คุณมีความเชื่อหรือแรงกระตุ้นอย่างไร ในการหันมานับถือพระเจ้าค
เราเป็นคริสตังยืนค่ะ เพิ่งล้างบาปมาไม่นานเหมือนกัน
ครอบครัวเป็นพุทธทั้งหมด ยกเว้นพี่ชายที่เป็นพุทธแต่ในทะเบียนราษฎร์ ใจจริงไม่นับถืออะไรเลย
เกริ่นก่อนนะคะว่าบ้านเราอยู่แถวชานเมืองที่นครพนม อยู่ติดถนนใหญ่ บ้านเข้าไปในซอยเล็กๆ 2 หลัง จากนั้นก็เป็นทุ่งนา มีหมู่บ้านคาธอลิกอยู่ถัดจากนั้นค่ะ สมัยเด็กๆ ต้นไม้บ้านข้างๆ บ้านถัดไปยังไม่โต ตอนเย็นๆ เรามักจะยืนเกาะขอบหน้าต่างดูหมู่บ้านฝั่งนั้น เพราะมีอย่างนึงที่เราสนใจ เป็นโบสถ์เก่าอายุร่วมร้อยปี สร้างขึ้นตั้งแต่ในยุคที่คุณพ่อมิชชันนารีมาเผยแผ่ศาสนาในดินแดนแถบนี้ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าสิ่งก่อสร้างเก่าๆ นั่นคืออะไร แต่ก็ชอบมองดูอยู่ทุกวัน
จนกระทั่งช่วงปลายเทอม1ตอน ป.4 ตอนพักเที่ยงเรากับเพื่อนๆ กำลังนั่งเล่นหน้าห้องสมุด อยู่ๆก็มีพี่ป.6ที่ไม่รู้จัก (ไม่รู้จักใครเลยป.6เนี่ย) มาจูงมือพาเดินขึ้นไปชั้น3 บอกว่ามากินเลี้ยงวันเกิดพี่ เราก็งงๆ งงจนตอนนี้ไม่รู้พี่สาวคนนี้รู้จักเราตั้งแต่เมื่อไหร่ จะถามก็อาย เพราะผ่านมาจะครบ9ปีแล้ว
ตั้งแต่นั้นก็ได้รู้จักกัน แล้วก็รู้ว่าที่ดูอยู่บ่อยๆ นั่นน่ะเป็นโบสถ์คริสต์คาธอลิกนะ (ก็พี่เค้าเป็นคริสตังอยู่หมู่บ้านนั้นแหละ) เราก็สนใจขึ้นมาเพราะว่า นักเขียนที่เราชอบมากที่สุดตั้งแต่ป.1จนถึงตอนนี้ (LOTR เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆเลย) J.R.R.Tolkien แม่ น้องชายกับเขา ถูกทางญาติฝ่ายแม่ทอดทิ้งให้เผชิญความยากลำบากเพราะแม่ของเขาหันไปนับถือคาธอลิกนี่เอง แล้วตัวโทลคีนเองก็เป็นคาธอลิกที่เคร่งครัดคนนึงด้วย
แล้วคริสต์มาสปีนั้น เราก็ได้ไปร่วมแห่ดาวที่วัดนั้นค่ะ (ครอบครัวเรารู้จักกับครอบครัวของพี่สาวคนนั้นอยู่แล้ว พ่อก็เลยอนุญาติ) เป็นครั้งแรกที่ได้เข้า(ไปดู)มิซซาของเราเลย
หลังจากนั้นวันหยุด บางครั้งนานๆที (ประมาณ1-2เดือนครั้ง)เราก็ไปแวะเล่นที่บ้านพี่สาวคนนี้ จุดประสงค์อีกอย่างคือ จะได้แวะไปเล่นที่วัดด้วย
ตอนนั้นเราชอบเล่นที่ถ้ำแม่พระมากค่ะ โดยเฉพาะซ่อนหา บางทีก็ปีนขึ้นไปเล่น บนถ้ำแม่พระมีต้นว่านสี่ทิศขึ้นหลายต้นด้วย ตอนนี้ก็ยังอยู่ดี โดยที่เราไม่เคยเห็นใครไปรดน้ำมันเลย (ต้นว่านขึ้นบนถ้ำ ยอดถ้ำข้างบนเลยค่ะ)
พอปิดเทอมใหญ่ วัดเราจะจัดฉลองวัดตรงกับช่วงสงกรานต์ทุกปี ปีนั้นเป็นปีแรกที่เราได้ไปฉลองวัด มีพระคุณเจ้า มีคุณพ่อหลายๆคน ซิสเตอร์ กับพวกบราเดอร์เณรใหญ่ ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเรา มิซซาฉลองเสร็จ ตอนบ่ายๆ มีนัดเตะฟุตบอลระหว่างทีมคุณพ่อกับบราเดอร์อีกทีมเป็นพวกคนหนุ่มๆ ในหมู่บ้าน เตะกันที่สนามข้างโบสถ์เก่า วันนั้นเป็นอะไรที่สนุกมาก คนดูข้างสนามทั้งส่งเสียงเชียร์ทั้งเอาน้ำมาสาดเล่นสงกรานต์กันเอง
พอขึ้นมัธยม วันหยุดก็ไปเล่นบ้าง ส่วนแห่ดาวกับฉลองวัดที่ไปทุกครั้งยกเว้นครั้งที่จำวันผิดจริงๆ แต่หลังๆมานี้ไม่พลาดแล้วล่ะค่ะ
ช่วงนี้เราก็ยังไม่รู้จักกับพระดี รู้แต่เรื่องที่แสดงในละครคริสต์มาสเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่เราไปเล่นที่วัดรู้สึกได้พักใจ รู้สึกมีความสุข ชอบเดินอยู่ในโบสถ์หลังเก่าเงียบๆคนเดียว เดินออกไปนอกตัวโบสถ์ก็เห็นทุ่งนา ไกลๆก็เป็นแนวเขาฝั่งลาว เป็นที่ที่ต่อมาเราคิดว่าเหมาะกับการนั่งวาดรูป นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมากเลย
เราก็ดำเนินชีวิตผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงปีที่ผ่านมาค่ะ ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
ปีนี้เราอยู่ชั้นม.6 วันสอบกลางภาคเทอม1 วันสุดท้ายที่เป็นวันศุกร์สอบเสร็จตอนบ่ายนิดๆ เราคิดว่าลองเดินไปวัดหนองแสงดีกว่า(เราเคยเดินผ่านในพื้นที่วัดครั้งเดียวตอนป.5หรือ6 ) หาถ่ายรูปดีกว่า ได้เดินดูวิวริมโขงข้างทางด้วย ก็เลยนัดกับเพื่อนคนหนึ่งเดินไป จากตอนบ่ายครึ่ง แวะหน้าหอสมุด เพื่อนแวะเยี่ยมครูรร.เก่า กว่าจะไปถึงก็เวลาบ่ายสามกว่าแล้ว ตอนก่อนจะเดินไปถึง เราก็ภาวนาให้ประตูโบสถ์เปิดเถอะๆๆ จะได้ขึ้นไปบนหอระฆัง ถ่ายรูปลงมาได้ ปรากฏว่าพอไปถึงก็เปิดจริงๆ ค่ะ
เดินไปดูเห็นพวกน้องนางกำลังช่วยกันจัดดอกไม้กับกวาดพื้นโบสถ์อยู่ก็ทราบมาว่าพรุ่งนี้มีฉลองวัดนะ เอาล่ะสิ เราไม่เคยไปฉลองวัดไหนเลยนอกจากวัดคำเกิ้ม ก็เลยตื่นเต้นมาก แล้วก็นัดเพื่อนอย่างดี ว่าพรุ่งนี้มาเจอกันก่อน10โมงนะ
พอได้ไปฉลองวัดอื่นบ้าง เราก็คิดว่า อยากไปวัดอื่นๆดูบ้างแฮะ เราก็เปิดดูในเว็ปมิซซังที่พี่สาวคนนั้นเคยพาเปิดดู ที่ที่เราพอไปได้เองแล้วก็ไม่มีอะไรทำด้วย ถัดไปก็เป็นฉลองศาสนนามของพระคุณเจ้าที่ท่าแร่ ตอนปลายสิงหา เราก็ชวนเพื่อนคนเดิม แต่ไม่ว่างซะงั้น (ตูต้องแอบบ้านไปเองคนเดียวเหรอนี่) วันฉลองวันนั้นเป็นวันเสาร์ ตอนเย็นวันศุกร์หลังเลิกเรียนตอนเย็นเรากับเพื่อนนัดกันเดินไปวัดหนองแสง(อีกแล้ว) ตั้งใจว่าวันนี้เอากล้องมา งั้นมาถ่ายรูปสุสานตอนเย็นๆ ดูดีกว่า เรากับเพื่อนก็เดินไปเรื่อยๆ และนึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะเอาดอกไม้ไปด้วยนะ ก็เลยเดินไปเด็ดดอกเข็มเทศบาลข้างทางไป (ไม่ดีนะเนี่ย ) เห็นร้านขายของชำก็แวะซื้อเทียนไขกับไม้ขีด(หรือไฟแช็คเนี่ยแหละค่ะ) คิดจะจุดเทียนบนหลุมศพเหมือนวันเสกสุสานซะเลย จะต้องออกมาสวยแน่ๆ
กว่าจะไปถึงก็มืดพอดี เรากับเพื่อนลังเลอยู่ข้างโบสถ์ว่าจะเดินต่อเข้าไปในสุสานมั้ย ตอนนั้นก็เริ่มกลัวกัน ที่วัดเงียบมาก แสงไฟตรงมุมถนนไม่ช่วยอะไรเลย ก็คิดว่าเอาน่าเดินมาตั้งขนาดนี้แล้วเดินต่ออีกไม่เกิน 50ก้าวก็ถึง ถ้ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นก็ร้องจ๊ากเดี๋ยวคุณพ่อที่บ้านพัก(ที่เปิดไฟซะสว่าง)ก็ได้ยินเอง
อย่างแรกที่พอไปถึงบริเวณสุสาน เราได้กลิ่นดอกไม้สดโชยมา หอมมาก เห็นมีเต้นท์ เหมือนว่าวันนี้จะมีศพฝังใหม่ ในใจเรายิ่งกลัวเข้าไปใหญ่
เราวิ่งไปที่รูปปั้นแม่พระก่อน วางดอกเข็มที่ไปเด็ดมา จุดเทียนให้แม่พระหลายเล่ม(เพราะเริ่มกลัวบรรยากาศรอบด้าน มีเรากับเพื่อนแค่สองคน ) จากนั้นก็เดินเอาดอกเข็มที่เหลือไปวางไว้บนหลุมศพคุณพ่อ 8 คน ที่ตั้งเรียงกัน และเริ่มจุดเทียนไปเรื่อยๆ (เริ่มสว่างแล้วตู ) เพื่อนเราก็ไปอยู่ตรงแม่พระแล้วตะโกนมาว่าจะถ่ายรูปให้นะ แต่เราบอกไม่เอาแล้วๆ (ตูกลัว)
จนถึงหลุมศพคุณพ่อคนที่8 ซึ่งเป็นคุณพ่อชาวไทยคนเดียว อีก7เป็นชาวต่างประเทศ เป็นคุณพ่อมิชชันนารี ตอนที่กำลังก้มจุดเทียนอยู่ก็มีเสียงดังเหมือนมีไม้กระทบกันดังมาจากข้างหลัง แต่เราพยายามไม่ตกใจ พอเสร็จแล้วก็พูดประมาณว่าพวกหนูกลับแล้วนะคะ (ในใจกลัวขึ้นเรื่อยๆ รีบออกจากบริเวณนี้ดีกว่า) คุณเพื่อนก็ยืนรอแล้วลากเราเดินออกไป เราหันไปมองแสงเทียนที่ตัวเองจุด ที่เราคิดว่าสวยจังแฮะ ถ้้าวันเสกสุสานจะต้องสวยมากแน่ๆ ก็เลยบอกเพื่อนให้หันไปดู คุณเธอก็บอกปฏิเสธอย่างเดียว แล้วก็รีบดึงเราเดินไปเร็วๆ จนพ้นเขตประตูวัด
เดินกลับทางริมโขงทางเดินซักพัก เพื่อนเราก็ยอมเล่าว่า ตอนกำลังเล็งชัตเตอร์จะถ่ายเราที่กำลังจุดเทียนที่หลุมศพคุณพ่อคนสุดท้ายที่เป็นคนไทย คุณเธอบอกว่า ในจอกล้องมีเงาเหมือนคนยืนอยู่ข้างๆ เรา เลยไม่กล้ากดถ่าย เพราะอย่างนั้นก็เลยรีบลากเราออกมา เรื่องนี้เพื่อนเราคนนี้มันยังล้อมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ ว่าแน่ะ เดี๋ยวคุณพ่อออกมาส่งนะ
ตื่นตอนเช้ามืดต่อมาเราก็เริ่มกังวลว่า จะไปดีมั้ยนะ ตัวเองยังไม่เคยไปไหนเองคนเดียวไกลๆ แบบนี้เลย คิดไปคิดมาก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เรารีบเตรียมตัว ไปรร. แล้ววิ่งต่อไปบขส. (ขืนบ้านรู้ว่าไปคนเดียวโดนด่าเละแหงเลย) สรุปการเดินทางสั้นๆนี้ก็จบลงด้วยดีค่ะ เราเองก็กล้าไป(วัด)ที่อื่นเองมากขึ้น
แต่ว่าพอถึงกันยา เราเจอปัญหาอยู่เรื่องนึง ไปหาหมออยู่หลายหนแต่ก็เหมือนเดิม และเริ่มกลัวว่าขืนเป็นแบบนี้อาจจะวาดรูปไม่ได้อีก(เราอยากเป็นจิตรกรค่ะ ) แบบนี้ต้องตายแน่ๆ (เว่อร์ไปนู้น) ถ้าเป็นแบบนี้เรื่อยๆ จะทำยังไงดี พอดีกับที่เดือนนั้นเราได้สายประคำพระเมตตามา ก็สวดแทบทุกวัน ม.6ปิดเทอมก่อน วันหยุดเราก็ไปอยู่ใกล้ๆ ถ้ำแม่พระ คิดทบทวนหลายครั้ง และตัดสินใจว่า ถ้าจะตายก็ขอตายในฐานะคริสตัง
จากนั้นก็เริ่มไปเกริ่นๆกับพ่อ แต่พ่อไม่ยอมเลย ผ่านไปพอซักกลางเดือนตุลา สุดท้ายพ่อก็บอกว่าทำอะไรก็ทำแต่อย่าให้เดือดร้อน
จากนั้นหลังมิซซาวันอาทิตย์เสร็จ พี่สาวคนเดิมกับพี่ที่เป็นครูคำสอนด้วย (รู้จักกันนานหลายปีแล้ว) ก็พาเราไปคุยกับคุณพ่อ แกพูดว่า พ่อแม่ยินยอมแล้วหรือยัง? ตัดสินใจดีแล้วหรือ? พ่อล้างบาปให้ทันทีไม่ได้นะ ให้เราเรียนคำสอนพร้อมกับเด็กๆ ไปก่อน ให้รู้ถึงความเชื่อของเราคาธอลิก ถึงเวลาค่อยตัดสินใจอีกที ถ้าความเชื่อของลูกเข้มแข็ง เวลานั้นพ่อจะล้างบาปให้
เราเริ่มเรียนคำสอนตอนกลางพฤศจิ หลังจากที่สอบรอบรับตรงมข.ผ่านไปแล้ว ไปร่วมมิซซาทุกครั้งที่มีโอกาส จนช่วงต้นปีนี้ พี่ครูคำสอนก็บอกว่าตอนปลายเดือนกุมภาจะมีรับศีลมหาสนิทครั้งแรกกับศีลกำลังที่ฉลองวัดนิรมัย อยากให้เราล้างบาปก่อนแล้วจะได้ไปรับศีลพร้อมกับเด็กคนอื่นๆเลย (เพราะเราอายุเยอะแล้ว ซะที่ไหน) จะได้ไปเรียนต่อมหาลัยเลย พี่ครูคำสอนก็คุยเรื่องนี้กับคุณพ่อ(ตอนนั้นเราอยู่ห่างไม่กี่เมตรเอง ) คุณพ่อก็พูดว่าถ้าความเชื่อของเขาเข้มแข็งก็ไม่มีปัญหา
หลังมิซซาวันที่17 เด็กศีลมหาสนิทรอเตรียมแก้บาปครั้งแรก เราก็อยู่กับพวกเด็กๆ คุณพ่อเดินมาถามว่าใจพร้อม(ล้างบาป)หรือยัง ถ้าพร้อมแล้ววันนี้พ่อจะล้างบาปให้ เราก็รีบตกลง ฮี่ๆ ตอนคุณพ่อเขียนลงทะเบียนล้างบาปของวัดเราตื่นเต้นมากๆ ซักพักแกถามว่าใครเป็นพ่อแม่ทูลหัวล่ะ ไอ้โต้ (น้องชายของพี่สาวคนนั้น ที่พี่สาวจะส่งไปดัดนิสัยที่บ้านเณรเล็กปีหน้า ) บอกว่าแม่ผมครับๆ แล้วก็ได้เรียกเพื่อนไปเรียกแม่อ่อนมา เตรียมดอกไม้สีขาว เทียนสีขาวมาด้วยนะ เราก็ได้ล้างบาปแล้ว เสาร์ต่อมา คุณพ่อก็ให้รับศีลมหาสนิทพร้อมศีลกำลังเลย แอบคิดเหมือนกันว่าเพราะแกเห็นเราวนเวียน(?)อยู่ที่วัดบ่อยๆ ตลอด4ปีที่ย้ายมาประจำที่วัดนี้ อาจจะเห็นความคิดความตั้งใจของเราจริงๆที่มีต่อพระก็ได้ แฮ่
สำหรับเราแล้ว เรารู้สึกรักก่อนเพราะยังไม่รู้ถึงข้อความเชื่อซักเท่าไหร่ เป็นความรู้สึกโหยหาและผูกพัน โดยเริ่มมาจากแม่พระ (อาจเพราะชอบไปปีนถ้ำแม่พระบ่อยๆตอนเด็ก ) พอได้เห็นรูปครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกอบอุ่นดี จนถึงปีเมื่อกี้ที่เรารู้สึกว่ามีหลายปัญหาเหลือเกินทั้งเรื่องสุขภาพ และเรื่องทางใจ..ที่เป็นปัญหามาปีกว่าที่เราผ่านมาได้แล้วเพราะนึกถึงพระอยู่ตลอด ทุกครั้งที่อยู่คนเดียวในโบสถ์ทั้งหลังปัจจุบันและโบสถ์เก่า ได้เห็นรูปปั้นพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขน ได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆ เราจึงตัดสินใจได้ค่ะ
พิมพ์มายาวเลยแฮะ จะมีคนอ่านจบมั้ยหว่า
ปล.เราชอบมาคิดอะไรคนเดียวที่นี้แหละค่ะ http://upic.me/show/44235303
ครอบครัวเป็นพุทธทั้งหมด ยกเว้นพี่ชายที่เป็นพุทธแต่ในทะเบียนราษฎร์ ใจจริงไม่นับถืออะไรเลย
เกริ่นก่อนนะคะว่าบ้านเราอยู่แถวชานเมืองที่นครพนม อยู่ติดถนนใหญ่ บ้านเข้าไปในซอยเล็กๆ 2 หลัง จากนั้นก็เป็นทุ่งนา มีหมู่บ้านคาธอลิกอยู่ถัดจากนั้นค่ะ สมัยเด็กๆ ต้นไม้บ้านข้างๆ บ้านถัดไปยังไม่โต ตอนเย็นๆ เรามักจะยืนเกาะขอบหน้าต่างดูหมู่บ้านฝั่งนั้น เพราะมีอย่างนึงที่เราสนใจ เป็นโบสถ์เก่าอายุร่วมร้อยปี สร้างขึ้นตั้งแต่ในยุคที่คุณพ่อมิชชันนารีมาเผยแผ่ศาสนาในดินแดนแถบนี้ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าสิ่งก่อสร้างเก่าๆ นั่นคืออะไร แต่ก็ชอบมองดูอยู่ทุกวัน
จนกระทั่งช่วงปลายเทอม1ตอน ป.4 ตอนพักเที่ยงเรากับเพื่อนๆ กำลังนั่งเล่นหน้าห้องสมุด อยู่ๆก็มีพี่ป.6ที่ไม่รู้จัก (ไม่รู้จักใครเลยป.6เนี่ย) มาจูงมือพาเดินขึ้นไปชั้น3 บอกว่ามากินเลี้ยงวันเกิดพี่ เราก็งงๆ งงจนตอนนี้ไม่รู้พี่สาวคนนี้รู้จักเราตั้งแต่เมื่อไหร่ จะถามก็อาย เพราะผ่านมาจะครบ9ปีแล้ว
ตั้งแต่นั้นก็ได้รู้จักกัน แล้วก็รู้ว่าที่ดูอยู่บ่อยๆ นั่นน่ะเป็นโบสถ์คริสต์คาธอลิกนะ (ก็พี่เค้าเป็นคริสตังอยู่หมู่บ้านนั้นแหละ) เราก็สนใจขึ้นมาเพราะว่า นักเขียนที่เราชอบมากที่สุดตั้งแต่ป.1จนถึงตอนนี้ (LOTR เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆเลย) J.R.R.Tolkien แม่ น้องชายกับเขา ถูกทางญาติฝ่ายแม่ทอดทิ้งให้เผชิญความยากลำบากเพราะแม่ของเขาหันไปนับถือคาธอลิกนี่เอง แล้วตัวโทลคีนเองก็เป็นคาธอลิกที่เคร่งครัดคนนึงด้วย
แล้วคริสต์มาสปีนั้น เราก็ได้ไปร่วมแห่ดาวที่วัดนั้นค่ะ (ครอบครัวเรารู้จักกับครอบครัวของพี่สาวคนนั้นอยู่แล้ว พ่อก็เลยอนุญาติ) เป็นครั้งแรกที่ได้เข้า(ไปดู)มิซซาของเราเลย
หลังจากนั้นวันหยุด บางครั้งนานๆที (ประมาณ1-2เดือนครั้ง)เราก็ไปแวะเล่นที่บ้านพี่สาวคนนี้ จุดประสงค์อีกอย่างคือ จะได้แวะไปเล่นที่วัดด้วย
ตอนนั้นเราชอบเล่นที่ถ้ำแม่พระมากค่ะ โดยเฉพาะซ่อนหา บางทีก็ปีนขึ้นไปเล่น บนถ้ำแม่พระมีต้นว่านสี่ทิศขึ้นหลายต้นด้วย ตอนนี้ก็ยังอยู่ดี โดยที่เราไม่เคยเห็นใครไปรดน้ำมันเลย (ต้นว่านขึ้นบนถ้ำ ยอดถ้ำข้างบนเลยค่ะ)
พอปิดเทอมใหญ่ วัดเราจะจัดฉลองวัดตรงกับช่วงสงกรานต์ทุกปี ปีนั้นเป็นปีแรกที่เราได้ไปฉลองวัด มีพระคุณเจ้า มีคุณพ่อหลายๆคน ซิสเตอร์ กับพวกบราเดอร์เณรใหญ่ ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเรา มิซซาฉลองเสร็จ ตอนบ่ายๆ มีนัดเตะฟุตบอลระหว่างทีมคุณพ่อกับบราเดอร์อีกทีมเป็นพวกคนหนุ่มๆ ในหมู่บ้าน เตะกันที่สนามข้างโบสถ์เก่า วันนั้นเป็นอะไรที่สนุกมาก คนดูข้างสนามทั้งส่งเสียงเชียร์ทั้งเอาน้ำมาสาดเล่นสงกรานต์กันเอง
พอขึ้นมัธยม วันหยุดก็ไปเล่นบ้าง ส่วนแห่ดาวกับฉลองวัดที่ไปทุกครั้งยกเว้นครั้งที่จำวันผิดจริงๆ แต่หลังๆมานี้ไม่พลาดแล้วล่ะค่ะ
ช่วงนี้เราก็ยังไม่รู้จักกับพระดี รู้แต่เรื่องที่แสดงในละครคริสต์มาสเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่เราไปเล่นที่วัดรู้สึกได้พักใจ รู้สึกมีความสุข ชอบเดินอยู่ในโบสถ์หลังเก่าเงียบๆคนเดียว เดินออกไปนอกตัวโบสถ์ก็เห็นทุ่งนา ไกลๆก็เป็นแนวเขาฝั่งลาว เป็นที่ที่ต่อมาเราคิดว่าเหมาะกับการนั่งวาดรูป นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมากเลย
เราก็ดำเนินชีวิตผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงปีที่ผ่านมาค่ะ ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
ปีนี้เราอยู่ชั้นม.6 วันสอบกลางภาคเทอม1 วันสุดท้ายที่เป็นวันศุกร์สอบเสร็จตอนบ่ายนิดๆ เราคิดว่าลองเดินไปวัดหนองแสงดีกว่า(เราเคยเดินผ่านในพื้นที่วัดครั้งเดียวตอนป.5หรือ6 ) หาถ่ายรูปดีกว่า ได้เดินดูวิวริมโขงข้างทางด้วย ก็เลยนัดกับเพื่อนคนหนึ่งเดินไป จากตอนบ่ายครึ่ง แวะหน้าหอสมุด เพื่อนแวะเยี่ยมครูรร.เก่า กว่าจะไปถึงก็เวลาบ่ายสามกว่าแล้ว ตอนก่อนจะเดินไปถึง เราก็ภาวนาให้ประตูโบสถ์เปิดเถอะๆๆ จะได้ขึ้นไปบนหอระฆัง ถ่ายรูปลงมาได้ ปรากฏว่าพอไปถึงก็เปิดจริงๆ ค่ะ
เดินไปดูเห็นพวกน้องนางกำลังช่วยกันจัดดอกไม้กับกวาดพื้นโบสถ์อยู่ก็ทราบมาว่าพรุ่งนี้มีฉลองวัดนะ เอาล่ะสิ เราไม่เคยไปฉลองวัดไหนเลยนอกจากวัดคำเกิ้ม ก็เลยตื่นเต้นมาก แล้วก็นัดเพื่อนอย่างดี ว่าพรุ่งนี้มาเจอกันก่อน10โมงนะ
พอได้ไปฉลองวัดอื่นบ้าง เราก็คิดว่า อยากไปวัดอื่นๆดูบ้างแฮะ เราก็เปิดดูในเว็ปมิซซังที่พี่สาวคนนั้นเคยพาเปิดดู ที่ที่เราพอไปได้เองแล้วก็ไม่มีอะไรทำด้วย ถัดไปก็เป็นฉลองศาสนนามของพระคุณเจ้าที่ท่าแร่ ตอนปลายสิงหา เราก็ชวนเพื่อนคนเดิม แต่ไม่ว่างซะงั้น (ตูต้องแอบบ้านไปเองคนเดียวเหรอนี่) วันฉลองวันนั้นเป็นวันเสาร์ ตอนเย็นวันศุกร์หลังเลิกเรียนตอนเย็นเรากับเพื่อนนัดกันเดินไปวัดหนองแสง(อีกแล้ว) ตั้งใจว่าวันนี้เอากล้องมา งั้นมาถ่ายรูปสุสานตอนเย็นๆ ดูดีกว่า เรากับเพื่อนก็เดินไปเรื่อยๆ และนึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะเอาดอกไม้ไปด้วยนะ ก็เลยเดินไปเด็ดดอกเข็มเทศบาลข้างทางไป (ไม่ดีนะเนี่ย ) เห็นร้านขายของชำก็แวะซื้อเทียนไขกับไม้ขีด(หรือไฟแช็คเนี่ยแหละค่ะ) คิดจะจุดเทียนบนหลุมศพเหมือนวันเสกสุสานซะเลย จะต้องออกมาสวยแน่ๆ
กว่าจะไปถึงก็มืดพอดี เรากับเพื่อนลังเลอยู่ข้างโบสถ์ว่าจะเดินต่อเข้าไปในสุสานมั้ย ตอนนั้นก็เริ่มกลัวกัน ที่วัดเงียบมาก แสงไฟตรงมุมถนนไม่ช่วยอะไรเลย ก็คิดว่าเอาน่าเดินมาตั้งขนาดนี้แล้วเดินต่ออีกไม่เกิน 50ก้าวก็ถึง ถ้ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นก็ร้องจ๊ากเดี๋ยวคุณพ่อที่บ้านพัก(ที่เปิดไฟซะสว่าง)ก็ได้ยินเอง
อย่างแรกที่พอไปถึงบริเวณสุสาน เราได้กลิ่นดอกไม้สดโชยมา หอมมาก เห็นมีเต้นท์ เหมือนว่าวันนี้จะมีศพฝังใหม่ ในใจเรายิ่งกลัวเข้าไปใหญ่
เราวิ่งไปที่รูปปั้นแม่พระก่อน วางดอกเข็มที่ไปเด็ดมา จุดเทียนให้แม่พระหลายเล่ม(เพราะเริ่มกลัวบรรยากาศรอบด้าน มีเรากับเพื่อนแค่สองคน ) จากนั้นก็เดินเอาดอกเข็มที่เหลือไปวางไว้บนหลุมศพคุณพ่อ 8 คน ที่ตั้งเรียงกัน และเริ่มจุดเทียนไปเรื่อยๆ (เริ่มสว่างแล้วตู ) เพื่อนเราก็ไปอยู่ตรงแม่พระแล้วตะโกนมาว่าจะถ่ายรูปให้นะ แต่เราบอกไม่เอาแล้วๆ (ตูกลัว)
จนถึงหลุมศพคุณพ่อคนที่8 ซึ่งเป็นคุณพ่อชาวไทยคนเดียว อีก7เป็นชาวต่างประเทศ เป็นคุณพ่อมิชชันนารี ตอนที่กำลังก้มจุดเทียนอยู่ก็มีเสียงดังเหมือนมีไม้กระทบกันดังมาจากข้างหลัง แต่เราพยายามไม่ตกใจ พอเสร็จแล้วก็พูดประมาณว่าพวกหนูกลับแล้วนะคะ (ในใจกลัวขึ้นเรื่อยๆ รีบออกจากบริเวณนี้ดีกว่า) คุณเพื่อนก็ยืนรอแล้วลากเราเดินออกไป เราหันไปมองแสงเทียนที่ตัวเองจุด ที่เราคิดว่าสวยจังแฮะ ถ้้าวันเสกสุสานจะต้องสวยมากแน่ๆ ก็เลยบอกเพื่อนให้หันไปดู คุณเธอก็บอกปฏิเสธอย่างเดียว แล้วก็รีบดึงเราเดินไปเร็วๆ จนพ้นเขตประตูวัด
เดินกลับทางริมโขงทางเดินซักพัก เพื่อนเราก็ยอมเล่าว่า ตอนกำลังเล็งชัตเตอร์จะถ่ายเราที่กำลังจุดเทียนที่หลุมศพคุณพ่อคนสุดท้ายที่เป็นคนไทย คุณเธอบอกว่า ในจอกล้องมีเงาเหมือนคนยืนอยู่ข้างๆ เรา เลยไม่กล้ากดถ่าย เพราะอย่างนั้นก็เลยรีบลากเราออกมา เรื่องนี้เพื่อนเราคนนี้มันยังล้อมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ ว่าแน่ะ เดี๋ยวคุณพ่อออกมาส่งนะ
ตื่นตอนเช้ามืดต่อมาเราก็เริ่มกังวลว่า จะไปดีมั้ยนะ ตัวเองยังไม่เคยไปไหนเองคนเดียวไกลๆ แบบนี้เลย คิดไปคิดมาก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เรารีบเตรียมตัว ไปรร. แล้ววิ่งต่อไปบขส. (ขืนบ้านรู้ว่าไปคนเดียวโดนด่าเละแหงเลย) สรุปการเดินทางสั้นๆนี้ก็จบลงด้วยดีค่ะ เราเองก็กล้าไป(วัด)ที่อื่นเองมากขึ้น
แต่ว่าพอถึงกันยา เราเจอปัญหาอยู่เรื่องนึง ไปหาหมออยู่หลายหนแต่ก็เหมือนเดิม และเริ่มกลัวว่าขืนเป็นแบบนี้อาจจะวาดรูปไม่ได้อีก(เราอยากเป็นจิตรกรค่ะ ) แบบนี้ต้องตายแน่ๆ (เว่อร์ไปนู้น) ถ้าเป็นแบบนี้เรื่อยๆ จะทำยังไงดี พอดีกับที่เดือนนั้นเราได้สายประคำพระเมตตามา ก็สวดแทบทุกวัน ม.6ปิดเทอมก่อน วันหยุดเราก็ไปอยู่ใกล้ๆ ถ้ำแม่พระ คิดทบทวนหลายครั้ง และตัดสินใจว่า ถ้าจะตายก็ขอตายในฐานะคริสตัง
จากนั้นก็เริ่มไปเกริ่นๆกับพ่อ แต่พ่อไม่ยอมเลย ผ่านไปพอซักกลางเดือนตุลา สุดท้ายพ่อก็บอกว่าทำอะไรก็ทำแต่อย่าให้เดือดร้อน
จากนั้นหลังมิซซาวันอาทิตย์เสร็จ พี่สาวคนเดิมกับพี่ที่เป็นครูคำสอนด้วย (รู้จักกันนานหลายปีแล้ว) ก็พาเราไปคุยกับคุณพ่อ แกพูดว่า พ่อแม่ยินยอมแล้วหรือยัง? ตัดสินใจดีแล้วหรือ? พ่อล้างบาปให้ทันทีไม่ได้นะ ให้เราเรียนคำสอนพร้อมกับเด็กๆ ไปก่อน ให้รู้ถึงความเชื่อของเราคาธอลิก ถึงเวลาค่อยตัดสินใจอีกที ถ้าความเชื่อของลูกเข้มแข็ง เวลานั้นพ่อจะล้างบาปให้
เราเริ่มเรียนคำสอนตอนกลางพฤศจิ หลังจากที่สอบรอบรับตรงมข.ผ่านไปแล้ว ไปร่วมมิซซาทุกครั้งที่มีโอกาส จนช่วงต้นปีนี้ พี่ครูคำสอนก็บอกว่าตอนปลายเดือนกุมภาจะมีรับศีลมหาสนิทครั้งแรกกับศีลกำลังที่ฉลองวัดนิรมัย อยากให้เราล้างบาปก่อนแล้วจะได้ไปรับศีลพร้อมกับเด็กคนอื่นๆเลย (เพราะเราอายุเยอะแล้ว ซะที่ไหน) จะได้ไปเรียนต่อมหาลัยเลย พี่ครูคำสอนก็คุยเรื่องนี้กับคุณพ่อ(ตอนนั้นเราอยู่ห่างไม่กี่เมตรเอง ) คุณพ่อก็พูดว่าถ้าความเชื่อของเขาเข้มแข็งก็ไม่มีปัญหา
หลังมิซซาวันที่17 เด็กศีลมหาสนิทรอเตรียมแก้บาปครั้งแรก เราก็อยู่กับพวกเด็กๆ คุณพ่อเดินมาถามว่าใจพร้อม(ล้างบาป)หรือยัง ถ้าพร้อมแล้ววันนี้พ่อจะล้างบาปให้ เราก็รีบตกลง ฮี่ๆ ตอนคุณพ่อเขียนลงทะเบียนล้างบาปของวัดเราตื่นเต้นมากๆ ซักพักแกถามว่าใครเป็นพ่อแม่ทูลหัวล่ะ ไอ้โต้ (น้องชายของพี่สาวคนนั้น ที่พี่สาวจะส่งไปดัดนิสัยที่บ้านเณรเล็กปีหน้า ) บอกว่าแม่ผมครับๆ แล้วก็ได้เรียกเพื่อนไปเรียกแม่อ่อนมา เตรียมดอกไม้สีขาว เทียนสีขาวมาด้วยนะ เราก็ได้ล้างบาปแล้ว เสาร์ต่อมา คุณพ่อก็ให้รับศีลมหาสนิทพร้อมศีลกำลังเลย แอบคิดเหมือนกันว่าเพราะแกเห็นเราวนเวียน(?)อยู่ที่วัดบ่อยๆ ตลอด4ปีที่ย้ายมาประจำที่วัดนี้ อาจจะเห็นความคิดความตั้งใจของเราจริงๆที่มีต่อพระก็ได้ แฮ่
สำหรับเราแล้ว เรารู้สึกรักก่อนเพราะยังไม่รู้ถึงข้อความเชื่อซักเท่าไหร่ เป็นความรู้สึกโหยหาและผูกพัน โดยเริ่มมาจากแม่พระ (อาจเพราะชอบไปปีนถ้ำแม่พระบ่อยๆตอนเด็ก ) พอได้เห็นรูปครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกอบอุ่นดี จนถึงปีเมื่อกี้ที่เรารู้สึกว่ามีหลายปัญหาเหลือเกินทั้งเรื่องสุขภาพ และเรื่องทางใจ..ที่เป็นปัญหามาปีกว่าที่เราผ่านมาได้แล้วเพราะนึกถึงพระอยู่ตลอด ทุกครั้งที่อยู่คนเดียวในโบสถ์ทั้งหลังปัจจุบันและโบสถ์เก่า ได้เห็นรูปปั้นพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขน ได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆ เราจึงตัดสินใจได้ค่ะ
พิมพ์มายาวเลยแฮะ จะมีคนอ่านจบมั้ยหว่า
ปล.เราชอบมาคิดอะไรคนเดียวที่นี้แหละค่ะ http://upic.me/show/44235303
- siritawatss
- โพสต์: 559
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ย. 18, 2012 8:11 pm
- ที่อยู่: อ มะขาม จ จันทบุรี
- ติดต่อ:
ขอเเสดงความยินดีด้วยนะครับ น้องBeorhtast ขอพระเจ้าอวยพรครับ
-
- โพสต์: 9
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 02, 2011 8:18 pm
- ที่อยู่: Lucia_looktao_retrorian@hotmail.com
ตอนแรกเริ่มจากที่ตอนม.๑ รู้จักเพื่อนในห้องคนนึง(ตอนนี้สนิทกันมากๆๆๆๆเป็นเพื่อนรักกันเลย ) ที่เป็นคาทอลิกค่ะ ทีนี้ถามเค้าว่าเป็นคริสเตียนรึเปล่า เค้าก็บอกว่าเค้าไม่ได้เป็นคริสเตียนแต่เค้าก็นับถือศาสนาคริสต์คาทอลิก ไอเราก็งงว่าทำไมนับถือศาสนาคริสต์ เป็นคาทอลิก แต่ไม่ได้เป็นคริสเตียน
พอตกเย็นกลับจากโรงเรียนก็กลับบ้านไปเปิดเน็ตหาเลยว่า คริสเตียนคืออะไร คาทอลิกคืออะไร แล้วก็ศึกษามาเรื่อยๆๆๆๆ จนศรัทธาค่ะ
แล้วก็เริ่มเข้าโบสถ์ครั้งแรกตอนปิดเทอมจะขึ้นม.๒หรือว่า ม.๓ (ไม่แน่ใจค่ะ) ที่ วัดพระกุมารเยซู กม.๘ พอเปิดเทอมก็กลับสุราษฎร์ (เค้าเป็นเด็กสุราษฎร์ ) แล้วก็ไม่ได้เข้าโบสถ์เลย ๔ เดือน (ก็เทอมนึงเลยค่ะ) พอปิดเทอมกลาง ขึ้น กทม.อีก ก็เข้าที่ วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ ลาดพร้าว ๑๒๔ เปิดเทอมลงมาสุราษฎร์อีกครั้งนี้แหละค่ะที่ได้เข้าโบสถ์ใกล้บ้านซักที ก็คือ อาสนวิหารราฟาแอลค่ะ (เข้าตอนยังเป็นอาสนวิหารหลังเก่าเลย) เข้าโบสถ์นี้ระยะนึงได้ก็ขอเรียนคำสอน แล้วก็รอเรียนคำสอนปีนึง(ช่วงนั้นใกล้เปิดอาสนวิหารหลังใหม่พอดีทั้งคุณพ่อทั้งครูคำสอนก็ไม่ว่างค่ะเลยรอไปก่อน) จนตอนนี้กำลังจะเริ่มเรียนแล้วค่ะ น่าจะอาทิตย์นี้ไม่ก็อาทิตย์หน้าค่ะ
ปล.จริงๆบอกแม่ตั้งแต่แรกที่แน่ใจว่าศาสนาคริสต์นี่แหละใช่เลย แม่ก็ไม่ว่าค่ะ บางครั้งก็ไปโบสถ์ด้วย วันคริสต์มาสมิสซาเที่ยงคืนแม่ก็พาไปค่ะ (ทั้งที่บ้านกับโบสถ์ห่างกันแบบขับรถชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะถึงโบสถ์ค่ะ) ไม่มีใครขัดแถมสนับสนุน ๕๕๕๕
...............พระเจ้าอวยพรคร้าบบบ
พอตกเย็นกลับจากโรงเรียนก็กลับบ้านไปเปิดเน็ตหาเลยว่า คริสเตียนคืออะไร คาทอลิกคืออะไร แล้วก็ศึกษามาเรื่อยๆๆๆๆ จนศรัทธาค่ะ
แล้วก็เริ่มเข้าโบสถ์ครั้งแรกตอนปิดเทอมจะขึ้นม.๒หรือว่า ม.๓ (ไม่แน่ใจค่ะ) ที่ วัดพระกุมารเยซู กม.๘ พอเปิดเทอมก็กลับสุราษฎร์ (เค้าเป็นเด็กสุราษฎร์ ) แล้วก็ไม่ได้เข้าโบสถ์เลย ๔ เดือน (ก็เทอมนึงเลยค่ะ) พอปิดเทอมกลาง ขึ้น กทม.อีก ก็เข้าที่ วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ ลาดพร้าว ๑๒๔ เปิดเทอมลงมาสุราษฎร์อีกครั้งนี้แหละค่ะที่ได้เข้าโบสถ์ใกล้บ้านซักที ก็คือ อาสนวิหารราฟาแอลค่ะ (เข้าตอนยังเป็นอาสนวิหารหลังเก่าเลย) เข้าโบสถ์นี้ระยะนึงได้ก็ขอเรียนคำสอน แล้วก็รอเรียนคำสอนปีนึง(ช่วงนั้นใกล้เปิดอาสนวิหารหลังใหม่พอดีทั้งคุณพ่อทั้งครูคำสอนก็ไม่ว่างค่ะเลยรอไปก่อน) จนตอนนี้กำลังจะเริ่มเรียนแล้วค่ะ น่าจะอาทิตย์นี้ไม่ก็อาทิตย์หน้าค่ะ
ปล.จริงๆบอกแม่ตั้งแต่แรกที่แน่ใจว่าศาสนาคริสต์นี่แหละใช่เลย แม่ก็ไม่ว่าค่ะ บางครั้งก็ไปโบสถ์ด้วย วันคริสต์มาสมิสซาเที่ยงคืนแม่ก็พาไปค่ะ (ทั้งที่บ้านกับโบสถ์ห่างกันแบบขับรถชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะถึงโบสถ์ค่ะ) ไม่มีใครขัดแถมสนับสนุน ๕๕๕๕
...............พระเจ้าอวยพรคร้าบบบ
- siritawatss
- โพสต์: 559
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ย. 18, 2012 8:11 pm
- ที่อยู่: อ มะขาม จ จันทบุรี
- ติดต่อ:
ยินดีกับคุณ Lucia_LookTao_RT ด้วยครับ วันที่รอมาถึงเเล้วนะครับ ขอให้เรียนสำเร็จเป็นลูกพระองค์ให้ได้ครับ ขอให้พระเจ้าอวยพรครับ
-
- โพสต์: 9
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 02, 2011 8:18 pm
- ที่อยู่: Lucia_looktao_retrorian@hotmail.com
ขอบคุณค่ะ พระเจ้าอวยพรนะคะsiritawatss เขียน:ยินดีกับคุณ Lucia_LookTao_RT ด้วยครับ วันที่รอมาถึงเเล้วนะครับ ขอให้เรียนสำเร็จเป็นลูกพระองค์ให้ได้ครับ ขอให้พระเจ้าอวยพรครับ
ผมพึ่งเปลี่ยนมานับถือพระเจ้าขณะนี้กำลังเรียนคำสอนอยู่แต่ก่อนผมไม่ชอบพระเจ้าผมเป็นพุทธมาก่อนแล้วก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเกี่ยวกับการนับถือศาสนาพุทธของผม ผมเกิดทเลาะกับแม่เรื่องศาสนาพุทธมันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดผมทนไม่ไหวและออกจากศาสนาพุทธ ตอนนั้นผมรู้สึกขาดที่พึงทางจิตใจมากและทันใดนั้น พระเจ้าก็เข้ามาดลใจให้ผมไปอยู่กับพระเจ้า
ผมเป็นคริสต์เพราะพระเจ้ามาดลใจให้ไปอยู่กับพระเจ้าและเดี๋ยวนี้ชีวิตการเป็นอยู่ของผมดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ผมเป็นคริสต์เพราะพระเจ้ามาดลใจให้ไปอยู่กับพระเจ้าและเดี๋ยวนี้ชีวิตการเป็นอยู่ของผมดีขึ้นกว่าเดิมมาก
พระเจ้าได้เลือกสรรเราทั้งหลายก่อนวางรากสร้างโลกเมจิ เขียน:ของเมจิตั้งเเต่เกรด4,5เเล้วค่ะจนจะ6เเล้ว มันเป็นอะไรที่ปุ๊บปับเหมือนพี่ซันเห็นคนอื่นได้เข้าโบสถ์เราก็อยากลองบ้างเลยเเอบเข้าวัดน้อยประจำจนรู้สึกว่าพระเรียกเราน่ะ เลยเชื่อมาถึงทุกวันนี้ค่ะ
ให้เป็นบุตรแห่งสันติสุข
-
- โพสต์: 119
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 5:37 pm
เอาตรงๆไหมคะ ตอนแรกหนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระเจ้าคืออะไร แต่เมื่อปีที่แล้ววันคริสต์มาส มีคนข้างบ้้านพาไปโบสน์ หนนูก็ไม่่ได้สนใจอะไร ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าโบสน์รูปร่างเป็นยังไง เค้าพูดอะไรของเค้าไม่รุ้ แล้วเค้าก็บอกว่า พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา จากนั้นหนนูก็ชุกคิดทันทีเลยว่ามันคืออะไร หลงจากนั้นน้องก้อเอาการ์ตูนมาให้อน เกี่ยวกับพระเมสิยาห์ พออ่านจบหนูก็คิดว่า และตั้งใจว่าหนูจะเปลี่ยนเป็นคริสต์คาทอลิกให้ได้ จากนั้นหนูก็บอกแม่ว่าอยากเปลี่ยนเป็นคริสต์แมาก็บอกว่าเป็นพุทธดีอยุ่แล้ว หนูก็ไม่ได้พูดอะไร พอดีว่าหนูห้อยเหรียญพระแม่อย มีอยู่คืนนึงที่น้องหนูร้องกลางดึก เหมือนเห็นผีอะไรประมาณนั้นอ่ะคะ หนูตื่นมาก็เลยบอกว่า โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ พระแม่คุ้มครองนะน้องพี่ เงียบซะ พระแม่คุ้มครอง จากนั้นน้องหนนูก็เงียบไปเลย หนูงี้ยิ่งมีความศรัธทรเพิ่มขึ้นไปอีกแน่ะ แม้ว่าหนูจะไม่ได้มีกระแสเรียก แต่แค่สนใจในคริสตชน หนูก็ถือแล้วว่ามันคือกระแสเรียกคะ