ประสบการณ์เฉียดตายเปิดเผยความลับจากปรโลก near-death.com

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
sansrepos
โพสต์: 460
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 6:23 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2013 3:44 pm

ผมได้รู้จักกับอาจารย์จิตแพทย์ท่านหนึ่งที่นับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรญาณ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและหลักศาสนากันพอสมควร เลยได้รู้ว่าศาสนาพุทธแบบทิเบตที่เรียกว่าวัชรญาณนี่มีคำสอนและความเชื่อที่คล้ายคริสตศาสนาไม่น้อยเลยครับ

มีคำสอนเกี่ยวกับพระอาทิพุทธซึ่งมีลักษณะคล้ายกับพระเจ้าในความเชื่อของคริสตชนมาก คือเป็นองค์ความรัก มีอำนาจไม่จำกัด ดำรงอยู่เหนือกาลเวลา และไม่มีใครสร้างหรือให้กำเนิดพระองค์

อ.หมอทำการรักษาผู้ป่วยโดยใช้การสะกดจิตเพื่อให้ผู้ป่วยค้นหาปมฝังใจที่อาจเป็นสาเหตุของปัญหาทางจิตหรือความทุกข์ทางใจ ตลอดจนความกลัวที่หาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งบางครั้งปมในอดีตนั้นเกิดจากประสบการณ์ในชาติภพก่อน อ.ได้พูดให้ผมฟังว่า ชีวิตหลังความตายนั้นไม่ได้มีศาสนาแบบเดียวกับที่เราเชื่อกันเสียทีเดียว และยังบอกอีกว่าแม้คริสตศาสนาเองก็เคยมีความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดแต่ความเชื่อแนวนี้ถูกประกาศว่าเป็นความเชื่อนอกรีตและถูกแบนไปตั้งแต่สมัยต้นยุคกลาง

ผมฟังแล้วเกิดความสนใจเลยเข้าไปหาความรู้ทาง internet จนได้มาเจอเวบนี้เข้าครับคือ near-death.com ซึ่งเจ้าของเวบได้ทำการรวบรวมข้อมูลที่มีการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์เฉียดตายปรากฏว่าข้อมูลจากการสัมภาษณ์ออกมาคล้ายๆกันทั้งที่เก็บจากคนที่นับถือศาสนาต่างกันหรือแม้แต่คนที่ไม่มีศาสนาก็ด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลังความตายที่สรุปมาได้นั้นไม่ได้ตรงกับความเชื่อคาทอลิกของเราทั้งหมดแต่ก็มีหลายอย่างที่ใกล้เคียงครับ
sansrepos
โพสต์: 460
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 6:23 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2013 3:51 pm

ข้อมูลจากการสัมภาษณ์หลายตัวอย่างได้บอกตรงกันว่าพระเจ้าสูงสุดมีพระองค์เดียวเหมือนกับในความเชื่อของศาสนาเอกเทวนิยมทั้งหลาย พระองค์มิได้ตัดสินผู้ใดเหมือนกับศาลตัดสิน แต่ทรงให้ผู้ตายเห็นภาพชีวิตของตนทั้งหมดแบบรีวิวเพื่อสรุปบุญบาปและบทเรียนชีวิตที่ได้จากการมาเกิดเป็นมนุษย์

หลักคำสอนข้อความเชื่อของศาสนาที่คนๆนั้นนับถือไม่ใช่ประเด็นหลักที่พระเจ้าทรงให้ความสำคัญ สิ่งที่ทรงให้ความสำคัญหรือใช้ประเมินมนุษย์เป็นหลักคือความรักที่ไม่มีเงื่อนไขหรือความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว การทำผิดต่อหลักความรักคือการล่วงละเมิดหรือเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยความเห็นแก่ตัวรวมถึงการเพิกเฉยไม่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนหรือลำบากกว่าเราทั้งที่เราอยู่ในวิสัยที่จะช่วยได้โดยไม่ลำบากเกินไปอีกด้วย (คล้ายกับบัญญัติของพระเยซูเจ้า 2 ข้อหลัก และนิทานเปรียบเทียบเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส)
sansrepos
โพสต์: 460
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 6:23 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2013 3:59 pm

ประสบการณ์เฉียดตาย near death experiences ย่อว่า NDEs คือประสบการณ์ทางจิตของผู้ที่ป่วยหนักหรือได้รับบาดเจ็บร่อแร่หมดสติไปเป็นเวลานานแล้วกลับฟื้นมาได้

ข้อมูลจาก NDEs เกี่ยวกับสวรรค์และนรกซึ่งเป็นสภาวะของชีวิตหลังความตายนั้นเท่าที่รวบรวมมาก็มีส่วนที่คล้ายกับคำสอนทั้งคริสตศาสนาและพุทธศาสนาด้วย

มนุษย์ทุกคนรวมทั้งมนุษย์ในดาวอื่นๆในจักรวาลล้วนถูกสร้างมาจากพระเจ้าสูงสุดพระองค์เดียวกัน การมาเกิดในโลกมนุษย์มีจุดประสงค์เพื่อเรียนรู้ในเรื่องความรักและการให้อภัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

เกี่ยวกับเรื่องบาปกำเนิดผมยังได้ข้อมูลไม่กระจ่างพอแต่พอสรุปได้ว่ามนุษย์เรามีมาตรฐานทางจิตวิญญาณที่ต่ำกว่าระดับของพระเจ้าซึ่งเป็นระดับที่สมบูรณ์แบบเราทุกคนอยากได้รับความสุขนิรันดรโดยการอยู่กับพระเจ้าในลักษณะที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราต้องพยายามพัฒนาระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่มีแต่ความรักแบบไร้เงื่อนไขเช่นเดียวกับพระเจ้าเราจึงจะสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ได้
sansrepos
โพสต์: 460
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 6:23 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2013 4:30 pm

พูดถึงเรื่องของปิศาจหรือซาตานนั้นข้อมูลจาก NDEs บอกเราการสอนเรื่องซาตานหรือพญามารในความเชื่อศาสนาของโลกตะวันออกนั้นเหมือนเป็นการหาแพะรับบาปมากกว่าที่จะมีความหมายว่ามีปิศาจหรือซาตานจริงๆ ปิศาจในความเข้าใจจาก NDEs จริงๆแล้วก็คือความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาหรือตัวตนแบบผิดๆนำมาซึ่งความเห็นแก่ตัวและการปฏิบัติที่ตกไปจากมาตรฐานความรักไร้เงื่อนไขแบบพระเจ้า (คงเทียบได้กับบาปจองหองนั่นแหละครับ)

การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเรียนรู้เพื่อพัฒนาทางจิตวิญญาณ เพื่อชดใช้สิ่งที่ได้ทำและเป็นการละเมิดผู้อื่น และเพื่อการช่วยเหลือผู้อื่นด้วย

ผู้ทำการรวบรวมข้อมูล NDEs ได้ศึกษาความรู้จากพระธรรมพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ และ หนังสือรวบรวมคำสอนที่มิได้ถูกบรรจุเข้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เช่นพระวรสารนักบุญโทมัส คำสอนของปิตาจารย์บางท่านที่ถูกพระศาสนจักรในยุคแรกประกาศแบนข้อหานอกรีต

สรุปรวมๆผู้ทำการศึกษาเชื่อว่าพระเยซูเจ้ามิได้ทรงปฏิเสธเรื่องการกลับชาติมาเกิด และได้ยกตัวอย่างจากพระวรสารนักบุญมัทธิวบทที่ 17 ว่าพระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงนักบุญยอห์นบัปติสต์ว่าเป็นคนเดียวกันกับประกาศกเอลียาห์อีกด้วย

ปิตาจารย์ที่สอนผิดไปจากความเชื่อที่พระศาสนจักรยอมรับและถูกประกาศแบนซึ่งมีชื่อเสียงโดดเด่นได้แก่ Arius และ Origen ผมเองไม่ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้ลึกเท่าไหร่ถ้ามีข้อมูลความรู้เพิ่มเติมอาจจะมาเล่าสู่กันฟังอีกทีนะครับ พระวรสารนักบุญโทมัสผมลองอ่านดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันครับ
sansrepos
โพสต์: 460
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 6:23 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2013 4:42 pm

เกี่ยวกับคำอธิบายเกี่ยวกับนรกในความเข้าใจของผู้ผ่าน NDEs บอกเราว่าพระเจ้าทรงรักเมตตามนุษย์อย่างมาก การลงโทษในนรกนิรันดรนั้นไม่มี หากแต่สภาวะของนรกจากคำบอกเล่าของ NDEs ทั้งหลายมีลักษณะคล้ายๆกับไฟชำระที่มีเขียนไว้ในหนังสือ "ความลับน่าอัศจรรย์ของวิญญาณในไฟชำระ" เสียมากกว่า ประมาณว่าไม่มีการลงโทษนิรันดรแต่บางครั้งผู้ที่ทำบาปหนักและไม่สำนึกผิดก่อนตายอาจจะต้องอยู่ในสภาวะทรมาน (เค้าใช้คำว่า outer darkness) นานมากเสียจนยากจะบรรยายได้ ในความเชื่อเรื่องภพภูมิของทางพุทธบอกว่านรกบางขุมนี่ต้องใช้โทษกันนานเป็นกัปกัลป์อะไรประมาณนั้น

ข้อมูลจาก NDEs ได้บอกว่าหลังจากจิตวิญญาณออกจากร่างกายและเดินทางเข้าสู่ปรโลกแล้วความทรงจำก่อนจะมาเกิดในชีวิตชาติภพล่าสุดที่เพิ่งจากมาก็จะฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว บางคนอาจจะสับสนเล็กน้อยว่าชีวิตหลังความตายไม่เหมือนกับความเชื่อในศาสนาของตนแต่ไม่นานนักก็ถึงบางอ้อและก็หายงง เหมือนกับว่าตอนเรามาเกิดเป็นมนุษย์นั้นเราหลับอยู่ แต่โลกมนุษย์ที่เรามาเกิดนั้นเป็นเพียงความฝัน เป็นโลกแห่งการทดลอง เป็นโลกชั่วคราว และชั่วชีวิตในโลกก็สั้นมากเมื่อเทียบกับนิรันดรภาพในชีวิตหลังความตาย

เค้าบอกด้วยในชีวิตหลังความตายนั้นไม่มีกาลเวลานะครับ อยู่ตรงนั้นเราสามารถเห็นอดีตตั้งแต่ก่อนพระเจ้าทรงสร้างโลกและเห็นไปได้ถึงวันสิ้นโลกเลยด้วย
sansrepos
โพสต์: 460
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 6:23 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2013 4:56 pm

ใครอ่านที่ผมพยายามสรุปมาจากการแปลถึงตรงนี้คงมีคำถามนะครับว่าแล้วทำไมคนทั่วไปจึงระลึกชาติไม่ได้ถ้าชาติก่อนมีจริง และการทะลึ่งไปรู้ว่าสิงเหล่านี้มีจริง(ทั้งที่คริสตศาสนาและศาสนาอื่นๆบางศาสนาก็ไม่เชื่อ) จะมีประโยชน์อะไร

ข้อมูลจาก NDEs บอกเราว่า เหตุการณ์ที่เกิดกับชีวิตของเราไม่มีอะไรบังเอิญ ไม่ว่าจะมองแบบพุทธว่าเป็นกรรมบันดาล หรือใช้ความเชื่ออธิบายว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เราก็ตาม

มันมีทั้ง destinies & free wills ทั้งสองอย่างอยู่รวมกัน

การตัดสินใจกลับมาเกิดแต่ละครั้งเป็นความสมัครใจของเราเองพระเจ้ามิได้ทรงบังคับ เราอยากจะอยู่ในสวรรค์นิรันดรไปเรื่อยๆก็ได้ หากแต่วิญญาณส่วนมากเมื่ออยู่ในสวรรค์ได้เห็นพระเจ้าก็มีความต้องการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า (อันนี้ถ้าอธิบายแบบคริสต์เราคงไม่ได้ แต่ถ้าอธิบายแบบพุทธอาจจะง่ายกว่า เหมือนบรรดาเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นกาม ชั้นพรหม หรือแดนสุขาวดีอยู่แล้ว แต่ที่มาเกิดเป็นมนุษย์อีกเพื่อสร้างบารมี เพื่อยกระดับทางจิตวิญญาณของตนเอง เพื่อไต่ระดับขึ้นสู่สภาวะสูงสุดคือนิพพานนั่นเอง แต่ไม่ใช่ต้องลงมาเกิดเพราะว่าบุญหมด อายุขัยหมด อย่างที่มีการสอนกัน)

การมาเกิดแต่ละครั้งนั้นมีกฎว่าทุกคนจะต้องลืมความรู้เก่าและประสบการณ์ที่สะสมมาทั้งหมด เพื่อที่ว่าการไปเรียนรู้ประสบการณ์จะได้ทำไปโดย free will ไม่งั้นเกิดนำความรู้เก่าติดมาด้วย หรือสามารถหยั่งรู้อนาคตกันได้หมด ทีนี้ก็จะไม่ยอมรับชะตากรรมแย่ๆหรือประสบการณ์บางอย่างที่เป็นประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงต้องการให้เราได้เรียนรู้หรือเป็นกรรมที่ต้องชดใช้)

แม้แต่ผู้ที่มีประสบการณ์เฉียดตายเมื่อฟื้นขึ้นมาก็จำเหตุการณ์ที่ได้ไปเจอได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความรู้บางเรื่องเช่นรู้วันตายจริงๆของตนเองก็ต้องลืม ไม่งั้ันเดี๋ยวฟื้นขึ้นมารู้ว่าพระเจ้าให้อยู่อีกนานก็อาจจจะใช้ชีวิตประมาทแล้วมาเร่งทำดีตอนใกล้ตายก็เป็นได้
sansrepos
โพสต์: 460
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 6:23 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2013 5:19 pm

ในฐานะคาทอลิกเราเชื่อว่าพระศาสนจักรของเราตัดสินใจกระทำอะไรและจะเชื่ออะไรก็ขอการนำโดยพระจิตเจ้าเสมอ แต่ประวัติศาสตร์ก็สอนเราเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตไม่ว่าจะเป็นการทำสงครามศาสนาและการเบียดเบียนนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อว่าโลกแบน การสังคายนาวาติกันที่ 2 ก็ได้เปลี่ยนแปลงข้อปฏิบัติของศาสนาคาทอลิกไปไม่น้อย

ความคิดเห็นส่วนตัวผมคิดว่าข้อมูลจาก NDEs โดยเฉพาะเรื่องการกลับมาเกิดอีกนั้นถ้าเกิดมีจริงก็ไม่ได้ขัดอะไรกับสิ่งที่ผมเชื่อมากมายเพราะอย่างน้อยเค้ายืนยันว่าพระเจ้าคือองค์ความรักและผู้ให้กำเนิดชีวิต พระเจ้าทรงยุติธรรม กฎแห่งกรรมเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ แต่ทรงให้มีกฎแห่งการให้อภัยซึ่งทรงวางไว้เหนือกว่ากฎแห่งกรรม ถ้าพระเจ้าทรงแนะนำให้ผมมาเกิดอีกเพื่อเรียนรู้และเพื่อช่วยเหลือวิญญาณอื่นๆผมก็ยินดี และการที่เราไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดก็มีข้อดีเพราะจะทำให้เราไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ยิ่งเราเชื่อว่าเราเกิดและตายเพียงครั้งเดียวแก้ตัวอีกไม่ได้ เรายิ่งต้องเลี่ยงการทำบาป และแสดงความรักต่อเพื่อนพี่น้องของเราอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แล้วถ้าพระเจ้าเสนอโอกาสอะไรให้กับเราในชีวิตหน้าเราก็วางใจพระองค์ได้อย่างแน่นอน

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5974
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2013 8:02 pm

มีศาสนาที่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ มาใช้กรรมอะไรต่างๆ
แต่ความเชื่อเราคาทอลิกไม่เชื่อเช่นนั้น เกิดหนเดียว ตายหนเดียว เท่านั้น ชีวิตหลังความตาย
ทำดีทำชั่ว อยู่ในพระเมตตาของพระองค์
.....ขอบคุณคุณหมอที่เอามาแบ่งปันค่ะ ความเชื่อของบางศาสนาเรายังไม่รู้ ไม่เข้าใจ
ต้องเปิดใจ ศึกษาหาความรู้เพิ่ม บางครั้งอาจจะมีอะไรที่คล้ายๆกัน อย่างนี้เป็นต้น
เคยมีข่าวที่ต่างประเทศคนไข้ไปรักษาแล้วถูกสะกดจิตรักษา คนไข้ระลึกชาติได้กลับไป
หลายชาติถึงอียิป ฟาโรห์ โน่น แปลกดี
:s015:
ภาพประจำตัวสมาชิก
siritawatss
โพสต์: 559
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ย. 18, 2012 8:11 pm
ที่อยู่: อ มะขาม จ จันทบุรี
ติดต่อ:

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2013 10:50 pm

:s007: เรื่องที่นำมาเล่าน่าสนใจดีครับ เเต่คงต้องใช้เวลาศึกษาเปิดใจอีกนาน ส่วนตัวผมคิดว่า

ผมคงไม่เเบ่งความเชื่อที่มีน้อยนิดอยู่เเล้วของผม ไปศึกษาความเชื่ออย่างอื่นอีก เพราะมันจะทำให้

ความเชื่อที่มีน้อยนิดของผมยิ่งน้อยมากกว่าเดิมเข้าไปอีก คราวนี้จะเเย่ไปกันใหญ่เลย ตอนนี้ก็จะ

เอาตัวไม่รอดอยู่เเล้ว ฮ่าๆ ผมคงพยายามพัฒนาความเชื่อในเเบบคาทอลิกไปต่อให้มากที่สุด น่าจะ

เป็นประโยชน์ต่อตัวเองมากกว่าครับ ความคิดเห็นส่วนตั้วส่วนตัวของผมครับ ผมเลือกหลับหูหลับตารักเดียวใจเดียวน่าจะไปได้ไกลกว่ารักเเบบหลายใจครับ เเค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร พ.ย. 05, 2013 3:29 pm

คริสต์ไม่เคยมีความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน และไม่เคยโดนแบนในยุคกลางอะไรครับ มีแต่คนศาสนาอื่นชอบพูดแบบนี้ ราวกับรู้ประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์ดีกว่าคนคริสต์เอง
sdjakapong
โพสต์: 164
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 24, 2011 2:17 pm

อังคาร พ.ย. 05, 2013 10:46 pm

ผมก็เคยได้อ่านประวัติศาสตร์เทียมเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ที่ชาวพุทธชอบหยิบยกมาใน Pantip อยู่บ่อยๆครับ อย่างเรื่องที่ว่าพระเยซูเคยบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา แต่โดนท่านผู้หนึ่งตีแผ่ความมั่วเป็นชุดๆจนหมดสภาพความน่าเชื่อถือไปเลย ลองอ่านดูครับ

http://pantip.com/topic/30715925
sdjakapong
โพสต์: 164
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 24, 2011 2:17 pm

อังคาร พ.ย. 05, 2013 11:15 pm

ลองไปอ่านสิ่งที่ชาวมุสลิมวิเคราะห์ความเชื่อในศาสนาพุทธให้ดูสิครับ ผมล่ะทึ่งในความรู้ของเขามากๆเลย เขาศึกษาศาสนาอื่นไม่ได้ศึกษาแบบผิวเผินนะครับ ถ้าเขียนได้ขนาดนี่ก็คาดได้ว่าความรู้ของมุสลิมท่านนั้นแน่นพอควร เพราะไม่มีชาวพุทธท่านไหนแย้งเขาได้ทุกจุดในประเด็นที่เขานำมาวิเคราะห์กัน
http://pantip.com/topic/30541869
sdjakapong
โพสต์: 164
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 24, 2011 2:17 pm

พุธ พ.ย. 06, 2013 9:23 pm

มีข่าวลืออ้างว่า Origen มีความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่ในงานเขียนของ Origen เองกลับเขียนต่อต้านแนวความเชื่อการเวียนว่ายตายเกิดอย่างชัดเจนครับ

In Greco-Roman thought, the concept of metempsychosis disappeared with the rise of Early Christianity, reincarnation being incompatible with the Christian core doctrine of salvation of the faithful after death. It has been suggested that some of the early Church Fathers, especially Origenstill entertained a belief in the possibility of reincarnation, but evidence is tenuous, and the writings of Origen as they have come down to us speak explicitly against it.
http://en.wikipedia.org/wiki/Reincarnation

งานเขียนอะไรที่แสดงให้เห็นว่า Origen ปฏิเสธความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด

^ The book Reincarnation in Christianity, by thetheosophist Geddes MacGregor (1978) asserted that Origen believed in reincarnation. MacGregor is convinced that Origen believed in and taught about reincarnation but that his texts written about the subject have been destroyed. He admits that there is no extant proof for that position. The allegation was also repeated by Shirley MacLaine in her book Out On a Limb. Origen does discuss the concept of transmigration (metensomatosis) from Greek philosophy, but it is repeatedly stated that this concept is not a part of the Christian teaching or scripture in his Comment on the Gospel of Matthew (which survives only in a 6th-century Latin translatio): "In this place [when Jesus said Elijah was come and referred to John the Baptist] it does not appear to me that by Elijah the soul is spoken of, lest I fall into the doctrine oftransmigration, which is foreign to the Church of God, and not handed down by the apostles, nor anywhere set forth in the scriptures"

http://en.wikipedia.org/wiki/Reincarnation


เรามาดูนะครับว่า Origen ให้ความเห็นว่าอย่างไรกันบ้าง

Origen"[Scripture says] ‘And they asked him, "What then? Are you Elijah?" and he said, "I am not"’ [John 1:21]. No one can fail to remember in this connection what Jesus says of John: ‘If you will receive it, this is Elijah, who is to come’ [Matt. 11:14]. How then does John come to say to those who ask him, ‘Are you Elijah?’—‘I am not’? . . . One might say that John did not know that he was Elijah. This will be the explanation of those who find in our passage a support for their doctrine of reincarnation, as if the soul clothed itself in a fresh body and did not quite remember its former lives. . . . [H]owever, a churchman, who repudiates the doctrine of reincarnation as a false one and does not admit that the soul of John was ever Elijah, may appeal to the above-quoted words of the angel, and point out that it is not the soul of Elijah that is spoken of at John’s birth, but the spirit and power of Elijah" (Commentary on John 6:7 [A.D. 229]). "As for the spirits of the prophets, these are given to them by God and are spoken of as being in a manner their property [slaves], as ‘The spirits of the prophets are subject to the prophets’ [1 Cor. 14:32] and ‘The spirit of Elijah rested upon Elisha’ [2 Kgs. 2:15]. Thus, it is said, there is nothing absurd in supposing that John, ‘in the spirit and power of Elijah,’ turned the hearts of the fathers to the children and that it was on account of this spirit that he was called ‘Elijah who is to come’" (ibid.). "If the doctrine [of reincarnation] was widely current, ought not John to have hesitated to pronounce upon it, lest his soul had actually been in Elijah? And here our churchman will appeal to history, and will bid his antagonists [to] ask experts of the secret doctrines of the Hebrews if they do really entertain such a belief. For if it should appear that they do not, then the argument based on that supposition is shown to be quite baseless" (ibid.). "Someone might say, however, that Herod and some of those of the people held the false dogma of the transmigration of souls into bodies, in consequence of which they thought that the former John had appeared again by a fresh birth, and had come from the dead into life as Jesus. But the time between the birth of John and the birth of Jesus, which was not more than six months, does not permit this false opinion to be considered credible. And perhaps rather some such idea as this was in the mind of Herod, that the powers which worked in John had passed over to Jesus, in consequence of which he was thought by the people to be John the Baptist. And one might use the following line of argument: Just as because the spirit and the power of Elijah, and not because of his soul, it is said about John, ‘This is Elijah who is to come’ [Matt. 11:14] . . . so Herod thought that the powers in John’s case worked in him works of baptism and teaching—for John did not do one miracle [John 10:41]—but in Jesus [they worked] miraculous portents" (Commentary on Matthew 10:20 [A.D. 248]). "Now the Canaanite woman, having come, worshipped Jesus as God, saying, ‘Lord, help me,’ but he answered and said, ‘It is not possible to take the children’s bread and cast it to the little dogs.’ . . . [O]thers, then, who are strangers to the doctrine of the Church, assume that souls pass from the bodies of men into the bodies of dogs, according to their varying degree of wickedness; but we . . . do not find this at all in the divine Scripture" (ibid., 11:17). "In this place [when Jesus said Elijah was come and referred to John the Baptist] it does not appear to me that by Elijah the soul is spoken of, lest I fall into the doctrine of transmigration, which is foreign to the Church of God, and not handed down by the apostles, nor anywhere set forth in the scriptures" (ibid., 13:1). ... "But if . . . the Greeks, who introduce the doctrine of transmigration, laying down things in harmony with it, do not acknowledge that the world is coming to corruption, it is fitting that when they have looked the scriptures straight in the face which plainly declare that the world will perish, they should either disbelieve them or invent a series of arguments in regard to the interpretation of things concerning the consummation; which even if they wish they will not be able to do" (ibid.). 

http://www.catholic.com/tracts/reincarnation
sdjakapong
โพสต์: 164
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 24, 2011 2:17 pm

พุธ พ.ย. 06, 2013 9:27 pm

เรื่องที่อ้างว่าOrigen เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด และคาทอลิกตัดออกนั้น ก็เป็นเพียงประวัติศาสตร์เทียมที่แต่งบิดเบือนขึ้นเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง.....ก็เท่านั้นครับ
kanya Muang-in
โพสต์: 282
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 25, 2013 4:55 pm

เสาร์ พ.ย. 09, 2013 5:09 pm

::001:: พระเจ้าทรงให้ชีวิตเราเพียงชีวิตเดียว ให้เรารัก เชื่อ และรับใช้พระองค์ จะไม่มีการกลับมาเกิดค่ะ แต่ในพระคัมภีร์ บทวิวรณ์ บอกว่า บรรดานักบุญนิกรเทวา ต่างรอคอย วันที่พระบุตร จะเสด็จกลับมาอีกครั้งเพื่อเค้าเหล่านั้น ที่ได้สละเลือดบริสุทธิ์ จะได้เห็น การพิพากษาและฉลองชัยกับพระองค์ในสวรรค์ อาแมน :s002:
magicgreen
โพสต์: 361
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 08, 2012 8:57 pm

พุธ พ.ย. 13, 2013 7:08 pm

โดยมาก แนวคิดที่ทำให้เรามีความคิดผิดๆเกี่ยวกับข้อคำสอน มักมาจากปีศาจ....
บิดาที่ไหนเมื่อบุตรกลับบ้านแล้วจะปล่อยให้ลูกต้องไปจากบ้านอีก ?
kay-su
โพสต์: 68
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 17, 2012 7:04 am

ศุกร์ พ.ค. 23, 2014 1:59 pm

เคยอ่านเรื่อง ชีวิตแท้ในพระเจ้า ที่พระเยซูมาบอกวาสุลา ไรเดน พระองค์บอกว่า เรามีเพียงชีวิตเดียวค่ะ ลองหาอ่านนะค๊ะ เป็นคำพูดที่พระเจ้าพูดกับพวกเราผ่านทาง วาสุลา เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากๆๆๆ ค่ะ ซาบซึ้งและทำให้เรารู้จักพระเจ้าของเรามากขึ้นทีเดียว ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านนะค๊ะ
เมจิ
โพสต์: 3257
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 22, 2011 6:44 pm

เสาร์ พ.ค. 24, 2014 8:29 am

เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยค่ะ :s007: :s007:
ตอบกลับโพส