หน้า 1 จากทั้งหมด 1

“พลังแห่งพระวาจา” 14 มี.ค. 2019

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 14, 2019 3:00 pm
โดย rosa-lee
“พลังแห่งพระวาจา”
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2019
อาทิตย์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

ผลึกการไตร่ตรองพระวาจาพระเจ้า ผลกระทบต่อชีวิตของข้าพเจ้า
By: Br. Francis Xavier Rerkchai Panuphan, ofm.

“พระบิดาเจ้าสวรรค์จะประทานสิ่งดีๆ แก่ผู้ที่วอนของพระองค์...” (เทียบ มธ 7:7-12)

ความรัก ไม่ได้หมายถึงการให้ทุกสิ่งที่ต้องการ
แต่ความรักนั้นรอบรู้ทุกอย่าง
และความรักนั้น ย่อมมอบให้ซึ่งสิ่งที่มีค่า
และมีประโยชน์ที่สุดกับผู้ที่รักเสมอ

พระเจ้าคือสิ่งนั้น
พระองค์คือองค์ความรัก
คือความรักเยี่ยงบิดาที่แสนดี...

วันนี้ฉันรักพระเจ้าเพราะสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้
หรือฉันรักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของฉัน...

________________

เมื่อครั้งศึกษาอยู่ที่กรุงโรม เมื่อได้ต้องเรียนวิชาคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกฉบับใหม่ ผมเคยรู้สึกทึ่งมากในหนังสือคำสอนที่แบ่งออกเป็นสี่ภาค และด้วยการเรียนที่นั่น พวกเรามีโอกาสอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ หอพักที่เราพักนั้น เป็นที่ที่ถูกจัดไว้ให้เพื่อรักษาและส่งเสริมชีวิตจิตของพวกเราเป็นอย่างดี พวกเราจึงมีเวลาเรียน มีเวลารำพึงภาวนา และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในการส่งเสริมความรักความศรัทธาในพระเจ้า และเจิรญชีวิตในความวางใจในพระองค์... การศึกษาและการได้มีโอกาสภาวนา รำพึงไตร่ตรองทุกวันนั้น ทำให้ผมสังเกตว่า คำสอนภาคที่หนึ่งนั้นยากเหลือเกิน แต่เรียกร้องความเชื่อที่เรายังคงเป็นเด็กเกินไปเสมอ ที่อาจจะไม่สามารถเข้าใจอะไรเกี่ยวกับพระเจ้าได้ทั้งหมด นอกจากเชื่อในพระองค์เท่านั้น และจากความเชื่อในภาคที่หนึ่ง นำผมให้เจริญชีวิตแสดงออกในการเฉลิมฉลองในพิธีกรรม ซึ่งเป็นคำสอนภาคที่สอง และจากนั้น สิ่งที่ตามมา ทำให้ผมเกิดคำถามต่อไปว่า หากพระเจ้าเป็นความดีบริบูรณ์แล้ว พิธีกรรมคงไม่ได้มีค่าอะไรที่เราจะทำถวายแด่พระองค์แล้วก็จบที่ตรงนั้น แต่มันต้องก้าวเดินต่อไป จากพิธีกรรมไปสู่ชีวิต ซึ่งนั้นคือคำสอนภาคที่สามครับ คือความรักและความศรัทธาต่อพระเจ้าที่เรามีนั้น ต้องนำให้เกิดการแสดงออกไปสู่ชีวิตที่รักพระเจ้าและรักเพื่อนพี่น้องครับ และนั่นคือคำสอนที่เรียกร้องความเชื่อจากหัวใจที่สุดอีกครั้ง ให้ออกมาสู่การปฏิบติต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง คือคำสอนด้านศีลธรรมของพระศาสนจักร ที่หลายครั้งเราก็ถามดังที่บางคนถามผมเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว ว่ามันจริงจังมากเกินไปหรือเปล่า เครียดมากเกินไปหรือเปล่า พระศาสนจักรคิดอะไรมากมายและละเอียดอ่อนขนาดนั้น จนหลายครั้ง เราก็รู้สึกว่านี่เป็นภาระหนักเหลือเกินของการเป็นคริสตชน ที่เราดูจะมีมาตรฐานสูงกว่าคนอื่นๆ เขาอ่ะ... แต่ แต่ แต่ ความกังวลนี้ก็มาจบที่คำสอนภาคสุดท้าย คือภาคที่สี่ ที่แม้จะสั้นที่สุดกว่าภาคแรกๆ แต่ว่าคือแนวทางของพลังแห่งความเชื่อที่ทำให้เราเข้มแข็ง และพร้อมที่จะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะภาคที่สี่นี้ พูดถึงเรื่องการภาวนาครับ และในครึ่งหนึ่งของเนื้อหา ก็พูดเรื่องบทข้าแต่พระบิดา บทภาวนาที่พระเยซูเจ้าทรงสอน ที่เราได้ไตร่ตรองในวันอังคารที่ผ่านมา และเป็นสิ่งที่ทำให้เราใจชื้นขึ้นบ้าง หลังจากเจอแรงผลักดันที่หนักหน่วงในวันจันทร์ นั่นคือการที่เราต้องเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นคนดีพร้อมดังพระบิดาเจ้าสวรรค์ และเราก็ฉงนว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร... คำว่า พระเจ้าผู้ทรงเป็นบิดานี่เอง ที่นำความอบอุ่นใจมาให้เป็นที่สุด

วานนี้ เราก็ถูกเรียกร้องจากพระวาจาของพระเจ้าอีก เพื่อให้เราเจริญชีวิตอย่างเข้มข้นตามคำสอนภาคที่สาม นั่นคือจริยธรรมของลูกของพระเจ้า การเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนดีและได้รับความรอดพ้นแต่เพียงผู้เดียว แต่หมายความว่า เรายังต้องนำผู้อื่นให้รอดพ้น นำโลกทั้งโลกให้รอดพ้นด้วย แล้วเราจะทำอย่างไร หากข้อเรียกร้องของการเป็นลูกของพระเจ้าช่างหนักหนาเหลือเกิน และหลายครั้ง ความซื่อตรงต่อหน้าที่ของการเป็นลูกพระนั้น มันทำให้เราถูกโลกปองร้ายเหมือนกับบรรยากาศชีวิตของพระนางเอสเธอร์ในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ ที่นับว่ายังเป็นความโชคดี ที่ความเชื่อนำให้หัวใจของพระนางเข้าพึ่งพระเจ้า พระนางวอนขอตามประสามนุษย์ แต่ประโยคสุดท้ายของบทอ่านวันนี้น่ารักจริงๆ นั่นคือ “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรอบรู้ทุกอย่าง” คือพระองค์ทรงเป็นบิดาที่รู้ว่าอะไรคือความจำเป็นจริงๆ สำหรับลูกของพระองค์...

พระวรสารยังบอกเราอีกว่า “จงขอแล้วจะได้ จงแสวงหาแล้วก็จะพบ จงเคาะประตู แล้วก็จะมีคนเปิดให้...” แต่ฉันจะไดทุกสิ่งที่ฉันวอนขอจากพระเจ้าหรือ ฉันจะพบทุกสิ่งที่ฉันต้องการหรือ... เราพบคำตอบที่ทำให้เรามั่นใจและเข้าใจเสมอว่า ต่อพระพักตร์พระเจ้า เรายังคงเป็นเด็กเล็กๆ เสมอ ที่ไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้ทั้งหมด เราขอ เราอยากได้ทุกสิ่ง ตามความคิด ความรู้สึก และความปรารถนาของเรา และหลายครั้ง เราก็อาจจะกำลังอยากได้สิ่งที่เป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณ และเพราะ “พระบิดาเจ้าสวรรค์จะประทานสิ่งดีๆ แก่ผู้ที่วอนของพระองค์...” (เทียบ มธ 7:7-12) หมายความว่า ด้วยความเป็นพ่อที่แสนดี พระองค์จะไม่ให้เราหรอก ในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณของเรา แต่พระองค์จะเตรียมไว้ให้เรา ในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเราและต่อจิตวิญญาณของเราเสมอ

พี่น้องที่รักครับ จิตตารมณ์ และวิถีชีวิตของการเป็นคริสตชน คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก แต่สิ่งสำคัญที่ความเชื่อของเราต้องแสดงออกคือ ความรักและความวางใจในพระเจ้า อันเป็นฤทธิ์กุศลที่เราต้องหมั่นวอนขอจากพระเจ้า เพื่อเราจะสามารถน้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา แม้เราจะไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ความเชื่อ ความรัก และความวางใจเท่านั้น จะทำให้เราอบอุ่น และมีความสุขในพระประสงค์ของพระองค์ ที่แม้เราจะไม่สามารถเข้าใจได้ก็ตาม

ข้าแต่พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นบิดาของข้าพเจ้า พระองค์ทรงรอบรู้ทุกอย่าง พระองค์ทรงเป็นบิดาที่แสนดี ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเชื่อ รัก และวางใจในพระองค์ ข้าพเจ้ารักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ไม่ใช่เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงประทานตามคำวอนขอของข้าพเจ้าทุกอย่าง แต่ข้าพเจ้าสุขใจ ที่มีพระองค์ทรงเป็นบิดา.

ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรและประทานสันติสุข