บทที่ 12 สักวันฉันจะได้เห็น
เราอาจกล่าวได้เลยว่าแม้จะมีอัศจรรย์มากมายเกิดขึ้นที่แซงต์ โบซิลล์ เดอ ลา ซิลเวอ แต่อัศจรรย์ประการเดียวที่สำคัญที่สุด ที่เกิดขึ้น ณ ที่นี่ ก็คือ การกลับใจของนายโอกุสต์ ผู้เปลี่ยนชีวิตอาศัยพระหรรษทานจากสวรรค์ จากแต่เดิมที่เป็นคริสตชนใจเฉื่อยชา ให้กลับเป็นคริสตชนใจร้อนรน ผู้มีชีวิตเป็นแบบอย่าง ผู้รักแม่พระอย่างสุดใจ ผู้มั่นรับศีล
ผู้แม้ในช่วงปี ค.ศ.1905 การสร้างสักการสถานจะต้องชะลอ เพราะพระศาสนจักรจะถูกเบียดเบียนต่างๆนานาจากผลของกฎหมายแยกศาสนาออกจากรัฐ และภรรยาที่รัก ลูกสาวทั้งสาม และลูกชายที่ได้บวชเป็นพระสงฆ์จะมาเสียชีวิตไป ก็มิได้หันเหออกจากพระเจ้าหรือท้อแท้ใจ
ผู้ตรงกันข้ามกลับยังคงมุ่งก้าวเดินต่อไปด้วยแสงสว่างของพระเจ้า โดยไร้ซึ่งความท้อแท้แท้ แม้นเพียงปลายก้อยในความคิด
ผู้มีใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสดใสและสันติอันสะท้อนออกมาจากส่วนลึกของวิญญาณที่เปี่ยมสันติ ไม่ว่าเวลาไหนในความทรงจำของคนหลายคนเสมอ
โอกุสต์ดำเนินชีวิตดั่งกล่าวมาข้างต้นกระทั้งมีวัย 92 ปี ในปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1936 เขาก็ล้มป่วยลง ดังนั้นในวันที่ 27 มกราคม เขาจึงได้รับศีลเจิมคนไข้ และที่สุดภายหลังจากฮัมเพลง ‘ฌีเร ลา วัว อัน ฌู’ หรือเพลงสักวันฉันจะได้เห็นจบแล้ว ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ปีนั้นเอง เขาก็ได้คืนชีวิตไปหาพระเป็นเจ้าอย่างสงบด้วยวัยรวม 92 ปี
ร่างของเขาถูกฝัง ณ สถานที่ที่พระมารดาพระเจ้าทรงมาหาเขา ใกล้ๆวัดน้อยที่เขาได้ตั้งนามว่า ‘วัดพระมารดาแห่งวันอาทิตย์’ ท่ามกลางผู้คนร่วมงานจำนวนมากมายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พร้อมคำสลักจากรึกว่า “ณ แทบพระบาทของพระนางพรหมจารีที่เขารักและรับใช้อย่างสัตย์ซื่อ ที่นี่ในการรอคอยการกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์คือร่างของโอกุสต์ อาร์โนด ผู้พักผ่อนอย่างศักดิ์สิทธิ์ในสันติขององค์พระผู้เป็นเจ้าในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1936 ด้วยอายุ 92 ปี”
จบบริบูรณ์