ทำไมจึงต้องจุ่มน้ำเสกก่อนเข้าวัด

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Arttise
โพสต์: 870
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.พ. 19, 2017 3:45 pm

เสาร์ ส.ค. 19, 2023 10:30 pm

ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ต่อเนื่องกันมานานนับศตวรรษ เมื่อคริสตชนคนหนึ่งคนใดจะเข้าวัด ไม่ว่าจะเข้าไปเพื่อร่วมพิธีกรรมของหมู่คณะ เช่น ร่วมพิธีมิสซา หรือเข้าไปเพื่อประกอบกิจศรัทธาส่วนตัว เช่น เฝ้าศีลมหาสนิท , สวดสายประคำ ฯลฯ คริสตชนคนนั้นจะมองหาที่บรรจุน้ำเสก เพื่อจะจุ่มน้ำเสกนั้น แล้วก็แตะที่หน้าผาก พลางรำพึงหรือเอ่ยถ้อยคำในใจ “เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาแมน”

บ่อยครั้ง ยังมีภาพน่ารักๆให้เห็น ที่คุณพ่อคุณแม่จะอุ้มลูกตัวเล็ก ให้จุ่มน้ำเสกด้วยตัวเอง แล้วก็สอนให้ทำเครื่องหมายกางเขน (อันที่จริง หากย้อนเวลากลับไปหลายศตวรรษ ก่อนที่จะมีธรรมเนียมจุ่มน้ำเสกก่อนเข้าวัด ที่ประตูทางเข้า จะมีพระสงฆ์ยืนรออยู่ เพื่อคอยพรมน้ำเสกให้สัตบุรุษ)

ธรรมเนียมการพรมน้ำเสกหรือการจุ่มน้ำเสกก่อนเข้าวัด ไม่ได้เป็นแค่เพียงอิริยาบถประกอบการเดินเข้าวัด แต่มีความหมายมากกว่านั้น ที่วันนี้ เราจะมาหาคำตอบด้วยกัน

แต่ก่อนที่จะอธิบายความหมายหรือที่มาที่ไปของการจุ่มน้ำเสก ผมขอหยิบยกข้อเขียนของแตร์ตุลเลียน (Tertullian) ปิตาจารย์ (Church Fathers) ในศตวรรษที่ 2 ซึ่งได้กล่าวถึง “น้ำ” ไว้อย่างน่าสนใจ

แตร์ตุลเลียน เขียนไว้ว่าภารกิจของพระเยซูเจ้าเกี่ยวข้องกับ “น้ำ” อยู่บ่อยครั้ง

• เริ่มตั้งแต่ที่พระองค์ทรงรับพิธีล้างจากยอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากแคว้นกาลิลีถึงแม่น้ำจอร์แดน เพื่อทรงรับพิธีล้างจากยอห์น ยอห์นพยายามชักชวนพระองค์ให้เปลี่ยนพระทัย เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าควรจะรับพิธีล้างจากท่าน แต่ท่านกลับมาพบข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เวลานี้ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก่อน เพราะเราควรจะทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ยอห์นจึงยอมทำตาม

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างแล้ว เสด็จขึ้นจากน้ำ ทันใดนั้นท้องฟ้าเปิดออก พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระจิตของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ และมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา”

(มัทธิว 3:13-17)

• เมื่อพระองค์ได้รับเชิญไปร่วมงานสมรสที่หมู่บ้านคานา พระองค์ก็ทรงใช้น้ำทำอัศจรรย์ครั้งแรก

สามวันต่อมา มีงานมงคลสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในงานนั้น พระเยซูเจ้าทรงได้รับเชิญพร้อมกับบรรดาศิษย์มาในงานนั้นด้วย เมื่อเหล้าองุ่นหมด พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงมาทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “แม่ครับ แม่ต้องการอะไรจากลูก เวลาของลูกeยังมาไม่ถึง” พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงกล่าวแก่บรรดาผู้รับใช้ว่า “เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด” ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่หกใบ เพื่อใช้ชำระตนตามธรรมเนียมของชาวยิว แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณหนึ่งร้อยลิตร พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาผู้รับใช้ว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็ม” เขาก็ตักน้ำใส่จนเต็มถึงขอบ แล้วพระองค์ทรงสั่งเขาอีกว่า “จงตักไปให้ผู้จัดงานเลี้ยงเถิด” เขาก็ตักไปให้ ผู้จัดงานเลี้ยงได้ชิมน้ำที่เปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นแล้ว ไม่รู้ว่าเหล้านี้มาจากไหน แต่ผู้รับใช้ที่ตักน้ำรู้ดี ผู้จัดงานเลี้ยงจึงเรียกเจ้าบ่าวมา พูดว่า “ใครๆ เขานำเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อบรรดาแขกดื่มมากแล้ว จึงนำเหล้าองุ่นอย่างรองมาให้ แต่ท่านเก็บเหล้าอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้”

พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งแรกนี้ที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี พระองค์ทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ และบรรดาศิษย์เชื่อในพระองค์ หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับพระมารดา พระประยูรญาติและบรรดาศิษย์ ทุกคนพำนักอยู่ที่นั่นเพียงสองสามวัน

(ยอห์น 2:1-12)

• เมื่อพบหญิงชาวสะมาเรียกำลังตักน้ำ ทรงขอน้ำดื่มจากหญิงคนนั้น ก่อนที่จะตรัสเรื่อง “น้ำทรงชีวิต”

บรรดาชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำพิธีล้างและทรงมีศิษย์มากกว่ายอห์น ความจริงผู้ทำพิธีล้างไม่ใช่พระองค์แต่เป็นบรรดาศิษย์ เมื่อพระองค์ทรงทราบเช่นนี้ก็เสด็จออกจากแคว้นยูเดียกลับไปยังแคว้นกาลิลี จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย พระองค์เสด็จมาถึงเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์ ใกล้ที่ดินที่ยาโคบยกให้โยเซฟบุตรชาย ที่นั่นมีบ่อน้ำของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงประทับที่ขอบบ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด” บรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นชาวยิว ทำไมจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรีย” เพราะชาวยิวไม่ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลย พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า

“หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้า
และรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า
‘ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด’
ท่านคงกลับเป็นผู้ขอ
และผู้นั้นจะให้ ‘น้ำที่ให้ชีวิต’ แก่ท่าน”
นางจึงทูลว่า “นายเจ้าขา ท่านไม่มีถังตักน้ำ และบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอาน้ำที่ให้ชีวิตมาจากไหน ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบให้บ่อน้ำนี้แก่เรา ยาโคบ ลูกหลานและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า

“ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้
จะกระหายอีก
แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้น
จะไม่กระหายอีกเลย
น้ำที่เราจะให้เขา
จะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร”

หญิงนั้นจึงทูลว่า “นายเจ้าขา โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมาตักน้ำที่นี่อีก” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาที่นี่” หญิงผู้นั้นทูลตอบว่า ‘ดิฉันไม่มีสามี’ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “เธอพูดถูกแล้วที่ว่า ‘ดิฉันไม่มีสามี’ เพราะเธอมีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนที่อยู่กับเธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูดจริงทีเดียว” หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า “ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่าสถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า

“นางเอ๋ย เชื่อเราเถิด
ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า
ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม
ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จัก
แต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรารู้จัก
เพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว
แต่จะถึงเวลา คือเวลานี้
เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริงh
เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้
พระเจ้าทรงเป็นจิต
ผู้ที่นมัสการพระองค์
จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้าและตามความจริง”

(ยอห์น 4:1-24)

• เมื่อทรงสอนเรื่องบทพิสูจน์แห่งความรัก ก็ทรงยกตัวอย่างการยื่นน้ำสักแก้วให้กับเพื่อนพี่น้องที่กำลัง กระหาย

เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ

(มัทธิว 25:35)

• เมื่อศิษย์ สองพี่น้อง ทูลขอตำแหน่ง พระองค์ก็ถามตอบว่า พวกเขาจะดื่มถ้วยที่พระองค์จะทรงดื่ม และรับการล้างเหมือนพระองค์ได้ไหม

พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้ไหม หรือรับการล้างที่เราจะรับได้หรือไม่”

(มาระโก 10:38)

• และที่สุด บนไม้กางเขน เมื่อทหารใช้หอกแทงที่สีข้างของพระองค์ โลหิตและน้ำก็ไหลออกมาทันที

แต่ทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงด้านข้างพระวรกาย โลหิตและน้ำก็ไหลออกมาทันที

(ยอห์น 19:34)

ปิตาจารย์ท่านนี้เขียนถึงเหตุการณ์อันหลากหลายของพระเยซูเจ้าซึ่งเกี่ยวข้องกับน้ำ ก็เพื่อจะอธิบายถึง “ศีลล้างบาป (Baptism)”

และที่ผมได้กล่าวในตอนต้นถึงธรรมเนียมการจุ่มน้ำเสก ก็เพื่อจะกล่าวถึง “ศีลล้างบาป (Baptism)” เพราะจุดมุ่งหมายของการจุ่มน้ำเสกพร้อมกับทำเครื่องหมายกางเขน ก็เพื่อระลึกถึงศีลล้างบาปที่เราได้รับ

เป็นความหมายเดียวกันกับการก้มศีรษะเพื่อรับการพรมน้ำเสกจากพระสงฆ์ในตอนต้นมิสซาของทุกๆวันอาทิตย์ และที่เด่นชัดที่สุด ก็คือในวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ ค่ำวันนั้น ก่อนที่พระสงฆ์จะพรมน้ำเสก มือของเราถือเทียนที่จุดสว่างไสว พร้อมกับประกาศถ้อยคำรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งศีลล้างบาป

มิใช่เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ตอนหนึ่งในพิธีตื่นเฝ้าของค่ำวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ที่พวกเรามีโอกาสได้ระลึกถึงศีลล้างบาปควบคู่ไปกับกับการปลุกจิตสำนึกการเป็นคริสตชน ตลอดเทศกาลมหาพรต (Lent) ยังเป็นช่วง เวลาที่เหมาะสมยิ่งที่เราจะได้รำพึง-ไตร่ตรองส่วนตัวถึงสถานะการเป็นคริสตชนของเรา พร้อมๆกับที่บรรดาว่าที่คริสตชนใหม่ ได้ใช้ช่วงเวลานี้อย่างเข้มข้นเพื่อเตรียมตัวรับศีลล้างบาป

รูปภาพ

CR. : http://www.kamsonbkk.com/.../2012-02-15 ... 018-007512

ขอพระเจ้าสถิตกับท่านทุกคนนะครับ 💒💒😇😇
#คริสต์ #คาทอลิก #คริสต์ศรัทธา #คริสตชน #คริสตัง #คริสเตียน #น้ำเสก #ทำไม #จุ่มน้ำเสก #พรมน้ำเสก #วัด #วัดคาทอลิก #โบสถ์ #โบสถ์คาทอลิก #ธรรมเนียมปฏิบัติ #ธรรมเนียม #ธรรมประเพณี #สงสัย #พระคัมภีร์ #catholic #HolyWater #why #christianity #christian #church #bible

CR. : https://www.facebook.com/photo?fbid=687 ... 5396579617
Humdeksu
โพสต์: 9
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 06, 2021 6:19 pm

อังคาร ส.ค. 22, 2023 4:09 pm

ขอน้ำเสกบ้างได้มั้ย
ตอบกลับโพส