ศาสนจักรควรหันหน้ากลับไปสู่ตะวันตก

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Claire de Lune

พุธ ก.พ. 16, 2005 10:57 pm

:'( ในเวลานี่ศาสนาจักรโรมันคาทอลิกกำลังดำเนินการเผยแพร่ศาสนาไปยังทุกมุมทั่วโลกโดยเฉพาะเอเชีย และแอฟริกา นำมาซึ่งก้อนำความยินดีไปสู่ศาสนจักรเปนอย่างมากเนื่องจากอัตราคนกลับใจมารับศีลล้างบาปมีมากขึ้นเกือบทุกประเทศเช่นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เวียดนาม ฮ่องกง เปนต้นยกเว้นไทยแลนด์ที่ไม่ค่อยเพิ่มเท่าไหร่ อิอิ แต่เมื่อเราหันกลับไปมองศาสนจักรโรมันคาทอลิกทางซีกตะวันตกของโลกแล้วนับว่าน่าใจหายเปนอย่างมาก เพราะอัตราคนทิ้งศาสนานั้นมีมากเหลือเกิน ซึ่งมีตัวอย่างจากหลายประเทศด้วยกัน โดยเฉพาะเนเธอร์แลนด์ อัตราคนไม่นับถือศาสนามีเกือบ 40 % และคนที่เปนคาทอลิกก้อเปนคนที่เฉื่อยชาในความเชื่อและไม่เคร่งครัด โบสถ์กลายเปนสถานที่เล่นดนตรีแจส ไม่ใช่สำหรับมิสซา ในประเทศเยอรมนีอัตราคนละทิ้งความเชื่อคาทอลิกมี 30 % และคนส่วนมากกลับหันมานิยมไม่นับถือศาสนา นอกจากนี้แล้วชาวยุโรปยังมองว่าคนที่ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์เปนคนที่เคร่งจารีต หัวเก่า ส่วนคนที่นับถือพุทธกลายเปนคนที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง มีหัวคิดสมัยใหม่ (อันนี้เอามาจากพระไทยในยุโรปคับ ไม่รุเชื่อได้แค่ไหน) และสังเกตได้อีกอย่างหนึ่งก้อคืออัตราการมิสซาในวัดที่มีรอบภาษาอังกฤษ เช่นวัดอัสสัมชัญ วัดเซนต์จอห์น วัดพระมหาไถ่ กลับมีแต่คนเอเชีย มากกว่าร้อยละ70 ส่วนชาวตะวันตกนั้นมีน้อยลงๆ ผมจึงเหนว่าตอนนี้ฐานขิงศาสนจักรไม่มั่นคงอย่างมากเลยทีเดียว ศาสนจักรน่าจะหันกลับไปมองดินแดนที่กางเขนได้ปักลงแห่งแรกของโลกนะคับ เพราะตอนนี้คงอาการหนักทีเดียว จาแก้ปัญหานี้อย่างไรดี??
Claire de Lune

พุธ ก.พ. 16, 2005 11:02 pm

???นอกจากนี้เพื่อนผมที่ได้ทุนAFSไปสเปน 1 ปีนั้นได้กลับมาบอกว่า Host ของเค้าทั้ง 2 ท่านไม่นับถือศาสนา และยังบอกอีกว่าเรื่องในBible นั้นเปนเรื่องโกหกและแต่งขึ้นเอง พูดต่อหน้าเพื่อนเลยย ซึ่งดูจากฐานของคนสเปนมีคาทอลิกเกือบ 100% แต่เพื่อนบอกว่าคนไม่เหนไปโบสถ์กันเลย วันหยุดทางศาสนาก้อไปเที่ยวแถมึคนปฎิบัติศาสนกิจก้อมีแต่คนแก่ๆ อยากรุจังทำไมฝรั่งเด๋วนี้เปนอย่างงี้กันเกือบหมดแล้วว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ก.พ. 16, 2005 11:04 pm

จะว่าไป กางเขนปักลงแห่งแรกคือเอเชียครับ พระเยซูคือชาวอิสราเอล เป็นชาวเอเชีย

อาจจะเรียกได้ว่า ความเชื่อได้ถูกนำกลับมาในทวีป ที่เป็นต้นกำเนิดศาสนาเอง

ส่วนหนึ่งที่คนมากมายละทิ้งศาสนา ก็มาจากความหลงยึดในวัตถุ คนไทยเรา ผมว่าถ้าใครโตแล้วค่อยมาเป็นคริสต์ ผมก็ว่ากล้าเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน แต่เมืองนอกเขาดีนะครับเปิดกว้างเรื่องศาสนา เพราะเขาเคารพเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่อย่างเมืองไทยใครเปลี่ยนมักจะโดนด่า และกดดันจากคนรอบข้าง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ก.พ. 16, 2005 11:09 pm

แนะนำว่าให้สวดภาวนาครับ ไม่ว่าจะที่ไหนขอพระนามของพระองค์แผ่ไปทั่วพิภพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ot@
~@
โพสต์: 989
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:44 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 17, 2005 6:41 pm

เดี๊วผมก็จะไปเมกาปีนี้ฮะ หวังว่าจะมีคาทอลิกดีๆเป็นโฮสนะคับ
(แต่ฟังจากที่คุณClaire de Luneบอกแล้วท่าทางจะยาก)
:)ผมว่าประเทศไทยก็มีกระแสคริสต์เยอะขึ้นนะฮะ
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. ก.พ. 17, 2005 8:13 pm

Ot@ เขียน: เดี๊วผมก็จะไปเมกาปีนี้ฮะ หวังว่าจะมีคาทอลิกดีๆเป็นโฮสนะคับ
(แต่ฟังจากที่คุณClaire de Luneบอกแล้วท่าทางจะยาก)
:)ผมว่าประเทศไทยก็มีกระแสคริสต์เยอะขึ้นนะฮะ
พี่โอตะ ต้องสวดมากๆนะฮะ ฝากให้พ่อ (ปอ ) 8) เชิญเหล่านักบุญ ทั้งสวรรค์มาวิงวอนให้พี่ฮับ

ฟัง พี่ๆที่เคยรู้จัก บอกว่า ที่เมกามีวัตถุนิยมเยอะฮะ ไม่เชื่อ ถามพี่ P อ้วน ดูจิ

อ้อ แล้วพี่สวดเยอะๆด้วย ไม่งั้น พี่อาจจะได้ ฮอส เป็น โฮส นะฮะ

ก่อนไป พี่เลี้ยงส่งตัวเองด้วยนะฮะ ;D *no1 *heh
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. ก.พ. 17, 2005 8:15 pm

*thx *thx คุณพี่เจ้าของกระทู้ฮับ ที่ให้ข้อมูลเพิ่มแก่สมองของ เจี๊ยบฮะ :-[

น่าเศร้าจัง ต้องอธิษฐาน เยอะๆล่ะ :'(
ภาพประจำตัวสมาชิก
โกจ๋อ
.
.
โพสต์: 1048
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:37 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 17, 2005 8:47 pm

เข้ามาอ่าน ก็ได้รู้หลายเรื่องนอกจากเรื่องหลักๆของกระทู้นะนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.พ. 18, 2005 1:17 am

ยิ่งมนุษย์สะดวกสบายมากขึ้น
ศีลธรรมก็ยิ่งเสื่อมลงคะ

เราต้องสวดภาวนาให้มากขึ้น

ช่วยกันจุดเทียนคนละดวง
และอย่าให้เทียนของเราอ่อนแสง หรือ มอดดับ
spirit

ศุกร์ ก.พ. 18, 2005 1:23 am

ต้องสวดขอการอัศจรรย์ ที่มาจากพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ ขอพระองค์เปิดหัวใจพวกเขา และสำแดงให้เขาเห็นการทรงอยู่+ทรงฤทธิ์ของพระองค์ 8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.พ. 18, 2005 6:00 am

กลายเป็นนิยมกันแต่วัตถุนิยม บริโภคนิยม ตามกระแสโลก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.พ. 18, 2005 10:30 am

ตั้งแต่การสังคายนาวาติกันที่ 2 ที่ทางคาทอลิกมีคำสอนออกมาว่า พระเจ้าทรงปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด และได้หันไปมองคุณค่าของคำสอนในศาสนาอื่น ๆ ด้วยนั้น ก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่นับถือศาสนาคริสต์ในยุโรปและอเมริกาซึ่งนับถือศาสนาคริสต์แบบถือตามบรรพบุรุษ หรือถือศาสนคริสต์ตามทะเบียนบ้าน หันไปสนใจศาสนาอื่น ๆ มากขึ้น เพราะเห็นว่ามีบางสิ่งที่น่าสนใจ เช่นการทำสมาธิ การสอนเรื่องการปล่อยวาง การสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ศาสนคริสต์ได้ละเลยไป ทั้ง ๆ ที่มันมีอยู่แล้วอย่างสมบูรณ์ในคำสอนและชีวิตฝ่ายจิตของคริสตศาสนา เพราะมีเพียงแต่พิธีกรรมที่ถูกทำให้ดูเด่นจนเกินไปและสร้างความชินชาต่อหลาย ๆ คน

ดังนั้นผมคิดว่าการจะดึงคนตะวันตกไม่ให้ไปแสวงหาอะไร ๆ อะไรนอกคริสตศาสนานั้น เราจะต้องนำสมบัติทางจิตวิญญาณที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในชีวิตฝ่ายจิตของคริสตศาสนาอยู่แล้วออกมาให้เห็นเด่นชัดขึ้น อันได้แก่รูปแบบการภาวนาระดับสูงที่มากกว่าการพูดสนทนากับพระเจ้า เพราะการภาวนาไม่ใช่แค่การพูดหรือการสนทนากับพระเจ้าเพียงอย่างเดียว การติดต่อกับพระเจ้าทางสมาธิก็เป็นการภาวนาอีกวิธีหนึ่ง การศึกษาพระคัมภีร์ที่ไม่สอนแบบนิทาน แต่สอนให้เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของพระวาจาของพระเจ้าที่ทรงสื่อกับมนุษย์ในยุคต่าง ๆ ในการชี้วิถีทางดำเนินชีวิต การเน้นงานด้านเมตตาสงเคราะห์อย่างแท้จริง และพยายามทำให้นักบวชเป็นนักบวชอย่างแท้จริง เป็นนักบวชที่ศักดิ์สิทธิ์ และพยายามลดการแสวงหาผลประโยชน์ฝ่ายวัตถุที่ไม่จำเป็น ผมคิดว่าหากทำได้ก็จะช่วยดึงชาวคริสต์เดิมเอาไว้ได้พอสมควร และอาจจะช่วยให้มีคนสนใจศาสนาคริสต์มากขึ้น
claustrophobia

จันทร์ มี.ค. 21, 2005 2:21 pm

ศาสนานี้ เป็นทางเเห่งความรอด พระองค์จะช่วยเราเสมอ
ใครอ่านวิวรณ์มั่งคับ ถ้าท่านอ่านจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลก เกี่ยวกับเทวดา7องค์
เเล้วพระเยซูท่านบอกว่าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งผมเชื่อคับว่าท่านจะกลับมาจริง
ในวันสิ้นพิภพจะมีลูกไฟตกลงมายังโลกท่านจะเป็นคนพิพากษาว่าใคร
มีความผิดอะไรบ้างท่านเป็นองค์เเห่งความยุติธรรมถ้าท่านทำความดีท่านก็จะ
ได้ขึ้นสวรรค์เเน่นอนคับ
พระเยซูเจ้าท่านจะกลับมาอีกครั้งเเต่ไม่ใช่พระผู้ไถ่เเต่จะเป็นพระตุลาการ
เเห่งความยุติธรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

จันทร์ มี.ค. 21, 2005 7:55 pm

ถูก :)
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

อังคาร มี.ค. 22, 2005 12:32 pm

Nihil เขียน: กลายเป็นนิยมกันแต่วัตถุนิยม บริโภคนิยม ตามกระแสโลก
ผมก็เป็นพวกวัตถุนิยมนะ ชอบแต่งตัวหรูๆโก้ๆ ใช้ของดีๆ แต่ยังไงก็ตามพระมาที่ 1 เสมอ ;D
terasphere

ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 1:08 am

ระหว่าง
ตั้งแต่การสังคายนาวาติกันที่ 2 ที่ทางคาทอลิกมีคำสอนออกมาว่า พระเจ้าทรงปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด และได้หันไปมองคุณค่าของคำสอนในศาสนาอื่น ๆ ด้วยนั้น ก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่นับถือศาสนาคริสต์ในยุโรปและอเมริกาซึ่งนับถือศาสนาคริสต์แบบถือตามบรรพบุรุษ หรือถือศาสนคริสต์ตามทะเบียนบ้าน หันไปสนใจศาสนาอื่น ๆ มากขึ้น เพราะเห็นว่ามีบางสิ่งที่น่าสนใจ เช่นการทำสมาธิ การสอนเรื่องการปล่อยวาง การสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ศาสนคริสต์ได้ละเลยไป ทั้ง ๆ ที่มันมีอยู่แล้วอย่างสมบูรณ์ในคำสอนและชีวิตฝ่ายจิตของคริสตศาสนา เพราะมีเพียงแต่พิธีกรรมที่ถูกทำให้ดูเด่นจนเกินไปและสร้างความชินชาต่อหลาย ๆ คน

ดังนั้นผมคิดว่าการจะดึงคนตะวันตกไม่ให้ไปแสวงหาอะไร ๆ อะไรนอกคริสตศาสนานั้น เราจะต้องนำสมบัติทางจิตวิญญาณที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในชีวิตฝ่ายจิตของคริสตศาสนาอยู่แล้วออกมาให้เห็นเด่นชัดขึ้น อันได้แก่รูปแบบการภาวนาระดับสูงที่มากกว่าการพูดสนทนากับพระเจ้า เพราะการภาวนาไม่ใช่แค่การพูดหรือการสนทนากับพระเจ้าเพียงอย่างเดียว การติดต่อกับพระเจ้าทางสมาธิก็เป็นการภาวนาอีกวิธีหนึ่ง การศึกษาพระคัมภีร์ที่ไม่สอนแบบนิทาน แต่สอนให้เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของพระวาจาของพระเจ้าที่ทรงสื่อกับมนุษย์ในยุคต่าง ๆ ในการชี้วิถีทางดำเนินชีวิต การเน้นงานด้านเมตตาสงเคราะห์อย่างแท้จริง และพยายามทำให้นักบวชเป็นนักบวชอย่างแท้จริง เป็นนักบวชที่ศักดิ์สิทธิ์ และพยายามลดการแสวงหาผลประโยชน์ฝ่ายวัตถุที่ไม่จำเป็น ผมคิดว่าหากทำได้ก็จะช่วยดึงชาวคริสต์เดิมเอาไว้ได้พอสมควร และอาจจะช่วยให้มีคนสนใจศาสนาคริสต์มากขึ้น
กับ
ศาสนานี้ เป็นทางเเห่งความรอด พระองค์จะช่วยเราเสมอ
ใครอ่านวิวรณ์มั่งคับ ถ้าท่านอ่านจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลก เกี่ยวกับเทวดา7องค์
เเล้วพระเยซูท่านบอกว่าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งผมเชื่อคับว่าท่านจะกลับมาจริง
ในวันสิ้นพิภพจะมีลูกไฟตกลงมายังโลกท่านจะเป็นคนพิพากษาว่าใคร
มีความผิดอะไรบ้างท่านเป็นองค์เเห่งความยุติธรรมถ้าท่านทำความดีท่านก็จะ
ได้ขึ้นสวรรค์เเน่นอนคับ
พระเยซูเจ้าท่านจะกลับมาอีกครั้งเเต่ไม่ใช่พระผู้ไถ่เเต่จะเป็นพระตุลาการ
เเห่งความยุติธรรม
ผมคิดว่า โควตแรกน่าพิจารณามากกว่า ตามหลักเหตุผลของโลกปัจจุบัน
การจะดึงคนเข้าสู่พระศาสนาในเวลานี้ ไม่ใช่การขู่ให้กลัว แล้วให้ทางเลือกว่าจะรอดหรือไม่

หากแต่เป็นการชี้นำให้เห็นถึงจิตใจและสิ่งต่างๆที่สัมผัสได้ไม่ว่าจะทางกายหรือทางวิญญาณ
แค่ความเชื่อ ไม่เพียงพอเสียแล้ว

ในสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง พระสันตปาปาจอห์นที่ 23 ทรงยอมรับว่า "ทางรอดอื่นนอกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิกย่อมมีอยู่"
พระสันตปาปาจอห์น ปอลที่ 2 มหาบุรุษแห่งโลก ทรงเข้าพระทัยในบทบาทและการส่งผ่านวัฒนธรรมของศาสนาทั่วโลกว่า มีเป้าหมายเดียวกัน
เพียงแต่พระองค์เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและคริสตจักรคาทอลิคนี่เท่านั้นเอง

ท่านบราเดอร์ ฟ.ฮีแลร์ แห่งอัสสัมชัญเคยตอบคำถามเมื่อมีครูชาวพุทธถามท่านไว้ว่า
"หากพระเจ้าไม่มีจริง ความดีที่ข้าพเจ้าเพียรกระทำย่อมส่งผลให้ข้าพเจ้าขึ้นสู่สรวงสวรรค์ใดๆของศาสนาอื่นได้
แต่หากพระผู้เป็นเจ้ามีจริงแล้วไซร้ ข้าพเจ้าที่เชื่อในพระองค์ย่อมได้เปรียบเป็นแน่แท้"

วิวรณ์ที่แสดงถึงอารมาเกดดอน - ยามไฟประลัยกัลป์แล่นล้างสี่หล้า - อัล ญิฮาด
เป็นคำเตือนที่เฝ้าเตือนจริยธรรมของมนุษยชาติมิให้ทำลายตัวเอง
เพื่อความหวังสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเมสสิอาห์ - แผ่นดินพระศรีอาริย์ - พระมะหะดีร์

ดังนั้น หากจะรั้งอาณาจักรที่วิ่งเร็วยวดยิ่งด้วยธรรมจักรไม่ว่าจะเป็นธรรมในศาสนาใด ธรรมจักรนั้นจักต้องหมุนเร็วไปตามความเร็วของอาณาจักรนั้นให้ทัน เพื่อจะค่อยชะลอหนทางหายนะนั้นให้คืนสู่สภาวะแห่งธรรมต่อไป ไม่ว่าจะเป็นทิศตะวันออกหรือตะวันตกใด ล้วนตั้งอยู่ ณ ผืนพิภพโลก ดาวเคราะหือันดับทีสามจากพระสุริยะนี้เหมือนกัน
Pry-Kaew
โพสต์: 959
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ม.ค. 29, 2005 3:03 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 1:50 pm

Ot@ เขียน: เดี๊วผมก็จะไปเมกาปีนี้ฮะ หวังว่าจะมีคาทอลิกดีๆเป็นโฮสนะคับ
(แต่ฟังจากที่คุณClaire de Luneบอกแล้วท่าทางจะยาก)
:)ผมว่าประเทศไทยก็มีกระแสคริสต์เยอะขึ้นนะฮะ

พูดจากประสบการณ์ตรงเลยละกันนะครับ คาทอลิกและโปรแตสแตนด์ในอเมริกาที่ศรัทธายังมีอยู่ครับ แต่ควรเป็นมลรัฐทางใต้ของเมกา แต่จริงๆแล้วโปรแตสแตนด์เยอะมากครับ(ฝรั่งขาวเป็นคริสเตียนกันจริงๆ ผมพึงเห็นที่เท็สซัสนี้แหละ) สมัยก่อนไปเห็นคนยุโรปทึ้งศาสนา นึกว่าฝรั่งขาวมันทรยศต่อพระแล้ว ได้เห็นมลรัฐทางใต้เมกานี้แหละ ศรัทธากันจริงๆ(บางอย่างศรัทธาจนน่ากลัว เพราะค่อนข้างแรงพอสมควร) หากมาเมกา จะหาโฮสคริสเตียนหรือคริสตังดีๆ ต้องหาทางมลรัฐทางใต้ครับ(เท็กซัส,นิวเม็กซิโก)และต้องมิใช่เมืองใหญ่ในมลรัฐดังกล่าวด้วย เพราะแถบนี้ศาสนาและความเชื่อในพระเจ้ายังแรงอยู่ ไปๆมาๆแดนดงคาวบอยกลับมีโบสถ์มากกว่ามลรัฐทางเหนือ ผู้คนจิตใจมลรัฐทางใต้ก็ต่างจากมลรัฐคนทางเหนือด้วย กล่าวคือจริงใจ เฟรนรี่ ศาสนาแรง ปืนถูกหาง่าย(อันหลังสุดไม่เกี่ยวนะครับ)

ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ เม.ย. 16, 2005 1:36 am

Reperio nam Verum เขียน: ระหว่าง
ตั้งแต่การสังคายนาวาติกันที่ 2 ที่ทางคาทอลิกมีคำสอนออกมาว่า พระเจ้าทรงปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด และได้หันไปมองคุณค่าของคำสอนในศาสนาอื่น ๆ ด้วยนั้น ก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่นับถือศาสนาคริสต์ในยุโรปและอเมริกาซึ่งนับถือศาสนาคริสต์แบบถือตามบรรพบุรุษ หรือถือศาสนคริสต์ตามทะเบียนบ้าน หันไปสนใจศาสนาอื่น ๆ มากขึ้น เพราะเห็นว่ามีบางสิ่งที่น่าสนใจ เช่นการทำสมาธิ การสอนเรื่องการปล่อยวาง การสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ศาสนคริสต์ได้ละเลยไป ทั้ง ๆ ที่มันมีอยู่แล้วอย่างสมบูรณ์ในคำสอนและชีวิตฝ่ายจิตของคริสตศาสนา เพราะมีเพียงแต่พิธีกรรมที่ถูกทำให้ดูเด่นจนเกินไปและสร้างความชินชาต่อหลาย ๆ คน

ดังนั้นผมคิดว่าการจะดึงคนตะวันตกไม่ให้ไปแสวงหาอะไร ๆ อะไรนอกคริสตศาสนานั้น เราจะต้องนำสมบัติทางจิตวิญญาณที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในชีวิตฝ่ายจิตของคริสตศาสนาอยู่แล้วออกมาให้เห็นเด่นชัดขึ้น อันได้แก่รูปแบบการภาวนาระดับสูงที่มากกว่าการพูดสนทนากับพระเจ้า เพราะการภาวนาไม่ใช่แค่การพูดหรือการสนทนากับพระเจ้าเพียงอย่างเดียว การติดต่อกับพระเจ้าทางสมาธิก็เป็นการภาวนาอีกวิธีหนึ่ง การศึกษาพระคัมภีร์ที่ไม่สอนแบบนิทาน แต่สอนให้เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของพระวาจาของพระเจ้าที่ทรงสื่อกับมนุษย์ในยุคต่าง ๆ ในการชี้วิถีทางดำเนินชีวิต การเน้นงานด้านเมตตาสงเคราะห์อย่างแท้จริง และพยายามทำให้นักบวชเป็นนักบวชอย่างแท้จริง เป็นนักบวชที่ศักดิ์สิทธิ์ และพยายามลดการแสวงหาผลประโยชน์ฝ่ายวัตถุที่ไม่จำเป็น ผมคิดว่าหากทำได้ก็จะช่วยดึงชาวคริสต์เดิมเอาไว้ได้พอสมควร และอาจจะช่วยให้มีคนสนใจศาสนาคริสต์มากขึ้น
กับ
ศาสนานี้ เป็นทางเเห่งความรอด พระองค์จะช่วยเราเสมอ
ใครอ่านวิวรณ์มั่งคับ ถ้าท่านอ่านจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลก เกี่ยวกับเทวดา7องค์
เเล้วพระเยซูท่านบอกว่าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งผมเชื่อคับว่าท่านจะกลับมาจริง
ในวันสิ้นพิภพจะมีลูกไฟตกลงมายังโลกท่านจะเป็นคนพิพากษาว่าใคร
มีความผิดอะไรบ้างท่านเป็นองค์เเห่งความยุติธรรมถ้าท่านทำความดีท่านก็จะ
ได้ขึ้นสวรรค์เเน่นอนคับ
พระเยซูเจ้าท่านจะกลับมาอีกครั้งเเต่ไม่ใช่พระผู้ไถ่เเต่จะเป็นพระตุลาการ
เเห่งความยุติธรรม
ผมคิดว่า โควตแรกน่าพิจารณามากกว่า ตามหลักเหตุผลของโลกปัจจุบัน
การจะดึงคนเข้าสู่พระศาสนาในเวลานี้ ไม่ใช่การขู่ให้กลัว แล้วให้ทางเลือกว่าจะรอดหรือไม่

หากแต่เป็นการชี้นำให้เห็นถึงจิตใจและสิ่งต่างๆที่สัมผัสได้ไม่ว่าจะทางกายหรือทางวิญญาณ
แค่ความเชื่อ ไม่เพียงพอเสียแล้ว

ในสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง พระสันตปาปาจอห์นที่ 23 ทรงยอมรับว่า "ทางรอดอื่นนอกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิกย่อมมีอยู่"
พระสันตปาปาจอห์น ปอลที่ 2 มหาบุรุษแห่งโลก ทรงเข้าพระทัยในบทบาทและการส่งผ่านวัฒนธรรมของศาสนาทั่วโลกว่า มีเป้าหมายเดียวกัน
เพียงแต่พระองค์เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและคริสตจักรคาทอลิคนี่เท่านั้นเอง

ท่านบราเดอร์ ฟ.ฮีแลร์ แห่งอัสสัมชัญเคยตอบคำถามเมื่อมีครูชาวพุทธถามท่านไว้ว่า
"หากพระเจ้าไม่มีจริง ความดีที่ข้าพเจ้าเพียรกระทำย่อมส่งผลให้ข้าพเจ้าขึ้นสู่สรวงสวรรค์ใดๆของศาสนาอื่นได้
แต่หากพระผู้เป็นเจ้ามีจริงแล้วไซร้ ข้าพเจ้าที่เชื่อในพระองค์ย่อมได้เปรียบเป็นแน่แท้"

วิวรณ์ที่แสดงถึงอารมาเกดดอน - ยามไฟประลัยกัลป์แล่นล้างสี่หล้า - อัล ญิฮาด
เป็นคำเตือนที่เฝ้าเตือนจริยธรรมของมนุษยชาติมิให้ทำลายตัวเอง
เพื่อความหวังสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเมสสิอาห์ - แผ่นดินพระศรีอาริย์ - พระมะหะดีร์

ดังนั้น หากจะรั้งอาณาจักรที่วิ่งเร็วยวดยิ่งด้วยธรรมจักรไม่ว่าจะเป็นธรรมในศาสนาใด ธรรมจักรนั้นจักต้องหมุนเร็วไปตามความเร็วของอาณาจักรนั้นให้ทัน เพื่อจะค่อยชะลอหนทางหายนะนั้นให้คืนสู่สภาวะแห่งธรรมต่อไป ไม่ว่าจะเป็นทิศตะวันออกหรือตะวันตกใด ล้วนตั้งอยู่ ณ ผืนพิภพโลก ดาวเคราะหือันดับทีสามจากพระสุริยะนี้เหมือนกัน
การจะดึงคนเข้าสู่พระศาสนาในเวลานี้ ไม่ใช่การขู่ให้กลัว แล้วให้ทางเลือกว่าจะรอดหรือไม่--> You know what, even catholics are frieghtened fro this too. It was the old way of taking care of children. Some catholics are scared away from the church because they were frightened so much that if they don't go to church they'll go to hell. No one wants to here about hell but they are scared of the church. So, they just leave the church and try live a good person.. :) But right now we are more liberal.. and we realize that God gives us freedom. We should respect human dignity.

หากแต่เป็นการชี้นำให้เห็นถึงจิตใจและสิ่งต่างๆที่สัมผัสได้ไม่ว่าจะทางกายหรือทางวิญญาณ
แค่ความเชื่อ ไม่เพียงพอเสียแล้ว--> Belief is the seed. Without belief, you can't go deep spiritually. You'll stay just superficial. In Catholic meditation, we start with belief. You mush have belief, otherwise you can't practice anything at all.

ในสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง พระสันตปาปาจอห์นที่ 23 ทรงยอมรับว่า "ทางรอดอื่นนอกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิกย่อมมีอยู่"
พระสันตปาปาจอห์น ปอลที่ 2 มหาบุรุษแห่งโลก ทรงเข้าพระทัยในบทบาทและการส่งผ่านวัฒนธรรมของศาสนาทั่วโลกว่า มีเป้าหมายเดียวกัน
เพียงแต่พระองค์เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและคริสตจักรคาทอลิคนี่เท่านั้นเอง
--> In my opinion, it's his way to compromise. It's better to be in peace or no one will have salvation whether he is in the right track.

ดังนั้น หากจะรั้งอาณาจักรที่วิ่งเร็วยวดยิ่งด้วยธรรมจักรไม่ว่าจะเป็นธรรมในศาสนาใด ธรรมจักรนั้นจักต้องหมุนเร็วไปตามความเร็วของอาณาจักรนั้นให้ทัน เพื่อจะค่อยชะลอหนทางหายนะนั้นให้คืนสู่สภาวะแห่งธรรมต่อไป ไม่ว่าจะเป็นทิศตะวันออกหรือตะวันตกใด ล้วนตั้งอยู่ ณ ผืนพิภพโลก ดาวเคราะหือันดับทีสามจากพระสุริยะนี้เหมือนกัน
--> It's interesting you talks about movement... In Christianity, the movement is driven by the Holy Spirit... :)

One comment na ka... Maybe it sounds strong to you but I'd like to understand us something. In Christianily, lukewarmness is dangerous. We are in peace by believing and trusting in God, not compromising. .... Being lukewarm in faith will be the starting of losing faith. .. It's like when you get married and you found your love is so lukewarm or even cold... The situation is likely for you to break up. Christian need to be in love all the time. We need to have the fire of love all the times.

In my opinion, making peace means understanding each other and accept the difference. There's no reason to compromise our belief... Just accept the difference is enough.. :)
terasphere

เสาร์ เม.ย. 16, 2005 12:28 pm

ขอบคุณที่ให้ความกระจ่างครับ ;)
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ เม.ย. 16, 2005 10:12 pm

Reperio nam Verum เขียน: ขอบคุณที่ให้ความกระจ่างครับ ;)
No problem.. :) I'd like you to talk with us without prejudice. I'm sorry if Im just too overwhelming.. :)
ตอบกลับโพส