“ดูเถิดเรากำลังยืนเคาะประตู”

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 14, 2019 3:27 pm

บทความที่ดี...แชร์มาค่ะ

“ดูเถิด เรากำลังยืนเคาะประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหารร่วมกับเขาเขาจะกินอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3 : 20)
แต่ละคนมีความสามารถทำโลกให้ดีขึ้น ให้เป็นที่มีความหวังพึ่งผู้อื่นอาศัยได้ มิใช่สิ่งที่ไกลจนไปไม่ถึง แม้เรากำลังเผชิญความวุ่นวายในสังคม เหตุว่าพระเป็นเจ้าได้จัดเตรียมหนทางให้แต่ละคนไว้แล้ว
พระเป็นเจ้าประสงค์ให้เราเป็นช่องทางแห่งพระพร มิเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนในสังคม การปรับคลื่นสู่พระประสงค์ของพระเจ้า และพยายามปฏิบัติคุณธรรมในชีวิตประจำวัน เราสามารถแสดงพลังแห่งจิตวิญญาณในโลกฝ่ายวัตถุได้ แม้ในกิจการบริการเล็กน้อยที่สุด เราก็สามารถเริ่มเห็นแสงพระสิริรุ่งโรจน์ฉายออกมาจากชีวิตของเรา พระเจ้าทรงยืนพร้อมจะเข้ามาในชีวิตของเรา เพียงแต่ละคนต้องเปิดประตูแห่งสติรอไว้
สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า
พระผู้สร้างย่อมรู้จักบุคลิกของเรา เราก็สามารถรู้จักพระเจ้า ทรงมีพระประสงค์ให้เรามีประสบการณ์ว่าเราอยู่เฉพาะพระพักตร์ เราจึงสามารถบอกพระองค์ว่าเราต้องการอะไร คือยอมให้ความรักของพระองค์เข้ามาผ่านเราไปสู่ชีวิตของคนอื่น
ชีวิตจิตเป็นการดำเนินชีวิตที่ปรับคลื่นของเราให้เป็นไปตามพระประสงค์ ให้เป็นแสงสว่างแห่งความหวัง และให้กำลังใจแก่ผู้อื่น เพื่อสร้างความสัมพันธ์นี้กับพระเป็นเจ้า มีข้อแนะนำ 3 ประการคือ ทุกวันให้อธิษฐานภาวนา รำพึงไตร่ตรองชีวิต และบริการ
การอธิษฐานภาวนา คือการเชิญพระเจ้ามาทำงานในตัวเรา
การรำพึงไตร่ตรองชีวิต คือการจัดความคิดให้ตระหนักรู้แบบพระคริสต์ในชีวิตของเรา ฟังว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใดภายในจิตของเรา
บริการ เมื่อเรากลายเป็นช่องทางแห่งพระพรในสังคม การปรับคลื่นชีวิตจิต ช่วยเราให้พร้อมบริการผู้อื่น อย่างเต็มความสามารถ
การมีสติแบบพระคริสต์ เปรียบเป็นประตูเปิดสู่พระเป็นเจ้า พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราอยู่เฉพาะพระพักตร์ โดยกลายเป็นช่องทางแห่งความรักของพระองค์สู่คนอื่น พระองค์แสวงหาหนทางสนิทสัมพันธ์กับเรา แม้เราไม่ค่อยมีเวลาฟัง แต่หากเรามีสติแบบพระคริสต์ในประสบการณ์ชีวิตประจำวัน การเปิดประตูใจอยู่เฉพาะพระพักตร์ ตระหนักว่าเราเป็นหนึ่งกับพระองค์ ด้วยความคิดและการกระทำ เราก็กลายเป็นช่องทางแห่งพระพรสำหรับคนอื่น เราจะเป็นผู้นำแสงสว่าง สู่ผู้กำลังอยู่ในความมืด
พระเยซูเจ้าเปรียบเสมือนพี่ชายคนโต ชีวิตของพระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตในสังคม พระองค์สอนเราว่า “เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยอห์น 10: 30) ทรงตระหนักถึงความสัมพันธ์กับพระบิดา สนพระทัยในความต้องการของผู้อื่นก่อน และพยายามบริการช่วยเหลือทุกคน การพยายามปฏิบัติเช่นนี้ พระองค์จึงเป็น “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” ทรงเป็นช่องทางแห่งพระพรสู่คนอื่น
มีทัศนคติไม่เห็นแก่ตัว ความผิดยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราพบคือ การเห็นแก่ตัว ด้วยเหตุนี้เราต้องพยายามตระหนักถึงจุดประสงค์ชีวิตของเราบนโลกใบนี้ อย่าแสวงหาความสะดวกสบาย แต่ความไม่เห็นแก่ตัวมิได้หมายความว่าไม่คิดถึงตนเอง หรือตนไม่มีคุณค่า แต่หมายความว่า การยอมให้ตนเป็นช่องทางแห่งพระพรแบบที่พระคริสตเจ้าทรงกระทำ ทุกคนสามารถใช้พระพรในทัศนคติเช่นนี้ ทีละวันสัมพันธ์กับคนอื่น
โดยสรุป เมื่อรู้ว่าเราเป็นใคร เราจะสัมพันธ์กับคนอื่น เราเป็นบุตรพระเจ้า เราตระหนักถึงพระพรแห่งความรัก และอยู่เฉพาะพระพักตร์ เราจะพยายามทำดีที่สุด เป็นช่องแห่งความรัก ด้วยการรับใช้ช่วยเหลือผู้ที่เราพบ สังคมจะน่าอยู่ขึ้น
การอธิษฐานภาวนา การไตร่ตรองชีวิต และบริการ จะช่วยแก้ไขสถานการณ์วุ่นวาย และช่วยเปิดประตูสู่อาณาจักรของพระเจ้า
เราจะเข้าไปกินอาหารร่วมกับเขา

เขาจะกินอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3 : 20)

แต่ละคนมีความสามารถทำโลกให้ดีขึ้น ให้เป็นที่มีความหวัง ซึ่งผู้อื่นอาศัยได้ มิใช่สิ่งที่ไกลจนไปไม่ถึง แม้เรากำลังเผชิญความวุ่นวายในสังคม เหตุว่าพระเป็นเจ้าได้จัดเตรียมหนทางให้แต่ละคนไว้แล้ว

พระเป็นเจ้าประสงค์ให้เราเป็นช่องทางแห่งพระพร มิเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนในสังคม การปรับคลื่นสู่พระประสงค์ของพระเจ้า และพยายามปฏิบัติคุณธรรมในชีวิตประจำวัน เราสามารถแสดงพลังแห่งจิตวิญญาณในโลกฝ่ายวัตถุได้ แม้ในกิจการบริการเล็กน้อยที่สุด เราก็สามารถเริ่มเห็นแสงพระสิริรุ่งโรจน์ฉายออกมาจากชีวิตของเรา พระเจ้าทรงยืนพร้อมจะเข้ามาในชีวิตของเรา เพียงแต่ละคนต้องเปิดประตูแห่งสติรอไว้

สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า

พระผู้สร้างย่อมรู้จักบุคลิกของเรา เราก็สามารถรู้จักพระเจ้า ทรงมีพระประสงค์ให้เรามีประสบการณ์ว่าเราอยู่เฉพาะพระพักตร์ เราจึงสามารถบอกพระองค์ว่าเราต้องการอะไร คือยอมให้ความรักของพระองค์เข้ามาผ่านเราไปสู่ชีวิตของคนอื่น

ชีวิตจิตเป็นการดำเนินชีวิตที่ปรับคลื่นของเราให้เป็นไปตามพระประสงค์ ให้เป็นแสงสว่างแห่งความหวัง และให้กำลังใจแก่ผู้อื่น เพื่อสร้างความสัมพันธ์นี้กับพระเป็นเจ้า มีข้อแนะนำ 3 ประการคือ ทุกวันให้อธิษฐานภาวนา รำพึงไตร่ตรองชีวิต และบริการ

การอธิษฐานภาวนา คือการเชิญพระเจ้ามาทำงานในตัวเรา

การรำพึงไตร่ตรองชีวิต คือการจัดความคิดให้ตระหนักรู้แบบพระคริสต์ในชีวิตของเรา ฟังว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใดภายในจิตของเรา

บริการ เมื่อเรากลายเป็นช่องทางแห่งพระพรในสังคม การปรับคลื่นชีวิตจิต ช่วยเราให้พร้อมบริการผู้อื่น อย่างเต็มความสามารถ

การมีสติแบบพระคริสต์ เปรียบเป็นประตูเปิดสู่พระเป็นเจ้า พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราอยู่เฉพาะพระพักตร์ โดยกลายเป็นช่องทางแห่งความรักของพระองค์สู่คนอื่น พระองค์แสวงหาหนทางสนิทสัมพันธ์กับเรา แม้เราไม่ค่อยมีเวลาฟัง แต่หากเรามีสติแบบพระคริสต์ในประสบการณ์ชีวิตประจำวัน การเปิดประตูใจอยู่เฉพาะพระพักตร์ ตระหนักว่าเราเป็นหนึ่งกับพระองค์ ด้วยความคิดและการกระทำ เราก็กลายเป็นช่องทางแห่งพระพรสำหรับคนอื่น เราจะเป็นผู้นำแสงสว่าง สู่ผู้กำลังอยู่ในความมืด

พระเยซูเจ้าเปรียบเสมือนพี่ชายคนโต ชีวิตของพระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตในสังคม พระองค์สอนเราว่า “เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยอห์น 10: 30) ทรงตระหนักถึงความสัมพันธ์กับพระบิดา สนพระทัยในความต้องการของผู้อื่นก่อน และพยายามบริการช่วยเหลือทุกคน การพยายามปฏิบัติเช่นนี้ พระองค์จึงเป็น “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” ทรงเป็นช่องทางแห่งพระพรสู่คนอื่น

มีทัศนคติไม่เห็นแก่ตัว ความผิดยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราพบคือ การเห็นแก่ตัว ด้วยเหตุนี้เราต้องพยายามตระหนักถึงจุดประสงค์ชีวิตของเราบนโลกใบนี้ อย่าแสวงหาความสะดวกสบาย แต่ความไม่เห็นแก่ตัวมิได้หมายความว่าไม่คิดถึงตนเอง หรือตนไม่มีคุณค่า แต่หมายความว่า การยอมให้ตนเป็นช่องทางแห่งพระพรแบบที่พระคริสตเจ้าทรงกระทำ ทุกคนสามารถใช้พระพรในทัศนคติเช่นนี้ ทีละวันสัมพันธ์กับคนอื่น

โดยสรุป เมื่อรู้ว่าเราเป็นใคร เราจะสัมพันธ์กับคนอื่น เราเป็นบุตรพระเจ้า เราตระหนักถึงพระพรแห่งความรัก และอยู่เฉพาะพระพักตร์ เราจะพยายามทำดีที่สุด เป็นช่องแห่งความรัก ด้วยการรับใช้ช่วยเหลือผู้ที่เราพบ สังคมจะน่าอยู่ขึ้น

การอธิษฐานภาวนา การไตร่ตรองชีวิต และบริการ จะช่วยแก้ไขสถานการณ์วุ่นวาย และช่วยเปิดประตูสู่อาณาจักรของพระเจ้า อาแมน
ตอบกลับโพส