตคือได้ไปดินแดนศักดิ์ศิทธิ์สักครั้งก่อนตาย

:s015:
จะซึ้งน้ำตาไหล หลายหยดล่ะ พี่ขอให้ได้กลับไปอีกครั้งค่ะ
เมจิ
โพสต์: 3257
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 22, 2011 6:44 pm

อาทิตย์ พ.ค. 13, 2012 10:45 am

ขอบคุณจ้า :s015: ถ้ามีโอกาศก็ไปเเสวงบุญซะ :s021:
ตอบกลับโพส