บทที่ 8 ความเหมือนอย่างประหลาด
การประจักษ์ในลา ซาแลต เกิดขึ้นในอีก 12 ปีถัดมาหลังจากการปรากฏของสตรีปริศนาในวัลมาลา ซึ่งเมื่อลองพินิจพิจารณาดีแล้วๆ การประจักษ์สองครั้งนี้ก็มีความคล้ายคลึงกันนัก เริ่มตั้งแต่
ทั้งลา ซาแลต และวัลมาลาต่างตั้งอยู่บนไหล่ของเทือกเขาแอลป์ในประเทศของตน ข้อต่อมา
ในการประจักษ์ทั้งสองที่พระมารดาพระเจ้าต่างทรงกรรแสงและไม่ได้เอ่ยนามของพระนางตลอดการประจักษ์
ข้อสามชื่อของสักสถานทั้งสองแห่งนี้มีชื่อที่คล้ายคลึงกัน
ในวัลมาลา สักการสถานมีนามว่า ‘พระมารดาแห่งความเมตตา’ ส่วนในลา ซาแลตสักการสถานมีนามว่า ‘ผู้ไกล่เกลี่ยของคนบาปในฝรั่งเศส’และสุดท้ายดั่งที่เกริ่นไว้ระยะห่างระหว่างการประจักษ์ที่วัลมาลาห่างจากการะประจักษ์ที่ลาซาแลต 12 ปี และระยะห่างระหว่างการประจักษ์ที่ลาซาแล็ตถึงการประจักษ์ที่ลูร์ดเท่ากับ 12 ปี ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า
สามการประจักษ์นี้คือวัลมาลา ลาซาแลต และลูร์ดมีระยะห่างแต่ละอันเท่ากัน
บทที่ 9 ปัจฉิมบท
หลังการมาเยือนจากของราชินีสวรรค์ เด็กหญิงทั้งสี่ก็ใช้ชีวิตกันอย่างเงียบๆ กระทั้งโตพอก็ต่างพากันแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ตามที่ต่างๆในบริเวณนั้น ทุกคนต่างยืนยันถึงความจริงของการประจักษ์นี้ตราบจนวันสุดท้ายของทุกคน หนึ่งในนั้นก็คือ มารีอา คิอ็อตตี ซึ่งมีอายุยืนที่สุดในกลุ่มของเด็กทั้งสี่ เธอสิ้นใจในปี ค.ศ.1899 ผู้ที่ชาวบ้านในละแวกต่างจำได้ดีเพราะเธอจะตื่นแต่เช้าและเริ่มร่วมชั่วโมงทุกวันเพื่อไปร่วมมิสซา
เมื่อเธอถูกถามว่าเธอคิดว่าความหมายของการกรรแสงของพระมารดาที่เธอได้เห็นคืออะไร “คุณต้องสวดให้มากๆ เพราะมีวิญญาณมากมายไปยังนรกดุจหิมะในหน้าหนาว” นี่คือคำตอบของเธอ
หลังจากนั้นในวันอาทิตย์แรกของเดือนสิงหาคม ค.ศ.1946 ฯพณฯ เอยีดีโอ ลุยจิ ลันโซ พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลซาลูซโซ ก็ได้ประกอบพิธีสวมมงกุฎแก่พระรูป และสถาปนาแม่พระแห่งวัลมาลาเป็น ‘ราชินีแห่งสังฆมณฑล’ หลังจากนั้นในระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1949 พระรูปก็ได้รับการแห่จาริกไปทุกเขตวัดในสังฆมณฑล
จบบริบูรณ์
ฯพณฯ เอยีดีโอ ลุยจิ ลันโซ
คนส่งจดหมายแปล-เรียบเรียง