ศาสนาในโลก...
จำนวนประชากรในโลกมีประมาณ 6,000 ล้านคน (ในจำนวนนี้จำนวนผู้ชายน้อยกว่าจำนวนผู้หญิงเล็กน้อย)
ประชากรประมาณ 3,900 ล้านคนนับถือศาสนาใหญ่ที่เชื่อว่ามีพระเจ้า
จำนวน 2,000 ล้านคนนับถือศาสนาคริสต์ (ศาสนาพระเจ้าองค์เดียว)
จำนวน 1,300 ล้านคนนับถือศาสนาอิสลาม (ศาสนาพระเจ้าองค์เดียว)
จำนวน 600 ล้านคนนับถือศาสนาฮินดู (ศาสนาพระเจ้าหลายองค์)
ประชากรประมาณ 390 ล้านคนนับถือพระพุทธศาสนา (รวมทุกนิกายทั้งหินยานแบบไทย พม่า ลาว ศรีลังกา และมหายานแบบจีน ญี่ปุ่น ธิเบต เวียดนาม...)
ประชากรที่เหลืออีกประมาณ 1,700 ล้านคน ส่วนหนึ่งนับถือศาสนาเล็กๆเฉพาะกลุ่มบ้าง (บางศาสนาเชื่อพระเจ้า บางศาสนาไม่เชื่อพระเจ้า), อีกส่วนหนึ่งไม่มีศาสนาที่ชัดเจน ในจำนวนที่ไม่ถือศาสนาที่ชัดเจนนี้เป็นพวกนับถือเหตุผลตามหลักปรัชญาของนักคิดสายต่างๆ บ้าง ถือหลักยึดตนเองบ้าง นับถือเหตุผลและศักยภาพของวิทยาศาสตร์และหลักความคิดแบบสมัยใหม่บ้าง นับถือเทพนับถือผีต่างๆซึ่งรวมถึงวิญญาณของวีรบุรุษต่างๆบ้าง นับถือวัฏฏจักรของธรรมชาติบ้าง นับถือไสยศาสตร์บ้าง กระจายกันไปในส่วนต่างๆของโลก.
จะเห็นได้ว่ามีคนถึงประมาณ 28% ที่ไม่มีศาสนาที่ชัดเจน และมีเพียง 6.5% เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาซึ่งไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า ในขณะที่มีคนประมาณ 65% ของโลกที่นับถือศาสนาที่เชื่อในพระเจ้า...
ที่มา
หนังสือเนชั่นแนลจีออกราฟฟิค ฉบับเดือนธันวาคม 2544
ประชากรประมาณ 3,900 ล้านคนนับถือศาสนาใหญ่ที่เชื่อว่ามีพระเจ้า
จำนวน 2,000 ล้านคนนับถือศาสนาคริสต์ (ศาสนาพระเจ้าองค์เดียว)
จำนวน 1,300 ล้านคนนับถือศาสนาอิสลาม (ศาสนาพระเจ้าองค์เดียว)
จำนวน 600 ล้านคนนับถือศาสนาฮินดู (ศาสนาพระเจ้าหลายองค์)
ประชากรประมาณ 390 ล้านคนนับถือพระพุทธศาสนา (รวมทุกนิกายทั้งหินยานแบบไทย พม่า ลาว ศรีลังกา และมหายานแบบจีน ญี่ปุ่น ธิเบต เวียดนาม...)
ประชากรที่เหลืออีกประมาณ 1,700 ล้านคน ส่วนหนึ่งนับถือศาสนาเล็กๆเฉพาะกลุ่มบ้าง (บางศาสนาเชื่อพระเจ้า บางศาสนาไม่เชื่อพระเจ้า), อีกส่วนหนึ่งไม่มีศาสนาที่ชัดเจน ในจำนวนที่ไม่ถือศาสนาที่ชัดเจนนี้เป็นพวกนับถือเหตุผลตามหลักปรัชญาของนักคิดสายต่างๆ บ้าง ถือหลักยึดตนเองบ้าง นับถือเหตุผลและศักยภาพของวิทยาศาสตร์และหลักความคิดแบบสมัยใหม่บ้าง นับถือเทพนับถือผีต่างๆซึ่งรวมถึงวิญญาณของวีรบุรุษต่างๆบ้าง นับถือวัฏฏจักรของธรรมชาติบ้าง นับถือไสยศาสตร์บ้าง กระจายกันไปในส่วนต่างๆของโลก.
จะเห็นได้ว่ามีคนถึงประมาณ 28% ที่ไม่มีศาสนาที่ชัดเจน และมีเพียง 6.5% เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาซึ่งไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า ในขณะที่มีคนประมาณ 65% ของโลกที่นับถือศาสนาที่เชื่อในพระเจ้า...
ที่มา
หนังสือเนชั่นแนลจีออกราฟฟิค ฉบับเดือนธันวาคม 2544
เห็นมีดาราหรือคนมีชื่อเสียงหลาย ๆ คน พอให้สัมภาษณ์เรื่องความเชื่อ ก็บอกว่าตนนั้นไม่เชื่อหรือไม่นับถือศาสนาหรือความเชื่ออะไรเป็นพิเศษ ประมาณว่ารับและไม่ยึดติดกับทุกศาสนา เพราะการนับถือศาสนาอะไรเท่ากับเราเป็นอย่างที่ศาสนานั้น ๆ อยากให้เป็น แต่การเปิดกว้างแบบนี้ทำให้สามารถเรียนรู้ได้เยอะจากหลักคติธรรมดี ๆ ของทุกศาสนา
อืมมม เห็นคนรุ่นใหม่บางคนมีความคิดแบบนี้เหมือนกันแฮะ พวกเขาคิดว่าการรับหมด ไม่ยึดติดหมดแบบนี้ดูแล้วเป็นคนหัวทันสมัยรึไงน้า
อืมมม เห็นคนรุ่นใหม่บางคนมีความคิดแบบนี้เหมือนกันแฮะ พวกเขาคิดว่าการรับหมด ไม่ยึดติดหมดแบบนี้ดูแล้วเป็นคนหัวทันสมัยรึไงน้า
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ขอบคุณฮะ พี่ เซนต์พอล
คำถามของเจี๊ยบ ถ้าคน นับถือ ทั้ง เงิน และพระเจ้า เราจะเรียกกลุ่มนี้ว่าอย่างไรคร้าบบบบบ :-[
คำถามของเจี๊ยบ ถ้าคน นับถือ ทั้ง เงิน และพระเจ้า เราจะเรียกกลุ่มนี้ว่าอย่างไรคร้าบบบบบ :-[
-
- โพสต์: 659
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 10, 2005 2:01 pm
- ที่อยู่: I believe in God...
พูดได้ถูกใจมากเลยครับท่าน !! คนกลุ่มนี้นะตามความคิดเห็นผม เป็นคนโลภ แสวงหาผลประโยชน์แก่ตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ของผู้อื่น แต่ก็ช่างเขาเถิดครับ เพราะว่าตายไปเข้าไปนรกแน่นอนถ้าเขาทำแบบนี้ต่อไป แต่ถ้ากลับใจเสียก่อน ก็คงไม่ตกนรกอย่างแน่นอนครับJeab Agape เขียน:
ขอบคุณฮะ พี่ เซนต์พอล
คำถามของเจี๊ยบ ถ้าคน นับถือ ทั้ง เงิน และพระเจ้า เราจะเรียกกลุ่มนี้ว่าอย่างไรคร้าบบบบบ :-[
-
- .
- โพสต์: 944
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 18, 2005 11:16 pm
อะโห..ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกแล้วค่ะ
ดีจังเลย
^__^
ดีจังเลย
^__^
ผมว่าหลายคนหลอกตัวเอง ว่าไม่มีศาสนา ไม่นับถืออะไร
แต่ความจริงแล้วจะเห็นได้ว่าเวาลามีปัญหา
หาทางออกไม่ได้ ก็วิ่งหาที่พึ่งทางใจกันทั้งนั้นแหล่ะครับ น่าสงสาร
แต่ความจริงแล้วจะเห็นได้ว่าเวาลามีปัญหา
หาทางออกไม่ได้ ก็วิ่งหาที่พึ่งทางใจกันทั้งนั้นแหล่ะครับ น่าสงสาร
-
- .
- โพสต์: 944
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 18, 2005 11:16 pm
^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
จริงค่ะ. . . .คนเราถ้าสุขสบายใจก็มักจะไม่ค่อยคิดถึงพระ
แต่พอเดศร้าใจขึ้นมาค่อยหันหน้าเข้าวัดกลับมาหาพระ
. . . .
น่าจะคิดในทางกลับกันว่า ทีพระเป็นเจ้ายังอยู่กับเราทุกเวลา
เราก็น่าที่จะให้ความสำคัญและรักพระองค์ทุกเวลาเช่นเดียวกัน
^___^
จริงค่ะ. . . .คนเราถ้าสุขสบายใจก็มักจะไม่ค่อยคิดถึงพระ
แต่พอเดศร้าใจขึ้นมาค่อยหันหน้าเข้าวัดกลับมาหาพระ
. . . .
น่าจะคิดในทางกลับกันว่า ทีพระเป็นเจ้ายังอยู่กับเราทุกเวลา
เราก็น่าที่จะให้ความสำคัญและรักพระองค์ทุกเวลาเช่นเดียวกัน
^___^
ที่ดาราให้สัมภาษณ์ว่า ใจเปิดกว้าง นับถือทุกศาสนา คงพูดแบบกว้างๆกระมัง เหมือนพูด ไม่ยึดศาสนา อะไร มากกว่า พูดในทำนองว่าทุกศาสนาสอนให้เป็น คนดี ไปนู่น
ทำไม คนที่ถาม ไม่ถามต่อซิ ว่ารายละเอียดแต่ละศาสนา เป็นไง
คนที่จะขบคิดในรายละเอียด ต้องมีเวลา มีใจขบคิดหาเหตุผล ไม่มีภาระทางใจ อย่างนั้น เช่นผู้สูงอายุ เข้าวัด
หากยังยุ่งกับภาระกิจส่วนตัว หาทรัพย์สินและความมั่งคั่ง คงตอบว่าสั่งสอนให้เป็นคนดี เป็นอย่างนั้น ใครจะมีเวลามาขบคิด น่ายินดีกับหนุ่มสาว หลายคน ที่ได้ขบคิดตั้งแต่ หนุ่งสาว โดยเฉพาะเรื่องศาสนา และพบคำตอบแล้ว
ทำไม คนที่ถาม ไม่ถามต่อซิ ว่ารายละเอียดแต่ละศาสนา เป็นไง
คนที่จะขบคิดในรายละเอียด ต้องมีเวลา มีใจขบคิดหาเหตุผล ไม่มีภาระทางใจ อย่างนั้น เช่นผู้สูงอายุ เข้าวัด
หากยังยุ่งกับภาระกิจส่วนตัว หาทรัพย์สินและความมั่งคั่ง คงตอบว่าสั่งสอนให้เป็นคนดี เป็นอย่างนั้น ใครจะมีเวลามาขบคิด น่ายินดีกับหนุ่มสาว หลายคน ที่ได้ขบคิดตั้งแต่ หนุ่งสาว โดยเฉพาะเรื่องศาสนา และพบคำตอบแล้ว
เคยคิดเหมือนคุณ W เหมือนกันครับ ว่าสำคัญคือตายแล้วไปไหน
แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วครับ ยิ่งศึกษาศาสนาของผมลงไปลึกๆ ยิ่งเห็นแตกต่างจากตอนเชื่อใหม่ๆ
ตอนนี้เปลี่ยนเป็น สิ่งสำคัญคือตอนอยู่ทำในสิ่งที่เชื่อมากแค่ไหน ดีกว่าครับ :)
แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วครับ ยิ่งศึกษาศาสนาของผมลงไปลึกๆ ยิ่งเห็นแตกต่างจากตอนเชื่อใหม่ๆ
ตอนนี้เปลี่ยนเป็น สิ่งสำคัญคือตอนอยู่ทำในสิ่งที่เชื่อมากแค่ไหน ดีกว่าครับ :)
ใช่ครับ การกระทำตามความเชื่อ นั้น น่าสนใจ และยากกว่าที่พูดๆ กัน ยิ่งรักษาความเชื่อ ยิ่งยากกว่า เห็นความเห็นที่เว๊ปใหญ่ บอกว่า ที่มนุษย์เราแสวงหาพระเจ้า เนื่องจากมีกิเลส มิได้หมายความว่าเราถูกสร้างจากพระองค์
ก็เห็นหลายๆศาสนาส่วนใหญ่ ในโลก เป็นศาสนา ที่ มุ่งไปที่ พระเจ้าองค์เดียว นี่ก็หมายความว่า คนส่วนใหญ่ยังมีกิเลส
ก็เห็นหลายๆศาสนาส่วนใหญ่ ในโลก เป็นศาสนา ที่ มุ่งไปที่ พระเจ้าองค์เดียว นี่ก็หมายความว่า คนส่วนใหญ่ยังมีกิเลส
กิเลสเกี่ยวกับการนับถือพระเจ้าด้วยเหรอครับ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
คนบางคนต้องการการดับทุกข์ ดังนั้นจึงแสวงหาวิธีดับทุกข์ โดยการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวเอง สร้างกลไกทางความคิด เพื่อไม่ให้ความทุกข์สามารถกระทบเขาได้ และท้ายที่สุด หลายๆคนก็สามารถระงับความทุกข์นั้นได้
และผมก็โอเคกับตรงนั้น
แต่เพียงเพราะตัวเองดับทุกข์ได้ ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาคนอื่นจะผิด
สำหรับผม ผมจะไม่แปลกใจเลย ถ้าตายไปแล้วพบว่า พระเจ้ามีจริง และการดับทุกข์มีจริง เพราะทั้งสองอย่างไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด พระเจ้าบอกกับเราแล้วว่า ให้เราช่วยตัวเองให้มากที่สุด และที่เหลือพระองค์จะช่วยเอง ดังนั้น หากเราทุกข์มาก และต้องการที่จะดับทุกข์จริงๆ และพยายามด้วยตัวเอง ไม่เรียกร้องจากใคร จนในที่สุดก็ดับทุกข์ได้ ก็ไม่แปลกแต่อย่างใด
(แต่ต้องเน้นว่า ที่เกิดขึ้นนั้น อาจจะมีหรือไม่มีการช่วยจากพระเจ้าก็ได้ เพียงแต่สำหรับเจ้าตัวถือว่า เป็นการกระทำของตน)
เวลานั่งฟังชาวบ้านเถียงกัน เช่น หลายๆคนในพันทิบบอกว่า นิพพานมีจริง ดังนั้นพระเจ้าไม่มีจริง ผมคิดว่า เป็นตรรกะที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลกันเลย ออกไปในทางไร้สาระด้วยซ้ำ และคนที่มีตรรกะเช่นนี้หรือ ที่จะสามารถพิจารณาความสุขความทุกข์ ฯลฯ ตามที่พระบรมศาสดาสอนไว้ได้ เพราะแค่เรื่องง่ายๆสั้นๆแค่นี้ก็มองไม่ออก ว่าไม่เกี่ยวกันเลย
เหมือนกับผมบอกว่า เมื่อมีข้าว ย่อมไม่มีมันฝรั่งทอด ย่อมไม่มีมันฝรั่งบด ...
น่าอนาจใจจริงๆครับ
:)
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
คนบางคนต้องการการดับทุกข์ ดังนั้นจึงแสวงหาวิธีดับทุกข์ โดยการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวเอง สร้างกลไกทางความคิด เพื่อไม่ให้ความทุกข์สามารถกระทบเขาได้ และท้ายที่สุด หลายๆคนก็สามารถระงับความทุกข์นั้นได้
และผมก็โอเคกับตรงนั้น
แต่เพียงเพราะตัวเองดับทุกข์ได้ ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาคนอื่นจะผิด
สำหรับผม ผมจะไม่แปลกใจเลย ถ้าตายไปแล้วพบว่า พระเจ้ามีจริง และการดับทุกข์มีจริง เพราะทั้งสองอย่างไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด พระเจ้าบอกกับเราแล้วว่า ให้เราช่วยตัวเองให้มากที่สุด และที่เหลือพระองค์จะช่วยเอง ดังนั้น หากเราทุกข์มาก และต้องการที่จะดับทุกข์จริงๆ และพยายามด้วยตัวเอง ไม่เรียกร้องจากใคร จนในที่สุดก็ดับทุกข์ได้ ก็ไม่แปลกแต่อย่างใด
(แต่ต้องเน้นว่า ที่เกิดขึ้นนั้น อาจจะมีหรือไม่มีการช่วยจากพระเจ้าก็ได้ เพียงแต่สำหรับเจ้าตัวถือว่า เป็นการกระทำของตน)
เวลานั่งฟังชาวบ้านเถียงกัน เช่น หลายๆคนในพันทิบบอกว่า นิพพานมีจริง ดังนั้นพระเจ้าไม่มีจริง ผมคิดว่า เป็นตรรกะที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลกันเลย ออกไปในทางไร้สาระด้วยซ้ำ และคนที่มีตรรกะเช่นนี้หรือ ที่จะสามารถพิจารณาความสุขความทุกข์ ฯลฯ ตามที่พระบรมศาสดาสอนไว้ได้ เพราะแค่เรื่องง่ายๆสั้นๆแค่นี้ก็มองไม่ออก ว่าไม่เกี่ยวกันเลย
เหมือนกับผมบอกว่า เมื่อมีข้าว ย่อมไม่มีมันฝรั่งทอด ย่อมไม่มีมันฝรั่งบด ...
น่าอนาจใจจริงๆครับ
:)
W เขียน: และที่ว่า ศาสนาทุกศาสนา สั่งสอนให้เป็นคนดี คงดีไปไม่ได้หรอก หากเราไม่ปฎิบัติ เป็นแค่คำสอนดีๆ ให้เห็นว่ามีอยู่เท่านั้น ศาสนา,จริยธรรม อยู่ในใจ เราทุกคน มากบ้างน้อยบ้าง สิ่งสำคัญคือตายแล้วไปไหน ต่างหาก
ปุจฉา ครับท่าน
ในทางความเชื่อของคริสต์......ตายแล้วไปไหน และ ทุกศาสนาสั่งสอนให้เป็นคนดี.....หรือ ทุกศาสนาสั่งสอนให้คน
กระทำความดี....สำนวนใดจึงสมควรถูกต้อง
- King Zadin
- โพสต์: 419
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ พ.ค. 13, 2005 3:53 am
- ติดต่อ:
เห็นด้วยกับคุณ Divine Mercy of Jesus & Mary ครับ คนส่วนใหญ่เวลาทุกข์ก็หันหาพระพอสบายได้ทางออกก็ทิ้งพระ
-
- โพสต์: 659
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 10, 2005 2:01 pm
- ที่อยู่: I believe in God...
ผมว่า นอกจากศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู สิข แล้ว ยังมีศาสนาอื่นอีกน่ะครับ แต่ว่าศาสนาเหล่านี้มีผู้นับถือน้อยจึงทำให้คนไม่รู้จักและไม่เป็นที่แพร่หลายของชาวโลกนะครับ พูดถึงเรื่องนี้แล้วลองมาดูสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอื่นๆดูบ้างนะครับไว้เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ (ผมว่างจัดด้วยแหละ)
1. ศาสนาไซโรอัสเตอร์
- เป็นศาสนาที่นับถือ พระเจ้าองค์เดียว ลักษณะของพระเจ้าจะไม่มีรูปลักษณะต่างๆ
- ศาสดาคือ ไซโรอัสเตอร์
- เกิดก่อน คริสต์ศักราช ประมาณ 660 ปี
- สถานที่เกิดศาสนา อิหร่าน
- มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 150000 คน (ปีคริสต์ศักราช 2002)
2. ศาสนาเชน
- เป็นศาสนาที่ไม่มีการนับถือพระเจ้า
- มีศาสดาคือ ในศาสนานี้มีศาสดาทั้งหมด 24 องค์ องค์สุดท้ายคือท่านมหาวีระ
- เกิดก่อน คริสต์ศักราช ประมาณ 599 ปี
- สถานที่เกิดศาสนา อินเดีย
- มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 4000000 คน (ปีคริสต์ศักราช 2002)
3. ศาสนาขงจื๊อ
- เป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์
- ศาสดาคือ ขงจื๊อ
- เกิดก่อนคริสต์ศักราชประมาณ 551 ปี
- สถานที่เกิดศาสนา จีน
- มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 225000000 คน (ปีคริสต์ศักราช 2002)
4. ศาสนาชินโต
- เป็นศาสนาที่นับถือเทพเจ้ามากองค์ ไม่มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เพียงองค์เดียวอย่างบางศาสนา บุคคลที่เป็นเจ้านั้นมีพระจักรพรรดิ วีระบุรุษแห่งชาติ เทพเจ้าแห่งภูเขา ลำธาร บ่อน้ำ ประตู การเรียน ความสุข เป็นต้น(ไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับโลกหน้า นรก-สวรรค์)
- ศาสดาคือ ไม่ปรากฎชื่อผู้ที่เป็นศาสดา
- เกิดก่อน คริสต์ราชประมาณ 660 ปี
- สถานที่เกิดศาสนา ญี่ปุ่น
- มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 4000000 คน (ปีคริสต์ศักราช 2002)
5. ศาสนาเต๋า
- เป็นศาสนาประเภทเทวนิยม
- ศาสดาคือ เล่าจื๊อ
- เกิดก่อนคริสต์ศักราช ประมาณ 605 ปี
- สถานที่เกิดศาสนา จีน
- มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 225000000 คน (ปีคริสต์ศักราช 2002)
และยังมีศาสนาในโลกอีกเยอะแยะนะครับ แล้วก็สอนคนให้เป็นคนดีทั้งนั้นด้วยนะครับ
เว็บสำหรับตรวจสอบจำนวนผู้คนศาสนาต่างๆ http://www.adherents.com/Religions_By_Adherents.html
ขอขอบคุณ http://www.google.co.th
สำหรับข้อมูลต่างๆครับ
1. ศาสนาไซโรอัสเตอร์
- เป็นศาสนาที่นับถือ พระเจ้าองค์เดียว ลักษณะของพระเจ้าจะไม่มีรูปลักษณะต่างๆ
- ศาสดาคือ ไซโรอัสเตอร์
- เกิดก่อน คริสต์ศักราช ประมาณ 660 ปี
- สถานที่เกิดศาสนา อิหร่าน
- มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 150000 คน (ปีคริสต์ศักราช 2002)
2. ศาสนาเชน
- เป็นศาสนาที่ไม่มีการนับถือพระเจ้า
- มีศาสดาคือ ในศาสนานี้มีศาสดาทั้งหมด 24 องค์ องค์สุดท้ายคือท่านมหาวีระ
- เกิดก่อน คริสต์ศักราช ประมาณ 599 ปี
- สถานที่เกิดศาสนา อินเดีย
- มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 4000000 คน (ปีคริสต์ศักราช 2002)
3. ศาสนาขงจื๊อ
- เป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์
- ศาสดาคือ ขงจื๊อ
- เกิดก่อนคริสต์ศักราชประมาณ 551 ปี
- สถานที่เกิดศาสนา จีน
- มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 225000000 คน (ปีคริสต์ศักราช 2002)
4. ศาสนาชินโต
- เป็นศาสนาที่นับถือเทพเจ้ามากองค์ ไม่มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เพียงองค์เดียวอย่างบางศาสนา บุคคลที่เป็นเจ้านั้นมีพระจักรพรรดิ วีระบุรุษแห่งชาติ เทพเจ้าแห่งภูเขา ลำธาร บ่อน้ำ ประตู การเรียน ความสุข เป็นต้น(ไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับโลกหน้า นรก-สวรรค์)
- ศาสดาคือ ไม่ปรากฎชื่อผู้ที่เป็นศาสดา
- เกิดก่อน คริสต์ราชประมาณ 660 ปี
- สถานที่เกิดศาสนา ญี่ปุ่น
- มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 4000000 คน (ปีคริสต์ศักราช 2002)
5. ศาสนาเต๋า
- เป็นศาสนาประเภทเทวนิยม
- ศาสดาคือ เล่าจื๊อ
- เกิดก่อนคริสต์ศักราช ประมาณ 605 ปี
- สถานที่เกิดศาสนา จีน
- มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 225000000 คน (ปีคริสต์ศักราช 2002)
และยังมีศาสนาในโลกอีกเยอะแยะนะครับ แล้วก็สอนคนให้เป็นคนดีทั้งนั้นด้วยนะครับ
เว็บสำหรับตรวจสอบจำนวนผู้คนศาสนาต่างๆ http://www.adherents.com/Religions_By_Adherents.html
ขอขอบคุณ http://www.google.co.th
สำหรับข้อมูลต่างๆครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร ต.ค. 25, 2005 12:46 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ตอบ คำถามคุณ13 ธุดงค์
>>>ทุกศาสนาสั่งสอนให้คน กระทำความดี หรือให้เป็นคนดี
ผมว่า อะไรเป็นการกระทำ ดี หรือชั่ว อยู่ ปุถุชนโดยทั่วไป น่าจะมีมโนธรรมหรือความคิดในตัวของแต่ละคน บอกได้เอง ไม่ต้องมีบทบัญญัติศาสนาก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ คนทั่วไปยังมีความบาป มีความต้องการ ตั้งตนเองเป็น ตัวกม.เสียเอง ว่าการกระทำ และความคิดทุกอย่าง ของตน ถูกต้องหมด เชื่อว่าตนเองเป็นใหญ่ ทำถูกต้อง
ทำไม บางประเทศ มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร บางประเทศไม่ต้องมี
และบางประเทศมีเขียนกม.ไว้ชัดเจน แต่คนยังหาทางทะลุช่องโหว่ ของกฎหมายอยู่เรื่อยๆ
เอาให้ใกล้หน่อย เท่าที่ทราบ อังกฤษ ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณอักษร แต่ก็เชื่อว่า คนอังกฤษเคร่งและยึดถือ ศาสนาจริงจังที่สุดชาติหนึ่ง ในโลกตะวันตก
แต่อังกฤษยังมีศาสนา
>>>ทุกศาสนาสั่งสอนให้คน กระทำความดี หรือให้เป็นคนดี
ผมว่า อะไรเป็นการกระทำ ดี หรือชั่ว อยู่ ปุถุชนโดยทั่วไป น่าจะมีมโนธรรมหรือความคิดในตัวของแต่ละคน บอกได้เอง ไม่ต้องมีบทบัญญัติศาสนาก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ คนทั่วไปยังมีความบาป มีความต้องการ ตั้งตนเองเป็น ตัวกม.เสียเอง ว่าการกระทำ และความคิดทุกอย่าง ของตน ถูกต้องหมด เชื่อว่าตนเองเป็นใหญ่ ทำถูกต้อง
ทำไม บางประเทศ มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร บางประเทศไม่ต้องมี
และบางประเทศมีเขียนกม.ไว้ชัดเจน แต่คนยังหาทางทะลุช่องโหว่ ของกฎหมายอยู่เรื่อยๆ
เอาให้ใกล้หน่อย เท่าที่ทราบ อังกฤษ ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณอักษร แต่ก็เชื่อว่า คนอังกฤษเคร่งและยึดถือ ศาสนาจริงจังที่สุดชาติหนึ่ง ในโลกตะวันตก
แต่อังกฤษยังมีศาสนา
จากคำตอบ ทำให้เกิดข้อ ปุจฉาขึ้นมาว่า..........แล้วศาสนามีไว้เพื่อสิ่งใด.......ช่วนวิสัชนาด้วยครับW เขียน: ตอบ คำถามคุณ13 ธุดงค์
>>>ทุกศาสนาสั่งสอนให้คน กระทำความดี หรือให้เป็นคนดี
ผมว่า อะไรเป็นการกระทำ ดี หรือชั่ว อยู่ ปุถุชนโดยทั่วไป น่าจะมีมโนธรรมหรือความคิดในตัวของแต่ละคน บอกได้เอง ไม่ต้องมีบทบัญญัติศาสนาก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ คนทั่วไปยังมีความบาป มีความต้องการ ตั้งตนเองเป็น ตัวกม.เสียเอง ว่าการกระทำ และความคิดทุกอย่าง ของตน ถูกต้องหมด เชื่อว่าตนเองเป็นใหญ่ ทำถูกต้อง
ทำไม บางประเทศ มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร บางประเทศไม่ต้องมี
และบางประเทศมีเขียนกม.ไว้ชัดเจน แต่คนยังหาทางทะลุช่องโหว่ ของกฎหมายอยู่เรื่อยๆ
เอาให้ใกล้หน่อย เท่าที่ทราบ อังกฤษ ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณอักษร แต่ก็เชื่อว่า คนอังกฤษเคร่งและยึดถือ ศาสนาจริงจังที่สุดชาติหนึ่ง ในโลกตะวันตก
แต่อังกฤษยังมีศาสนา
กรรม ... ไม่ทราบว่าแก้คำผิดอย่างไรเลยต้อง ..quote...ซ้ำพญามาราธิราช เขียน:จากคำตอบ ทำให้เกิดข้อ ปุจฉาขึ้นมาว่า..........แล้วศาสนามีไว้เพื่อสิ่งใด.......ช่วยวิสัชนาด้วยครับW เขียน: ตอบ คำถามคุณ13 ธุดงค์
>>>ทุกศาสนาสั่งสอนให้คน กระทำความดี หรือให้เป็นคนดี
ผมว่า อะไรเป็นการกระทำ ดี หรือชั่ว อยู่ ปุถุชนโดยทั่วไป น่าจะมีมโนธรรมหรือความคิดในตัวของแต่ละคน บอกได้เอง ไม่ต้องมีบทบัญญัติศาสนาก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ คนทั่วไปยังมีความบาป มีความต้องการ ตั้งตนเองเป็น ตัวกม.เสียเอง ว่าการกระทำ และความคิดทุกอย่าง ของตน ถูกต้องหมด เชื่อว่าตนเองเป็นใหญ่ ทำถูกต้อง
ทำไม บางประเทศ มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร บางประเทศไม่ต้องมี
และบางประเทศมีเขียนกม.ไว้ชัดเจน แต่คนยังหาทางทะลุช่องโหว่ ของกฎหมายอยู่เรื่อยๆ
เอาให้ใกล้หน่อย เท่าที่ทราบ อังกฤษ ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณอักษร แต่ก็เชื่อว่า คนอังกฤษเคร่งและยึดถือ ศาสนาจริงจังที่สุดชาติหนึ่ง ในโลกตะวันตก
แต่อังกฤษยังมีศาสนา
- St. AnGeLA MeriCi
- โพสต์: 286
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 05, 2005 12:50 pm
ศาสนามีไว้เพื่อสิ่งใด......
เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มิให้เราก้าวเข้าไปทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมไม่ถูกไม่ควร
เหมือนเป้นเครื่องเตือนสติด้วยอย่างนึง i think นะคะ ;D ;D ;D
เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มิให้เราก้าวเข้าไปทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมไม่ถูกไม่ควร
เหมือนเป้นเครื่องเตือนสติด้วยอย่างนึง i think นะคะ ;D ;D ;D
บางท่านว่า...การกระทำความดีความชั่ว ขึ้นอยู่กับมโนธรรมในตนเองของแต่ละคน..ไม่จำเป็นต้องมีบทhotcake เขียน: ศาสนามีไว้เพื่อสิ่งใด......
เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มิให้เราก้าวเข้าไปทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมไม่ถูกไม่ควร
เหมือนเป้นเครื่องเตือนสติด้วยอย่างนึง i think นะคะ ;D ;D ;D
บัญญัติของศาสนาก็ได้ เพราะฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีศาสนาใช่หรือไม่.....และในเมื่อการกระทำความดี
หรือกระทำความชั่ว ขึ้นอยู่กับมโนธรมของแต่ละคน ก็คงจะหมายความว่า ตนเองเป็นผู้ตัดสินว่าสิ่งที่ตน
กระทำนั้น อะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว......รึเปล่า.. ปุจฉา.ครับ
มโนธรรม มันก็เป้ฯผลพวงของศาสนาน่ะแหละ สั่งสอนถ่ายทอดกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ จนกลายเป้นวัฒนธรรม ธรรมเนียม จารีต ว่าด้วยเรื่องการทำดี ทำชั่ว คนเรามีศาสนา ก็เป้นเครื่องช่วยยึดเหนี่ยว กระตุ้นเตือนมโนธรรมของเราให้ชัดเจนขึ้น ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น
- St. AnGeLA MeriCi
- โพสต์: 286
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 05, 2005 12:50 pm
พี่จอมนางฯตอบใด้เฉียบคมมาก
;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D
;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D