พระคุณการุณย์ (Indulgence)

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Holy Bible
โพสต์: 690
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 19, 2012 11:26 am

พระศาสนจักรคาทอลิกมีคำสอนเรื่องพระคุณการุณย์(Indulgence) พอดีผมต้องการแหล่งข้อมูลอ้่างอิงเรื่องนี้ ผมก็หาคำตอบตามหนังสือต่างๆก็แล้วอินเตอร์เน็ตก็แล้ว แต่ยังไม่เจอแหล่งข้อมูลอันไหนบอกว่าคำสอนพระคุณการุณย์มีอยู่ในพระคัมภีร์ ขอความกรุณาผู้มีความรู้เรื่องนี้ช่วยอธิบายหน่อยครับ

ผมไม่จำกัดนะครับว่าจะเป็นคำอธิบายในพันธสัญญาเก่าหรือใหม่เท่านั้น

ขอพระเจ้าอวยพรครับ ::001::
peopletribune
โพสต์: 423
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa

พฤหัสฯ. ก.ค. 19, 2012 2:28 pm

Holy Bible เขียน:พระศาสนจักรคาทอลิกมีคำสอนเรื่องพระคุณการุณย์(Indulgence) พอดีผมต้องการแหล่งข้อมูลอ้่างอิงเรื่องนี้ ผมก็หาคำตอบตามหนังสือต่างๆก็แล้วอินเตอร์เน็ตก็แล้ว แต่ยังไม่เจอแหล่งข้อมูลอันไหนบอกว่าคำสอนพระคุณการุณย์มีอยู่ในพระคัมภีร์ ขอความกรุณาผู้มีความรู้เรื่องนี้ช่วยอธิบายหน่อยครับ

ผมไม่จำกัดนะครับว่าจะเป็นคำอธิบายในพันธสัญญาเก่าหรือใหม่เท่านั้น

ขอพระเจ้าอวยพรครับ ::001::
สวัสดีครับ คุณHoly Bible

ความจำสั้น แต่รักนั้นยาว เอ๊ย ไม่ใช่ คำถามสั้น แต่คำตอบยาว ครับ

รูปภาพ
นี่ผมต้องนั่งเปิดพระคัมภีร์เลยนะครับ ตอนตอบ ถ้าให้นั่งตอบเชิงหลักการ
ว่ากันครึ่งวันไม่จบ เอางี้นะครับ... :s015:

ศาสนา ที่เป็นเทวนิยม เช่น ยิว,ฮินดู,คริสต์,อิสลาม หรือ ซิกส์ เรามีลายลักษณ์อักษรผ่าน
ศาสดา เช่น ยิวมีโมเสส,ฮินดู มีเหล่า พราหมณ์,คริสต์ เรามีพระเยซู ซึ่งเป็นทั้งพระเจ้าแท้
และมนุษย์แท้ อิสลามมีท่านนบีมูฮัมหมัด ซอลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ส่วนทางซิกส์นั้นมี
ท่านคุรุ นานัก เดว ยิ ซึ่งศาสนาเหล่านี้เชื่อในบาปและการยกบาป หรือ อภัยบาป

ซึ่งต่างกับศาสนา พุทธ องค์ตถาคต เป็นทั้งผู้ให้กำเนิด ผู้ค้นพบ และเป็นศาสดาในตัวเอง

ดังนั้นศาสนาที่เป็นเทวนิยม จึงสื่อสารผ่านมนุษย์ เช่น โมเสสขึ้นไปบนภูเขาซีนายและได้
รับฟังพระวาจาของพระเจ้า แล้วจึงมาเขียนเป็นบัญญัติ 10 ประการ

ซึ่งในทางศาสนาพุทธนั้นเชื่อ ว่า บาป ก็คือ กรรม ซึ่งไม่สามารถตัดหรือทำให้หายไปได้
นอกจากทำความดีลบล้าง...เพื่อให้มันมีผลน้อยลง เราจึงได้เห็นได้จากการสร้างพระปฐม
เจดีย์ที่ จ.นครปฐม ก็เกิดจาก พญายาพานทำปิตุฆาตฆ่าพระราชบิดาตนเอง เลยต้อง
การไถ่บาป...

รูปภาพ
ตำนาน พระยากง พระยาพาน
http://tarachai.tripod.com/03seethaitum ... tom002.htm

ส่วนในทางศาสนาที่มีพระเจ้า ถือว่าพระเจ้านั้นสูงสุด และสามารถให้อภัยบาปมนุษย์ได้
ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ของไบเบิ้ลว่า... "ศีลล้างบาปมีแต่พิธีเดียวเพื่ออภัยบาป"

นั่นแหละครับเป็นที่มาของ Indulgence หรือ พระคุณการุณย์ ที่คุณHoly Bible ถาม?

การศึกษาศาสตร์ใด ๆ ก็แล้วแต่ รวมถึง ศาสนา ด้วย จำต้องศึกษาอย่างถึง แก่น และมี
มิติ และองคาพยพ(คือ มีที่มาที่ไป) มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถ เข้าใจอย่างถ่องแท้ได้...

การจะศึกษาเรื่องพระคุณการุณย์ จำต้องอ่านเรื่องของ การอภัยบาป ด้วย

ลองอ่าน ความหมายของศีลอภัยบาป ตาม Link นี้ก่อนนะครับ
http://www.catholic.or.th/spiritual/art ... /le08.html

รูปภาพ
ในทางคาทอลิกนั้น พระเยซู โปรดให้ศานุศิษย์ เป็นตัวแทนในการอภัยบาปให้กับ
คริสตศาสนิกชน ซึ่งปัจจุบันเราอภัยบาปผ่านพระสงฆ์...และพระสงฆ์เองก็เป็นมนุษย์ ซึ่ง
ก็มีบาป และไม่ใช่พระสงฆ์ทั้ง 100% เป็นคนดีเท่าศานุศิษย์ ดังนั้นเวลาพระสงฆ์อภัยบาป
จึงต้องมี ผ้าคล้องคอ ที่เปรียบเสมือน ทำในนามพระ และจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
ไว้ที่แผงแก้บาป แขวนไว้ที่ผ้าคล้องคอ

ผมพูดให้เข้าใจง่ายและวัยรุ่นหน่อย(แต่เป็นการเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายนะครับ) คือ
พระคุณการุณย์ เพื่อให้คนบาปกลับใจ และต้องประกาศโดย พระศาสนจักร เท่านั้น
ผมขอเรียกว่า ช่วงโปรโมรชั่น น่าจะเป็ภาษาชาวบ้านและง่าย

แบบสมัยที่บ้านเราสมัยเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ที่นักศึกษาประชาชนบางส่วนจับอาวุธ
เข้าป่ามารบรัฐบาล ท่าน พล.อ.เปรม(นายกสมัยนั้น) ได้ใช้นโยบาย 66/23 ให้ผู้หลงผิด
เข้าร่วมพัฒนาชาติไทย เป็นต้น ครับ

พระศาสนจักร จะประกาศพระคุณการุณย์ได้ 2 แบบ คือ
- พระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ (Plenary Indulgence) คือ อภัยโทษบาปอย่างหมดสิ้น
- พระคุณการุณย์ไม่ครบบริบูรณ์ (Partial Indulgence) การอภัยโทษให้บางส่วน

ยังมี Semi ของ พระคุณการุณย์ อีกครับ ใครเป็นคริสตชนมาแต่กำเนิด และได้เคย
ผ่านพิธีนพวาร ก่อนฉลองวัด เราคงเคยได้ยินที่คริสตชนไปแก้บาป และพระสงฆ์จะทำการ
โปรดบาปรวม...เพราะคนเยอะ ประมาณนั้นครับ

อย่างที่กล่าวข้างต้นครับ ถามสั้น แต่ตอบยาว รายละเอียด อ่านเพิ่มเติมตาม Link ด้านล่าง
นะครับ
http://ccbkk.catholic.or.th/catechesis/ ... ate37.html

http://en.wikipedia.org/wiki/Indulgence

:s002:
โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์
Holy Bible
โพสต์: 690
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 19, 2012 8:53 pm

ขอขอบคุณ "คุณฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์" มากครับ ::001::

ผมเข้าใจที่คุณยกตัวอย่างครับ แต่ว่าคำตอบที่คุณให้ไม่ตรงกับคำถามที่ผมถามครับ คือผมต้องการ "ข้อความในพระคัมภีร์ที่สนับสนุนข้อเชื่อเรื่องพระคุณการุณย์(Indulgence)"; ทีี่ผมต้องการหลักฐานก็เพราะว่าผมไม่เคยเห็นพระคัมภีร์บทไหนกล่าวไว้อย่างชัดเจนเรื่องพระคุณการุณย์เลย แต่พระคุณการุณย์ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในการรับศีลอภัยบาป เหมือนผมเคยได้ยินพี่Holyเคยข้อความในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย" (มัทธิว, 5:26) แต่ว่าข้อความนี้ก็ไม่ได้บอกไว้ชัดเจน ออกเป็นแนวประโยคที่อธิบายความหมายกว้างๆเสียมากกว่า

ผมไม่ต้องการให้ข้อเชื่อบางอย่างเป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาโดยไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน ผมเข้าใจนะครับว่าพระศาสนจักรคาทอลิกไม่ได้เชื่อในสิ่งที่พระคัมภีร์บอกไว้เท่านั้น แต่ยังเชื่อในธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

Edit: พอดีผมเห็น"คุณฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์"ชอบหาข้อมูลในเว็บไซต์มาเป็นข้อมูลสนับสนุนซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ แต่ผมขอแนะนำ"คุณฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์"เรื่องนึงนะครับว่าไม่ควรไปอ้างอิงข้อมูลจากWikipedia เพราะว่าWikipediaนั้นเปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาเขียนข้อมูลบนเว็บไซต์ ซึ่งคนเขียนอาจจะไม่มีความรู้กับเรื่องที่เขียนก็ได้(อาจจะเป็นเด็กประถมหรือเด็กมัธยมมาเขียนก็ได้) หรืออาจจะเขียนผิดๆถูกๆก็ได้ เพราะไม่มีใครมาคอยเช็คข้อมูลบนWikipedia
peopletribune
โพสต์: 423
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa

พฤหัสฯ. ก.ค. 19, 2012 9:29 pm

Holy Bible เขียน:ขอขอบคุณ "คุณฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์" มากครับ
ด้วยความยินดี ครับ!
Holy Bible เขียน:ขอขอบคุณ "คุณฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์" มากครับ ::001::

ผมเข้าใจที่คุณยกตัวอย่างครับ แต่ว่าคำตอบที่คุณให้ไม่ตรงกับคำถามที่ผมถามครับ คือผมต้องการ "ข้อความในพระคัมภีร์ที่สนับสนุนข้อเชื่อเรื่องพระคุณการุณย์(Indulgence)"; ทีี่ผมต้องการหลักฐานก็เพราะว่าผมไม่เคยเห็นพระคัมภีร์บทไหนกล่าวไว้อย่างชัดเจนเรื่องพระคุณการุณย์เลย แต่พระคุณการุณย์ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในการรับศีลอภัยบาป เหมือนผมเคยได้ยินพี่Holyเคยข้อความในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย" (มัทธิว, 5:26) แต่ว่าข้อความนี้ก็ไม่ได้บอกไว้ชัดเจน ออกเป็นแนวประโยคที่อธิบายความหมายกว้างๆเสียมากกว่า

ผมไม่ต้องการให้ข้อเชื่อบางอย่างเป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาโดยไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน ผมเข้าใจนะครับว่าพระศาสนจักรคาทอลิกไม่ได้เชื่อในสิ่งที่พระคัมภีร์บอกไว้เท่านั้น แต่ยังเชื่อในธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

Edit: พอดีผมเห็น"คุณฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์"ชอบหาข้อมูลในเว็บไซต์มาเป็นข้อมูลสนับสนุนซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ แต่ผมขอแนะนำ"คุณฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์"เรื่องนึงนะครับว่าไม่ควรไปอ้างอิงข้อมูลจากWikipedia เพราะว่าWikipediaนั้นเปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาเขียนข้อมูลบนเว็บไซต์ ซึ่งคนเขียนอาจจะไม่มีความรู้กับเรื่องที่เขียนก็ได้(อาจจะเป็นเด็กประถมหรือเด็กมัธยมมาเขียนก็ได้) หรืออาจจะเขียนผิดๆถูกๆก็ได้ เพราะไม่มีใครมาคอยเช็คข้อมูลบนWikipedia
รับฟังครับ และไม่มีความเห็นแย้งครับ ส่วนเรื่อง Wikipedia ก็เห็นด้วย ครับ!
เรื่องตอบไม่ตรงคำถาม ก็คงแล้วแต่คิดครับ แต่ภูมิปัญญา หรือ ข้อมูลผมมีเท่านั้้น ซึ่งถ้า
ยังไม่ตรงใจคุณ Holy Bible(ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ อันชอบธรรม) ก็รอท่านอื่นที่อาจจะมีข้อมูล
มากกว่า มาตอบนะครับ
:s007:

อินเตอร์เน็ตเป็น ดาบ 2 คม ครับ ผู้ใช้ควรใช้วิจารณญาณ เรื่องนี้คงถกกันไม่จบและ
ละเอียดอ่อน รวมถึงการตอบคำถาม หรือ การเข้ามาตอบคำถามที่ใช้ User ซึ่งต่างคน
ต่างไม่รู้ว่าคน ๆ นั้นมีภูมิปัญญา มีความรู้หรือมีความน่าเชื่อถือเพียงไร ซึ่งก็สอดคล้องกันกับ
กับการที่ผมนำข้อมูลจาก Link มาอ้างอิง...(ซึ่งในส่วนของผม ก่อนนำมาอ้างอิง ผมอ่าน
และเช็คสอบพอสมควร
เช่นเดียวกับ Link ของWikipedia ด้วยครับ)...แต่ก็
ขอบคุณ คุณHoly Bible ที่แนะนำครับ วัยวุฒิ และ คุณวุฒิ ผมสูงพอที่จะวิเคราะห์
อะไร ต่อมิอะไรได้ ครับ)

สิ่งที่จะวัดความน่าเชื่อถือ ของ User นั้น ๆ คือ...ดูประวัติที่ผ่านมาครับ!

ถ้าคุณHoly Bible ต้องการแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม สามารถติดต่อผมโดยตรง
ผ่าน e-mail : peopletribune@hotmail.com

หรือ ที่เว็บไซด์ http://www.oknation.net/blog/peopletribune

ด้วยความยินดี/พระเจ้าอวยพร ครับ :s023:
ภาพประจำตัวสมาชิก
tuztiz
โพสต์: 423
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 19, 2007 7:45 pm

ศุกร์ ก.ค. 20, 2012 4:40 pm

กด LIKE ให้กับคำว่า [quoteสิ่งที่จะวัดความน่าเชื่อถือ ของ User นั้น ๆ คือ...ดูประวัติที่ผ่านมาครับ!][/quote]
ย้อนนึกตัวเรามั่งว่าเราเป็นอย่างไร ที่ผ่านมา หุหุ :s008:
peopletribune
โพสต์: 423
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa

ศุกร์ ก.ค. 20, 2012 5:08 pm

tuztiz เขียน:กด LIKE ให้กับคำว่า
สิ่งที่จะวัดความน่าเชื่อถือ ของ User นั้น ๆ คือ...ดูประวัติที่ผ่านมาครับ!]
ย้อนนึกตัวเรามั่งว่าเราเป็นอย่างไร ที่ผ่านมา หุหุ :s008:
ขอบคุณ คุณtuztiz มากครับ
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

เสาร์ ก.ค. 21, 2012 12:33 am

เราก็ทราบกันอยู่ว่าโดยภาคทฤษฎี เราได้รับการไถ่แล้ว ที่จริงเราจะหลุดจากบาปโดยสิ้นเชิง
แต่โดยภาคปฏิบัติแล้ว เราก็รู้ว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งบาป

(อันที่จริงอยากพูดถึงการเปรียบเทียบเรือ-ทะเล:คริสตจักร-โลก ด้วย แต่กลัวจะยาว จะนอกเรื่องแล้วขี้เกียจอ่านกัน)

ฉนั้นก็ยังมีบางครั้งที่เราอ่อนแอและพลาดไป และเนื่องด้วยพระเยซูเคยมาบังเกิดเป็นมนุษย์แท้ๆ มีเลือดมีเนื้อ เจ็บเป็น โกรธเป็น อยากเป็น หิวเป็น มีความรู้สึกแบบเราทุกประการ ฉนั้น พระองค์จึงทรงเข้าใจเราที่เป็นมนุษย์

(เข้าใจ empathetic รากศัพท์ em คือข้างใน ไม่ใช่เพียงแค่เห็นใจ sympathetic รากศัพท์ sym คือ เหมือน จริงๆแค่ความแตกต่างเรื่องนี้ก็มีให้พูดยาว แต่ขอเข้าเรื่องก่อน^^ )

พระองค์จึงทรงไถ่เราด้วยพระโลหิต และโลหิตนี้มีประสิทธิภาพตั้งแต่เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วจนถึง ณ วินาทีนี้ก็ยังมีประสิทธิภาพ ฉนั้นเราสามารถรับการอภัยบาปโดยเดชพระโลหิตได้ในทุกวันนี้

สำหรับข้อพระคัมภีร์ก็มีพอควรที่กล่าวเกี่ยวกับการอภัยบาปและพระกรุณาคุณ

(รม 3:23-25 )เหตุว่าคนทั้งปวงได้ทำผิดทุกคน และขาดการถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า
แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดค่า เพราะพระเยซูทรงไถ่เขาให้พ้นแล้ว
พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูนั้นไว้ให้ปรากฏเป็นที่ระงับพระพิโรธ เพราะความเชื่อโดยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อจะได้สำแดงความชอบธรรมของพระองค์ ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ และได้ทรงยกความผิดที่ล่วงไปแล้วนั้น

(1 ยน 1:9).ถ้าเราสารภาพความผิดของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปโทษของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากอธรรมทั้งสิ้น.


การยกบาปในข้อพระคัมภีร์ดังกล่าว ไม่ใช่เพียงบาปก่อนที่รับศีลล้างบาป แต่ ขณะดำเนินชีวิตประจำวันหลังจากนั้นด้วย นี่คือที่ปรากฎในพระคัมภีร์ซึ่งผมคิดว่าน่าจะตรงประเด็นที่คุณ Holy Bible ถามนะครับ

แต่ถ้าเราอ่านตามบริบทใน 1ยน:1 ทั้งบทก็จะเห็นว่ากล่าวถึงการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเป็นหลัก
หรือเราสามารถกล่าวได้ว่าหลักการสารภาพความผิดก็คือการอธิษฐานสารภาพนั่นเอง
โดยจะเห็นได้ว่า ในพระคัมภีร์ กล่าวอย่างชัดเจนว่าเป็นส่วนตัว เราต่อพระเจ้า จะมีใครมานั่งฟังด้วยหรือไม้ก็แล้วแต่ เพราะมันไม่ใช่ประเด็น จะสารภาพกับพระองค์สองต่อสองก็ได้ นี่คือท่าทีที่คริสเตียนทำกันนะครับ ตั้งแต่สมัยอัครสาวกจนปัจจุบัน แต่ดั้งแต่เดิมมาไม่มีพระสงฆ์ครับ และหน้าที่การเป็นตัวแทนโปรดการอภัยบาปแทนพระเจ้านั้น ก็ไม่มีพระคัมภีร์กล่าวว่าให้เป็นหน้าที่ของเหล่าผู้ปกครองคริสตจักรท้องถิ่นนั้นๆ(ซึ่งต่อมาในทางคาทอลิกได้ปรับเปลี่ยน จัดรูปแบบเป็นสงฆ์) และนี่คือความเชื่อของคริสเตียน และเราจะอธิษฐานสารภาพบาปที่ทำโดยมิได้เจตนาต่อพระเจ้าทุกวัน ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา เพราะมันจะนำมาซึ่งพระพร

ส่วนทางคาทอลิก จะมีพระสงฆ์โปรดศีลให้ ด้วยตามธรรมประเพณีที่ถือรักษากันมา นี่คือความเชื่อของคาทอลิก

ด้วยความเคารพอย่างสูง ผมไม่มีเจตนาใดๆทั้งสิ้น ที่จะเปิดประเด็นถกกันว่าใครถูกใครผิด เพราะมันไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรขึ้น และนี่คือที่พระคัมภีร์บอก ไม่ใช่ผมพูดเอง

แต่ที่มากไปกว่านั้น และสำคัญกว่านั้น คือ ไม่ใช่เรารู้ว่าพระเจ้าจะอภัยเราได้ เราก็ทำบาปแบบ "จัดเต็ม" "จัดหนัก" เพราะ
-พระคัมภีร์กล่าวว่า“อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย“ (อฟ.4:30)
-ถ้าเราทำบาปซ้ำๆก็เหมือนเอาพระเยซูไปตรึงซ้ำๆ สงสารพระองค์เถอะครับ
-ใช่ว่าพระเจ้าอภัยเราแล้วมันจะจบนะครับ ตัวอย่างของกษัตริย์ดาวิด แม้พระกรุณาคุณพระองค์ไม่ถือโทษแล้ว แต่ผลคือเราจะได้รับโทษของบาปนั้น และได้รับการตีสอนจากพระเจ้าอย่างหนักเพื่อให้เข็ดให้จำเป้นของแถมด้วย ซึ่งเราๆคงไม่อยากโดนหรอกนะครับ 55 (2 ซมอ 24:1-14)

แต่จริงๆเราควรอยากได้รับการตีสอน เพื่อเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ไม่มีทางอื่นที่จะขัดเกลาเราได้ดีเท่าให้พระองค์มาขัดเกลาเราด้วยพระองค์เอง (ฮบ.12:5-6)
แต่ไม่ได้แปลว่า งั้นเราก็ต้องทำบาปเยอะๆ พระองค์จะได้ตีสอน
อันที่จริง ไม่ต้องทำบาป การตีสอนก็มาถึงเราได้ เพื่อขัดเกลาเราให้สมกับเป็นวิหารของพระองค์

ปล.อิมมานูเอล
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 13, 2012 2:26 pm

มนุษย์มีเนื้อหนังอ่อนแอ ทำบาปได้เสมอ ทั้งเต็มใจหรือไม่เต็มใจ รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง
ทำให้พระองค์เสียพระทัย แต่พระองค์ก็พระทัยดีมีเมตตาอภัยให้เสมอ ถ้าเราสำนึกผิด
ขอโทษพระองค์ และเรายังมีตัวช่วยพิเศษคือพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ที่พระศาสนาจักร
ได้ตั้งขึ้นและช่วยเราทางอ้อม โดยทำกิจศรัทธาต่างๆ ตามที่กำหนด...
.... :s015: ....
ลูกคลื่น
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 25, 2012 5:36 am

อังคาร ธ.ค. 25, 2012 6:08 am

(15)พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” (16)ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (17)พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย (18)เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ (19)เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”
(มธ16:15-19)

สุขสันต์วันพระคริสตสมภพในปีแห่งความเชื่อ

ลูกคลื่น :s021:
ลูกคลื่น
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 25, 2012 5:36 am

อังคาร ธ.ค. 25, 2012 6:29 am

ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายตีความพระคัมภีร์จากงานเขียนของคุณพ่อชัยยะ พระสงฆ์คาทอลิกท่านเป็นอาจารย์สอนด้านพระคัมภีร์....
:s023: เมื่อประชาชนคิดว่าพระเยซูเจ้าคือยอห์นผู้ทำพิธีล้าง หรือประกาศกเอลียาห์ หรือประกาศกเยเรมีย์ จึงเท่ากับว่า พวกเขายกพระองค์ไว้ ณ จุดสูงสุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงได้รับ เพราะท่านเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เตรียมทางให้แก่พระเมสสิยาห์ผู้เป็นบุตรของพระเจ้า
ทว่าสิ่งที่คนอื่นพูดถึงพระองค์มีหรือจะสำคัญเทียบเท่าความเชื่อของตนเอง พระองค์จึงตรัสถามบรรดาอัครสาวกว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” (มธ 16:15) :s030:
เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (มธ 16:16) :s021:
คำตอบของเปโตรคงช่วยให้พระเยซูเจ้าใจชื้นขึ้นเป็นกอง เพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนหนึ่งที่รับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นใครและทรงเป็นอะไร :s012:
คำว่า “พระคริสตเจ้า” เป็นภาษากรีก ส่วน “พระเมสสิยาห์” เป็นภาษาฮีบรู ทั้งสองคำมีความหมายเดียวกันคือ “ผู้ที่ได้รับการเจิม”
เพราะฉะนั้น หากจะถามว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร คำตอบแบบเปโตรก็คือ “พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” และถ้าจะถามว่าพระองค์เป็นอะไร คำตอบก็คือ “ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ให้เป็นกษัตริย์ เพื่อกอบกู้มวลมนุษย์ให้รอดพ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณ” :s013:
จากเหตุการณ์ที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิป เราอาจสรุปแนวทางในการดำเนินชีวิตได้สองประการ กล่าวคือ
1. แม้เราจะยกพระเยซูเจ้าไว้สูงสุดจนเทียบชั้นกับประกาศกเอลียาห์และเยเรมีย์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เหตุผลเห็นได้จากคำพูดของจักรพรรดินโปเลียนที่ว่า “ข้าพเจ้ารู้จักมนุษย์มากมายหลายคน แต่พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นมากกว่ามนุษย์”
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย” (มธ 16:17)
พูดง่าย ๆ คือ เป็นพระบิดาที่ทรงเปิดเผยให้เปโตรรู้จักพระเยซูเจ้า
ดังนั้น เราจึงต้องหมั่นวอนขอพระบิดาเจ้า โปรดให้เรารู้จักพระเยซูเจ้ามากขึ้น จะได้รักและดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ยิ่งขึ้น :s012:
:s021: ลูกคลื่น
ลูกคลื่น
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 25, 2012 5:36 am

อังคาร ธ.ค. 25, 2012 6:30 am

2. ไม่เป็นการเพียงพอที่จะรู้จักพระเยซูเจ้าโดยอาศัยคำบอกเล่าของผู้อื่น เราต้องค้นให้พบและรู้จักพระองค์ด้วยตัวของเราเอง
หากพระองค์ตรัสถามว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” เราต้องตอบด้วยตัวของเราเองให้ได้ไม่ว่าเราจะยิ่งใหญ่มีข้าทาสและบริวารมากน้อยเพียงใดก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่ปิลาตซึ่งถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” ก็ยังต้องกลับไปค้นหาคำตอบเอาเองเพราะพระองค์ทรงย้อนว่า “ท่านถามดังนี้ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” (ยน 18:33-34)
เราอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์ เทววิทยา หรือคำสอน แต่ตราบใดที่เราไม่สามารถค้นพบและรู้จักพระองค์ด้วยตัวของเราเอง ตราบนั้นความรู้ที่ร่ำเรียนมาย่อมเป็นเพียงความรู้มือสองที่ช่วยให้เรา “รู้เกี่ยวกับ” พระเยซูเจ้า...
แต่ยังไม่ “รู้จัก” พระองค์ !
ลูกคลื่น
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 25, 2012 5:36 am

อังคาร ธ.ค. 25, 2012 6:34 am

ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา
ที่มาของพระวาจานี้คือ “ท่านคือ ‘เปตรอส’ และบน ‘เปตรา’ นี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา” (มธ 16:18)
คำกรีก “เปตรอส” (Petros) คือ “เปโตร” เป็นชื่อเฉพาะ ไม่มีคำแปลอื่น ส่วน “เปตรา” (petra) แปลว่า “ศิลา”
หากแปลตามต้นฉบับภาษากรีกจะได้ความว่า “ท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา”
ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อของชาวยิวซึ่งถือว่า “ศิลา” คือองค์พระเป็นเจ้าเอง
- “พระองค์ทรงเป็นศิลา พระราชกิจของพระองค์ก็ดีพร้อม” (ฉธบ 32:4)
- “บรรดาศัตรูน่าจะเข้าใจว่า พระผู้ปกป้องเขาไม่เหมือนเรา ซึ่งเป็นศิลาแห่งอิสราเอล” (ฉธบ 32:31)
- “ไม่มีผู้ใดศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระยาห์เวห์ ไม่มีศิลาใดเหมือนพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย” (1 ซมอ 2:2)
- “ใครเล่าเป็นพระเจ้านอกจากพระยาห์เวห์ ใครเล่าเป็นหลักศิลาถ้าไม่ใช่พระเจ้าของเรา” (สดด 18:2, 31)
ส่วนในพระธรรมใหม่ “ศิลา” คือองค์พระเยซูเจ้าเอง
- “บรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม” (อฟ 2:20)
- “รากฐานที่วางไว้แล้วนี้คือพระเยซูคริสตเจ้าและไม่มีใครวางรากฐานอื่นได้อีก” (1 คร 3:11)
- “จงเข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงเป็นศิลาทรงชีวิตซึ่งมนุษย์ละทิ้งไป แต่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้และมีค่าประเสริฐ .... ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘เราเลือกศิลาประเสริฐและวางไว้ในนครศิโยนเป็นศิลาหัวมุม ทุกคนที่มีความเชื่อในศิลานี้จะไม่ต้องอับอายเลย’” (1 ปต 2:4,6)
จากพระคัมภีร์ที่ยกมาแสดงว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็น “ศิลาหัวมุม” และทรงเป็นรากฐานแท้จริงของพระศาสนจักร หากปราศจากพระองค์ พระศาสนจักรย่อมไม่อาจตั้งอยู่ได้
แต่ด้วยเจตนาเล่นคำ ชื่อของ “เปโตร” ในภาษากรีกจึงถูกแปลตามชื่อในภาษาอาราไมอิก “เคฟาส” (Kephas) ซึ่งบังเอิญหมายถึง “ศิลา” เราจึงได้สำนวนแปลว่า “ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา” (มธ 16:18)
ใช่ เปโตรคือ “ศิลา” แต่ไม่ใช่ “ศิลาหัวมุม”
ท่านคือ “ศิลาแรก” ของพระศาสนาจักรซึ่งพระองค์กำลังสถาปนาขึ้น เพราะว่าท่านเป็น “มนุษย์คนแรก” ที่รู้และเชื่อว่าพระเยซูเจ้าคือพระคริสตเจ้า ผู้เป็นบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต (มธ 16:16)
ด้วยเหตุที่เปโตรเป็นสมาชิกคนแรกของพระศาสนจักร ท่านจึงเป็นรากฐานและเป็นเสมือนเชื้อแป้งที่ทำให้มีสมาชิกคนอื่นตามมาอีกมากมายทุกยุคทุกสมัย
ส่วนผู้ก่อตั้งและเป็น “ศิลาหัวมุม” ของพระศาสนจักรคือองค์พระเยซูคริสตเจ้าเอง !
เพราะฉะนั้น หากเรารักนักบุญเปโตรผู้เป็นศิลาแรกมากเท่าใด เรายิ่งต้องรักพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นศิลาหัวมุมมากขึ้นเท่านั้น
ลูกคลื่น
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 25, 2012 5:36 am

อังคาร ธ.ค. 25, 2012 6:38 am

ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้
เราอาจเข้าใจความหมายของ “ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้” (มธ 16:18) ได้ดังนี้
“ประตู” มีไว้เพื่อ ปิด ควบคุม กักขัง จำกัดเขต
“นรก” ตรงกับภาษากรีก “ades” (อาเดส) และภาษาอังกฤษ “Hades” (เฮดีส) ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรคือ “สถานที่ที่มองไม่เห็น” เดิมชาวยิวเชื่อว่าคนตายทุกคนไม่ว่าดีหรือเลวจะไปรวมกันอยู่ในสถานที่ที่มองไม่เห็นนี้ คำ “เฮดีส” แรกเริ่มจึงหมายถึงแดนผู้ตาย แต่ต่อมาพัฒนาเป็นสถานที่สำหรับคนบาปพักรอการตัดสิน และหมายถึงนรกในที่สุด
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้” จึงหมายความว่า “ประตูแห่งแดนผู้ตายไม่มีทางปิดขังคนคนหนึ่งซึ่งก่อตั้งพระศาสนจักรได้เลย”
เพราะคนคนนั้น “คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (มธ 16:16)
พระองค์ทรงกล่าวเช่นนี้ก็เพื่อทำนายถึงการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์เอง
และเปโตรได้ประกาศยืนยันความจริงนี้ในวันเปนเตกอสเตว่า “พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจากอำนาจแห่งความตาย เพราะความตายยึดพระองค์ไว้ใต้อำนาจอีกต่อไปไม่ได้” และอีกตอนหนึ่งว่า “เพราะพระองค์จะไม่ทรงละทิ้งข้าพเจ้า (คือพระเยซูเจ้า) ไว้ในแดนผู้ตาย และจะไม่ทรงปล่อยผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย” (กจ 2:24, 27)
นอกจากเป็นการทำนายถึงการกลับคืนพระชนมชีพแล้ว เราอาจเข้าใจความหมายอีกนัยหนึ่งว่า ประตูนรกคืออำนาจแห่งความชั่วร้าย ซึ่งไม่มีทางจะเอาชนะหรือทำลายพระศาสนจักรของพระเยซูคริสตเจ้าได้เลย
ลูกคลื่น
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 25, 2012 5:36 am

อังคาร ธ.ค. 25, 2012 6:42 am

[b]สิทธิและหน้าที่ของพระศาสนจักร[/b]
เพื่อให้พระศาสนจักรบนความเชื่อของเปโตรมีความมั่นคง พระเยซูเจ้าทรงมอบสิทธิและหน้าที่พิเศษให้แก่ท่านอีกด้วย
1. “เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้” (มธ 16:19)
ในพระธรรมใหม่ ผู้ถือกุญแจคือพระเยซูเจ้าเอง “เราเป็นผู้มีชีวิต เราตายไปแล้ว แต่บัดนี้เรามีชีวิตอยู่ตลอดนิรันดร เรามีอำนาจ (ต้นฉบับภาษากรีกคือ kleis แปลว่า “กุญแจ”) เหนือความตายและเหนือแดนผู้ตาย” (วว 1:18)
และ “พระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงสัตย์ ผู้ทรงถือกุญแจของกษัตริย์ดาวิด เมื่อพระองค์ทรงเปิด ไม่มีผู้ใดปิดได้ และเมื่อพระองค์ทรงปิด ก็ไม่มีผู้ใดเปิดได้” (วว 3:7)
ข้อความหลังนี้ช่างคล้ายกับพระวาจาของพระเจ้าจอมโยธาที่มีถึงเอลียาคิมผ่านทางประกาศกอิสยาห์ว่า “เราจะวางลูกกุญแจของวังดาวิดไว้บนบ่าของเขา เขาจะเปิดและไม่มีผู้ใดปิด เขาจะปิดและไม่มีผู้ใดเปิด” (อสย 22:22) นั่นคือ พระองค์ทรงตั้งเอลียาคิมให้เป็นผู้จัดการราชสำนักของดาวิดแทนเชบนา มีอำนาจเต็มในการสั่งเปิดประตูพระราชวังในยามเช้า และปิดในยามเย็น
หมายความว่า พระเยซูเจ้าทรงมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์แก่เปโตร เพื่อให้ท่านเป็นผู้ดูแลอาณาจักรสวรรค์และ “เปิดประตูต้อนรับคนทุกชาติ” ทั้งที่เป็นยิวและไม่ใช่ยิว
ดังที่ท่านได้เปิดประตูต้อนรับดวงวิญญาณสามพันดวงในวันเปนเตกอสเต (กจ 2:41) รวมถึงดวงวิญญาณของโครเนลิอัสซึ่งเป็นนายทหารต่างชาติ (กจ 10) อีกทั้งในการประชุมที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านได้ผลักดันให้ข่าวดีเผยแผ่ไปสู่คนต่างศาสนาด้วยการยืนยันว่า “พี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้แล้วว่า ตั้งแต่แรกเริ่ม พระเจ้าทรงเลือกสรรข้าพเจ้าในหมู่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้คนต่างศาสนาได้ฟังพระวาจาที่เป็นข่าวดีจากปากของข้าพเจ้าและมีความเชื่อ” (กจ 15:7)
2. “ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” (มธ 16:19)
คำว่า “ผูก” และ “แก้” เป็นสำนวนที่ชาวยิวนิยมใช้กับคำตัดสินด้านกฎหมายของอาจารย์หรือรับบีผู้มีชื่อเสียง ผูกหมายถึงไม่อนุญาต และแก้หมายถึงอนุญาต
เท่ากับว่าพระเยซูเจ้าทรงมอบภาระรับผิดชอบอันหนักหน่วงไว้บนบ่าของเปโตร ท่านต้องให้คำแนะนำและนำพาพระศาสนจักร ท่านต้อง “ตัดสินใจ” ว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ซึ่งการตัดสินใจของท่านย่อมส่งผลอันใหญ่หลวงต่อวิญญาณของมนุษย์ทั้งในโลกนี้และชั่วนิรันดร
ตอบกลับโพส