คริสเตียน และ คาทอลิกต่างกันอย่างไรอ่ะคะ?

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Sarina

ศุกร์ ม.ค. 13, 2006 10:53 pm

ช่วยบอกหน่อยนะคะ เพิ่งเกิดค่ะ ;)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ม.ค. 14, 2006 12:49 am

นิกายใหญ่ ของคริสต์ มี 3 นิกาย คือ....เริ่มแรก บรรพชน ของพวกเราก็รวมกันมาไม่ได้มีการแยกนิกายอะไร ต่อมา ศตวรรษที่ 11 มีความขัดแย้ง ระหว่างพระศาสนจักร(คริสตจักร)ตะวันออก และโรม
จึงแยก ตัวออกไป เกิดเป็นนิกายออธอดอคขึ้นมา

และ ต่อมา ในศตวรรษที่16 ในพระศาสนจักร ได้ประสบปัญหาต่างๆมากมาย ทั้งจากระบบ และความประพฤติของบรรดาบาทหลวง ทางอดีตบาทหลวงมาร์ติน ลูเธอร์ ยื่นประท้วง 95 ข้อ เพื่อขอให้แก้ไข แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากสมเด็จพระสันตะปาปา เลยถูกขับ และสั่งลงโทษ ( ยุคนั้น พระศาสนจักร มีอำนาจเหนืออาณาจักร ) และได้เกิดนิกายโปรแตสแตนท์ขึ้นมา

ดังนั้นสรุปนิกายใหญ่ๆของคริสตศาสนาได้ดังนี้

1.โรมันคาทอลิก

2.ออเทอดอกซ์ แยกออกไป เมื่อ ปี ค.ศ. 1054

3.โปรเตสแตนต์ แยกออกไป เมื่อ ปี 1517 โดยอดีตบาทหลวง มาร์ติน ลูเธอร์


++++++++++++++++++++++++++++++

+โรมันคาทอลิก+
มีพระสันตะปาปาเป็นประมุข โดยสืบทอดมาตั้งแต่สมัยอัครสาวกกลุ่มแรก โดยถือว่า นักบุญ เปโตร หรือ เซนต์ปีเตอร์ คือพระสันตะปาปาพระองค์แรก และสืบทอดมาถึงพระสันตะปาปาเบนนิดิกที่ 16 องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่265

ผู้นับถือคริสตศาสนาทุกนิกายทั่วโลก เรียกเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกันว่า คริสเตียน แปลเป็นภาษาไทยคือคริสตชน แต่สำหรับประเทศไทยเรานั้น นิกายโรมันคาทอลิกถูกนำเข้ามาก่อนสมัยพระนารายณ์มหาราชโดยบาดหลวงชาวโปรตุเกส ดังนั้นการออกเสียงคำว่า คริสเตียนในภาษาโปรตุเกส ออกเสียงว่า "คริสตัง" อย่างจีซัส ก็ออกเสียงว่า "เยซู" จึงทำให้คาทอลิคเรียกผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิคว่า คริสตัง ส่วนโปรแตสแตนท์เข้ามาสมัยหมดบลัดเลย์ซึ่งเป็นอเมริกา ดังนั้น โปรแตสแตนท์ไทยจึงเรียกตัวเองว่า คริสเตียน ตามแบบภาษาอังกฤษ สำเนียงอเมริกา แต่คำว่า"เยซู"ก็ใช้ตามที่คาทอลิกและคนไทยได้คุ้นเคยแล้ว

กลับมาที่ลักษณะของคาทอลิกต่อ

คาทอลิกนั้นจะมีนักบวช ที่เรียกว่า บาดหลวง หรือซิสเตอร์

คาทอลิกจะมีการให้เกียรติพระนางมารีย์ แม่ของพระเยซูเป็นพิเศษ เรียกพระนางว่า "แม่พระ" มาจากคำว่า มารดาของพระเจ้า

คาทอลิกจะมีการยกย่องวีรบุรุษ หรือวีรสตรีทางศาสนา หรือเรียกง่ายๆว่า บุคคลที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพระเยซูอย่างดีมากจนเรามั่นใจว่าเขาได้ไปสวรรค์แน่นอน(คล้ายๆกรณีพระอรหันต์ในศาสนาพุทธ) เราจะเรียกคนเหล่านี้ ว่าเป็น นักบุญ

ดังนั้นหากเปรียบให้เข้าใจง่าย เรามองว่าพระเยซูคือกษัตริย์ ส่วนแม่พระก็เป็นพระราชชนนี(แบบสมเด็จย่า) เหล่านักบุญก็เหมือนขุนนาง ที่ใกล้ชิดกษัตริย์

คาทอลิกมีความเชื่อว่า ในพิธีมิซซา(พิธีนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์) เมื่อขนมปัง และเหล้าองุ่นถูกเสกในพิธี ก็คือเนื้อ และพระโลหิต เหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำในอาหารค่ำมื้อสุดท้าย

โบสถ์คาทอลิกทุกแห่ง ถือเป็น1เดียวกัน ขึ้นตรงต่อกรุงวาติกัน และองค์พระสันตะปาปา ดังนั้น หากคุณเป็นคาทอลิกคุณสามารถไปวัดไหนก็ได้ที่ใกล้บ้าน สามารถเปลี่ยนวัดที่ไปได้ตามแต่สะดวก

+โปรแตสแตนต์+

โปรแตสแตนทต์นั้น หลังจากการแยกนิกายในสมัยมาตินลูเธอร์ หลังจากนั้นได้มีการแยกนิกายย่อยอีกหลานิกาย ดังนั้นโบสถ์หรือคริสตจักรต่างๆ จะไม่ได้ขึ้นกับวาติกันหรือพระสันตะปาปาแต่อย่างใด

แต่สำหรับในประเทศไทย โปรแตสแตน แบ่งเป็น 4 สายใหญ่ๆ คือสายสภาคริสตจักรในประเทศไทย สายสหกิจคริสตจักร และสายสหแบ๊บติสท์ และ เซเวนเดย์แอดเวนทิสท์ และนอกจากนั้นมีคริสตชนที่ไม่มีสังกัด เรียกตัวเองว่าคริสตจักรอิสระ

เท่าที่ทราบมานั้น โบสถ์ใน 4 สายหลักนี้ จะมีโยงใยถึงกัน และมีการตั้งที่เป็นระบบระเบียบ มีการควบคุมดูแลความสอดคล้องในหลักข้อความเชื่อให้ถูกต้อง แต่ในขณะเดียวกันก็มีคริสตจักรที่ไม่มีที่มาที่ไปที่ตั้งขึ้นเอง ซึ่งก็ต้องระมัดระวังในหลักความถูกต้องต่างๆด้วยตัวเอง ทั้งผู้สอนและผู้เชื่อ

โปรแตสแตนต์ ไม่มีนักบวช แต่มีผู้ถวายตัวรับใช้พระเจ้า เรียกว่า ศาสนจารย์ /ศิษยาภิบาล และผู้ประกาศ ซึ่งอาจแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ได้ การเรียกคำนำหน้าบุคคลเหล่านี้ จะเรียกว่า อาจารย์

โปรแตสแตนต์(โดยทั่วๆไป)จะไม่ให้ความสำคัญพิเศษกับพระนางมารีย์ หรือนักบุญ จะเน้นการเข้าถึงพระเยซูเจ้าโดยตรงด้วยตนเอง แต่สำหรับบางกลุ่มที่สนใจในเรื่องศาสนศาสตร์สตรี จะให้ความสำคัญกับพระนางมารีย์มากขึ้น ในฐานะแบบอย่างของสตรีคริสตชนที่ดี

สถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาของโปรแตสแตนต์เรียกว่าคริสตจักร ซึ่งคาทอลิคจะเรียกวัด

โดยทั่วไป เมื่อรับเชื่อที่โบสถ์ไหน ก็ต้องร่วมนมัสการที่โบสถ์นั้น

พิธีทางศาสนาในวันอาทิตย์เรียกว่าพิธีนมัสการ
hassan

พุธ ม.ค. 18, 2006 7:23 pm

แรกเริ่มนั้น ไม่ได้ถือเป็นศาสนา เพราะเราเชื่อว่า แต่เดิม พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและพระองค์เป็นผู้เดียว ไม่มีพระเจ้า เหนืออื่นใดอีก หลังจากพระเยซูคริสต์ เสด็จสู่สวรรค์แล้ว คริสเตียน ผ่านการข่มเหงมาได้ 300 ปี ก็ยังยืนหยัด มั่นคงไม่ล้ม ต่อมาจักรพรรดิโรม ชื่อว่า คอนสแตนติน มีความคิดว่า ถ้าเอาศาสนาคริสต์ มาเป็นศาสนาประจำชาติ ประเทศก็คงจะมั่งคั่ง เช่นกัน ในที่สุดจึงประกาศให้ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาประจำชาติ ทั้งยังประกาศว่า มีเพียงคริสเตียนเท่านั้น จึงจะเป็น ขุนนางได้ ประชาชนเพื่อที่จะเอาใจจักรพรรดิ ต่างก็แย่งกันเข้ามา คริสตจักร

จนกระทั่ง มาร์ติน ลูเธอร์ เริ่มปฎิรูปศาสนา เพราะว่าเวลานั้น เริ่มมีโรงพิมพ์ ในการสื่อสาร และมีกษัตริย์หลายองค์ ในยุโรป ให้การสนับสนุน และได้ต่อสู้ กับคาทอลิค ประมาณ 30 ปี สุดท้าย จึงทำสัญญาว่า การนับถือ ศาสนานั้น ต้องมีอิสระ เมื่ออยู่ภายใต้อิสระ ในการนับถือศาสนาแล้ว จึงมีหลายคน ลุกขึ้นมา ปฏิรูปศาสนามากขึ้น ต่างคน ต่างก็ศึกษาพระคัมภีร์ ตามความรู้ของตนเอง ด้วยใจจริง และก็ตั้งคริสตจักรขึ้นมา คริสเตียนจึงมีคณะเกิดขึ้น

นิกายต่างๆ นั้นแตกต่างกันไปตามต้นกำเนิด ช่วงเวลา ดินแดน ผู้เผยแผ่ศาสนา และสถานการณ์ ทางการเมือง และสังคม ในรัชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine the Great) พระองค์ได้ตั้ง ราชธานีใหม่ ในภาคตะวันออก แถบประเทศตุรกีในปัจจุบัน และได้พระราชทานนามราชธานีนี้ว่า "คอนสแตนติโนเปิล" หรือโรมันตะวันออก ซึ่งเป็นศูนย์กลาง ของอาณาจักรไบแซนไทน์ อาณาจักรนี้ มีความอิสระ แยกออกจากโรมัน ตะวันตก ซึ่งมีโรมเป็นศูนย์กลาง แต่เมื่อนานวัน อาณาจักรโรมันตะวันออกมีความเข้มแข็งและเป็นอิสระในทุกด้าน จึงตีตนออกห่าง และแยกการปกครองเป็นเอกเทศ รวมไปถึงการปกครองทางศาสนา มีความเป็นอิสระจากกรุงโรม ไม่ยอมรับใน พระราชอำนาจของพระสันตะปาปา จึงทำให้เกิดการแตกแยกออกเป็นนิกาย

ศตวรรษแรกในคริสตศาสนา เป็นช่วงระยะเวลาที่จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกออกเป็น สองอาณาจักร คือ โรมันตะวันตกมีศูนย์กลางที่กรุงโรม ใช้ภาษาละตินเป็นภาษากลาง ส่วนโรมันตะวันออก ซึ่งนิยมเรียกกันว่า ไบแซนไทน์ มีศูนย์กลางที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล มีสหมิตรที่เป็นแนวร่วมเดียวกัน คือ เมืองอาเล็กซานเดรีย อันติอ็อค (Antioch) และเยรูซาเล็ม ใช้ภาษากรีกเป็นภาษากลางสื่อสาร

1. โรมัน คาทอลิก ( Roman Catholic )
มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่สำนักวาติกัน กรุงโรม ใช้ภาษาละตินเป็น ภาษาทางศาสนา มีประมุขสูงสุด คือ พระสันตะปาปา คาทอลิก แปลว่า สากล คริสตศาสนิกชน นิกายโรมันคาทอลิก จึงไม่ถือว่าตนเองคือ นิกายหนึ่งของคริสตศาสนา แต่เป็นคริสตศาสนาที่สืบเนื่อง มาจากต้นกำเนิด และถือว่าพวกตน เป็นผู้อนุรักษ์ คำสั่งสอน ที่ได้รับมาจากพระเยซู ก่อตั้งเป็นองค์การใหญ่ ในโลกคริสต์ศาสนา โดยมีแรงกดดันทางการเมือง สนับสนุน คาทอลิกจะถือเซนต์ปีเตอร์ ผู้เผยแผ่แรก เป็นศาสดาใหญ่ และเป็นผู้สืบต่อโดยตรงจากพระเยซู ปัจจัยดังกล่าว ทำให้อาณาจักรโรมันคาทอลิก มีอำนาจกว้างขวางออกไป มีการแต่งตั้งประมุข แห่งคริสตจักร คาทอลิกคือองค์พระสันตะปาปา หรือโป๊ป มีศักดิ์เท่าราชาธิราชโรมัน
นอกจากนี้ คาทอลิกถือคัมภีร์ไบเบิลเป็นคำสอนของพระเยซู มีลัทธิปฏิบัติ 7 ประการคือพิธีบัพติสมา พิธีศีลกำลัง พิธีศีลมหาสนิท พิธีแต่งงาน พิธีสารภาพบาป พิธีเจิมครั้งสุดท้าย และพิธีเข้าบวช

2. นิกายออร์โธดอกซ์ ( Orthodox )
Orthodox มาจากคำว่า Orhtos เป็นคำภาษากรีก แปลว่าสัจธรรม หรือความเที่ยงตรง ผสมกับคำว่า Doxa เป็นภาษากรีกเช่นกัน แปลว่า ศรัทธารวมกัน หมายถึงความเชื่อ ตามบัญญัติอันแท้จริงในพระคัมภีร์เดิม เป็นนิกาย แรก ที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระจากสำนัก วาติกันในกรุงโรม โดยมีสาเหตุใหญ่ที่สุดคือ การปฏิเสธในอำนาจของ พระสันตะปาปา ประกอบกับ มีพื้นภูมิประเทศที่ห่างไกล จากอำนาจของโรมันตะวันตก จึงเป็นการง่ายที่จะตั้งตนเป็น อิสระ และปฏิบัติพิธีกรรมความเชื่อ ไปตามวัฒนธรรมดั้งเดิม ของตนผสมผสมผสานกับความเชื่อใน คริสตศาสนา ดังนั้นนิกายออร์ธอด็อกซ์ จึงมีลักษณะที่ค่อนข้างแปลกแยก จากพวกคาทอลิค และพวกโปรเตสแตนด์
ลัทธิออร์โธดอกซ์กำเนิดในปาเลสไตน์ เกิดในปีค.ศ.1054 โดยหลังจาก พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์แล้ว 2 เดือน ศิษย์ของพระเยซู เดินทางไปเผยแผ่ศาสนา เปรโตไปกรุงโรม ขณะที่เปาโลไปกรีซ ต้นสายของออร์โธดอกซ์ จึงมีรกรากอยู่ที่ภูเขาอาธอส ในประเทศกรีซ
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดกับนิกายคาทอลิกในสมัยนั้นคือ ออร์โธดอกซ์ ถือพระผู้เป็นเจ้า และพระเยซู เป็นหนึ่งเดียว บุคคลจึงไม่ต้องไปขอไถ่บาป กับบาทหลวงผู้ใด สำหรับโรมันคาทอลิก แยกสายไปที่กรุงโรมเมื่อปี ค.ศ. 50 ก่อนหน้านี้
ปัจจุบันนี้ นิกายออร์ธอด็อกซ์มีอิสระภาพในด้านความเชื่อและการปกครองของตนเอง โดยไม่ต้องขึ้นต่อ สำนักวาติกัน ของโรม มีปาตริอาร์ค เป็นประมุข แต่ก็มีออร์ธอด็อกซ์ บางกลุ่ม ที่ยังขึ้นต่อ สำนักวาติกัน เรียกว่า ออร์ธอด็อกซ์คาธอลิค พวกนี้มีพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นแบบตะวันออก แต่ระบบการปกครอง อยู่ภายใต้การชี้นำ ของสำนักวาติกัน ประเทศที่นับถือนิกาย ออร์ธอด็อกซ์ส่วนมากเป็นพวกยุโรปตะวันออก เช่น โรมาเนีย ฮังการี โปแลนด์ ยูโกสลาเวีย รัสเซีย ฯลฯ
ที่รัสเซียนั้น ศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากอาจเรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรโรมันแห่งที่สาม มีศูนย์กลางที่มอสโคว์ อย่างไรก็ตาม พอสิ้นสุดระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช เข้าสู่ยุคการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ความรุ่งเรืองของศาสนา ได้ลดลงไป แต่ยังไม่ถึงกับศูนย์สลาย

3. โปรเตสแตนต์ ( Protestantism )
มีกำเนิดมาจากความคิดเห็นที่แตกแยกกันในเรื่องความเชื่อและชีวิต คริสตชน โดยเรียกพวกที่ไม่ใช่คาทอลิค หรือออร์ธอด็อกซ์ว่า "โปรเตสแตนด์" (Protestant) ซึ่งแปลว่า "ประท้วง", "ผู้คัดค้าน" แยกตัวในปี ค.ศ. 1529 โดยมาร์ติน ลูเธอร์ ชาวเยอรมัน และผู้สนับสนุน ในยุคที่ฝ่ายคาทอลิกเกิดปัญหาขึ้นมากมาย ทั้งในหมู่คณะสงฆ์ และการตีความพระคัมภีร์
มาร์ติน ลูเธอร์ (1483-1546) เกิดที่แซกซอน ประเทศเยอรมัน เป็นบุตรคนยากจน แต่มีโอกาสได้ร่ำเรียน ได้รับการศึกษาสูงจนจบปริญญาเอก และได้ศึกษาเทวศาสตร์ และได้เป็นครูในมหาวิทยาลัย มีผู้รักใคร่ เชื่อถือ จำนวนมาก ต่อมาลูเธอร์ มีโอกาส เข้าสู่ชีวิตนักบวชและแสวงบุญที่กรุงโรม และตะลึง ที่เห็นว่า สังฆราชมีชีวิตอยู่ ฟุ้งเฟ้อ เลิศเลอ จนเกินเหตุ จึงเห็นว่าควรมีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา ต่อมาได้ตีความพระคัมภีร์ ไบเบิล และวิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาศาสนาของยุคกลาง พระศาสนจักร ซึ่งในขณะนั้นมีการขายใบบุญกันมาก ความคิดของ มาร์ติน ลูเธอร์ ได้รับการสนับสนุนจากมหาชนเยอรมันเป็นจำนวนมาก แล้วแพร่หลาย ออกไปทั่วยุโรป การเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำให้พระสันตะปาปา และฝ่ายสังฆราช ไม่พอใจและประกาศบัพพาชนียกรรม (ขับไล่ - Excommunication) มาร์ติน ลูเธอร์ ในปี ค.ศ. 1521
ต่อมาทางฝ่ายสังฆราชบัญญัติกฎที่หาประโยชน์แต่กลุ่มของตนเอง เอาเปรียบหลอกเงินชาวบ้าน ลูเธอร์ จึงเรียกประชุมผู้รู้ทั้งหลาย มาหารือกันว่าจะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอย่างไรดี เรื่องกระทบไปถึงวงการการเมือง เพราะพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 แห่งเยอรมนี เกรงว่าความแตกแยกทางศาสนา จะทำให้กลุ่มแตกแยก ทางการเมือง ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว กระเทือนบัลลังก์ของพระองค์ จึงให้เปิดสภาไต่สวน เพื่อเอาผิด ลูเธอร์ ซึ่งปรากฏว่า สภาจับผิด อะไรไม่ได้ แต่ก็ลงเอยด้วยการประกาศให้ลูเธอร์ เป็นคนนอกศาสนาอยู่ดี สุดท้าย ลูเธอร์ แต่งหนังสือบรรยาย ความเห็น แสดงลัทธิใหม่ แปลคัมภีร์ไบเบิลออกมา เป็นถ้อยคำที่ชาวบ้านทั่วไป อ่านแล้วเข้าใจ จึงเป็นที่แพร่หลาย มาจนถึงปัจจุบัน
การกำเนิดของนิกายโปรเตสแตนต์ มีผลสำคัญทั้งทางศาสนา และการเมืองมาก เพราะเป็นการทำลาย การติดต่อเกี่ยวพัน ในระหว่างพวกคริสต์ และทำให้กลุ่มคาทอลิก สังคายนาระเบียบ ของตัวเองให้เรียบร้อยขึ้น ขณะเดียวกันยังทำให้ฝ่ายคาทอลิก ตัดรอนอำนาจของสังฆราชในกรุงโรม ทำให้เกิดรัฐอิสระอีกหลายแห่ง ดังนั้น ในช่วงนี้ จึงเรียกว่าเป็น ช่วงปฏิรูปศาสนาหรือ Reformation การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของกลุ่มเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อนิกายเล็กๆ ในภายหลัง โดยกลุ่มที่เป็นตัวเคลื่อนไหวนี้ มี 3 กลุ่ม คือ

นิกายลูเธอรัน ( Luthheran )
ตรงจุดนี้ ได้นำไปสู่การแตกแยกเป็นนิกายใหม่ ในเวลาต่อมา ชีวิตของลูเธอร์ ในระยะนี้ต้องหลบ ตลอดเวลา แต่ก็ทำให้ มีเวลาแปลพันธสัญญาใหม่เป็นภาษาเยอรมัน และได้เขียนเกี่ยวกับ พิธีกรรม รวมทั้งศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นภาษาเยอรมัน เพื่อให้ชาวบ้าน และคนทั่วไป สามารถเข้าใจหลักคำสอนและ พิธีกรรม ซึ่งแต่เดิมมาเขียนเป็นภาษาละติน จึงยากแก่การสื่อความหมายให้เข้าถึงได้ จึงรู้ได้เฉพาะ ปัญญาชน นักบวชและ นักศาสนาเท่านั้น
ผลงานของลูเธอร์นี้ ได้สร้างคุณประโยชน์ แก่ผู้ที่ไม่รู้หนังสือละติน ได้มีโอกาสเข้าใจแก่นแท้ ของศาสนาได้ด้วยตนเอง ซึ่งตรงกับจุดประสงค์ของลูเธอร์ ที่ต้องการให้บุคคลสามารถ รับผิดชอบใน ความเชื่อของตน โดยไม่ต้องอาศัยบุคคลที่ 3 เช่น พระหรือนักบวช กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในศาสนา เป็นเพียง สิ่งเปลือกนอก ที่ไม่สำคัญเท่ากับการที่บุคคลนั้นได้เผชิญหน้า ต่อพระพักตร์พระเจ้า ด้วยตนเอง นิกายนี้ จึงได้ตัดประเพณี พิธีกรรม ตลอดจนศีลศักดิ์สิทธิ์บางเรื่องออกไปเหลือแต่ศีลล้างบาป และศีลมหาสนิท และสนับสนุนให้บุคคลเอาใจใส่ต่อพระคัมภีร์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า ที่ทำให้มนุษย์ เข้าถึง ความรอด ส่วนบุคคลภายในโบสถ์ของโปรเตสแตนต์ จึงไม่มีรูปเคารพ และศิลปกรรมที่ตกแต่ง ดังเช่น โบสถ์คาทอลิค บนแท่นบูชามีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้น ที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ส่วนอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากนี้เป็นเพียง เปลือกนอกที่มาจากตัณหาของมนุษย์ และทำให้เราเกิดความยึดถือ ยึดติด ไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้


กลุ่มคริสตจักรฟื้นฟู ( Reformed Christianity )
2.1 อูลริช สวิงลี ( Ulrich Zwingli ) เกิดที่สวิสเซอร์แลนด์ มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1848 - 1531 ได้รับแนวความคิดจากลูเธอร์ และปรัชญามนุษยนิยม อูลริชไม่เห็นด้วย กับความคิดที่ว่า พิธีล้างบาป และพิธีศีลมหาสนิท เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเพียงความเชื่อภายนอก เท่านั้น หาใช่ความเชื่อในพระเจ้า อย่างแท้จริง เพราะพิธีล้างบาป ก็คือการปฏิญาณตน และ พิธีศีล มหาสนิท ก็คือการระลึกถึงวันเลี้ยง มื้อสุดท้ายของพระเยซูเท่านั้น พิธีเหล่านี้ ไม่ใช่พิธีที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ในตัวของมันเอง ดังที่เชื่อกัน ในสมัยนั้น จนทำให้คนส่วนมากละเลยที่จะศึกษา พระวจนะเขาได้ปรับ พิธีกรรมให้เรียบง่าย และเน้นที่ แก่นแท้ของคำสอน

2.2 นิกายคาลวิน ( Calvinism ) ผู้ริเริ่มและบุกเบิกนิกายนี้ คือ จอห์น คาลวิน หรือคาลแวง เป็นชาว ฝรั่งเศส ได้รับการศึกษาที่ มหาวิทยาลัยปารีส ต่อมาได้สนใจ แนวคิดทางศาสนาของลูเธอร์และสวิงลี จึงได้รับคำสอนเหล่านั้นมาปรับปรุง คำสอนของเขาแพร่หลายเข้าไปถึงประเทศอังกฤษ ซึ่งเรียกว่า เปรสไบทีเรียน
คาลวินมีอิทธิพลในกรุงเจนีวา เขาถูกเชิญไปที่นั่นหลายครั้ง จนกระทั่ง ได้อาศัยอยู่ที่เจนีวา จนสิ้นใจ ในปี 1564 ผลงานที่สำคัญ คือ หนังสือศาสนา ที่ต่อมาได้กลายเป็นหลัก เทวศาสตร์ ของโปรเตสแตนต์ ชื่อ "สถาบันทางศาสนาคริสต์" (The Institutes of the Christian Religion) แต่เดิมเขียนเป็นภาษาละติน แต่ถูกแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส ในเวลาต่อมา และถูกพิมพ์ถึง4 ครั้ง ในช่วงที่คาลวินมีชีวิตอยู่ หนังสือเล่มนี้ ช่วยให้เราสามารถเข้าใจ ศรัทธาของชาวคริสต์ คำสอนของ ออกัสติน (Augustin) อีกทั้งทำให้เราเข้าใจ อำนาจของพระเจ้า เข้าใจในเรื่องบาปกำเนิด และชะตาที่ถูกลิขิตโดยพระเจ้า นอกจากนี้ คาลวินได้ก่อตั้ง มหาวิทยาลัยเจนีวา และทำให้กรุงเจนีวา เป็นศูนย์นัดพบของชาวโปรเตสแตนต์ทั่วยุโรป

นิกายเชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ (Church of England)
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "แองกลิคัน" มีกำเนิดในประเทศอังกฤษ โดยมีสาเหตุมาจากพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ต้องการให้พระสันตะปาปา ที่กรุงโรมอนุญาตให้หย่าร้าง และอภิเษกสมรสใหม่ แต่ได้รับการปฏิเสธจาก พระสันตะปาปา จึงไม่พอพระทัย ประกาศตั้งนิกายใหม่ที่เรียกว่า เชิร์ช ออฟอิงแลนด์ ไม่ขึ้นต่อกรุงโรม และทรงแต่งตั้ง โธมัส แคลนเมอร์ เป็นอาร์คบิชอป แห่งแคนเทอเบอรี่

--------------------------------------------------------------------------------

กลุ่มฟื้นฟูศาสนาตามที่กล่าวมาในตอนต้นนี้ทั้ง 3 กลุ่ม ได้ทำได้เกิดนิกายเล็กๆ ต่อมา ซึ่งล้วนแต่รับโครงสร้าง ของโปรเตสแตนต์ ในที่นี้จะกล่าวถึงบางกลุ่มเท่านั้น คือ

1. คณะเพ็นเทคอส (Pentecoste)
ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับอิทธิพลคำสอนของกลุ่ม ขบวนการชีวิตที่บริสุทธิ์ (Holiness Movement) แล้วนำ มาสอนในโรงเรียน ให้มีการรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีพระคัมภีร์ เป็นมาตรฐานของความเชื่อ และ การดำเนินชีวิต แต่จะเน้นหนักในเรื่องของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของประทาน และการอัศจรรย์ ให้ความสำคัญ เรื่อง ของนิมิต คำพยากรณ์และการทรงสำแดงของพระเจ้า เน้นให้พระวิญญาณทรงนำ เพราะฉะนั้น แม้จะมีระเบียบ การนมัสการ แต่ก็ไม่ได้ยึดถืออย่างเคร่งครัด ให้เป็นอิสระภายใต้การนำ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์

2. คณะแบ๊บติสต์ (Baptist)
เริ่มมาจาก กลุ่มหนึ่งของพิวริตินในอังกฤษ ที่แยกตัวจากคริสตจักรแห่งอังกฤษ ต่อมาได้ขยายไปยัง ประเทศ เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา เน้นว่าความรอดเป็นของส่วนบุคคล จึงควรให้บัพติศมา แก่ผู้ที่สามารถ ตัดสินใจ ด้วยตนเองได้เท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่เห็นด้วยกับการให้บัพติศมาแก่เด็ก ต้องเป็นแบบจุ่มทั้งตัวลงไป โดยอ้าง จากรากภาษาเดิมของคำว่า แบ๊บติสต์ คือ การฝังลงไป เป็นเครื่องหมายของ การฝังชีวิตเก่าขึ้นจากน้ำ หมายถึง การเป็นขึ้นมาใหม่ มีพระคัมภีร์เป็นมาตรฐานความเชื่อ และการดำเนินชีวิต ให้ความสำคัญด้านสัมพันธภาพสมาชิก

3. เพรสไบทีเรียน (Presbyterian)
ก่อตั้งในช่วงปี 1530 โดยจอห์น คาลแวง เป็นนิกายที่แยกย่อยมาจาก โปรเตสแตนต์ มุ่งหวังให้จัดวงการสงฆ์ ให้เป็นระเบียบแบบแผน ความเชื่อของนิกายนี้คือถือศรัทธาเป็นใหญ่ ถือว่าพระพรของพระเจ้า เปลื้องทุกข์ให้มนุษย์ มาถึงโดยตรงต่อผู้มีศรัทธา ไม่ใช่มาจากพระผู้ทำพิธี เป็นเพียงผู้ทำตามระเบียบปกครอง ของคณะที่มีอยู่เท่านั้น

4. เมธอดิสต์ (Methodism)
เกิดขึ้นโดยจอห์น เวสลีย์ ( John Wesley : ค.ศ. 1703 - 1791) เป็นชาวอังกฤษ ที่มีจุดประสงค์ ต้องการให้ ผู้นับถือพระเจ้า มีอิสระภาพมากขึ้น สามารถปฏิบัติศาสนา ไปตามหลักของเหตุผลให้เหมาะแก่ชีวิตของตน

5. เควกเกอร์ (Quaker) หรือสมาคมมิตรภาพ (Society of Friends)
เกิดในอังกฤษ โดยยอร์ช ฟอกซ์ ( George Fox : 1624 - 1691) แต่แพร่หลายในอเมริกาโดย วิลเลี่ยม เพน (William Penn : 1644-1718) โดยเฉพาะในรัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) เป็นดินแดนแห่งแรก ที่เพนได้มา ตั้งรกราก และทำการเผยแพร่ศาสนา นิกายนี้ ต้องการรื้อฟื้นศาสนาคริสต์ แบบดั้งเดิม จึงเน้นประสบการณ์ตรง ในการเข้าถึงพระเจ้า โดยใช้แสงสว่างที่เกิดขึ้นภายใน (Inner Light)


------------------------------------------
นอกจากนี้ ยังมีลัทธิเทียมเท็จเกิดขึ้นมากมาย โดยจะมีพื้นฐานหลักการ มาจากคริสตศาสนา แต่ได้บิดเบือน ข้อเท็จจริง และรายละเอียดความเชื่อแตกต่างจากเดิมไปมาก

อ้างอิง เว็บอิมมานูเอล
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ พุธ ม.ค. 18, 2006 10:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ม.ค. 18, 2006 9:33 pm

ผมคิดว่าการอ้างอิงอะไรควรใช้หลักวิชาการและข้อเท็จจริงมากกว่าการใช้ความเห็นส่วนตัวมาชี้นำประกอบนะครับ และบทความที่คุณยกมา มีเนื้อหาบางส่วนที่มีลักษณะดังกล่าว และเป้นการขัดกับระเบียบของบอร์ด จึงขอตัดออกบางส่วนครับ

อ้อ คุณฮัสซัน ว่างๆลองมาให้ความรู้เรื่องการแยกนิกาย สุนี่ กับ ชีอะห์ ของอิสลามดูบ้างสิครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พุธ ม.ค. 18, 2006 9:50 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Nativity
โพสต์: 766
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 15, 2005 3:31 pm
ที่อยู่: Peace in sinner

พุธ ม.ค. 18, 2006 9:55 pm

อ้อ คุณฮัสซัน ว่างๆลองมาให้ความรู้เรื่องการแยกนิกาย สุนี่ กับ ชีอะห์ ของอิสลามดูบ้างสิครับ
*omg
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2006 6:18 am

น้องตามลิงก์ กระทู้นี้ ไปอ่านพระคัมภีร์ เก่า และใหม่ จะได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นค่ะ

http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... eadid=2612
chollatiyoui
โพสต์: 24
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 13, 2005 1:53 pm
ที่อยู่: bangkok

พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2006 12:26 pm

เข้าใจขึ้นเยอะเลย
ขอบคุณค่ะ
รูปภาพ
Maria Magdalena
โพสต์: 1946
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 01, 2005 8:23 pm
ที่อยู่: On this earth obviously

พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2006 8:18 pm

Holy เขียน: อ้อ คุณฮัสซัน ว่างๆลองมาให้ความรู้เรื่องการแยกนิกาย สุนี่ กับ ชีอะห์ ของอิสลามดูบ้างสิครับ
ตอบแทน อิๆๆ
ซุนนีค่ะ อารายซักอัน ใส่หมวกขาว อีกอันหมวกแดง เหอะๆ ความรู้เรียนมาคืน อาจารย์ไปหมดแล้ว
อันนึง นบีมูฮัมมัดตั้ง อีกอันแตกมาสมัย เคาะลิฟะ? องค์ที่ 5
คิกๆ :P
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2006 8:19 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
command-ment
โพสต์: 1
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 10, 2008 5:53 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 11, 2008 5:51 am

ท่านบาทหลวง มาร์ติน ลูเธอร์ เพียงเพื่อจะทำให้คริสตศาสนาเกิดความสงบสุข เรียบร้อย
กลับถูกพระสันตปาปาขับไล่ประกาศเป็น บัพพาชนียกรรม ต้องใช้ชิวิตช่วงหลัง หลบๆซ่อน
แต่กลับกัน โรมันคาทอริก กลับมีความกินอยู่ที่ ฟุ้งเฟอร์ และที่เขียนว่า นอกจากนี้ ยังมีลัทธิเทียมเท็จเกิดขึ้นมากมาย
หมายความว่ายังไงครับ ทุกศาสนาก็เกิดจาจความเชื่อแตกต่างกันไปมากมาย อย่างที่ท่านเชื่อในนักบวชไงครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ธ.ค. 11, 2008 8:25 am

command-ment เขียน: ท่านบาทหลวง มาร์ติน ลูเธอร์ เพียงเพื่อจะทำให้คริสตศาสนาเกิดความสงบสุข เรียบร้อย
กลับถูกพระสันตปาปาขับไล่ประกาศเป็น บัพพาชนียกรรม ต้องใช้ชิวิตช่วงหลัง หลบๆซ่อน
แต่กลับกัน โรมันคาทอริก กลับมีความกินอยู่ที่ ฟุ้งเฟอร์ และที่เขียนว่า นอกจากนี้ ยังมีลัทธิเทียมเท็จเกิดขึ้นมากมาย
หมายความว่ายังไงครับ ทุกศาสนาก็เกิดจาจความเชื่อแตกต่างกันไปมากมาย อย่างที่ท่านเชื่อในนักบวชไงครับ
นั่นเป็นเรื่องของอดีตครับ
ซึ่งพระสันตะปาปาองค์ต่อมาๆ ก็ได้ยอมรับความผิดพลาดและขอโทษสำหรับเหตุการณ์ในยุคมืด

คุณมองข้ามปัจจุบันที่สดใสไปได้อย่างไร...

....ผ้าส่าหรีราคาถูกๆ
ใช้ชีวิตท่ามกลางเด็กเหลือขอ...

นี่แหละพระศาสนจักรที่ พระคริสตเจ้าสถิตยืท่ามกลางผู้ต่ำต้อย

รูปภาพ
Rakkypoko!
โพสต์: 960
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 11, 2008 12:48 pm

command-ment เขียน: และที่เขียนว่า นอกจากนี้ ยังมีลัทธิเทียมเท็จเกิดขึ้นมากมาย
หมายความว่ายังไงครับ ทุกศาสนาก็เกิดจาจความเชื่อแตกต่างกันไปมากมาย
ก็บอกอยู่ว่าเป็นลัทธิ หมายความว่า สอน ไม่ตรงตามพระคัมภีร์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 11, 2008 4:53 pm

command-ment เขียน: ท่านบาทหลวง มาร์ติน ลูเธอร์ เพียงเพื่อจะทำให้คริสตศาสนาเกิดความสงบสุข เรียบร้อย
กลับถูกพระสันตปาปาขับไล่ประกาศเป็น บัพพาชนียกรรม ต้องใช้ชิวิตช่วงหลัง หลบๆซ่อน
แต่กลับกัน โรมันคาทอริก กลับมีความกินอยู่ที่ ฟุ้งเฟอร์ และที่เขียนว่า นอกจากนี้ ยังมีลัทธิเทียมเท็จเกิดขึ้นมากมาย
หมายความว่ายังไงครับ ทุกศาสนาก็เกิดจาจความเชื่อแตกต่างกันไปมากมาย อย่างที่ท่านเชื่อในนักบวชไงครับ
คำว่าลัทธิเทียมเท็จเป็นศัพท์ที่ทางโปรแตสแตนท์บัญญัติขึ้น เพื่อเรียกลัทธิที่ทางคริสตจักรพิจารณาว่าสอนผิด อาจเป็นรูปแบบของการบัพพาชนียกรรม ในสไตล์โปรแตสแตนท์ครับ

และคำว่า  เชื่อในนักบวช เอามาจากไหน และหมายความว่าไงครับ เหมือนกับที่ทางโปรเชื่อในผู้นำ และเชื่อในศิษยาภิบาลไหม

และคำพูดไร้สาระที่บอกว่า โรมันคาทอริก กลับมีความกินอยู่ที่ ฟุ้งเฟอร์ เอาหลักฐานอะไรมาพูดครับ หรือจากการที่ได้รับการเสี้ยมสอนแบบผิดๆมา ในทุกศาสนามีคนที่สมถะ และมีคนที่ยังติดสบาย ในโปรแตสแตนท์เอง ก็มีศิษยาภิบาลที่ยากจน และอยู่สุขสบายเหมือนกันครับ

ตัวอย่างมีให้ดู

อ่านได้ที่นี่ http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=6209.0
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

พฤหัสฯ. ธ.ค. 11, 2008 5:23 pm

นักบุญท่านหนึ่งบอกว่า

"ถ้าเราพูดดีเกี่ยวกับเขาไม่ได้ จงเงียบเถิด"
Toey Kung
โพสต์: 54
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร เม.ย. 29, 2008 1:20 pm
ที่อยู่: กรุงเทพฯ
ติดต่อ:

จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 1:07 pm

ยศิยล:ผู้แสวงหาพระเจ้า เขียน: นั่นเป็นเรื่องของอดีตครับ
ซึ่งพระสันตะปาปาองค์ต่อมาๆ ก็ได้ยอมรับความผิดพลาดและขอโทษสำหรับเหตุการณ์ในยุคมืด

คุณมองข้ามปัจจุบันที่สดใสไปได้อย่างไร...

....ผ้าส่าหรีราคาถูกๆ
ใช้ชีวิตท่ามกลางเด็กเหลือขอ...

นี่แหละพระศาสนจักรที่ พระคริสตเจ้าสถิตยืนท่ามกลางผู้ต่ำต้อย
เห็นด้วยครับ เพราะมนุษย์ทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์ และทุกคนก็เคยผิดพลาดและทำบาปมาแล้วทั้งสิ้น แต่พระเจ้าก็ทรงมีพระเมตตาคุณเพียงพอที่จะให้พระกายของพระองค์กลับใจและคืนดีกันครับ

ถ้าพูดกันตรงๆ หลายๆ ครั้ง คริสตจักรโปรฯ เองก็ไม่ได้เดินตามมาตรฐานพระวจนะหมือนกัน บางคริสตจักร (ไม่ขอเอ่ยนาม) ก็บิดเบือนพระวจนะเอามากๆ มากและโดนพระเจ้าพิพากษาจนเกือบไม่เหลืออะไรแล้ว แต่พระองค์ก็ยังทรงอภัยให้ และให้โอกาสคริสตจักรนั้นในการเริ่มต้นใหม่ เมื่อเขาได้กลับใจและออดอาหารต่อพระเจ้า

และถ้าจะกลับมาดูตัวเราเอง หลายๆ ครั้งเราเองก็ไม่ได้ทำตามพระวจนะ พวกเราทุกคนก็เคยผิดพลาด เคยออกนอกแผนการณ์ของพระองค์ เคยบิดเบือนพระวจนะในใจเราเพื่อที่จะทำตามใจชอบของเราเองเหมือนกัน แต่พระองค์ก็ยังทรงอภัยให้ และให้โอกาสเราที่จะเริ่มต้นใหม่เหมือนกัน จริงใหมครับ

มัทธิว 7:3-5 Thai king James
เหตุไฉนท่านมองดูผงที่อยู่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม่ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง
หรือเหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องของท่านว่า `ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน' แต่ดูเถิด ไม้ทั้งท่อนก็อยู่ในตาของท่านเอง
ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้

ปล. ผมเป็นโปรฯ และเคยอยู่ในคริสตจักรที่ไม่ขอออกนามนั้น ปัจจุบันย้ายมาอยู่คริสต์จักรใจสมานประมาณ 10 เดือนได้ครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 1:51 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
+L.O.V.E-->>JeSuS+
โพสต์: 85
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ย. 29, 2008 3:44 pm
ที่อยู่: SilPaKorN

จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 1:47 pm

ผมเข้าใจว่าที่นี่มีไว้ให้เราเข้าใจกานไม่ใช่อ่อคัฟ


ถ้าคุณเข้ามาเถียงกานในเรื่องของนิกายผมว่ามันไม่ค่อยดีนะคัฟ


พระเจ้าได้สั่งเราไว้ว่า ให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

แต่เรากลับทะเลาะกันเองแบบนี้ ไม่กลัวพระเจ้าของเราเสียใจอ่อคัฟ
sakda88
โพสต์: 317
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 30, 2005 11:52 am
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 3:49 pm

อดีตและความเป็นผู้ถูก
เราจะใช้ชีวิตแบบนี้อีกนานเท่าไร ?
จงอยู่กับปัจจุบันเถิด  อย่ากลัวเลย
พระเจ้าให้สิ่งที่ดีที่สุดเกิดขึ้นเสมอ
แม้บ่อยครั้งเราจะมองไม่เห็นก็ตาม
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกื้อกูลกันเสมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 4:15 pm

command-ment เขียน: ท่านบาทหลวง มาร์ติน ลูเธอร์ เพียงเพื่อจะทำให้คริสตศาสนาเกิดความสงบสุข เรียบร้อย
กลับถูกพระสันตปาปาขับไล่ประกาศเป็น บัพพาชนียกรรม ต้องใช้ชิวิตช่วงหลัง หลบๆซ่อน
แต่กลับกัน โรมันคาทอริก กลับมีความกินอยู่ที่ ฟุ้งเฟอร์ และที่เขียนว่า นอกจากนี้ ยังมีลัทธิเทียมเท็จเกิดขึ้นมากมาย
หมายความว่ายังไงครับ ทุกศาสนาก็เกิดจาจความเชื่อแตกต่างกันไปมากมาย อย่างที่ท่านเชื่อในนักบวชไงครับ
ให้เรื่องความบาปชั่วร้าย เป็นเรื่องของคนชั่วในอดีต
แต่ปัจจุบัน อยากให้มองในสิ่งที่เค้าเป็นอยู่นะครับ
เค้าเคยผิดพลาดมา เค้าก็ขอโทษแล้ว เค้าก็แก้ตัวแล้ว จะไปซ้ำเติมเค้าทำไมอ่ะ ไม่เข้าใจเลย - -"

ใครทำดีทำไป ผมอ่านดูผมมองคุณอีกด้านนึง ผมเห็นคุณเป็นคนเที่ยงตรง และรักความถูกต้องมาก
แต่อย่าลืมเรื่องการอภัยทานด้วยนะคัรบ ผมเข้าใจคุณครับ

อีกอย่าง พูดกันตรงๆ บาปที่เขาไม่ได้ก่อแต่เขาต้องมารับเอง(พระสันตาปาปาองค์หลังๆ) เค้าก็น่ายกย่องมากแล้วนะคับ

เหอๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
(⊙△⊙)คุณxuู๓้uxoม(⊙△⊙)
โพสต์: 892
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 12:38 am

จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 7:46 pm

+L.O.V.E-->>JeSuS+ เขียน: ผมเข้าใจว่าที่นี่มีไว้ให้เราเข้าใจกานไม่ใช่อ่อคัฟ


ถ้าคุณเข้ามาเถียงกานในเรื่องของนิกายผมว่ามันไม่ค่อยดีนะคัฟ


พระเจ้าได้สั่งเราไว้ว่า ให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

แต่เรากลับทะเลาะกันเองแบบนี้ ไม่กลัวพระเจ้าของเราเสียใจอ่อคัฟ
เห็นด้วยคะ

ลูกพระเจ้าเหมือนกันจะมาทะเลาะกันทำไมอะคะ ไม่เข้าใจ : xemo023 :
Like a Heaven
.
.
โพสต์: 1739
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
ที่อยู่: In the Christ

พฤหัสฯ. ธ.ค. 18, 2008 1:06 am

ลูกพระรักกันครับ
Isolation
โพสต์: 1042
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 22, 2008 11:37 am
ที่อยู่: Ether23@hotmail.com

พฤหัสฯ. ธ.ค. 18, 2008 10:59 am

แต่ของแท้ย่อมดีกว่าของเทียมใช่ไหมครับ
คนมันทำให้ศาสนาเสื่อมถอย
แต่เราอย่าทำตามคนเราต้องทำตาม
สิ่งที่ถูกต้องใช่ไหมครับ  : xemo026 :
ตอบกลับโพส