"โกรเซีย" สันติภาพและความรัก
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
แม่พระแห่งโกรเซีย
โกรเซีย เป็นเมืองในจังหวัดโกเซนซา แคว้นกาลาเบรีย ประเทศอิตาลี ในเมืองนี้แถบชานเมืองมีวัดโบราณที่ถูกทิ้งร้าง ชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า วัดแม่พระปีเอต้า ตำนานเล่าว่าวัดหลังแรกสร้างโดยพ่อค้าชาวกรีกสามคนที่รอดจากเรืออับปางอาศัยความช่วยเหลือของแม่พระ และเมื่อต้องการมองหาสถานที่ตั้ง ทั้งสามจึงปล่อยให้นกพิราบนำทั้งสามไปจนมาถึงที่นี่ มันก็ได้เกาะอยู่ที่นั่นนานแปดวันจึงไป หลังจากนั้นเมื่อมีการสังคายเตรน คุณพ่อโดมินิกันก็เข้ามาดูแล แต่เมื่อเกิดการปล้น วัดก็ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลากว่าหกสิบปี กระทั้งในปี ค.ศ.1987 พระมารดาก็ทรงประจักษ์มาในวัดนี้แก่เด็กสองคน ณ วัดนี้พิกัดของโกรเซียในแผนที่แคว้นกาลาเบรีย
เมืองโกรเซีย
วัดแม่พระปีเอต้าในขณะนั้น
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
พระมารดาทรงกรรแสง
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1987 ขณะนั้นเป็นเวลาได้ราวสี่โมงเย็น วินเซนโซ ฟุลโลเน วัย 15 ปี และอาร์ตูโร เบราร์ดี เพื่อนของเขาที่กำลังเล่นอยู่ในสนามที่เคยเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์เก่า ก็มีความคิดอยากจะเข้าไปในวัดร้างที่เรียกกันว่าวัดแม่พระปีเอต้า ดังด้วยความอยากรู้อยากเห็นทั้งสองจึงตัดสินใจเข้าไปภายในวัดนั้น ณ ภายในวัด ทั้งสองต่างส่องส่ายสายตาไปทั่วตัววัดที่มีสภาพรกร้างตามกาลเวลา และถูกดึงดูดไปที่พระรูปแม่พระปีเอต้าที่ตั้งอยู่เหนือพระแท่นหลักของวัด
ซึ่งยิ่งพวกเขาเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก็ยิ่งสังเกตว่าพระรูปนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น วินเซนโซจึงตัดสินใจปีนพระแท่นขึ้นไป เพื่อปัดหยากไย่จากพระรูปด้วยผ้าเช็ดหน้าของเขา ขณะปัดไปในใจเขาก็กลัวที่จะเอาผ้าไปเช็ดที่ตรงพระพักตร์ของพระมารดาเจ้า เขาจึงใช้วิธีเป่าจนทำให้ฝุ่นฟุ้งไปทั่ว ดังนั้นเขาจึงจำต้องหยุดเพื่อไล่ฝุ่นที่ฟุ้งนั้น แต่ขณะที่ฝุ่นค่อยๆจางลงนั้นเอง เขาก็เห็นบางสิ่งที่ผิดปกติในพระเนตรของพระมารดา สิ่งผิดปกติที่ทำให้ภายในของเขาบอกทันทีว่าถึงเวลาวิ่งแล้ว และเมื่อพอตั้งหลักได้ เขาจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้ากลับเข้ามาที่วัด ที่ๆเขาทิ้งให้อาร์ตูโรยืนจ้องพระรูปอยู่หน้าพระแท่น เพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฝ่ายอาร์ตูโรก็รีบตอบกลับไปว่า “แม่พระทรงกรรแสง” วินเซนโซเมื่อทราบดังนั้นก็ไม่ปลักใจเชื่อ เขาพยายามอธิบายให้อาร์ตูโรว่าน่าจะเป็น ‘น้ำลายของเขาเอง’ ที่กระเด็นไปติดพระรูปตอนเข้าเป่าฝุ่น อาร์ตูโรจึงส่งสายตาไม่พอใจใส่เขา พร้อมบอกให้เขาขึ้นไปดูเอง
เหตุฉะนี้เพื่อยืนยันสิ่งต่างๆ วินเซนโซจึงตัดสินใจปีนกลับขึ้นไปอีกครั้ง และก็พบว่าพระพักตร์ของพระมารดาเจ้าเต็มไปด้วยน้ำ ในใจของเขาจึงเริ่มคิดได้ทันทีว่า ไม่มีทางแน่ที่เขาจะมีน้ำลายกระเด็นไปได้เยอะขนาดนี้ หรือมีน้ำจากรอยรั่ว เขายังพบว่าบางจุดของดวงพระเนตรนองไปด้วยของเหลว ที่ค่อยๆหยดลงมา เขาจึงลองแตะๆดูและก็พบว่ามันร้อนพอควร และด้วยความประหลาดใจเขาจึงควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดของเหลวนี้ แต่กระนั้นก็ยังปรากฏของเหลวนั้นไหลออกมาต่อ วินเซนโซเล่าถึงเวลานั้นว่า เขารู้สึกกลัวแปลกๆที่บังคับให้เขาต้องคุกเข่าลงและสวดเท่าที่จำได้ เพื่อที่ว่าอาศัยสิ่งเหล่านี้ของเหลวนี้จะหยุดไหล แต่ก็ไร้ผลของเหลวนั้นยังคงไหลอกมาเรื่อยๆ ดังนั้นด้วยความกลัวทั้งสองจึงรีบออกจากวัดเพื่อแจ้งเรื่องนี้แก่ทุกคนที่ได้พบ แต่ก็ก็ไม่มีใครสน มิหนำซ้ำทั้งสองยังถูกดูถูก ทั้งสองจึงเริ่มตระหนักได้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะเล่าเรื่องนี้ ดังนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจจะตรงกลับบ้านก่อนวางแผนว่ากลับมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้และเก็บเรื่องไว้เป็นความลับ
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1987 ขณะนั้นเป็นเวลาได้ราวสี่โมงเย็น วินเซนโซ ฟุลโลเน วัย 15 ปี และอาร์ตูโร เบราร์ดี เพื่อนของเขาที่กำลังเล่นอยู่ในสนามที่เคยเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์เก่า ก็มีความคิดอยากจะเข้าไปในวัดร้างที่เรียกกันว่าวัดแม่พระปีเอต้า ดังด้วยความอยากรู้อยากเห็นทั้งสองจึงตัดสินใจเข้าไปภายในวัดนั้น ณ ภายในวัด ทั้งสองต่างส่องส่ายสายตาไปทั่วตัววัดที่มีสภาพรกร้างตามกาลเวลา และถูกดึงดูดไปที่พระรูปแม่พระปีเอต้าที่ตั้งอยู่เหนือพระแท่นหลักของวัด
ซึ่งยิ่งพวกเขาเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก็ยิ่งสังเกตว่าพระรูปนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น วินเซนโซจึงตัดสินใจปีนพระแท่นขึ้นไป เพื่อปัดหยากไย่จากพระรูปด้วยผ้าเช็ดหน้าของเขา ขณะปัดไปในใจเขาก็กลัวที่จะเอาผ้าไปเช็ดที่ตรงพระพักตร์ของพระมารดาเจ้า เขาจึงใช้วิธีเป่าจนทำให้ฝุ่นฟุ้งไปทั่ว ดังนั้นเขาจึงจำต้องหยุดเพื่อไล่ฝุ่นที่ฟุ้งนั้น แต่ขณะที่ฝุ่นค่อยๆจางลงนั้นเอง เขาก็เห็นบางสิ่งที่ผิดปกติในพระเนตรของพระมารดา สิ่งผิดปกติที่ทำให้ภายในของเขาบอกทันทีว่าถึงเวลาวิ่งแล้ว และเมื่อพอตั้งหลักได้ เขาจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้ากลับเข้ามาที่วัด ที่ๆเขาทิ้งให้อาร์ตูโรยืนจ้องพระรูปอยู่หน้าพระแท่น เพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฝ่ายอาร์ตูโรก็รีบตอบกลับไปว่า “แม่พระทรงกรรแสง” วินเซนโซเมื่อทราบดังนั้นก็ไม่ปลักใจเชื่อ เขาพยายามอธิบายให้อาร์ตูโรว่าน่าจะเป็น ‘น้ำลายของเขาเอง’ ที่กระเด็นไปติดพระรูปตอนเข้าเป่าฝุ่น อาร์ตูโรจึงส่งสายตาไม่พอใจใส่เขา พร้อมบอกให้เขาขึ้นไปดูเอง
เหตุฉะนี้เพื่อยืนยันสิ่งต่างๆ วินเซนโซจึงตัดสินใจปีนกลับขึ้นไปอีกครั้ง และก็พบว่าพระพักตร์ของพระมารดาเจ้าเต็มไปด้วยน้ำ ในใจของเขาจึงเริ่มคิดได้ทันทีว่า ไม่มีทางแน่ที่เขาจะมีน้ำลายกระเด็นไปได้เยอะขนาดนี้ หรือมีน้ำจากรอยรั่ว เขายังพบว่าบางจุดของดวงพระเนตรนองไปด้วยของเหลว ที่ค่อยๆหยดลงมา เขาจึงลองแตะๆดูและก็พบว่ามันร้อนพอควร และด้วยความประหลาดใจเขาจึงควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดของเหลวนี้ แต่กระนั้นก็ยังปรากฏของเหลวนั้นไหลออกมาต่อ วินเซนโซเล่าถึงเวลานั้นว่า เขารู้สึกกลัวแปลกๆที่บังคับให้เขาต้องคุกเข่าลงและสวดเท่าที่จำได้ เพื่อที่ว่าอาศัยสิ่งเหล่านี้ของเหลวนี้จะหยุดไหล แต่ก็ไร้ผลของเหลวนั้นยังคงไหลอกมาเรื่อยๆ ดังนั้นด้วยความกลัวทั้งสองจึงรีบออกจากวัดเพื่อแจ้งเรื่องนี้แก่ทุกคนที่ได้พบ แต่ก็ก็ไม่มีใครสน มิหนำซ้ำทั้งสองยังถูกดูถูก ทั้งสองจึงเริ่มตระหนักได้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะเล่าเรื่องนี้ ดังนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจจะตรงกลับบ้านก่อนวางแผนว่ากลับมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้และเก็บเรื่องไว้เป็นความลับ
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
ฉันพรหมจารีแห่งสันติภาพและอัศจรรย์
25 พฤษภาคม วินเซนโซกลับมาที่วัดอีกครั้ง ทันทีพระรูปก็ตรัสเชื้อเชิญเขาว่า “เข้ามาเถิด” แต่ด้วยควากลัว วินเซนโซจึงไม่ได้เข้าไปใกล้ พระรูปจึงตรัสให้กำลังใจเขาว่า “อย่ากลัวเลย ฉันคือมารดาของเธอ ฉันพรหมจารีแห่งสันติภาพและอัศจรรย์ จงสวดภาวนาเพื่อโลกที่กำลังต้องการคำภาวนา พรุ่งนี้ในเวลาเดียวกัน ฉันปรารถนาให้เธออยู่ที่นี่ คำเตือนต่อมนุษยชาติยังไม่สมบูรณ์” หลังจากนั้นพระนางจึงมอบสาส์นลับแก่เขา
การขัดขวางและการพบกันของสองผู้ถือสาร
เช้าวันอังคารที่ 26 พฤษภาคม เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ไปที่วัดแม่พระปีเอต้า บิดาของเขาจึงได้ไปรับเขาที่โรงเรียน แล้วจับเขาผูกไว้กับเตียงพร้อมล็อคห้องขังเขาไว้ กระทั้งเวลาล่วงผ่านถึงเวลา 18.15 น. วิเซนโซก็ตะโกนเรียกบิดาเพราะเขาหิวน้ำและวอนขอให้ปล่อยเขาไป “คุยกับรูปปั้น” แต่บิดาของเขาก็ยืนกรานปฏิเสธ แต่เมื่อบิดาของเขาจะออกจากห้องนั่นเอง เนื่องจากบิดาของเขาใส่ที่ล็อกไว้ ทำให้เขาปิดประตูไม่ได้
เวลานั้นเองจู่ๆเชือกที่มัดวิเซนโวไว้ก็คลาย เขาจึงรีบวิ่งฝ่าบิดาออกไป กระทั้งมาถึงเส้นทางไปยังวัดแม่พระปีเอต้าได้อย่างที่เขาไม่รู้ตัว เขาวิ่งจนมาถึงที่ประตู เขาก็พบกับอันนา เบียซี วัย 13 ปี ยืนคอยท่าอยู่หน้าวัด เธอเล่าในคืนวันที่ 22 และ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา จู่เธอก็ถูกปลุกกลางดึกโดยเสียงและเมื่อเธอตื่นขึ้นเธอก็เห็นสตรีงามสวมอาภรณ์ขาว ผ้าคาดเอวสีฟ้า ข้างหลังของเธอปรากฏคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายและญาติๆของเธอที่เสียชีวิตไปแล้ว สตรีนั้นตรัสว่า “ฉันคือมารดาของมารดา ฉันมาที่นี่ก็เพื่อช่วยปกป้องเธอ” พร้อมขอให้เธอมาที่วัดนี้ในวันอังคาร ในเวลา 18.15 น.
25 พฤษภาคม วินเซนโซกลับมาที่วัดอีกครั้ง ทันทีพระรูปก็ตรัสเชื้อเชิญเขาว่า “เข้ามาเถิด” แต่ด้วยควากลัว วินเซนโซจึงไม่ได้เข้าไปใกล้ พระรูปจึงตรัสให้กำลังใจเขาว่า “อย่ากลัวเลย ฉันคือมารดาของเธอ ฉันพรหมจารีแห่งสันติภาพและอัศจรรย์ จงสวดภาวนาเพื่อโลกที่กำลังต้องการคำภาวนา พรุ่งนี้ในเวลาเดียวกัน ฉันปรารถนาให้เธออยู่ที่นี่ คำเตือนต่อมนุษยชาติยังไม่สมบูรณ์” หลังจากนั้นพระนางจึงมอบสาส์นลับแก่เขา
การขัดขวางและการพบกันของสองผู้ถือสาร
เช้าวันอังคารที่ 26 พฤษภาคม เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ไปที่วัดแม่พระปีเอต้า บิดาของเขาจึงได้ไปรับเขาที่โรงเรียน แล้วจับเขาผูกไว้กับเตียงพร้อมล็อคห้องขังเขาไว้ กระทั้งเวลาล่วงผ่านถึงเวลา 18.15 น. วิเซนโซก็ตะโกนเรียกบิดาเพราะเขาหิวน้ำและวอนขอให้ปล่อยเขาไป “คุยกับรูปปั้น” แต่บิดาของเขาก็ยืนกรานปฏิเสธ แต่เมื่อบิดาของเขาจะออกจากห้องนั่นเอง เนื่องจากบิดาของเขาใส่ที่ล็อกไว้ ทำให้เขาปิดประตูไม่ได้
เวลานั้นเองจู่ๆเชือกที่มัดวิเซนโวไว้ก็คลาย เขาจึงรีบวิ่งฝ่าบิดาออกไป กระทั้งมาถึงเส้นทางไปยังวัดแม่พระปีเอต้าได้อย่างที่เขาไม่รู้ตัว เขาวิ่งจนมาถึงที่ประตู เขาก็พบกับอันนา เบียซี วัย 13 ปี ยืนคอยท่าอยู่หน้าวัด เธอเล่าในคืนวันที่ 22 และ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา จู่เธอก็ถูกปลุกกลางดึกโดยเสียงและเมื่อเธอตื่นขึ้นเธอก็เห็นสตรีงามสวมอาภรณ์ขาว ผ้าคาดเอวสีฟ้า ข้างหลังของเธอปรากฏคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายและญาติๆของเธอที่เสียชีวิตไปแล้ว สตรีนั้นตรัสว่า “ฉันคือมารดาของมารดา ฉันมาที่นี่ก็เพื่อช่วยปกป้องเธอ” พร้อมขอให้เธอมาที่วัดนี้ในวันอังคาร ในเวลา 18.15 น.
วินเซนโซและอันนาขณะรับการประจักษ์
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
ฉันกระหายน้ำ
ดังนั้นเมื่อทราบเรื่องแล้ว วินเซนโซและอันนาจึงจับมือกันแล้วเดินเข้าไปในวัด แล้วจึงคุกเข่าลงเบื้องพระรูป ทันทีทั้งสองก็ได้ยินเสียงพูดว่า “พวกเราไม่ได้อยู่ตามลำพัง มีคนอื่นซ่อนอยู่ที่นี่ บอกพวกเขาให้ออกไป” วินเซนโซจึงมองไปรอบๆและก็พบว่ามีพระสงฆ์เข้ามาแอบดูอยู่ เขาจึงได้เชิญให้พระสงฆ์องค์นั้นออกไป ดังนั้นในวัดจึงเหลือเพียงแค่วินเซนโซและอันนาอีกครั้ง
พระรูปยิ้มให้พวกเขา อันนาเล่าว่าเหมือนรอยยิ้มที่แม่มีให้ลูกสาวตัวน้อยของเธอ พระมารดาเริ่มตรัสถึงบางสิ่งที่วินเซนโซไม่ได้ยิน แล้วจึงเริ่มตรัสกับทั้งสอง ฝ่ายวินเซนโซก็ได้ทูลถามพระมารดามีอะไรที่พวกเขาสามารถทำให้พระนางได้บ้าง พระรูปจึงตรัสตอบว่า “ถูกแล้ว มีบางสิ่ง ฉันกระหายน้ำ ช่วยเอาน้ำมาให้ฉันหน่อยจะได้ไหม” วินเซนโซจึงรีบลุกขึ้นเพื่อตรงไปตักน้ำ แต่พระมารดาทรงหยุดเขา และบอกให้เขาไปตักน้ำจากแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุด หมู่บ้านโกรเซียมีแหล่งน้ำเพียงสองแห่งคือที่กุปโป กับ ที่ปอซโซ แต่กุปโปในเวลานั้นแทบจะแห้งขอดเต็มที น้ำจากแหล่งนี้ชาวบ้านจะนำมาให้สัตว์ดื่ม และรดน้ำสนามบางแห่ง รสชาติของมันไม่ค่อยถูกใจชาวบ้านเท่าไรนัก แต่ก็เป็นแหล่งน้ำกุปโปนี้แหละที่ใกล้วัดแม่พระปีเอต้าที่สุด ซึ้งทั้งที่วินเซนโซรู้เรื่องนี้ดี เขาก็รีบตรงไปที่นั่น เพราะเขาเชื่อในคำพูดของพระรูป
จนเมื่อมาถึงเขาก็รีบใช้มือรองน้ำจากก็อกที่เต็มไปด้วยมอส และทันทีก็ปรากฏว่าน้ำที่ใกล้ขอดเต็มที่ก็กลับไหลมามากขึ้นจนล้นมือของเขา หลังจากนั้นเขาจึงรีบวิ่งนำกลับไปที่วัด โดยที่ลืมคิดไปว่าทางไปวัดต้องขึ้นเขาซึ่งแน่นอนจะทำให้น้ำกระชอกออกจากมือเขาหมด เขาวิ่งมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าวัดจึงพึ่งคิดถึงเรื่องนี้ได้ เขาจึงก้มลงมองและคิดว่าป่านนี้คงไม่เหลือน้ำสักหยดแล้ว แต่ก็ผิดคาดเพราะน้ำยังคงเต็มเหมือนพึ่งถูกเติมมาสดๆร้อนๆ นับเป็นครั้งแรกที่วินเซนโซเชื่อในใครสักคนหนึ่ง เขานำน้ำไปมอบแด่พระรูป และเมื่อพระรูปดื่มน้ำจากมือของเขาแล้ว พระรูปก็ตรัสว่า “ฉันหวังว่าทุกคนที่มาที่นี่ จะไปตักน้ำนั้นและดึงความเชื่อแบบเดียวกันกับที่เธอทำ เธอจะเห็นได้ว่าต้องขอบคุณน้ำนี้จะมีการขอบพระคุณและอัศจรรย์ไม่รู้สิ้นสุด”
หลังจากนั้นพระรูปก็เริ่มกรรแสงอีกครั้ง และขอให้นำผ้ามาคลุมพระพักตร์ไว้ และขอให้มีการสวดภาวนาอย่างร้อนรนในเวลาสองทุ่มถึงเที่ยงคืนตลอดยี่สิบวัน
ดังนั้นเมื่อทราบเรื่องแล้ว วินเซนโซและอันนาจึงจับมือกันแล้วเดินเข้าไปในวัด แล้วจึงคุกเข่าลงเบื้องพระรูป ทันทีทั้งสองก็ได้ยินเสียงพูดว่า “พวกเราไม่ได้อยู่ตามลำพัง มีคนอื่นซ่อนอยู่ที่นี่ บอกพวกเขาให้ออกไป” วินเซนโซจึงมองไปรอบๆและก็พบว่ามีพระสงฆ์เข้ามาแอบดูอยู่ เขาจึงได้เชิญให้พระสงฆ์องค์นั้นออกไป ดังนั้นในวัดจึงเหลือเพียงแค่วินเซนโซและอันนาอีกครั้ง
พระรูปยิ้มให้พวกเขา อันนาเล่าว่าเหมือนรอยยิ้มที่แม่มีให้ลูกสาวตัวน้อยของเธอ พระมารดาเริ่มตรัสถึงบางสิ่งที่วินเซนโซไม่ได้ยิน แล้วจึงเริ่มตรัสกับทั้งสอง ฝ่ายวินเซนโซก็ได้ทูลถามพระมารดามีอะไรที่พวกเขาสามารถทำให้พระนางได้บ้าง พระรูปจึงตรัสตอบว่า “ถูกแล้ว มีบางสิ่ง ฉันกระหายน้ำ ช่วยเอาน้ำมาให้ฉันหน่อยจะได้ไหม” วินเซนโซจึงรีบลุกขึ้นเพื่อตรงไปตักน้ำ แต่พระมารดาทรงหยุดเขา และบอกให้เขาไปตักน้ำจากแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุด หมู่บ้านโกรเซียมีแหล่งน้ำเพียงสองแห่งคือที่กุปโป กับ ที่ปอซโซ แต่กุปโปในเวลานั้นแทบจะแห้งขอดเต็มที น้ำจากแหล่งนี้ชาวบ้านจะนำมาให้สัตว์ดื่ม และรดน้ำสนามบางแห่ง รสชาติของมันไม่ค่อยถูกใจชาวบ้านเท่าไรนัก แต่ก็เป็นแหล่งน้ำกุปโปนี้แหละที่ใกล้วัดแม่พระปีเอต้าที่สุด ซึ้งทั้งที่วินเซนโซรู้เรื่องนี้ดี เขาก็รีบตรงไปที่นั่น เพราะเขาเชื่อในคำพูดของพระรูป
จนเมื่อมาถึงเขาก็รีบใช้มือรองน้ำจากก็อกที่เต็มไปด้วยมอส และทันทีก็ปรากฏว่าน้ำที่ใกล้ขอดเต็มที่ก็กลับไหลมามากขึ้นจนล้นมือของเขา หลังจากนั้นเขาจึงรีบวิ่งนำกลับไปที่วัด โดยที่ลืมคิดไปว่าทางไปวัดต้องขึ้นเขาซึ่งแน่นอนจะทำให้น้ำกระชอกออกจากมือเขาหมด เขาวิ่งมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าวัดจึงพึ่งคิดถึงเรื่องนี้ได้ เขาจึงก้มลงมองและคิดว่าป่านนี้คงไม่เหลือน้ำสักหยดแล้ว แต่ก็ผิดคาดเพราะน้ำยังคงเต็มเหมือนพึ่งถูกเติมมาสดๆร้อนๆ นับเป็นครั้งแรกที่วินเซนโซเชื่อในใครสักคนหนึ่ง เขานำน้ำไปมอบแด่พระรูป และเมื่อพระรูปดื่มน้ำจากมือของเขาแล้ว พระรูปก็ตรัสว่า “ฉันหวังว่าทุกคนที่มาที่นี่ จะไปตักน้ำนั้นและดึงความเชื่อแบบเดียวกันกับที่เธอทำ เธอจะเห็นได้ว่าต้องขอบคุณน้ำนี้จะมีการขอบพระคุณและอัศจรรย์ไม่รู้สิ้นสุด”
หลังจากนั้นพระรูปก็เริ่มกรรแสงอีกครั้ง และขอให้นำผ้ามาคลุมพระพักตร์ไว้ และขอให้มีการสวดภาวนาอย่างร้อนรนในเวลาสองทุ่มถึงเที่ยงคืนตลอดยี่สิบวัน
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
สมบัติของวัด(27 พฤษภาคม)
เช้าวันถัดมาเมื่อข่าวการประจักษ์แพร่ไป ก็เริ่มมีผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงเดินทางมายังวัดเพื่อแสวงบุญ อันนาและวิเซนโซมายังวัดในช่วงบ่าย พระรูปกลับมามีชีวิตและขอให้ทั้งสองตามหาสมบัติบางอันของวัดนั่นก็คือ นกพิราบหินอ่อน ระฆัง ป้ายและเชิงเทียนสองอัน ดังนั้นทั้งสองจึงรีบออกตามหาทั้งสี่สิ่งอาศัยการชี้นำของลูกไฟในทันที หลังจากนั้นเมื่อพบสิ่งต่างๆแล้ว พระรูปก็ขอให้ทำความสะอาดพระรูปด้วยน้ำจากกุปโป ที่พระมารดาทรงเรียกว่า “ที่มาของชีวิต”
นอกจากนี้ยังทรงขอให้มีการตีระฆังในเวลาสี่ทุ่มเพื่อเรียกทุกคนให้มาสวดภาวนา และคลุมพระพักตร์ของพระรูปไว้ ซึ่งทุกคำขอของพระนางก็ได้รับการตอบรับจากทุกคน สี่ทุ่มวันนั้นระฆังก็ถูกตีเรียกทุกคนจากหลากหลายแห่งให้มารวมตัวกันเพื่อสวดภาวนาอย่างร้อนรน พระรูปเริ่มกรรแสงอีกครั้ง คุณพ่อลุยจิ มัซซา เจ้าวัดเขตนั้นได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างและได้เชื้อเชิญให้ทุกคนขึ้นมาดู
เช้าวันถัดมาเมื่อข่าวการประจักษ์แพร่ไป ก็เริ่มมีผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงเดินทางมายังวัดเพื่อแสวงบุญ อันนาและวิเซนโซมายังวัดในช่วงบ่าย พระรูปกลับมามีชีวิตและขอให้ทั้งสองตามหาสมบัติบางอันของวัดนั่นก็คือ นกพิราบหินอ่อน ระฆัง ป้ายและเชิงเทียนสองอัน ดังนั้นทั้งสองจึงรีบออกตามหาทั้งสี่สิ่งอาศัยการชี้นำของลูกไฟในทันที หลังจากนั้นเมื่อพบสิ่งต่างๆแล้ว พระรูปก็ขอให้ทำความสะอาดพระรูปด้วยน้ำจากกุปโป ที่พระมารดาทรงเรียกว่า “ที่มาของชีวิต”
นอกจากนี้ยังทรงขอให้มีการตีระฆังในเวลาสี่ทุ่มเพื่อเรียกทุกคนให้มาสวดภาวนา และคลุมพระพักตร์ของพระรูปไว้ ซึ่งทุกคำขอของพระนางก็ได้รับการตอบรับจากทุกคน สี่ทุ่มวันนั้นระฆังก็ถูกตีเรียกทุกคนจากหลากหลายแห่งให้มารวมตัวกันเพื่อสวดภาวนาอย่างร้อนรน พระรูปเริ่มกรรแสงอีกครั้ง คุณพ่อลุยจิ มัซซา เจ้าวัดเขตนั้นได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างและได้เชื้อเชิญให้ทุกคนขึ้นมาดู
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
นกพิราบ กิ่งมะกอก และดอกกุหลาบ(28 พฤษภาคม)
เช่นปกติทั้งสองมาคุกเข่าหน้าพระแท่น เตรียมรับสารจากพระรูปปีเอต้าที่จะมีชีวิต แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จนถึงเวลาบ่ายสามโมงครึ่งทั้งสองก็เห็นแสงสว่างส่องมาจากทางหน้าต่างข้างซ้ายของพระแท่น ก่อนจะปรากฏสตรีรุ่นราวคราวสิบหก มีผิวสีมะกอก มีตาดำสีเข้มและใบหน้าเป็นรูปไข่แบบสมบูรณ์แบบ ผมของเธอเป็นสีดำ เธอสวมผ้าคลุมศีรษะที่แทบจะปิดเส้นผมของเธอจนมิดผ้าคุลมนั้นเป็นสีขาวยาวจรดเท้า เช่นเดียวกับผ้าคลุมไหล่ก็เป็นสีขาว
เธอมีผ้าคาดเอวสีฟ้า สวมเสื้อแขนกุด ที่ไขว้กันเป็นรูปตัวเอ็กซ์ มือซ้ายของเธอถือหัวใจ ส่วนมือขวาของเธอยื่นสายประคำออกมาหาพวกเขา คุณพ่อลุยจิเกรงว่าจะเป็นปีศาจจำแลงมา ท่านจึงได้ให้ขวดน้ำเสกเล็กๆแก่ทั้งวินเซนโซเพื่อใช้พรมใส่สตรีนั้น พร้อมกำชับให้ถามสตรีนั้นว่า “หากท่านมาจากพระเจ้า ก็ขอให้อยู่ต่อ แต่หากท่านไม่ได้มาจากพระเจ้า ก็ขอให้ท่านจงไปเสีย” วินเซนโซรับคำและถามสตรีนั้น สตรีนั้นก็ตอบกลับเขาว่า “จงบอกคุณพ่อเสียว่าในนรกไม่มีแสงสว่างมากขนาดนี้” เด็กทั้งสองจึงถ่ายทอดสารนี้แด่คุณพ่อ ทำให้ท่านคายความกังวลไปสิ้น
หลังจากนั้นพระมารดาเจาก็ทรงขอนกพิราบ กิ่งมะกอกและดอกกุหลาบแดง ดังนั้นทั้งสองจึงลุกไปหานกพิราบ วินเซนโซสามารจับมันมาได้อย่าง่ายดาย และระหว่างทางกลับเขาก็แวะเก็บกิ่งมะกอกกลับมาด้วย กระทั้งมาถึงพระแท่นนกพิราบตัวนั้นก็บินขึ้นไปเกาะบนพระรูปและอยู่นั่นเป็นระยะเวลาถึงแปดวัน มันจะเพียงแค่ลงมากินและดื่มเท่านั้น จวบจนทั้งสองเข้าใจความหมายมันจึงบินหายไป เวลาเดียวกันไม่นานก็มีชายหนุ่มจากเมืองใกล้ๆนำกุหลาบแดงที่เขาพบอย่างลึกลับมาให้
+++ความคิดผู้แปล+++
สิ่งที่พระมารดาทรงเรียกร้องอาจมีนัยยะก็คือ สันติภาพ(นกพิราบ กิ่งมะกอก)และความรัก(ดอกกุหลาบแดง)
เช่นปกติทั้งสองมาคุกเข่าหน้าพระแท่น เตรียมรับสารจากพระรูปปีเอต้าที่จะมีชีวิต แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จนถึงเวลาบ่ายสามโมงครึ่งทั้งสองก็เห็นแสงสว่างส่องมาจากทางหน้าต่างข้างซ้ายของพระแท่น ก่อนจะปรากฏสตรีรุ่นราวคราวสิบหก มีผิวสีมะกอก มีตาดำสีเข้มและใบหน้าเป็นรูปไข่แบบสมบูรณ์แบบ ผมของเธอเป็นสีดำ เธอสวมผ้าคลุมศีรษะที่แทบจะปิดเส้นผมของเธอจนมิดผ้าคุลมนั้นเป็นสีขาวยาวจรดเท้า เช่นเดียวกับผ้าคลุมไหล่ก็เป็นสีขาว
เธอมีผ้าคาดเอวสีฟ้า สวมเสื้อแขนกุด ที่ไขว้กันเป็นรูปตัวเอ็กซ์ มือซ้ายของเธอถือหัวใจ ส่วนมือขวาของเธอยื่นสายประคำออกมาหาพวกเขา คุณพ่อลุยจิเกรงว่าจะเป็นปีศาจจำแลงมา ท่านจึงได้ให้ขวดน้ำเสกเล็กๆแก่ทั้งวินเซนโซเพื่อใช้พรมใส่สตรีนั้น พร้อมกำชับให้ถามสตรีนั้นว่า “หากท่านมาจากพระเจ้า ก็ขอให้อยู่ต่อ แต่หากท่านไม่ได้มาจากพระเจ้า ก็ขอให้ท่านจงไปเสีย” วินเซนโซรับคำและถามสตรีนั้น สตรีนั้นก็ตอบกลับเขาว่า “จงบอกคุณพ่อเสียว่าในนรกไม่มีแสงสว่างมากขนาดนี้” เด็กทั้งสองจึงถ่ายทอดสารนี้แด่คุณพ่อ ทำให้ท่านคายความกังวลไปสิ้น
หลังจากนั้นพระมารดาเจาก็ทรงขอนกพิราบ กิ่งมะกอกและดอกกุหลาบแดง ดังนั้นทั้งสองจึงลุกไปหานกพิราบ วินเซนโซสามารจับมันมาได้อย่าง่ายดาย และระหว่างทางกลับเขาก็แวะเก็บกิ่งมะกอกกลับมาด้วย กระทั้งมาถึงพระแท่นนกพิราบตัวนั้นก็บินขึ้นไปเกาะบนพระรูปและอยู่นั่นเป็นระยะเวลาถึงแปดวัน มันจะเพียงแค่ลงมากินและดื่มเท่านั้น จวบจนทั้งสองเข้าใจความหมายมันจึงบินหายไป เวลาเดียวกันไม่นานก็มีชายหนุ่มจากเมืองใกล้ๆนำกุหลาบแดงที่เขาพบอย่างลึกลับมาให้
+++ความคิดผู้แปล+++
สิ่งที่พระมารดาทรงเรียกร้องอาจมีนัยยะก็คือ สันติภาพ(นกพิราบ กิ่งมะกอก)และความรัก(ดอกกุหลาบแดง)
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
อัศจรรย์ดวงดาว(30 พฤษภาคม)
เย็นวันเดียวกันวินเซนโซและอันนาคิดว่าจะได้เห็นภาพนิมิตเหมือนเมื่อวานนี้ คือทรงนิ่งเงียบเลยเผยดวงหทัยของพระนางที่ถูกแทงด้วยมีด กระทั้งเวลาประจักษ์มาถึง คุณพ่อลุยจิก็นำคนตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่งไปหาทั้งสอง คุณพ่อขอให้ทั้งสองบอกพระมารดาว่า “ช่วยบอกแม่พระทีว่าโปรดประทานเครื่องหมายที่จับต้องได้เพื่อให้ทุกคนจะได้เชื่อ ขอให้พระนางทรงกระทำอัศจรรย์ในการรักษาผู้ที่มาอยู่ต่อหน้า หากไม่ได้ทั้งสองอย่างก็ขอให้ช่วยรักษาหนุ่มตาบอดคนนี้ซักคน”
แต่พระมารดาไม่ทรงเฉยชาต่อคำขอนี้ ทั้งสองเห็นพระนางหันไปรอบอย่างช้าๆ ก่อนคอยลอยห่างไปเรื่อยๆ กระทั้งกลายเป็นดวงดาว วินเซนโซจึงตะโกนขึ้นว่า “ดูท้องฟ้า แม่พระกำลังเข้าสู่ดวงดาว ทุกๆคนสามารถเห็นได้” ทันทีฝูงชนจึงพากันออกมานอกวัด และก็ได้เห็นดวงดาวสว่างเหมือนลูกไฟ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า ปรากฏถูกจับภาพไว้โดยกล้องวีดีโอและกินเวลาถึง 15 นาที ปรากฏการณ์จึงสงบลง
เวลา 22.00 น. แม้เวลานั้นวัดจะมีสภาพทรุดโทรม ก็ไม่อาจหยุดยั้งฝูงชนที่เข้ามาร่วมกันสวดภาวนาในวัดจนแน่นขนัดได้
อัศจรรย์ดวงอาทิตย์(31 พฤษภาคม)
พระมารดาก็รับสั่งผ่านวินเซนโซและอันนา ว่าให้ผู้ที่อยู่สังเกตการณ์ออกไปมองที่ท้องฟ้า เพราะจะปรากฏเครื่องหมายอัศจรรย์ ทันทีดวงอาทิตย์ก็เริ่มหมุนเคว้งในอากาศ สลับกันไปสองทิศทาง ฉายรังสีแตกต่างกันออกมา หลังจากนั้นก็ปรากฏเหตุการณ์แบบนี้อีกในหลายๆโอกาส
เย็นวันเดียวกันวินเซนโซและอันนาคิดว่าจะได้เห็นภาพนิมิตเหมือนเมื่อวานนี้ คือทรงนิ่งเงียบเลยเผยดวงหทัยของพระนางที่ถูกแทงด้วยมีด กระทั้งเวลาประจักษ์มาถึง คุณพ่อลุยจิก็นำคนตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่งไปหาทั้งสอง คุณพ่อขอให้ทั้งสองบอกพระมารดาว่า “ช่วยบอกแม่พระทีว่าโปรดประทานเครื่องหมายที่จับต้องได้เพื่อให้ทุกคนจะได้เชื่อ ขอให้พระนางทรงกระทำอัศจรรย์ในการรักษาผู้ที่มาอยู่ต่อหน้า หากไม่ได้ทั้งสองอย่างก็ขอให้ช่วยรักษาหนุ่มตาบอดคนนี้ซักคน”
แต่พระมารดาไม่ทรงเฉยชาต่อคำขอนี้ ทั้งสองเห็นพระนางหันไปรอบอย่างช้าๆ ก่อนคอยลอยห่างไปเรื่อยๆ กระทั้งกลายเป็นดวงดาว วินเซนโซจึงตะโกนขึ้นว่า “ดูท้องฟ้า แม่พระกำลังเข้าสู่ดวงดาว ทุกๆคนสามารถเห็นได้” ทันทีฝูงชนจึงพากันออกมานอกวัด และก็ได้เห็นดวงดาวสว่างเหมือนลูกไฟ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า ปรากฏถูกจับภาพไว้โดยกล้องวีดีโอและกินเวลาถึง 15 นาที ปรากฏการณ์จึงสงบลง
เวลา 22.00 น. แม้เวลานั้นวัดจะมีสภาพทรุดโทรม ก็ไม่อาจหยุดยั้งฝูงชนที่เข้ามาร่วมกันสวดภาวนาในวัดจนแน่นขนัดได้
อัศจรรย์ดวงอาทิตย์(31 พฤษภาคม)
พระมารดาก็รับสั่งผ่านวินเซนโซและอันนา ว่าให้ผู้ที่อยู่สังเกตการณ์ออกไปมองที่ท้องฟ้า เพราะจะปรากฏเครื่องหมายอัศจรรย์ ทันทีดวงอาทิตย์ก็เริ่มหมุนเคว้งในอากาศ สลับกันไปสองทิศทาง ฉายรังสีแตกต่างกันออกมา หลังจากนั้นก็ปรากฏเหตุการณ์แบบนี้อีกในหลายๆโอกาส
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
การประจักษ์และเหตุการณ์ต่อๆมา
ในช่วงสองเดือนแรกของการประจักษ์ พระมารดทรงประจักษ์มาถี่มาก หลังจากนั้นจึงค่อยๆลดลงจนเหลือเพียงทุกๆวันที่ 23 ของเดือนและโอกาสพิเศษเท่านั้น หลังจากนั้นในวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ.1987 พระคาร์ดินัล พระคุณเจ้าเซราฟีโน สปรวีเอรี พระอัครสังฆราชที่โกรเซียอยู่ ก็เดินทางมา ท่านได้อวยพรและให้สัญญาว่าจะกลับมาฉลองเมื่อวัดบูรณะแล้วเสร็จ พระรูปถูกย้ายไปยังวัดนักบุญมีคาแอล เพื่อทำการบูรณะตัววัดในวันที่ 29 สิงหาคม หลังจากนั้นพระรูปก็กรรแสงในเช้าวันที่ 31 สิงหาคม เวลาแปดนาฬิกาพระเนตรขวาของพระรูปก็กรรแสงเป็นโลหิต วันเดียวกันในเวลาตีห้า พระมารดาก็ได้แจ้งแก่อันนาทั้งกรรแสงเป็นพระโลหิตว่า ว่า “อันนา ไปโกรเซีย เพราะสตรีคนหนึ่งกำลังร้องไห้”
สาส์นของพระนางที่ส่งผ่านทั้งสองมายังผู้คนเริ่มมีชั้นเชิงทั้งทางเทววิทยาและไวยากรณ์ที่ลึกขึ้น
ภาพนิมิตปัสกา ค.ศ.1988
ระหว่างคืนของวันที่ 2-3 เมษายน วินเซนโซก็ได้รับภาพนิมิต เมืองที่ถูกแบ่งด้วยกำแพงที่เต็มไปด้วยภาพวาดและข้อความ กำแพงนั้นถูกโจมตีด้วยบรรดานกพิราบสีขาวที่คาบกิ่งมะกอก ผู้คนจำนวนมากต่างชูมือขึ้น ส่งเสียยินดีที่พวกเขาสามารถข้ามกำแพงนี้ไปได้ และที่สุดหลังจากนั้น พวกเขาก็กลับมาร่วมเป็นหนึ่งกับผู้คนอีกฝั่งของกำแพง พระมารดาทรงประจักษ์ขึ้นเหนือท้องฟ้า พระนางประทับอยู่บนดวงจันทร์ บนพระเศียรสวมมุงกฎดาวสิบสองดวง นอกจากนี้ยังปรากฏคำจารึกว่า “สันติภาพ” พระมารดาทรงตรัสกับเขาว่า “พวกเขาจะพังกำแพงที่แบ่งเมืองลง แต่พวกเขาแทบจะไม่ได้ล้มกำแพงของอุมดมการณ์ที่จะแบ่งผู้คน”
ในช่วงสองเดือนแรกของการประจักษ์ พระมารดทรงประจักษ์มาถี่มาก หลังจากนั้นจึงค่อยๆลดลงจนเหลือเพียงทุกๆวันที่ 23 ของเดือนและโอกาสพิเศษเท่านั้น หลังจากนั้นในวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ.1987 พระคาร์ดินัล พระคุณเจ้าเซราฟีโน สปรวีเอรี พระอัครสังฆราชที่โกรเซียอยู่ ก็เดินทางมา ท่านได้อวยพรและให้สัญญาว่าจะกลับมาฉลองเมื่อวัดบูรณะแล้วเสร็จ พระรูปถูกย้ายไปยังวัดนักบุญมีคาแอล เพื่อทำการบูรณะตัววัดในวันที่ 29 สิงหาคม หลังจากนั้นพระรูปก็กรรแสงในเช้าวันที่ 31 สิงหาคม เวลาแปดนาฬิกาพระเนตรขวาของพระรูปก็กรรแสงเป็นโลหิต วันเดียวกันในเวลาตีห้า พระมารดาก็ได้แจ้งแก่อันนาทั้งกรรแสงเป็นพระโลหิตว่า ว่า “อันนา ไปโกรเซีย เพราะสตรีคนหนึ่งกำลังร้องไห้”
สาส์นของพระนางที่ส่งผ่านทั้งสองมายังผู้คนเริ่มมีชั้นเชิงทั้งทางเทววิทยาและไวยากรณ์ที่ลึกขึ้น
ภาพนิมิตปัสกา ค.ศ.1988
ระหว่างคืนของวันที่ 2-3 เมษายน วินเซนโซก็ได้รับภาพนิมิต เมืองที่ถูกแบ่งด้วยกำแพงที่เต็มไปด้วยภาพวาดและข้อความ กำแพงนั้นถูกโจมตีด้วยบรรดานกพิราบสีขาวที่คาบกิ่งมะกอก ผู้คนจำนวนมากต่างชูมือขึ้น ส่งเสียยินดีที่พวกเขาสามารถข้ามกำแพงนี้ไปได้ และที่สุดหลังจากนั้น พวกเขาก็กลับมาร่วมเป็นหนึ่งกับผู้คนอีกฝั่งของกำแพง พระมารดาทรงประจักษ์ขึ้นเหนือท้องฟ้า พระนางประทับอยู่บนดวงจันทร์ บนพระเศียรสวมมุงกฎดาวสิบสองดวง นอกจากนี้ยังปรากฏคำจารึกว่า “สันติภาพ” พระมารดาทรงตรัสกับเขาว่า “พวกเขาจะพังกำแพงที่แบ่งเมืองลง แต่พวกเขาแทบจะไม่ได้ล้มกำแพงของอุมดมการณ์ที่จะแบ่งผู้คน”
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
การประจักษ์หยุดชะงัก
สองทุ่มห้าสิบของวันที่ 10 กันยายน ค.ศ.1988 พระมารดาก็ทรงเผยแก่วินเซนโซและอันนาว่าพระนางจะไม่กลับมา ตราบใดที่ชาวบ้านโกรเซียยังคงไม่เข้าใจการประจักษ์มาครั้งนี้ และก็เป็นดังนั้นวันรุ่งขึ้นพระมารดาก็ไม่ทรงประจักษ์มาแก่ทั้งสอง สร้างทุกข์ใจแก่ทั้งสองเป็นยิ่งนัก วินเซนโซและอันนาจึงร่วมกันตำหนิชาวบ้านถึงเรื่องนี้ การตำหนินี้กระทบใจหลายๆคน ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันสวดภาวนาด้วยความเชื่อเพื่อหัวใจของพวกเขาจะได้รับพระหรรษทานเปลี่ยนแปลง
จนถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน สองสัปดาห์ก่อนวันสมโภชพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล หลังเลิกมิสซาทูตสวรรค์ของพระเป็นเจ้าก็ได้ลงมาประกาศแก่ทั้งสองว่าพระมารดาเจ้าจะทรงกลับมาประจักษ์ที่โกรเซียอีกครั้ง หลังจากนั้นพระมารดาเจ้าก็ทรงประจักษ์มาและให้ความมั่นใจแก่ทั้งสองว่าการประจักษ์จะดำเนินต่อไป เพราะทุกคนไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์ไป
สองทุ่มห้าสิบของวันที่ 10 กันยายน ค.ศ.1988 พระมารดาก็ทรงเผยแก่วินเซนโซและอันนาว่าพระนางจะไม่กลับมา ตราบใดที่ชาวบ้านโกรเซียยังคงไม่เข้าใจการประจักษ์มาครั้งนี้ และก็เป็นดังนั้นวันรุ่งขึ้นพระมารดาก็ไม่ทรงประจักษ์มาแก่ทั้งสอง สร้างทุกข์ใจแก่ทั้งสองเป็นยิ่งนัก วินเซนโซและอันนาจึงร่วมกันตำหนิชาวบ้านถึงเรื่องนี้ การตำหนินี้กระทบใจหลายๆคน ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันสวดภาวนาด้วยความเชื่อเพื่อหัวใจของพวกเขาจะได้รับพระหรรษทานเปลี่ยนแปลง
จนถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน สองสัปดาห์ก่อนวันสมโภชพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล หลังเลิกมิสซาทูตสวรรค์ของพระเป็นเจ้าก็ได้ลงมาประกาศแก่ทั้งสองว่าพระมารดาเจ้าจะทรงกลับมาประจักษ์ที่โกรเซียอีกครั้ง หลังจากนั้นพระมารดาเจ้าก็ทรงประจักษ์มาและให้ความมั่นใจแก่ทั้งสองว่าการประจักษ์จะดำเนินต่อไป เพราะทุกคนไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์ไป
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
เหตุการณ์ต่อๆมา
23 พฤษภาคม ค.ศ.1989 -โอกาสครบรอบการประจักษ์สองปี มีผู้เดินทางมาร่วมมิสซาในวันนั้นถึงสองหมื่นคน ในตอนเช้ามีการแห่พระรูปแม่พระปีเอต้า โดยมีชาวโกรเซียคอยช่วยบริการน้ำดื่มของหวานฟรีๆ ส่วนในตอนบ่ายก็มีการจัดขบวนใช้โทษบาป หลังจากมิสซา พระมารดาก็ทรงประจักษ์มา พระนางก็มอบสาส์นถึงบรรดาเยาวชนที่พระนางเรียกว่า “เกลือของแผ่นดิน” ขอให้พวกเขาเป็น “ช่างฝีมือของสันติภาพ”
22 พฤษภาคม ค.ศ.1991- ขณะมีการตื่นเฝ้า พระรูปก็เริ่มกรรแสงอีกครั้ง
23 พฤษภาคม ค.ศ.1991- ภายหลังจากมีการฉลองครบรอบการประจักษ์สี่ปี พระอัครสังฆราชได้เริ่มทำการสอบสวนการประจักษ์ครั้งนี้
22 พฤษภาคม ค.ศ.1992 -พระรูปก็กรรแสงอีกครั้ง
23 พฤษภาคม ค.ศ.1989 -โอกาสครบรอบการประจักษ์สองปี มีผู้เดินทางมาร่วมมิสซาในวันนั้นถึงสองหมื่นคน ในตอนเช้ามีการแห่พระรูปแม่พระปีเอต้า โดยมีชาวโกรเซียคอยช่วยบริการน้ำดื่มของหวานฟรีๆ ส่วนในตอนบ่ายก็มีการจัดขบวนใช้โทษบาป หลังจากมิสซา พระมารดาก็ทรงประจักษ์มา พระนางก็มอบสาส์นถึงบรรดาเยาวชนที่พระนางเรียกว่า “เกลือของแผ่นดิน” ขอให้พวกเขาเป็น “ช่างฝีมือของสันติภาพ”
22 พฤษภาคม ค.ศ.1991- ขณะมีการตื่นเฝ้า พระรูปก็เริ่มกรรแสงอีกครั้ง
23 พฤษภาคม ค.ศ.1991- ภายหลังจากมีการฉลองครบรอบการประจักษ์สี่ปี พระอัครสังฆราชได้เริ่มทำการสอบสวนการประจักษ์ครั้งนี้
22 พฤษภาคม ค.ศ.1992 -พระรูปก็กรรแสงอีกครั้ง
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
ภาพนิมิตส่วนตัวของสองผู้ถือสาส์น
วินเซนโซ – พระมารดาเจ้าได้พาเขาไปสวรรค์และนรก นอกจากนี้เขายังได้ร่วมมหาทรมานของพระคริสตเจ้า เขาได้เห็นนิมิตการเสด็จมาของพระจิตเจ้าแก่บรรดาอัครสาวกในห้องชั้นบน เช่นเดียวกับนิมิตการขับไล่ลูซีเฟอร์จากสวรรค์ การต่อสู้ของอัครเทวดามีคาแอล การทรยศของยูดาส การตัดสินคดีของพระเยซูเจ้า การเฆี่ยนตีพระเยซูเจ้า การแบกกางเขน การถูกตรึงกางเขน การนำพระองค์ลงจากกางเขน พระนางยังสอนบทภาวนาสองบทแก่เขานั่นก็คือ บทถวายต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า และบทถวายตนตลอดดวงหทัยนิรมล
นอกจากนี้ยังทรงเปิดเผยวันเกิดจริงของพระนางคือวันที่ 5 สิงหาคม(ขอโทษด้วยนะครับครั้งแรกผู้แปลเบลอเขียนเป็นเดือนกันยายน) ในค่ำคืนวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1987 เขายังได้เห็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ.1989 และมีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ในทุกวันศุกร์แรกในช่วงครึ่งหลังปี ค.ศ.1992 และหลายๆครั้งก่อนการประจักษ์ทูตสวรรค์จะปรากฏมาก่อนให้เขาเห็น พระเยซูเจ้าเองก็เคยปรากฏมาหาเขา
อันนา – พระมารดาเจ้าได้พาเธอไปนรก และได้ให้เธอได้เห็นการประสูติของพระเยซูเจ้า การถวายพระกุมารในพระวิหาร บรรดานักบุญ การเฆี่ยนตี การตรึงกางเขน และได้ยินเสียงร้องอย่างสิ้นหวังของพระมารดา ในระหว่างการประจักษ์เธอยังมีโอกาสได้ถวายน้ำดื่มแด่พระเยซูเจ้า เธอยังได้รับความลับสิบข้อจากพระนางในวันที่ 21 กรกฎาคมและ 2 สิงหาคม ค.ศ.1987 และได้ความลับหนึ่งข้อสำหรับครอบครัวของเธอในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1987 สามข้อสำหรับคุณพ่อเจ้าวัดในเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1988 สองข้อสำหรับพระสังฆราชประจำสังฆมณฑล และหนึ่งข้อสำหรับมนุษย์ที่จะถูกเปิดเผยก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น
ปัจจุบันความลับได้เผยแล้วสามข้อจากสิบคือ
1.การทำลายกำแพงเบอร์ลิน
2.แผ่นดินไหวในซานฟรานซิสโก
3.การเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสมเด็จพระสันตะปาปาและรัสเซีย
ยังมีอีกหลายครั้งที่ซาตานจำแลงตนมาเป็นแม่พระมาหาเธอด้วย
วินเซนโซ – พระมารดาเจ้าได้พาเขาไปสวรรค์และนรก นอกจากนี้เขายังได้ร่วมมหาทรมานของพระคริสตเจ้า เขาได้เห็นนิมิตการเสด็จมาของพระจิตเจ้าแก่บรรดาอัครสาวกในห้องชั้นบน เช่นเดียวกับนิมิตการขับไล่ลูซีเฟอร์จากสวรรค์ การต่อสู้ของอัครเทวดามีคาแอล การทรยศของยูดาส การตัดสินคดีของพระเยซูเจ้า การเฆี่ยนตีพระเยซูเจ้า การแบกกางเขน การถูกตรึงกางเขน การนำพระองค์ลงจากกางเขน พระนางยังสอนบทภาวนาสองบทแก่เขานั่นก็คือ บทถวายต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า และบทถวายตนตลอดดวงหทัยนิรมล
นอกจากนี้ยังทรงเปิดเผยวันเกิดจริงของพระนางคือวันที่ 5 สิงหาคม(ขอโทษด้วยนะครับครั้งแรกผู้แปลเบลอเขียนเป็นเดือนกันยายน) ในค่ำคืนวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1987 เขายังได้เห็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ.1989 และมีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ในทุกวันศุกร์แรกในช่วงครึ่งหลังปี ค.ศ.1992 และหลายๆครั้งก่อนการประจักษ์ทูตสวรรค์จะปรากฏมาก่อนให้เขาเห็น พระเยซูเจ้าเองก็เคยปรากฏมาหาเขา
อันนา – พระมารดาเจ้าได้พาเธอไปนรก และได้ให้เธอได้เห็นการประสูติของพระเยซูเจ้า การถวายพระกุมารในพระวิหาร บรรดานักบุญ การเฆี่ยนตี การตรึงกางเขน และได้ยินเสียงร้องอย่างสิ้นหวังของพระมารดา ในระหว่างการประจักษ์เธอยังมีโอกาสได้ถวายน้ำดื่มแด่พระเยซูเจ้า เธอยังได้รับความลับสิบข้อจากพระนางในวันที่ 21 กรกฎาคมและ 2 สิงหาคม ค.ศ.1987 และได้ความลับหนึ่งข้อสำหรับครอบครัวของเธอในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1987 สามข้อสำหรับคุณพ่อเจ้าวัดในเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1988 สองข้อสำหรับพระสังฆราชประจำสังฆมณฑล และหนึ่งข้อสำหรับมนุษย์ที่จะถูกเปิดเผยก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น
ปัจจุบันความลับได้เผยแล้วสามข้อจากสิบคือ
1.การทำลายกำแพงเบอร์ลิน
2.แผ่นดินไหวในซานฟรานซิสโก
3.การเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสมเด็จพระสันตะปาปาและรัสเซีย
ยังมีอีกหลายครั้งที่ซาตานจำแลงตนมาเป็นแม่พระมาหาเธอด้วย
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
ใจความสาส์น
-ตลอดระยะเวลาของประจักษ์พระมารดทรงเตือนให้มีการสวดภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวดสายประคำ ทรงขอให้มีกลุ่มภาวนาทุกเขตวัด ทั้งนี้ยังทรง
-ขอให้เราปฏิบัติตามบทบัญญัติสิบประการ
-ขอให้มีการอดอาหารด้วยรับการกินแต่เพียงขนมปังและน้ำในทุกๆวันศุกร์และวันพุธ โดยพระมารดาทรงเรียกว่าการอดจากโทรทัศน์
-ขอให้มีการอวยพรศีลมหาสนิทในทุกๆวันพฤหัสบดี
-ขอให้เราเปิดหัวใจของเราแก่พระพระเยซูเจ้า เชื่อในพระวรสาร
-ขอให้มีสันติภาพและการปลดอาวุธ(ทรงเรียกร้องซ้ำๆ) เพื่อไปช่วยบรรดาผู้หิวโหย
-และเป็นพิเศษ พระมารดาทรงกระตุ้นให้บรรดาคนหนุ่มสาวจะไม่ยอมต่อการสิ่งเย้ายวนฝ่ายโลก
ลักษณะการประจักษ์
พระมารดาทรงประจักษ์มาในลักษณะสาววัย 16 ปี ที่มีความงามสุดพรรณนา พระเกศาเป็นสีดำ พระมารดาทรงมีความสูงระดับกลางๆ ฉลองพระองค์ทั้งชุดเป็นสีขาว มีผ้าคาดเอวสีฟ้ากับสายประคำในพระหัตถ์ขวา แต่ในช่วงมีสมโภช พระมารดาจะทรงฉลองพระองค์สีทองเรืองรอง บนพระเศียรประดับด้วยมงกุฎดาวสิบสองดวง เหนือพระบาทมีดอกกุหลาบแดงไม่ก็ทอง พระนางประทับยืนบนนก้อนเมฆ
-ตลอดระยะเวลาของประจักษ์พระมารดทรงเตือนให้มีการสวดภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวดสายประคำ ทรงขอให้มีกลุ่มภาวนาทุกเขตวัด ทั้งนี้ยังทรง
-ขอให้เราปฏิบัติตามบทบัญญัติสิบประการ
-ขอให้มีการอดอาหารด้วยรับการกินแต่เพียงขนมปังและน้ำในทุกๆวันศุกร์และวันพุธ โดยพระมารดาทรงเรียกว่าการอดจากโทรทัศน์
-ขอให้มีการอวยพรศีลมหาสนิทในทุกๆวันพฤหัสบดี
-ขอให้เราเปิดหัวใจของเราแก่พระพระเยซูเจ้า เชื่อในพระวรสาร
-ขอให้มีสันติภาพและการปลดอาวุธ(ทรงเรียกร้องซ้ำๆ) เพื่อไปช่วยบรรดาผู้หิวโหย
-และเป็นพิเศษ พระมารดาทรงกระตุ้นให้บรรดาคนหนุ่มสาวจะไม่ยอมต่อการสิ่งเย้ายวนฝ่ายโลก
ลักษณะการประจักษ์
พระมารดาทรงประจักษ์มาในลักษณะสาววัย 16 ปี ที่มีความงามสุดพรรณนา พระเกศาเป็นสีดำ พระมารดาทรงมีความสูงระดับกลางๆ ฉลองพระองค์ทั้งชุดเป็นสีขาว มีผ้าคาดเอวสีฟ้ากับสายประคำในพระหัตถ์ขวา แต่ในช่วงมีสมโภช พระมารดาจะทรงฉลองพระองค์สีทองเรืองรอง บนพระเศียรประดับด้วยมงกุฎดาวสิบสองดวง เหนือพระบาทมีดอกกุหลาบแดงไม่ก็ทอง พระนางประทับยืนบนนก้อนเมฆ
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
พระดำรัสบางส่วน
“ฉันพรหมจารีแห่งสันติภาพและอัศจรรย์ ดวงหทัยของฉันจะมีชัย…ภัยพิบัติกำลังใกล้เต็มที มีเวลาไม่มากแล้ว ดังนั้นฉันจึงขอให้เธอสวดภาวนา” (27 พฤษภาคม ค.ศ.1987)
“โทรทัศน์ได้ทำลายเธอ มันทำให้เธอไม่มีเวลาสวดภาวนา , เวลาพูดคุยกันในครอบครัวมากขึ้น” (29 สิงหาคม ค.ศ.1987) “เด็กที่รัก โปรดสงสารฉันเถิด โปรดสวดภาวนา คำภาวนาของพวกเธอมีความจำเป็นต่อความรอดของโลก” (13 กันยายน ค.ศ.1987)
“ฉันขอเชื้อเชิญเธอ แทนที่จะขอให้เธอกลับใจ พระอาณาจักรอยู่ใกล้มากแล้ว… โลกจะกลับใจ ทุกๆคนจะมีความเชื่อและไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่จงมาพร้อมพระศาสนจักรและสวดภาวนาต่อพระเยซูเจ้ามากยิ่งขึ้น… และทุกคนจะช่วยกันต่อๆไป… ความตายจะไม่มีชัยเหนือชีวิต”(30 มกราคม ค.ศ.1988) “ด้วยการสวดภาวนาด้วยหัวใจ แม้นเพียงไม่กี่คน ทุกอย่างก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้… จงจำไว้ว่าการสวดภาวนานั้นทรงพลังยิ่งนัก”(23 กุมภาพันธ์ 1988)
“ลูกของฉัน ฉันไม่เคยลืม ฉันมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อประทานสารที่เลวร้าย แต่มาเพื่อเรียกคืนหัวใจและวิญญาณของสันติภาพและความรักของพวกเธอ”(24 มีนาคม 1988) “ฉัน(ที่ฟาติมา)ไม่ได้มาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2…(แต่)เพื่อเตรียมความพร้อมการทำสงครามความคิดความอ่าน… ฉันมาเพื่อพูดถึงเอกภาพของคริสตชน… เพื่อเตือนพระศาสนจักรที่สถาปนาขึ้นโดยพระบุตรของฉันให้ระวังตัว จะไม่มีสงครามปืน …(หรือ)การทำลายโดยปืน แต่เป็นสงครามความคิด… สงครามความคิดที่นำมาซึ่งความตายและการทำลายล้าง… สิ่งที่เขียนไว้ในพระวรสาร…จะต้องดำเนินต่อไปในความสมบูรณ์… ความวางใจในพระศาสนจักร ความวางใจในพระสันตะปาปา… ตอนนี้การร่ำไห้ปรากฏในในมารดาในตะวันออก แต่เร็วๆนี้การร่ำไห้จะรวมไปทั้งมารดาในตะวันตกตะวันออก เธอคิดว่าจะมีสงครามและการทำลายเกิดขึ้น แต่เธอยังไม่รู้ว่ามันจะมีโรคระบาดแพร่ไปทั่วประเทศของเธอ ทั้งในเมืองของเธอ ทั้งในทุกชนชาติ และทั้งดวงดาวทั้งสิบสอง อันเป็นสื่อแทนของการรวมตัวกันของประชาชาติ พวกเขาจะล้มลง เนื่องจากไม่มีใครติดตามพระคริสตเจ้ามากขึ้น” (23 พฤศจิกายน 1988)
“ฉันพรหมจารีแห่งสันติภาพและอัศจรรย์ ดวงหทัยของฉันจะมีชัย…ภัยพิบัติกำลังใกล้เต็มที มีเวลาไม่มากแล้ว ดังนั้นฉันจึงขอให้เธอสวดภาวนา” (27 พฤษภาคม ค.ศ.1987)
“โทรทัศน์ได้ทำลายเธอ มันทำให้เธอไม่มีเวลาสวดภาวนา , เวลาพูดคุยกันในครอบครัวมากขึ้น” (29 สิงหาคม ค.ศ.1987) “เด็กที่รัก โปรดสงสารฉันเถิด โปรดสวดภาวนา คำภาวนาของพวกเธอมีความจำเป็นต่อความรอดของโลก” (13 กันยายน ค.ศ.1987)
“ฉันขอเชื้อเชิญเธอ แทนที่จะขอให้เธอกลับใจ พระอาณาจักรอยู่ใกล้มากแล้ว… โลกจะกลับใจ ทุกๆคนจะมีความเชื่อและไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่จงมาพร้อมพระศาสนจักรและสวดภาวนาต่อพระเยซูเจ้ามากยิ่งขึ้น… และทุกคนจะช่วยกันต่อๆไป… ความตายจะไม่มีชัยเหนือชีวิต”(30 มกราคม ค.ศ.1988) “ด้วยการสวดภาวนาด้วยหัวใจ แม้นเพียงไม่กี่คน ทุกอย่างก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้… จงจำไว้ว่าการสวดภาวนานั้นทรงพลังยิ่งนัก”(23 กุมภาพันธ์ 1988)
“ลูกของฉัน ฉันไม่เคยลืม ฉันมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อประทานสารที่เลวร้าย แต่มาเพื่อเรียกคืนหัวใจและวิญญาณของสันติภาพและความรักของพวกเธอ”(24 มีนาคม 1988) “ฉัน(ที่ฟาติมา)ไม่ได้มาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2…(แต่)เพื่อเตรียมความพร้อมการทำสงครามความคิดความอ่าน… ฉันมาเพื่อพูดถึงเอกภาพของคริสตชน… เพื่อเตือนพระศาสนจักรที่สถาปนาขึ้นโดยพระบุตรของฉันให้ระวังตัว จะไม่มีสงครามปืน …(หรือ)การทำลายโดยปืน แต่เป็นสงครามความคิด… สงครามความคิดที่นำมาซึ่งความตายและการทำลายล้าง… สิ่งที่เขียนไว้ในพระวรสาร…จะต้องดำเนินต่อไปในความสมบูรณ์… ความวางใจในพระศาสนจักร ความวางใจในพระสันตะปาปา… ตอนนี้การร่ำไห้ปรากฏในในมารดาในตะวันออก แต่เร็วๆนี้การร่ำไห้จะรวมไปทั้งมารดาในตะวันตกตะวันออก เธอคิดว่าจะมีสงครามและการทำลายเกิดขึ้น แต่เธอยังไม่รู้ว่ามันจะมีโรคระบาดแพร่ไปทั่วประเทศของเธอ ทั้งในเมืองของเธอ ทั้งในทุกชนชาติ และทั้งดวงดาวทั้งสิบสอง อันเป็นสื่อแทนของการรวมตัวกันของประชาชาติ พวกเขาจะล้มลง เนื่องจากไม่มีใครติดตามพระคริสตเจ้ามากขึ้น” (23 พฤศจิกายน 1988)
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
การประจักษ์ครั้งสุดท้าย
การประจักษ์กินระยะเวลาห้าปี จึงจบลงในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ.1992 วันนั้นมิสซาเย็นมีประธานคือคุณพ่อลุยจี ที่พึ่งได้รับการรักษาอย่างงน่าอัศจรรย์จากโรคหลอดเลือดในสมอง ร่วมกับคุณพ่ออัลฟอนโซ โกเซนตีโน คุณพ่อเจ้าวัดวัดแม่พระปีเอต้า และพระสงฆ์จำนวนมาก ภายหลังจากมิสซาแล้ว พระมารดาก็ทรงประจักษ์มาหาทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย ตลอดการประจักษ์สีหน้าของวินเซนโซอยู่ในความสงบ แต่เมื่อถึงช่วงที่พระมารดาทรงอำลา
สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง ที่สุดเขาก็ปล่อยโฮออกมา เหมือนคนๆหนึ่งต้องจากจากคนที่เขารักมากกว่าสิ่งใดในโลก การประจักษ์ของพระมารดาเจ้าที่โกรเซียหยุดลงแค่นี้ ปัจจุบันวัดแม่พระปีเอต้ากลายเป็นที่แสวงบุญของผู้ที่เชื่อว่า ครั้งหนึ่งพระรูปแม่พระวัดนี้ได้กลับมามีชีวิตและขอน้ำดื่มจากเด็กทั้งสอง ผู้ปัจจุบันมีชีวิตเช่นคนธรรมดา
การประจักษ์กินระยะเวลาห้าปี จึงจบลงในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ.1992 วันนั้นมิสซาเย็นมีประธานคือคุณพ่อลุยจี ที่พึ่งได้รับการรักษาอย่างงน่าอัศจรรย์จากโรคหลอดเลือดในสมอง ร่วมกับคุณพ่ออัลฟอนโซ โกเซนตีโน คุณพ่อเจ้าวัดวัดแม่พระปีเอต้า และพระสงฆ์จำนวนมาก ภายหลังจากมิสซาแล้ว พระมารดาก็ทรงประจักษ์มาหาทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย ตลอดการประจักษ์สีหน้าของวินเซนโซอยู่ในความสงบ แต่เมื่อถึงช่วงที่พระมารดาทรงอำลา
สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง ที่สุดเขาก็ปล่อยโฮออกมา เหมือนคนๆหนึ่งต้องจากจากคนที่เขารักมากกว่าสิ่งใดในโลก การประจักษ์ของพระมารดาเจ้าที่โกรเซียหยุดลงแค่นี้ ปัจจุบันวัดแม่พระปีเอต้ากลายเป็นที่แสวงบุญของผู้ที่เชื่อว่า ครั้งหนึ่งพระรูปแม่พระวัดนี้ได้กลับมามีชีวิตและขอน้ำดื่มจากเด็กทั้งสอง ผู้ปัจจุบันมีชีวิตเช่นคนธรรมดา
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
พระแท่นที่พระมารดาพระเจ้าในปัจจุบัน
วัดในปัจจุบัน
เชิญรับชมวิดีทัศน์การประจักษ์ครั้งนี้
นาทีที่ 23.02 แม่พระทรงกรรแสงนาทีที่ 23.49 อัศจรรย์ดวงอาทิตย์
นาทีที่ 23.57 อัศจรรย์ดวงดาว
นาทีที่ 25.33 การประจักษ์ของปีศาจ
นาที่ที่ 34.08 วินเซนโซร่วมพระมหาทรมาน